คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : แรกพบสบตา 2
เสียงห้วนห้าวเข้าข่ายตะโกนเรียกความสนใจจากคนในห้องให้หันกลับไปมอง ชายหนุ่มร่างสูงในชุดเสื้อยืดคอกลมสีขาว กางเกงยีนสีซีด รองเท้าผ้าใบสีขาวขุ่นยืนจังก้าอยู่กลางกรอบประตูคนนั้น หากประโยคกระแทกกระทั้นก่อนหน้านั้นจะไม่เป็นการแสดงว่าคนอยู่ตรงหน้าตอนนี้คือหมอแล้วล่ะก็ ตรีปวายจะไม่เชื่อเด็ดขาดว่า...ผู้ชายใส่หมวกแก้ปที่แม้เงาของหมวกจะคลุมทับใบหน้าบางส่วนแต่ความขาวของสีผิวก็ส่งให้หนวดเคราโดดเด่นสะดุดตาคนนี้จะเป็นคนซึ่งคนไข้ไว้วางใจให้จรดมีดลงบนร่างกาย ตรีปวายสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อชายหนุ่มผู้มาใหม่สืบเท้าเข้าไปหาอย่างคุกคาม เขาชะโงกหน้ามาใกล้จนหญิงสาวเห็นแพขนตาดกหนา ดวงตาสีเหล็กกล้ากวาดมองหล่อนทั่วใบหน้า ก่อนริมฝีปากจะแย้มยิ้ม เย้ยหยัน
“ได้ยินชัดมั้ย?” เขาถามย้ำน้ำเสียงยียวน ตรีปวายเผลอพยักหน้ารับก่อนรีบสะบัดทิ้ง
“คุณหมอ...มโหระทึก...ใช่มั้ยคะ?” หญิงสาวถามอย่างไม่แน่ใจ ชายหนุ่มไม่ตอบตวัดตาผ่านใบหน้าหญิงสาวไปให้คนในห้องอีกคน
“ไม่ผิดตัวหรอกครับ...แต่งตัวโสโครก หน้าตาโรคจิตอย่างนี้แหละนายหมอเล็กแหละ” มหุดิฤกษ์เป็นคนตอบแทน ตรีปวายหันขวับกลับไปมองชายหนุ่มผู้มาใหม่อีกครั้ง คราวนี้หล่อนใช้สายตาชนิดเดียวกันกับที่ถูกชายหนุ่มกวาดมอง...ไม่เว้นแม้แต่การยกมุมปากแย้มยิ้มแววตาเป็นประกายพร่างพราว อาการของหญิงสาวทำให้หมอทั้งคู่หันไปมองหน้ากันด้วยความงุนงง โดยเฉพาะมโหระทึกที่สะดุ้งอีกครั้งเมื่อหญิงสาวปราดเข้าประชิดตัวก่อนเอียงหน้าทำมุมแถมเดินวนรอบตัวเขา แววตาสีหน้าครุ่นคิด ตรึกตรองครู่ใหญ่หญิงสาวก็ตาโต
“ใช่แล้ว ! ถึงว่าเหมือนเคยเห็นที่ไหน คุณนั่นเอง!” เสียงร้องอย่างตื่นเต้นของตรีปวายทำให้ชายหนุ่มทั้งสองคนสะดุ้งเฮือกโดยเฉพาะมโหระทึกแถมอาการผงะถอยอีกต่างหาก
“อะ...อะไรกันคุณ จู่ ๆ ก็ร้องขึ้นมาอย่างนั้น?!” มโหระทึกเอ่ยถามหลังการเรียกสติให้กลับสู่สภาพเดิม
“คุณเคยช่วยคนแก่ข้ามถนนเมื่อวันก่อนแถว ๆ หน้าร้านคอฟฟี่ตรีทิพใช่มั้ย?” ตรีปวายถามด้วยน้ำเสียงระดับเดิม ประกายตาแวววาม “ฉันจำหมวกกับลักษณะท่าทางของคุณได้” หญิงสาวย้ำอย่างมั่นใจ
“คอฟฟี่ตรีทิพ?” มโหระทึกพึมพำเบา ๆ ก่อนพยักหน้ารับแม้สีหน้าจะยังงุนงง “คงใช่มั้ง” เขาตอบในที่สุดพร้อม ๆ กับเปลี่ยนสีหน้าท่าทางกลับมาเป็นชวนหาเรื่องอีกครั้ง “แล้วยังไงล่ะ มันเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไงมิทราบ?!”
