ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อรุณสวัสดิ์รัตติกาล

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ ๔

    • อัปเดตล่าสุด 29 ก.ย. 54



    บทที่ 04




    เรือนมธุรส เป็นเรือนไทยฝากระดาน ทั้งใหญ่โตและโอ่โถง มีถึงเก้าห้อง ล้อมอยู่รอบชานกลางเรือน ห้องนอนทั้งสามเรียงอยู่เป็นแถวเดียวทางทิศเหนือ ส่วนแถวที่หันไปทางทิศตะวันออก ห้องหนึ่งเป็นหอพระกับอีกห้องเป็นหอสมุด

    ห้องตรงข้ามหอพระเป็นเรือนโถง ใช้สำหรับพักผ่อนและนั่งอ่านเขียนหรือทำงานเอกสาร ทางทิศใต้มีหอนาค ใช้เป็นที่รับรองผู้มาเยี่ยมหา ซึ่งห้องนี้จะอยู่ชิดกับชานบันไดด้านซ้าย ส่วนด้านขวาของช่องบันได จะมีหอนกเป็นเรือนโปร่งสี่เสาอีกห้องหนึ่ง

    เรือนหลังนี้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยคุณปู่ของคุณหญิงมุขมณีผู้เคยเป็นเจ้าภาษีแขวงเมืองกาญจนบุรี มาหักร้างถางพงไว้ตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ ๔ จนปัจจุบันตกเป็นมรดกของตระกูล ส่วนตัวนายมุรธาเองนั้น ย้ายมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่มธุรดาเริ่มเข้าโรงเรียน และถึงจะเก่าโบราณกว่าร้อยปี เขาก็ดูแลรักษาทุกห้องหับเอาไว้เป็นอย่างดี

    คุณย่าของมธุรดา คือคุณหญิงมุขมณี เกิดและโตที่นี่ ก่อนที่จะออกเรือนแล้วย้ายไปอยู่กับเจ้าคุณสามีที่แถวแขวงนนทบุรี ส่วนผู้เป็นบิดาก็ได้มาพบกับมารดาของเธอที่นี่เช่นกัน

    จึงเรียกได้ว่าคนในตระกูลนี้ ล้วนแต่มีความหลังผูกพันกับเรือนมธุรสหลังนี้ด้วยกันทั้งสิ้น และใจของมธุรดาเอง ก็คิดอยู่ว่า หากการงานของตนเองมั่นคงดีแล้ว ก็จะย้ายมาอยู่กับบิดา เพราะอาชีพนักวาดภาพประกอบนั้น ต้องอาศัยสภาพแวดล้อมเพื่อสร้างบรรยากาศการทำงานอยู่มาก

    ถึงจะพอทำใจยอมรับได้ว่า ทุกคนพากันเชื่อถือเรื่องผีสางนางไม้... ไม่สิ! ไม่ใช่ผีสางนางไม้ ต้องบอกว่าเป็นพวกอมนุษย์ ทุกคนพากันเชื่อถือเรื่องอมนุษย์และภพภูมิที่ทับซ้อน เชื่อกันจริงๆ จังๆ จนเธอต้องเลิกถกเถียงหรือซักถามหาความกระจ่างชัด

    แต่ถ้ากลับมาอยู่ แล้วต้องมาเจอนายเจ๋อนี่ เธอจะทนอยู่ไปได้สักกี่วัน...

    ไม่ต้องนับรวมเรื่องราวแปลกพิกล พิลึกพิลั่นที่ผ่านมาแค่ครึ่งวันนี่หรอก เฉพาะหน้าซื่อๆ ตาใสๆ ที่ชำเลืองไปทีไร ก็ได้เห็นว่าเขามองตรงมาทุกที แค่นี้มธุรดาก็ไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไรแล้ว

    ครึ่งค่อนวันมาแล้ว ตั้งแต่ที่สามคนนั่น คือคุณพ่อ คุณลุงคันธรรพและนายรัตติกร หายเงียบเข้าไปในห้องพระ แล้วนมแจ่มก็ปล่อยให้เธอนั่งอยู่ที่หอนกนี่คนเดียว และก็ยังไม่ได้ขึ้นมานั่งเป็นเพื่อนคุยอีกเลย นอกจากตอนสิบโมงที่ส่งให้แววขึ้นมาเสิร์ฟอาหารว่าง

