ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Rogue Prince ภาคปฐมบทแห่งการเดินทาง

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่3 อัพก่อนเปิดเทอมวันสุดท้าย

    • อัปเดตล่าสุด 17 พ.ค. 54


    ตอนที่3

     

    “ทิว นายจะไปทางนี้จริงๆเหรอ” ชายร่างบางถามพร้อมกับชี้เข้าไปด้านในถ้ำ

    “อือ ฉันคิดว่าบางทีถ้ำนี้อาจมีทางเข้าอยู่อีกทางหนึ่งก็ได้”

    “แล้วถ้ามันไม่มีล่ะ เราจะไม่ยิ่งแย่กว่าเหรอ”

    “หรือนายจะเดินทางในป่าต่ออีกล่ะ บอกไว้นะ รอบนี้ถ้าเราเจอฝูงหมูบ้านั่นอีก ฉันไม่ยันให้แล้วนะ” คำพูดนั่นเล่นเอานาธาสะอึกไม่น้อย ก่อนที่จะพูดกับร่างสูง

    “แล้วมันเพราะใครล่ะเว้ย พวกเราถึงต้องหนีพวกมันน่ะ” คำพูดนั้นทำให้ร่างบางได้เห็นเหงื่อเม็ดโตจากอีกฝ่ายเช่นกันก่อนที่นักเลงหนุ่มจะหันเข้าหาถ้ำ

    “เอาน่า อย่าคิดมากเรื่องมันแล้วไปแล้ว ไปกันได้แล้ว”พูดจบก็เดินเข้าในถ้ำ   นักดนตรีหนุ่มจะถอนหายใจแล้วเดินตามไป

     

     

     

     

     

                    ยิ่งพวกเขาเดินไปนานแค่ไหน ก็ไม่เห็นอะไร มากไปกว่าผนังถ้ำที่อยู่ใกล้ตัวกับความมืดที่อยู่ตรงหน้า   ทั้งๆที่เส้นทางของถ้ำไม่มีอะไร นอกเสียจากทางเดินตรงๆ แต่รู้สึกว่ามันนานจนเกือบลืมไปแล้วว่า เริ่มเดินเข้าไปตั้งแต่เมื่อไหร่

     

                    “เฮ้ย! ทิว”

                    “มีอะไร นาธา”

                    “ถ้ำนี่มันลึกไปรึเปล่าว่ะ” ร่างบางถามพลางมองไปรอบๆ “ฉันว่าเรากลับไปก่อนดีกว่ามั้ง”

                    “จะกลับทำไม นี่เดินมาตั้งนานแล้วนะเว้ย”

                    “เออน่า ไปตั้งหลักใหม่ดีกว่า”

    นักเลงหนุ่มมองเพื่อนของตนแล้วถอนหายใจเล็กน้อย   แต่ก็จริงอย่างที่เพื่อนเขาว่า มันนาน...นานเกินไปจริงๆ

                    “ตามใจนายล่ะกัน” ร่างสูงกล่าวก่อนที่จะเดินกลับไปทางที่เคยผ่าน “อ้าว จะยืนงงอะไรล่ะ รีบตามมาสิ”

                    นาธาสะดุ้งเล็กน้อย “เออๆ! รอกันด้วยสิเว้ย”

     

     

     

     

     

                            “เฮ้ย! ทิวหยุดก่อน” ชายร่างบางกล่าวพร้อมกับจับบ่าร่างสูง

                    “มีอะไรงั้นเหรอ นี่ก็เดินกลับแบบที่ต้องการแล้วไง” ร่างสูงหันมามองร่างบางอย่างเบื่อๆ

                    “อย่าประชดน่า” นักดนตรีหนุ่มเอ่ย “นายไม่คิดว่ามันแปลกบ้างเหรอ” พร้อมกับจับคางครุ่นคิด “ขนาดเราเดินกลับมาตั้งนานแล้ว ยังไม่ถึงทางที่เราเข้ามาเมื่อวานเลย”