“แหม...ไม่เกี่ยวหรอกค่า” ตรีปวายบอกกลั้วยิ้มโบกมือว่อน “แค่รู้สึกว่าโลกมันกลมกว่าที่คิดเท่านั้นเอง...แล้วก็ฉันแค่อยากจะบอกว่าฉันชื่นชมที่คุณทำดีแบบนั้น...วันนั้นฉันก็นั่งมองแล้วลุ้นว่าผู้หญิงสวย ๆ กลุ่มที่มาก่อนคุณน่ะจะพายายข้ามถนนด้วยหรือเปล่า...ตอนที่พวกผู้หญิงวิ่งข้ามถนนโดยไม่สนใจยายเลยน่ะ ฉันกำลังจะลุกไปช่วยยายนะ แต่พอดีคุณก็เข้ามาเสียก่อน...เท๊...เท่” ไม่พูดเปล่าหญิงสาวยังส่งสายตาชื่นชมอย่างไม่ปิดบังไปให้
“เอ่อ...คุณครับ...ผมว่าเรา...เข้าประเด็นหลักดีกว่ามั้ยครับ?” มหุดิฤกษ์เอ่ยขัด หันไปสบตาน้องชายที่นิ่วหน้ารับทันควัน
“มันก็ยังอยู่ในประเด็นนี่คะ” ตรีปวายตอบ สายตายังไม่ละจากใบหน้าของหมอหนุ่มคนน้อง คนถูกมองฟังคำแล้วชักงง คิ้วขมวดมุ่นชักสีหน้าก่อนถามกลับเสียงปนตะคอก
“อยู่ในประเด็นตรงไหนมิทราบ ! คุณจะมาคุยเรื่องคอลัมน์บ้าบอนั่นไม่ใช่หรือไง จู่ ๆ ก็มาเปลี่ยนเรื่องเป็นการชื่นชมคนน่ะ มันเรื่องเดียวกันหรือไง !” แม้สีหน้าท่าทางคุกคามของเขา ก็ไม่ทำให้กิริยาจากหญิงสาวคนนั้นเปลี่ยนแปลงได้ เจ้าหล่อนยังคงยิ้มมองเขาตาแป๋ว
“เกี่ยวสิคะทำไมจะไม่เกี่ยว...กับคนแก่ที่คุณไม่รู้จักคุณยังมีน้ำใจพาข้ามถนได้...แล้วกับคนรู้จักกันอย่างเรามองเห็นตากันอยู่เนี่ย...คุณหมอจะไม่คิดช่วยเลยเหรอค้า” ฟังคำตีขลุมของหญิงสาวจบ สองหมอพี่น้องก็ได้แต่อ้าปากค้าง กิริยาภายนอกอึ้งงัน แต่สมองกลับคิดย้อนคำก่อนหน้านั้น สุดท้ายทั้งสองหมอก็ได้แต่ส่ายหน้าสบตากันอย่างไม่เข้าใจ...เพราะคิดอย่างไรมันก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกัน !
“ผมไปรู้จักคุณตอนไหนมิทราบ !” มโหระทึกเอ่ยเสียงเครียด แต่หญิงสาวยังคงหน้ารื่นไม่รับรู้สารทางอารมณ์
“อืม...เรารู้จักกันได้เกือบสิบนาทีแล้วนะคะคุณหมอ” ตรีปวายบอกหลังจากครุ่นคิดและเหลือบมองนาฬิกาติดผนัง คำตอบของหญิงสาวทำให้สองหมอพี่น้องหันมองกันด้วยความงุนงงอีกครา “เอาเถอะค่ะ อย่ามัวงงอยู่เลย ตกลงว่าคุณหมอจะส่งบทความชิ้นแรกให้เราเมื่อไหร่ดีคะ?” ประโยคตีขลุมของหญิงสาวฉุดให้หมอหนุ่มคนน้องหันกลับมาสนใจอีกครั้ง
“ตอนไหนมิทราบที่ผมตอบว่าตกลง” มโหระทึกถามเสียงขุ่น
“งั้นฉันอยากเรียนให้คุณหมอทราบ...ในอนาคตอันใกล้นี่แหละค่ะ” ตรีปวายตอบแย้มยิ้ม
“อนาคตที่ไม่มีวันมาถึงแน่นอน คุณกลับไปเถอะ หาคนใหม่มาทำอย่างที่หมอรองแนะนำ อย่ามายุ่งกับผมอีก” ท้ายประโยคชายหนุ่มลงเสียงเน้นหนัก และโดยไม่รอฟังคำเอ่ยท้วงทัดทานจากหญิงสาว เขาก็ก้าวเดินดุ่มออกจากห้องไป ตรีปวายทำได้เพียงยกมือค้างเพราะถูกหมออีกคนเรียกไว้ก่อน
“ปล่อยเขาไปเถอะครับ...เสียงนิ่งหน้าเรียบอย่างนี้อย่าเพิ่งไปตอแยเลย นั่งก่อนครับนั่งก่อน” มหุดิฤกษ์บอกพลางผายมือเชื้อเชิญ ซึ่งตรีปวายปฏิบัติตามแต่โดยดี “เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมจะให้นามบัตรหมอศัลย์คนอื่นนะครับ คุณไม่ต้องกลัวว่าเขาจะไม่รับปากนะครับ เพราะเดี๋ยวผมจะโทรศัพท์ไปบอกเขาอีกที รับรองว่าฉลุย” หมอหนุ่มบอกพลางหยิบนามบัตรออกจากกระเป๋าเขียนอะไรยุกยิกลงบนนามบัตรก่อนยื่นให้หญิงสาวที่นั่งมองนิ่งเงียบ ตรีปวายยื่นมือไปรับนามบัตรแต่โดยดี มองเพียงผ่าน ๆ แล้วก็เก็บกลับกระเป๋า
“คุณหมอรองเป็นหมอฟันใช่มั้ยคะ?” ตรีปวายยิงคำถามพร้อมรอยยิ้ม หมอหนุ่มทำหน้างงแต่ก็ยอมตอบโดยดี
“ครับ”
“ฟันของคนเราตามที่ฉันเรียนมา ตำราบอกว่ามีสามสิบสองซี่ที่เป็นฟันแท้ถูกมั้ยคะ?” คำถามของหล่อนได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้ารับน้อย ๆ “แล้วในฟันทั้งสามสิบสองซี่ มันก็มีหน้าที่แตกต่างกันออกไป และฉันค่อนข้างมั่นใจว่าฟันทั้งสามสิบสองซี่มันไม่ได้ยืนแน่วเป็นแถวตรงทั้งหมด มันต้องมีฟันบางซี่ที่คิดต่าง แตกแถวไม่ยอมอยู่แนวเดียวกันกับซี่อื่น...แต่ฟันที่แตกแถวก็ยังอยู่ในปาก...คุณหมอรองอาจจะกำลังงงว่าฟันเข้ามาเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เรากำลังคุยกัน” ท้ายประโยคของตรีปวายได้รับการพยักหน้าน้อย ๆ เป็นคำตอบรับจากมหุดิฤกษ์