    หญิงชราผู้ที่เลี้ยงดูมธุรดามาแต่เล็กคงเดาออก ว่าเวลานี้ การปล่อยให้เธอได้อยู่คนเดียว ค่อยคิดค่อยพิจารณาเรื่องราวต่างๆ ด้วยตัวเอง จะเป็นการดีที่สุด

    ซึ่งก็จริง เพราะเธอสามารถค่อยๆ หา เหตุผลต่างๆ มาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าได้มากขึ้นเรื่อยๆ

    ตอนฟ้าปิดและทั้งเรือนสะเทือนไหวนั่น ลมคงกระโชกมาพอดีกับตอนที่เมฆเคลื่อนเข้าบังแสงอาทิตย์ สรุปได้ว่าเรื่องนั้นมันบังเอิญ

    ส่วนเรื่องนกไล่จิกงูก็ไม่ต้องคิดมาก เพราะธรรมชาติของพวกมันก็เป็นเช่นนั้น เพียงแต่ออกจะผิดที่ผิดทาง ผิดเวล่ำเวลาไปสักหน่อยในการออกล่าหาอาหาร... ก็แค่นั้น

    กับเรื่องที่ตัวเธอตาลาย เพราะเงยไปเจอกับแสงจ้าที่ย้อนแย้งอยู่กับเงาสลัวลิบๆ นั่น จนเห็นว่าตาลยอดด้วนมีหลายต้น ทั้งที่จริงมันก็ยืนต้นตายอยู่สองต้นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

    แล้วยังมีอะไรอีกล่ะ ที่เธออธิบายกับตัวเองไม่ได้...

    เรื่องเดียวละมั้ง ที่ทำให้มธุรดายังอึดอัดใจอยู่ไม่วาย

    มันจะเป็นไปได้อย่างไร ที่เธอนอนร่วมเตียงอยู่กับนายนั่นทั้งคืน โดยไม่รู้ว่ามีคนทั้งคนนอนอยู่ข้างๆ

    มธุรดาตั้งใจไว้แล้วว่าเรื่องสุดท้ายนี้ อย่างไรๆ ก็ต้องถามหาความกระจ่างชัด ให้มันรู้กันไปว่ามีคนนอนอยู่แล้วทั้งคน ตนจะโดดขึ้นเตียงไปหลับอุตุอยู่ข้างๆ ได้หน้าตาเฉย

    ยิ่งใกล้มื้อเที่ยง หญิงสาวก็ยิ่งชะโงกชะเง้อไปทางหอพระบ่อยขึ้น สามคนนั่นเข้าไปตั้งแต่ตอนที่เจ้าแก้วโวยวายเรื่องตาลยอดด้วน กระทั่งตอนนี้ก็ยังปิดประตูเงียบ

    ระหว่างที่คิดจะลุกไปลองเคาะเรียก ก็พอดีมีใครคนหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากชานบันได เงียบเชียบจนมธุรดาเผลอสะดุ้ง

    พอตั้งตัวได้ก็ต้องยิ้มรับ เพราะชายหนุ่มที่ท่าทางจะ “มาดี” นั่น ยิ้มให้อย่างเต็มไมตรี

    “ขอโทษเถิดครับ ผมเห็นข้างล่างเงียบๆ เลยถือวิสาสะขึ้นมาเอง”

    เขาออกตัวตั้งแต่แรก หรือเพราะสายตาของเธอจะส่งแววตำหนิมากเกินไป

    มธุรดาคิดได้ดังนั้นก็ต้องรีบฉีกยิ้มให้กว้างขึ้นอีก พร้อมกับลุกขึ้นมาเชิญให้เข้านั่งลงใต้ร่มของหอนก

    “คงอยู่ในครัวกันน่ะค่ะ”