                    “ก็เพราะสงสัยตั้งแต่แรกแล้วล่ะ ถึงได้เดินกลับตามที่บอกไง” นักเลงหนุ่มตอบ “แต่เท่านี้ก็ยืนยันได้แล้วสินะ ว่าที่เรานะขณะที่มันไม่ปกติ แต่มีเวทมนตร์บางอย่างอยู่”

                    นาธาพยักหน้าตอบรับอย่างครุ่นคิดในใจ

     

                    ในโลกแห่งนี้ ได้แบ่งเป็น 2 ธาตุใหญ่ คือ ธาตุธรรมชาติ และ กายภาพ   โดยธาตุธรรมชาติแบ่งเป็น8ธาตุ ซึ่งแต่ละธาตุจะมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป คือ ดิน (ความแข็งแกร่ง)   น้ำ (ความต่อเนื่อง)   ลม (ความรวดเร็ว)   ไฟ (การลุกลาม)   น้ำแข็ง (ความเยือกเย็น)   ไม้ (การเพิ่มพูน)   โลหะ (การทะลุทะลวง)   และสายฟ้า (ความรุนแรง)

                    แต่สิ่งที่นาธาคิดว่า พวกเขากำลังพบเจอ คือ 1 ใน 4 ธาตุกายภาพ

                    ธาตุทางกายภาพทั้ง 4 คือ แสงสว่าง (การเยียวยา)   ความมืด (กาลเวลา)   มายา (สิ่งที่ปรากฎ)   และวิญญาณ (สิ่งที่รับรู้)

                    แม้ว่าสิ่งที่เขาเจอมันอาจจะดูเข้าเค้าพลังของมายาที่ทำให้เกิดภาพลวงตาแค่ไหนก็ตาม แต่มันก็ขัดกับหลักความเป็นจริง   เพราะแม้ว่าพวกเขาจะโดนภาพลวงตา แต่มันก็ต้องมีจุดสิ้นสุดบ้างสิ   ดังนั้นพลังที่เป็นไปได้มากที่สุด ก็คือ...

     

                    “นาธา!” เสียงตะโกนดังขึ้น ทำเอาร่างบางตื่นจากภวังค์

                    “เป็นอะไรรึเปล่า” นักเลงหนุ่มถามพร้อมกับเขย่าร่างบาง นัยน์ตาสีเขียวเข้มฉายแววกังวล

                    “ไม่เป็นไร แค่คิดว่า ตอนนี้เราเจอเวทมนตร์อะไรอยู่น่ะ” นาธาตอบ แล้วพูดต่อ “ฉันคิดว่าอาจเป็นเวทมนตร์สายความมืด”

                    “อืม งั้นเหรอ” ทิวพยักหน้ารับรู้พลางมองไปข้างบนของถ้ำซึ่งมีเพียงผนังให้เห็น แล้วพูดว่า

                    “แล้วเราจะทำยังไงล่ะ เพราะเท่าที่ดู เวทสายนี้มันมีขอบเขตจำกัด แต่เราไม่รู้ว่ามีขอบเขตเท่าไหร่ จะทำลายได้ลำบากนะ”

     

                    “ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันพอจะนึกออกวิธีหนึ่ง” นาธาตอบพร้อมกับเรียกไวโอลินขึ้นมา “ถ้ามันเป็นอย่างที่นายคิดจริงๆ ฉันอาจจะพอใช้พลังมายาจากเพลง ทำให้ขอบเขตปั่นป่วนได้นะ”

                    ก่อนที่ร่างบางจะเริ่มบรรเลงเพลง มือหนาก็จับไหล่บางไว้ พร้อมกับถามขึ้นว่า

                    “แน่ใจนะ มันอาจมีผลย้อนกลับมาก็ได้”

                    “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า มือชั้นนี้แล้ว” พร้อมกับมองมือหนาที่อยู่บนไหล่แล้วพูดต่อ “แล้วก็ไม่ต้องห่วงมากขนาดนั้นก็ได้ สยองน่ะ”