“ฉันก็แค่อยากเปรียบให้คุณหมอเห็นภาพ ถ้าตามความคิดของคุณหมอรองและคุณหมอมโหระทึกเปรียบเหมือนฟันที่ยืนเข้าแถวเป็นระเบียบ ฉันก็คงเป็นเหมือนฟันเก ฟันซ้นที่ไม่ยอมอยู่ในแถว แม้ฟันเจ้าระเบียบอย่างพวกคุณจะไม่ยอมรับฉันเข้าแถวด้วย แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าอย่างไรเสียเราก็อยู่ในปากเดียวกัน...เพราะฉะนั้น...หนีกันไม่พ้นหรอกค่ะ” ตรีปวายบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง สีหน้างุนงงเพราะยายามเข้าใจการเปรียบเทียบของหมอหนุ่มทำให้หญิงสาวอดอมยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้ หล่อนค่อย ๆ ลุกขึ้น การขยับตัวของหล่อนเรียกความสนใจจากหมอหนุ่มให้หันมอง
“ฉันคงต้องไปแล้วค่ะ ขอบคุณคุณหมอมากนะคะสำหรับการต้อนรับที่ประทับใจฉันมาก ๆ”
“เอ่อ...ครับ” มหุดิฤกษ์ตอบรับเบา ๆ
“อ้อ...ถ้าคุณหมอยังไม่เข้าใจเรื่องที่ฉันยกขึ้นอ้างเมื่อครู่นี้ละก็ ฉันบอกสั้น ๆ ย่อ ๆ ก็ได้ค่ะ...มันสรุปได้ว่าอย่างไรเสียฉันก็ไม่เปลี่ยนใจจากหมอมโหระทึกแน่...ต่อให้เขาหนีไปไกลแค่ไหนฉันก็จะตาม !”
สีหน้าของหมอหนุ่มหลังจากยกมือรับไหว้การลาของตรีปวายเป็นอย่างไรก็สุดรู้ เพราะเมื่อพูดจบหล่อนก็ยกมือไหว้หันหลังกลับโดยไม่เหลือบมองอีก คำพูดของหล่อนคนฟังจะคิดอย่างไรหล่อนก็ไม่อยากเดา...แต่สำหรับตรีปวายหล่อนบอกตัวเองได้คำเดียวว่า...หล่อนช่างกล้าพูด !
“หาคนใหม่จะไม่ง่ายกว่าเหรอหวาย?” คุณตรีทิพเอ่ยถามลูกสาวคนเล็กหลังจากฟังเรื่องราวการทำงานชิ้นแรกจบลง
“หวายก็อยากหาใหม่หรอกแม่...แต่ปากเจ้ากรรมดันไปลั่นฆ้องว่าต้องได้เขามาเขียนคอลัมน์แล้วน่ะสิ” ตรีปวายบอกเสียงอ่อยพลางซบหน้าลงเกลือกกลิ้งกับหมอนนุ่ม
“ก็รู้ว่าปากตัวเองเป็นอย่างนี้ ก่อนพูดทำไมไม่คิดก่อนเล่า” ผู้เป็นแม่ดุไม่จริงจังนักพลางสะกิดเรียกคนเป็นลูกให้รับจานผลไม้ ตรีปวายดีดตัวขึ้นนั่งรับจานจากมือแม่พร้อม ๆ กับที่มือหนึ่งหยิบชิ้นผลไม้ในจานเข้าปากเคี้ยวหมุบหมับ
“ก็มันหมั่นไส้นี่แม่ เล่นตัวอย่างกับอิเหนากลับชาติมาเกิด” ว่าพลางค้อนลมค้อนแล้ง
“ไม่ใช่เพราะว่าเขาหล่อหรอกหรือ?” คุณตรีทิพเย้ายิ้ม ๆ