    เธอพยายามปรับเสียงให้แจ่มใส ให้รู้ว่าไม่ได้คิดกล่าวโทษใดๆ กับเขาเลย

    ชายหนุ่มแปลกหน้า รูปร่างสูงโปร่งแต่ก็เห็นได้ชัดว่าอุดมไปด้วยมัดกล้ามเนื้อแกร่งแน่น ศีรษะเหมือนจะเล็กไปสักนิด แต่ได้รูปคมงามสมส่วน คิ้วเข้มดกหนา แทบจดกันตรงกลางนั่นสะดุดตาที่สุด เพราะไรขนตรงหัวคิ้วขมวดวนขึ้นไปกลางหน้าผาก

    ส่วนสายตาคมกริบนั้น ทำให้เธอไม่กล้าสบตากับเขาอีก หลังจากที่ได้ประสานสายตากันในครั้งแรก

    “หลานสาวผมไม่สบาย อยากให้คุณ... มุรธา ไปช่วยดูให้สักหน่อย”

    เขาเอ่ยขึ้น ขณะหยุดยืนอยู่นอกชายคาของหอนก แหงนขึ้นพินิจองค์ประกอบที่ตกแต่งอยู่รายรอบ ดูเหมือนว่าเขาจะสนใจกับสิ่งที่เห็น มากกว่าที่พูดออกมาด้วยซ้ำ

    มธุรดาจึงไม่แน่ใจว่า จะสานต่อบทสนทนาต่อไปอย่างไรจึงจะเหมาะสม

    จะแนะนำให้รู้ว่ากรงเปล่าเหล่านี้มีที่มาที่ไปอย่างไร

    หรือจะถามไถ่ถึงอาการของหลานสาวคนที่ว่านั้นก่อนดี

    “กรงสวยๆ ทั้งนั้น ทำไมไม่มีนกสักตัว...”

    สำเนียงภาษาห้วนสั้น แต่กลับน่าฟังกว่าตอนมี “ครับ” มี “ผม” เมื่อแรกทัก

    และคำพูดนั่นก็เหมือนจะช่วยให้มธุรดารู้ว่าจะคุยกันด้วยเรื่องอะไร

    “ตั้งแต่จำความได้ ก็เห็นมีแต่กรงนี่ละค่ะ แต่บางทีก็มีบางคู่คาบเศษหญ้าเศษฟางมาสานรังอยู่ในกรงเหมือนกันค่ะ ปกติคุณพ่อก็เปิดกรงไว้ เห็นตรงนั้นไหมคะ ที่เป็นจานสองชั้นตรงมุม ชั้นบนเป็นพวกเมล็ดพืช ชั้นล่างเป็นน้ำสะอาด เอาไว้เลี้ยงนกน่ะค่ะ”

    คนพูดอธิบายกับตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่า ทำไมถึงต้องสาธยายละเอียดละออขนาดนี้

    “ยังมีรอยรัง...”

    “คงรังร้างมังคะ งูอาจจะกวน เมื่อเช้าก็เพิ่งเจอ ไม่รู้ว่าตั้งใจจะขึ้นมาดักนกบนหอนี่หรือเปล่า แต่ถูกเจ้านกเค้านั่นจัดการไปแล้วละค่ะ อ้อ!... ว่าแต่หลานสาวคุณ...”

    “ผม... ชื่อคีตธร”

    เขาแนะนำตัวง่ายๆ สำเนียงตอนออกชื่อแปร่งๆ หู เหมือนอย่างตอนที่ลุงของนายนั่นออกชื่อตัวเองไม่มีผิด

    คงมาจากฝั่งโน้นเหมือนกันละมั้ง

    “ค่ะ... ดิฉันมธุรดา เรียกน้ำผึ้งก็ได้ค่ะ หลานสาวคุณคีตธรเป็นอะไรหรือคะ”

    “เรียกผม... คี... หรือ คีตา ก็ได้”

    “ค่ะ... คุณคี หลานสาวเป็นอย่างไรบ้างคะ”

    เป็นครั้งที่สามแล้วที่เขายังไม่ยอมตอบ

    “หรือจะรอคุณพ่อ...”