                    เพราะคำพูดของนักดนตรีหนุ่มทำเอาร่างสูงรู้สึกขนลุก มือหนาที่เคยจับไหล่บางไว้ ก็ลงทันที   แล้วพูดขึ้นว่า “เพิ่งรู้สึกว่ามันน่าสยอง ตอนนายพูดเนี่ยล่ะ   เอาเถอะ ระวังตัวด้วยล่ะ”

     

                    ชายร่างบางถอนหายใจพร้อมกับหลับตาเพื่อรวบรวมสมาธิ   ก่อนที่จะเริ่มบรรเลงเพลงทันที

     

     

     

     

     

                    1 ชั่วโมงผ่านไป

                    นักเลงหนุ่มมองคู่หูที่กำลังบรรเลงเพลงที่ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่อย่างเบื่อๆ   เพราะแม้ว่ามันจะผ่านไปนานแล้ว แต่สภาพรอบๆตัวเขาก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

                    “ฉันว่าหยุดดีกว่า” ทิวพูดพลางมองหน้าร่างบางที่หลับตานิ่ง “ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยซักนิด”

                    “ก็เพราะนายไม่ได้เรียนวิชาเสียงมายาเหมือนฉันมากกว่า” นาธาพูด ทั้งที่หลับตาพลางสีไวโอลินอย่างต่อเนื่อง “จากนี้ไปนายจะได้เห็นแน่ เตรียมตัวรับกับสิ่งที่ไม่คาดฝันล่ะกัน”

     

    ตึก!

     

                    ฉับพลันมีเสียงดังประหลาดดังขึ้น ชายร่างสูงพยายามมองหาต้นเสียง   ทว่าก็ไม่มีสิ่งใดปรากฎจากทิศทางที่เขาได้ยินเสียงนั้น   แต่แล้วพื้นที่รอบๆตัวเขาก็แปลกประหลาด   มันดูหมุนวนจนรู้สึกว่าตัวเขาและนาธายืนอยู่ในพายุหรือน้ำวนจนไม่สามารถบรรยายเป็นความรู้สึกได้อีกแล้ว

                    ทิวเริ่มรู้สึกมึนหัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งการหมุนวนนั้นหยุดลง   ร่างสูงของเขาทรุดลงกะทันหัน ยังดีที่ใช้ดาบผู้กล้าเดินดินค้ำยันไว้จนสติกลับมาดังเดิม

     

                    ทุกสิ่งทุกอย่างหวนกลับมาอยู่สภาพเดิมอีกครา   แต่หากเปลี่ยนไป คือ มีแสงจากภายนอกส่องเข้ามาตามผนังถ้ำที่เป็นรู ต่างจากก่อนหน้านี้ที่มืดสนิท   ยังดีที่สายตาของพวกเขาปรับกับความมืดได้ดี จึงเดินทางมาได้

                    อีกสิ่งที่แตกต่างจากเดิม   สิ่งมีชีวิตประหลาดตัวหนึ่ง รูปร่างคล้ายลิง หากแต่ผอมกว่าและน่าเกลียดกว่ามาก มันดิ้นอย่างทรมานอยุ่พักหนึ่ง   แล้วมลายหายไปราวกับฝุ่นควัน

                    “ที่เราตกอยู่ในวังวนบ้าๆนี่ เพราะเจ้านี่เองสินะ” นาธาไม่พูดอะไร นอกจากพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินไปทางที่ไปตอนแรกเท่านั้น

                    “อย่าไปทางนั้น เดี๋ยวก็เกิดเรื่องแบบนี้อีกหรอก” ชายร่างสูงเอ่ยขัดพร้อมกับเอามือไปแตะหัวไหล่ของอีกฝ่าย

                    “ไม่ต้องห่วงหรอก ที่ฉันเล่นเพลงไปเมื่อกี้ ก็น่าจะเกินพอที่จะไม่เจออะไรแบบที่นายพูดถึงแล้วล่ะ ทิว” นาธาพูดพร้อมชี้นิ้วไปข้างหน้าของเขา “อีกอย่างมันเป็นทางที่นายให้ไปตอนแรกไม่ใช่รึไง” ทันทีที่กล่าวจบก็เดินต่อทันที