    เมื่อเห็นว่าเขาเหมือนไม่อยากพูดถึงอาการของคนไข้ มธุรดาก็เปลี่ยนเรื่อง ตั้งใจจะบอกให้รออีกสักพัก แต่ชายหนุ่มเอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน

    “เธอป่วยนิดหน่อย อยากให้คุณมุรธาไปดูอาการ”

    คนฟังได้แต่ลอบระบายลมหายใจเบาๆ ตอบอย่างนี้อย่าตอบเสียดีกว่า

    “คือ... อธิบายไม่ถูก...”

    ราวกับเขาได้ยินเธอบ่นอยู่ในใจ แต่มธุรดาจำเป็นต้องคิดว่า เขาคงเดาความคิดของเธอจากอาการทอดถอนลมหายใจที่แสดงออกไปนั่นเอง

    “คงต้องรอสักพักน่ะค่ะ พอดีท่านกำลังมีแขก”

    “อย่างนั้นเราก็ต้องรอ เชิญครับ”

    “คะ... ค่ะ...”

    มธุรดาออกจะงง อยู่ๆ เขานึกอยากจะเดินเข้าไปนั่งใต้ร่มของหอนก เขาก็กล่าวเชิญเธอ ราวกับเป็นเจ้าของบ้านเสียเอง

    ...ทำไมวันนี้เจอแต่คนแปลกๆ...

    “โลกทุกวันนี้มันแปลกขึ้นทุกวัน”

    เหมือนเขาเอ่ยขึ้นลอยๆ ทั้งที่มันพ้องกันได้กับสิ่งที่เธอกำลังคิด

    “ค่ะ... คนเยอะเรื่องก็แยะ เป็นธรรมดา ก็โลกไม่ได้ขยายใหญ่ขึ้นตามจำนวนประชากรนี่คะ”

    มธุรดาพยายามทำให้เป็นเรื่องตลก

    “คนไม่ได้เพิ่มขึ้นหรอก เกิดมาแล้วก็ตาย ไม่ตายเพราะความชรา ก็มีวิธีอื่น...”

    แต่เสียงเรียบๆ ของเขาฟังรู้ว่าไม่ได้ตลกไปกับเธอด้วยเลย

    หรือว่าเธอพูดมากเกินไปจนน่ารำคาญ

    มธุรดาเริ่มเอะใจ ว่าทำไมพออยู่ต่อหน้าชายหนุ่มคนนี้ ตนเองถึงมีความคิดความรู้สึกแปลก ดูขาดๆ เกินๆ อย่างไรพิกล หรือที่ลุงหลานคู่นั้นพูดจะเป็นเรื่องจริง ที่ว่าเธอมีอาการแปลกๆ ตั้งแต่หลังวันเกิดเป็นต้นมา

    เธอจึงต้องพยายามถนอมถ้อยคำมากขึ้น แต่พอเงียบ... เขาก็เอ่ยขึ้นอีก

    “คุณมุรธา... เก่ง...”

    คำพูดสั้นๆ ห้วนๆ ทำให้ต้องถาม

    “เก่ง... เก่งเรื่องไหนกันคะ”

    ตัวเธอเองก็ไม่ค่อยแน่ใจ ความเก่งของบิดาเท่าที่เธอรู้ ก็เชี่ยวชาญอยู่กับการสวนการไร่ เพราะจบวิทยาศาสตร์การเกษตรมาโดยตรง นั่นจะช่วยให้อาการของหลานสาวเขาดีขึ้นได้อย่างไร

    ไม่ทันที่จะได้รับคำตอบ คนที่ถูกพูดถึงก็ก้าวพ้นออกมาจากห้องพระ ทันทีที่เห็นว่ามีชายแปลกหน้านั่งสนทนาอยู่กับบุตรสาวของตนเอง ก็เดินตรงมาทางหนุ่มสาวทั้งสอง

    นายมุรธารู้สึกประหลาดใจกับการมาเยือนของเขา แต่ยังรักษากิริยาไว้ได้เป็นอันดี

    ชายหนุ่มที่แนะนำตัวเองอีกครั้งว่าชื่อ คีตธร ไม่ได้ยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่าอย่างที่มธุรดานึกว่าจะได้เห็น แต่ท่าทางทั้งหมดของเขาก็นุ่มนวล พอที่จะทำให้ทุกฝ่ายไม่รู้สึกกระดากหรือลำบากใจ

    ไม่ทันที่นายมุรธาจะนั่งลงเพื่อซักถามว่ามาอย่างไรไปอย่างไร คีตธรที่ลุกขึ้นรับตั้งแต่แรก ขยับเข้าไปกระซิบใกล้ บิดาของมธุรดาคล้ายจะซวนเซ จนเขาต้องช่วยยื่นมือไปพยุง

    บิดาของเธอพยักหน้ารับรู้ ทำท่าเหมือนจะหันกลับไปทางห้องพระ แต่ชายหนุ่มรั้งข้อมือเอาไว้

    “ที่บ้าน... พอมีอยู่... แต่ไม่รู้วิธี...”

    พยายามตะแคงหูฟังอย่างที่สุด แต่มธุรดาก็จับความได้กระท่อนกระแท่นเหลือเกิน

    “งั้นก็ต้องรีบ ไปกันเลยไหมเล่า”

    ดูเหมือนนายมุรธาจะตื่นเต้นกับเรื่องนี้เป็นอันมาก ออกจะมากเกินไปด้วยซ้ำในสายตาของเธอ

    คีตธรไม่ได้ตอบคำ แต่หันหลังเดินนำลงเรือนไปทันที

    “คุณพ่อคะ... แล้วสองคนนั่น”

    “อย่าเพิ่งไปรบกวน ปล่อยไว้ก่อน”

    “แล้วคุณพ่อ... ไม่ทานมื้อกลางวันก่อนหรือคะ”

    “รอไม่ได้ พ่อต้องรีบไป แล้วจะรีบกลับ”

    มธุรดาได้แต่ยืนงง อยู่ๆ ก็เร่งรีบขึ้นมาอย่างนั้นหรือ ทั้งที่ตอนแรกที่ขึ้นมา ก็ไม่ได้มีทีท่าว่าเรื่องราวจะร้ายแรงอะไรสักนิด

    เธอไม่ได้สังเกตเห็นว่า ตอนที่ขยับเข้ากระซิบกับบิดานั้น มือข้างหนึ่งช่วยพยุงตอนที่ซวนเซนั่นละ ที่ทำให้นายมุรธาไม่ได้เป็นตัวของตัวเองอีกต่อไป

    พอสองคนลับซุ้มบันไดลงไป ประตูห้องพระก็ลั่นผัวะ!

    คล้ายกับว่าคนที่โดนขังอยู่ในนั้นเพิ่งช่วยกันงัดออกมาได้ สองลุงหลานแทบกระโจนมาทางหญิงสาว

    “ไหนคุณมุ... คุณมุไปไหนแล้ว!!!”





    ความโกลาหลเกิดขึ้นทันที สามคนข้างล่างถูกเรียกหาให้รีบขึ้นมาข้างบน เจ้าแก้วโผล่ขึ้นมาเป็นคนแรก ท่าทางยังงัวเงีย มันคงกำลังนอนกลางวัน

    “คุณมุไปทางไหน”

    นายคันธรรพถามอย่างร้อนรนจนเห็นได้ชัด

    “ไม่เห็นนะเจ้าคะ”

    “ก็เพิ่งลงไปเมื่อกี้”

    มธุรดาต้องย้ำ

    “ก็ไม่เห็นนะเจ้าคะ ไม่เห็นมีใครขึ้นใครลง”

    “มัวแต่หลับอยู่หรือเปล่า”

    “ก็... หลับอยู่ตรงหัวกะไดนั่นละเจ้าค่ะ”

    พอดีกับที่ผู้เป็นยาย ขึ้นมาสมทบ และคงได้ยินคำพูดเหล่านั้น

    “มันก็นั่งปั้นวัวปั้นควายอะไรของมันอยู่ตรงหัวกระได มีอะไรหรือคะคุณหนู... คุณมุทำไมคะ แจ่มได้ยินไม่ถนัด”

    “มีคนมาพาคุณพ่อไป บอกว่าหลานสาวเขาไม่สบาย”

    “ใครกันคะ ไม่เห็นมีใครมา แจ่มก็นั่งเจียนตองอยู่ใต้ถุนเรือน ใครไปใครมาก็ต้องเห็นซีคะ”

    “แต่แก้วหลับจริงๆ นะยาย ไม่ได้นั่งปั้นวัวปั้นควายสักหน่อย”

    “ผู้ใหญ่เขากำลังพูดกัน อย่าเพิ่งสอด!”