                    ทิวมองเพื่อนนักดนตรีเดินต่อไป   ก็ยักไหล่พลางถอนหายใจอย่างจนปัญญาที่จะเถียง แล้วเดินตามร่างบางไป

     

     

     

     

     

                    “ทิว ฉันว่าทางมันแปลกๆ มันดูชันขึ้น”นาธาเอ่ยขึ้นพลางปาดเหงื่อบนใบหน้าเล็กน้อย

                    “แต่มันก็สว่างขึ้นด้วยเช่นกัน อย่าบ่นมากน่า”ทิวตอบกลับพลางเขย่าร่างบางที่นั่งลงอย่างอ่อนแรง

                    ตอนนี้พวกเขาเดินทางไปได้ไกลพอสมควร   จริงอย่างที่นาธาว่า ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาไม่มีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้นอีกเลย   ต้องยอมรับความสามารถในการเล่นเพลงมายาของเขาจนมีดีกรีขนาดได้รับฉายาว่า นักดนตรีรูปหล่อแห่งฝั่งเหนือ ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะเกี่ยวกับฝีมือของเขาเท่าไหร่นัก

                    นอกจากทางเดินจะไม่มีเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้นแล้ว   แล้วก็สิ่งที่แปลกยิ่งกว่านั้น ก็คือ ทางชันมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่แปลกเลยที่คนได้รับว่า นักดนตรีรูปหล่อ จะเหนื่อยจนดูน่าอนาถขนาดนี้

                    “อย่าอู้น่า รีบเดินเร็วเข้า” นักเลงหนุ่มพูดพลางยกแขนร่างบางขึ้น   แต่นักดนตรีหนุ่มก็มิได้ลุกขึ้นแต่อย่างใด

                    “แปปนึงสิ! ฉันก็เหนื่อยเป็นนะ เฮ้ย!” ทิวกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย   มือที่จับแขนร่างบางไว้เริ่มกระชับขึ้น แล้วก็ร่างสูงก็ลากคนที่นั่งอยู่ทันที

                    “เฮ้ย! จะทำอะไรน่ะทิว มันเจ็บนะ” นาธาพูดพลางรีบลุกขึ้น แล้วมองนักเลงหนุ่มอย่างขุ่นเคือง

                    “ก็นายเดินไม่ไหว เลยลากไปไง จะได้ไม่เสียเวลา” ทิวตอบกลับเสียงนิ่ง แล้วหันกลับไปเดินต่ออย่างไม่สนใจ

                    “ก็คนเขาใช้พลังไปเยอะแล้วนี่หว่า   เฮ้ย! รอกันด้วยเซ่!” สิ้นเสียงร่างบางก็รีบวิ่งไปทันที

     

     

     

     

     

                    “นี่ใกล้จะถึงทางออกแล้วสินะ ทิว”นักดนตรีหนุ่มถามพลางหอบอย่างอ่อนแรง

                    ชายร่างสูงไม่ตอบ นอกจากการมองรอบข้าง ซึ่งตอนนี้เริ่มมืดลง เป้นไปได้เริ่มถึงตอนเย็นแล้ว   แต่ถึงกระนั้นทางเดินก็ยังมีแสงที่ทางข้างหน้าที่เริ่มเห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แสดงให้เห็นว่าพวกเขาใกล้ถึงทางออกอีกด้านของถ้ำแห่งนี้แล้ว

                    “ทิว ตอบบ้างสิ เฮ้...   หยุดทำไมเนี่ย” นาธาร้องอย่างเจ็บปวด เมื่อไปชนกับหลังของร่างสูงที่จู่ๆก็เดินกะทันหัน แต่คนที่ถูกชนไม่สนใจ แล้วหันมากวักมือเหมือนให้มาดูอะไรที่อยู่ข้างหน้าของเขา