    หญิงชราตวาดแหว เห็นได้ชัดว่าตื่นตกใจขนาดไหน

    “อีกแล้วหรือคะ อีกแล้วหรือคะนี่ กลางวันแสกๆ”

    แล้วนางก็หันไปละล่ำละลักเอากับสองลุงหลาน

    “อย่าเพิ่งตีโพยตีพายไปเลย... ไปดูกันก่อน ว่าใคร”

    นายคันธรรพต้องปลอบ ขณะที่ทำท่าจะหันกลับไปทางหอพระ

    “คุณลุงคะ...”

    มธุรดาขยับจะถาม ในเมื่อจะไปดู ทำไมไม่ลงบันไดไปล่ะนี่

    “ก็คุณพ่อคุณไม่ได้ลงไป”

    เป็นเสียงของรัตติกรที่ตอบแทน

    “มันอาจจะยากไปสักนิด แต่คุณต้องพยายามทำใจยอมรับ หรืออย่างน้อยก็ต้องพยายามทำความเข้าใจ”

    น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน มีแววของความอบอุ่นและการให้กำลังใจเจืออยู่ในนั้น

    “เขาบอกว่าชื่อคีตธร...”

    เมื่อยอมเดินทางสองลุงหลานมาทางหอพระ มธุรดาก็เริ่มให้ข้อมูล

    “ไม่ใช่ คีตธร... ไม่มีเหตุผลที่เขาจะ...”

    “แต่เขาบอกว่าอย่างนั้นนะคะคุณลุง”

    “รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรครับ นายคีตธรคนที่ว่า”

    รัตติกรหยุดอยู่เพียงหน้าประตูห้องพระ ตอนที่หันมาถาม

    “ก็... สูงๆ หน้าตาคมๆ ที่คิ้ว... คิ้วดกแทบจะชนกัน ตรงกลางหน้าผาก ขนคิ้วเหมือน... เหมือน...”

    “ขวัญหน้า... ครุฑา”

    “อะไรนะคะ”

    มธุรดาตามความคิดของเขาไม่ทัน ยิ่งพอรัตติกรรีบเข้าไปบอกซ้ำกับผู้เป็นลุง เธอก็ยิ่งงง

    “ปกติพี่ชายนางไม่เคยมายุ่งนะครับ เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

    เสียงของรัตติกรมีแววร้อนรน

    ด้านหลังมีเสียงเรอเอิ้กอ้ากของนมแจ่ม ส่งสัญญาณว่ากำลังจะเป็นลม ตอนนี้มธุรดาทั้งห่วงหน้าพะวงหลัง ดีที่แววขึ้นมารับร่างที่ทำท่าจะล้มพับไปนั้นได้ทัน เธอจึงรีบก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป

    กลิ่นธูปอวลตรลบ ควันธูปลอยเวียนอยู่เหนือหัว เทียนบนเชิงทุกคู่ถูกจุดไว้ครบถ้วน แสงนวลสะท้อนวับแววกับพระพุทธปฏิมาสารพัดปาง ซึ่งขณะนี้องค์กลางเป็นพระยืน ปางเสด็จจากเทวโลก ซ้ายขวามีเทวดาน้อมกายกั้นฉัตรถวาย

    นายคันธรรพนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าขันเงินใบใหญ่ หันหน้าเข้าหาหิ้งพระ มธุรดาจึงไม่เห็นว่าเขากำลังสังวัธยายมนตราอันใด

    รัตติกรอยู่ด้านข้าง หันมาพยักให้เธอเข้าไปนั่งด้านตรงข้าม แล้วไม่พูดอะไรอีก นอกจากหลับตาลงทันที

    เจ้าแก้วโผล่พรวดเข้ามาจนแทบจะชน

    “ครุฑา พญาครุฑใช่ไหมเจ้าคะ แก้วก็ฝันเห็น เมื่อตะกี้ ตัวเบ้อเริ่ม บินมาลงที่หน้าบ้าน แก้วยังถามว่ามาทำไม”

    ทำให้รัตติกรต้องลืมตาขึ้นอีกครั้ง

    “รู้แล้ว กำลังจะตามดู แก้วไปดูยายเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงคุณมุ”

    “แต่...”

    “พี่ว่าแก้วไปดูยายเถอะ”

    มธุรดาต้องออกปากอีกคน และก็จำเป็นต้องหับประตูลง ป้องกันไม่ให้เด็กชายเข้ามารบกวนอะไรได้อีก

    ใจที่ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เป็นอยู่อย่างไรก็ยังเป็นอย่างนั้น แต่ความแปลกประหลาดสารพัด ก็บังคับให้เธอต้องโอนอ่อนผ่อนตาม

    อย่างไรเสียก็ดีว่าการเที่ยวร้องแรกแหกกระเชอละน่า

    เธอพยายามปลอบใจตัวเอง ขณะที่ค่อยๆ นั่งลงอีกด้านระหว่างขันเงินใบใหญ่ โดยมีนายรัตติกรนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

    รัตติกรยกคิ้วให้ทั้งที่ยังหลับตา คงรู้ว่าเธอยังแอบมองหน้าเขาอีกครั้ง

    “เรื่องใหญ่ละทีนี้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วละ”

    ชายหนุ่มส่งเสียงผ่านเข้ามาในใจเธออีกคราว

    “ฉันไม่อยากจะเชื่อ”

    มธุรดาลองตอบคำ จากในใจของตนเองบ้าง

    “เชื่อไปก่อนได้ไหม แล้วค่อยไม่เชื่อเอาตอนหลัง”

    “จะบ้าหรือไงล่ะ ถ้าเชื่อไปแล้วแล้วจะไม่เชื่อได้ยังไง”

    จนมีเสียงกระแอมในลำคอของชายชราที่นั่งอยู่ระหว่างสองคนนั่นละ สองหนุ่มสาวถึงได้หยุดโต้เถียง

    แล้วพอชายหนุ่มเงียบ ชายชราก็เงียบ เธอก็ได้แต่มองหน้าคนนั้นทีคนนี้ที จะให้เธอทำอะไรกันล่ะทีนี้

    “สำรวม กาย วาจา ใจ...”

    คราวนี้เสียงบอกสงบเย็น ปราศจากแววหยอกล้อเหมือนเมื่อครู่

    “ยังไง...”

    มธุรดายังไม่วาย

    “หยุดถามไงล่ะ”

    “แล้วยังไง...”

    “ก็บอกว่าหยุดถาม”

    “ก็นั่นน่ะสิ หยุดถามแล้วให้ทำยังไงต่อ”

    “ก็นั่งเฉยๆ นิ่งๆ พอเถอะคุณ... จิตฟุ้งอยู่อย่างนี้ พอดี ถ้าเขาจะเอาไปฆ่าแกง พ่อคุณก็ไม่รอดแล้ว”

    ท้ายๆ คำนั่น มธุรดาจับเค้าได้ว่ารัตติกรคงเริ่มรำคาญขึ้นมาจริงๆ

    เอาละ นั่งเฉยๆ ก็ได้...

    “แล้วค่อยๆ นึกถึงคุณมุ”

    เสียงของชายหนุ่มค่อยๆ แทรกเข้ามาในความคิดอีกครั้ง

    “นั่นไง แล้วเมื่อกี้ทำไมไม่บอก”

    มธุรดาอดโวยกลับไปไม่ได้

    “นั่งเฉยๆ เถอะนะ ได้โปรด ผมจะตามวาระจิต แล้วค่อยแนะนำคุณเอง ได้ไหม”

    ขนาดไม่ได้พูดกันด้วยปาก เธอยังจับได้ว่าอีกนิดเขาก็คงจะเอือมระอาเธอจริงๆ แล้วละ

    “ก็ได้ๆ จะบัญชาอะไรก็เชิญเลย”

    “เลิกงอน นั่งนิ่งๆ เฉยๆ ทำใจให้ว่าง”

    “ไม่ได้งอน”

    “เลิกเถียง”

    “ไม่ได้เถียง”

    “งั้นก็ออกไปข้างนอก...”