                    สิ่งที่อยู่ข้างหน้าของเขา คือ ป่าที่มองลงมาจากด้านบน ซึ่งจากการที่ไม่เห็นพื้นข้างล่างมากไปกว่า พื้นสีเขียวเข้ม แสดงให้เห็นว่าพวกเขาอยู่สูงพอสมควร   ถัดจากส่วนคิดว่าเป็นป่าไปไม่ไกลนัก   ก็เห็นเมืองที่ตั้งกำแพงขนาดใหญ่กั้นไว้ ซึ่งน่าจะเป็นเมืองวิกตอเรีย เมืองที่พวกเขากำลังเดินทางไปตั้งแต่เมื่อวาน

     

                    “ทิว นั่นเมืองนี่นาใช่มั้ย” นักเลงหนุ่มพยักหน้าพลางครุ่นคิด   แต่ไม่ทันจะได้ทำอะไรต่อ ก็ต้องรั้งตัวคู่หูของเขาที่หันไปทางถ้ำแล้วเตรียมตัววิ่งได้ทันท่วงที

                    “คิดจะทำอะไรน่ะ” ทิวถามอย่างเบื่อหน่าย

                    “ก็วิ่งน่ะสิ ถามได้ ตอนนี้เรารู้แล้วเมืองต้องทางไหน แปปเดียวก็ถึง”

                    “แล้วไม่เหนื่อยแล้วรึไง” ทิวถามอีกครั้ง โดยไม่ปล่อยร่างบางไว้

                    “แล้วนายมีวิธีอื่นอีกรึไง   ฉันอยากเห็นสาวเมืองวิกตอเรียจะแย่อยู่แล้ว” พร้อมกับหันกลับมอง เห็นทิวเอามือกุมขมับตัวเองไว้   ซึ่งสาเหตุที่ทำแบบนั้นสงสัยคงเป็นเพราะประโยคหลังของนาธามากกว่า

                    “ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าขอถามหน่อยล่ะกัน” ทิวเลิกเอามือมาจับขมับตัวเองแล้วหันมามองร่างบาง “นายมีของที่ตัวดันไปได้บ้างมั้ย”

                    “ก็มีทรัมเป็ตเพลิงมังกร กับ หอยสังข์วายุน่ะ ที่พอจะทำแบบนั้นได้ รึว่า...” นาธาทำสีหน้าเหยเก เมื่อนึกถึงวิธีที่นักเลงหนุ่มน่าจะนำมาใช้ในสถานการร์แบบนี้ “นายคิดจะทำแบบนั้น”

     

     

     

     

     

                    “เฮ้ย! ทิว ตอนนี้ยังเปลี่ยนใจทันนะ” นาธาพูดพลางเงยหน้าไปมองคู่หูของเขา

                    “ถึงวิธีนี้ ถึงมันจะเสี่ยงนิดหน่อย แต่ก็ทำให้เราไปถึงเมืองวิกตอเรียได้เร็วที่สุดนะ” นักดนตรีหนุ่มตอบกลับในใจว่า

     

                    เสี่ยงนิดหน่อยงั้นเหรอ...หึ เสี่ยงนิดหน่อยกะผีนายน่ะสิโว้ย!!!

     

                    ณ ปัจจุบัน ทิวกำลังอุ้มนาธาโดยใช้แขนข้างเดียว แล้วให้ร่างบางหันตัวไปทางด้านหลัง ในมือนักดนตรีหนุ่มถือหอยสังข์วายุไว้แน่น ในขณะที่ร่างสูงเองก็ถือดาบผู้กล้าเดินดินไว้อีกข้างเช่นกัน

                    “เอาล่ะนะ นาธา 3    2   1   ไปได้! วิหคเหินหาว!” กล่าวจบนักเลงหนุ่มก็กระโดดขึ้นสูงจากบนยอดเขาซึ่งเป็นทางออกของถ้ำ ก่อนที่เริ่มดิ่งตัวตามแรวโน้มถ่วงของโลก