    เขาคงหมดความอดทน จึงถึงกับออกปากไล่

    มธุรดาเกือบจะลืมตา มองให้ชัดๆ ว่าเขากำลังแอบมองเธออยู่หรือเปล่า แต่ข้อศอกขวารู้สึกชาวูบ พร้อมมีเสียงชายชราแทรกเข้ามาในความคิด

    “ใจเย็นก่อนเถอะหนู มา... ดูพร้อมๆ กัน”

    เป็นนายคันธรรพที่ต้องปราม แต่เธอก็ยังไม่วายต้องชำเลืองดู มืออีกข้างของชายชราก็จับอยู่ที่ข้อศอกของหลายชายเขาเช่นนั้น มธุรดาจึงค่อยหลับตาลงอีกคราว

    ครั้งนี้... ราวกับมีพลังงานอะไรบางอย่าง ไหลทวนขึ้นมาจากตรงที่ถูกสัมผัส มันคล้ายกับกระแสน้ำอุ่นๆ ที่ค่อยเอ่อเข้ามาจนถึงกลางกาย

    พอทั้งร่างรู้สึกว่าถูกห่อหุ้มด้วยละอองไออบอุ่น มธุรดาก็เหมือนรับรู้ว่าทั้งร่างโปร่งเบา ราวกับลูกโป่งที่ลอยเรี่ยพื้น

    “เข้าปฐม ทำใจให้นิ่ง อย่าตื่น อย่าตกใจ”

    เสียงชายชรายังกำกับอยู่เป็นระยะ ปลายเสียงนั้น ณ ที่ไกลๆ มีเสียงหัวเราะเบาๆ ของใครบางคนดังแว่วอยู่ด้วย

    ในนาทีต่อมา ความรู้สึกบางอย่างแผ่ซ่านขึ้นจากช่องท้อง มันท้นผ่านทรวงอกขึ้นมาอย่างที่ทุกอณูเนื้อก็สัมผัสได้ ความรู้สึกนั้นเป็นประกายระยิบระยับไปทั่วสรรพางค์ คล้ายทั้งร่างกลายเป็นรัตนมณีล้อแสง แพรวพราวหวิวไหว วิบวับ พริบพรายอยู่ตลอดเวลา

    แล้วน้ำตาเธอก็ไหลพราก

    “ปรีติ... ปล่อย... วาง... อย่าตื่น อย่าตกใจ...”

    “แต่... แต่...”

    “อย่าฝืน อย่าสงสัย วาง... สงบ รำงับ...”

    เสียงเตือนยังประคอง พร้อมมีกระแสพลังงานอีกสายผ่านเข้ามาทางปลายมือ

    กระแสนี้อบอุ่นเหลือแสน มธุรดารับรู้ได้ทั้งความอ่อนโยนและความปรารถนาดี...

    ทั้งที่ยังอยู่ในห้วงแห่งปีติ หลับตานิ่งอยู่กับญาณขั้นปฐม ดวงตาภายในยังได้เห็น

    ชายหนุ่มนามรัตติกรยิ่งงามสง่า ผิวพรรณผ่องแผ้วอร่ามเรือง ดวงหน้าหมดจดสดใส กำลังส่งยิ้มละไมมาให้เธอ

    “อย่าหลง... อย่าเพ้อ... พอ... พอก่อน!”

    ทั้งร่างกระตุกวูบ มธุรดาลืมตาขึ้นทันที

    แล้วก็ต้องตกใจ เพราะบุรุษสองคนตรงหน้า ดวงหน้าแดงก่ำ เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ราวกับเพิ่งต่อสู้กับอะไรมาอย่างเต็มกำลัง

    “จะทำยังไงกันดีล่ะครับ”

    “ต้องลองใหม่... ยังไงก็ต้องผ่านมนตร์จำบังนั่นไปให้ได้”




    ****************************








    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×