                    “เอาเลยงั้นเหรอ! ไอ้บ้าเอ้ย! ย้าก!” แล้วเริ่มเป่าหอยสังข์จากส่วนยอด ฉับพลันก็มีลมออกมาดันตัวพวกเขา โดยมีจุดมุ่งหมายไปที่เมืองวิกตอเรีย

     

     

     

     

     

                    “นาธา เร็วเข้าใกล้จะถึงแล้ว”

                    “อย่าเร่งนักได้มั้ย ทางนี้จะแย่อยู่แล้วนะเว้ย” พูดจบก็เป่าต่อ ทำให้พวกเขาลงจากระดับความสูงเดิมไม่มากนัก

                    “เฮ้ย! นาธา”

                    “บอกแล้วอย่าเร่งไม่ได้ยินรึไง”

                    “ไม่ได้เร่งแต่เราเข้ามาในเมือง นี่จะถึงกลางเมืองแล้ว” ทิวตะโกนบอกนักดนตรีหนุ่ม “หยุดได้แล้ว ไม่งั้นพอเราลงไปได้ ชาวเมืองกับนักท่องเที่ยวแตกตื่นแน่”

                    “ได้ แล้วทีนี้เราจะลงยังไงให้ปลอดภัยล่ะ” ทันทีที่หยุดเป่า ตัวพวกเขาก็ดิ่งลงสู่เบื้องล่างอย่างรวดเร็ว   ทว่าก็ไม่มีสิ่งตอบรับจากชายร่างสูง นอกจากการโน้มหัวลงไปด้านล่างจนอยู่ในสภาพเตรียมโหม่งพสุธา

                    “เฮ้ย! คิดจะทำอะไรน่ะ”

                    “เงียบๆไปเถอะน่า!   แรงโน้มถ่วงมันก็คือแรงชนิดหนึ่ง ถ้าจะทำให้มันหยุดได้ ก็ต้องทำให้เกิดแรงต้านที่มากกว่าหรือเท่ากับแรงที่มานั้น” ประโยคหลังนั้น ทิวพูดกับตัวเองเบาๆ ในมือกระชับดาบในมือแน่น

                    พริบตาที่ร่างทั้งสองเกือบจะลงสู่พื้นเต็มแรง   ชายร่างสูงฟันดาบลงพื้นอย่างรวดเร็ว 2 ครั้ง จนเกิดเป็นรอยรูปกากบาทบนพื้น   และทันทีที่สิ้นสุดการฟันดาบครั้งที่2  ตัวของพวกเขาก็หยุดชะงักเล็กน้อย   ก่อนที่จะลงสู่พื้นอย่างปลอดภัย   หากแต่...

                    “อูย เจ็บหัวแฮะ” ทิวพูดพลางนั่งคลำหัวป้อยๆ เพราะหัวชนพื้นเต็มแรง ยังที่ต้านแรงจากที่สูงมาแล้วจึงไม่เจ็บนัก

                    “เอาน่า   ยังไงก็ปลอดภัยแล้ว ขอบใจมากนะ” พูดจบ ชายร่างบางก็ลุกขึ้นจากพื้น แล้วยื่นมาหาร่างสูง

                    “ไม่เป็นไร เดี๋ยวนายจะลงไปนั่งอีกรอบซะเปล่าๆ” แล้วทิวก็ลุกขึ้นยืน “ตอนนี้เราไปหาที่พักนอนดีกว่า เดี๋ยวเรื่องอื่นค่อยว่ากันพรุ่งนี้ล่ะกัน”

                    “นั่นสินะ” ชายร่างบางยอมรับแล้วถอนหายใจเล็กน้อย “วันนี้มีเรื่องวุ่นวายเยอะแยะเลยนะ แต่เราก็ผ่านมาได้ด้วยดี”

                    “ก็เพราะพวกเรามีความสามารถพอสมควรน่ะนะ” เมื่อสิ้นเสียงของร่างสูง ทั้งสองก็หัวเราะพร้อมกัน
















    ในที่สุดก็อัพสักที แต่สงสัยคงต้องดองอีกนานแน่เลย ขอโทษล่วงหน้านะครับ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×