“ก็หล่อดีนะแม่ ขาว ๆ สูง ๆ หุ่นแม้น แมน เท้ เท่” ตรีปวายทำตาปรอยชวนฝันจนผู้เป็นแม่อดหัวเราะกับคำชมขึ้นเสียงสูงนั่นไม่ได้
“เป็นโรคแพ้คนหล่ออีกแล้วล่ะสิ” เอ่ยอย่างรู้จักลูกสาวคนเล็กดีว่าชอบกรี๊ดกร๊าดชายหนุ่มหน้าตาดีเป็นนิจ
“ไม่ปฏิเสธนะแม่ แต่คราวนี้อาจจะหายก็ได้...เพราะอยู่ใกล้หมอ” ตรีปวายว่าฝัน ๆ
“ตกลงจะลุยจริง ๆ เหรอ?” คุณตรีทิพถามหยั่งเชิงอีกครั้ง ตรีปวายพยักหน้ารับเร็ว ๆ
“แน่สิแม่ หวายพูดแล้วไม่คืนคำหรอก...ให้มันรู้ไปสิว่าสายเลือดนักตื้อของนายพุดจะหยุดอยู่แค่นี้ !” หญิงสาวเอ่ยเสียงหนักอย่างมั่นใจ คุณตรีทิพหัวเราะเบา ๆ พลางโคลงศรีษะอย่างระอาเมื่อลูกสาวยกเอานิสัยช่างตื้อของพ่อผู้ล่วงลับขึ้นมาอ้าง
“เออ รับเชื้อมาดีนักที่ไม่ได้เรื่องเนี่ย” คุณตรีทิพว่ากลั้วหัวเราะ
“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะแม่ ถ้าเชื้อตื้อพ่อไม่ได้เรื่องทำไมดาวโรงเรียนอย่างแม่ถึงยอมตกร่องปล่องชิ้นด้วยล่ะ...แถมมีผลผลิตตั้งสอง” ว่าพลางชูนิ้วประกอบ คนเป็นแม่สะดุดยิ้มก่อนยื่นมือไปหมายวางบนศรีษะทุย แต่คนเป็นลูกไวกว่าชิงวางจานผลไม้พร้อมกับดีดตัวลุกขึ้นวิ่งหนีส่งเสียงวี้ดว้ายซึ่งคนเป็นแม่รู้ดีว่าเสแสร้ง แม้จะรู้ว่าผู้เป็นแม่ไม่ได้ลุกขึ้นวิ่งไล่ตาม แต่ตรีปวายก็ยังคงส่งเสียงโวยวายและวิ่งพล่านไปรอบห้อง
ตรีปวายต้องเบรกจนตัวโก่งเมื่อวิ่งมาถึงประตูห้องแล้วมันเปิดผลัวะอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย คนยืนจังก้าสีหน้าบอกบุญไม่รับทำให้รอยยิ้มพร้อมเสียงโวยวายของหล่อนค่อย ๆ เลือนไป และสายตาของคนมาใหม่เช่นกันเป็นตัวผลักให้ตรีปวายถอยหลบจากประตูโดยด่วน
ตรีประดับก้าวฉับ ๆ มาทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้รับแขกก่อนโยนกระเป๋าสะพายและข้าวของประดามีลงบนโต๊ะอย่างไม่สนใจว่ามันจะกระจัดกระจาย เป็นอาการไม่ปกติของคนเจ้าระเบียบของหล่อนทำให้แม่และน้องสาวได้แต่มองหน้าส่งสายตาแสดงคำถามให้แก่กัน ก่อนที่ต่างฝ่ายจะส่ายหน้าอย่างไร้คำตอบ
“ทำไมวันนี้มาช้าล่ะลูก ทุกทีทุ่มหนึ่งก็ถึงแล้วนี่ ?” คุณตรีทิพเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความประหลาด ตรีประดับตวัดตาขึ้นมองจนผู้เป็นแม่อดสะดุ้งกับสายตานั้นไม่ได้
“ตรีว่าจะไม่มาด้วยซ้ำ” หญิงสาวบอกเสียงขุ่น
“เอ...ต้องมีเรื่องอะไรแน่ ๆ เลยใช่มั้ย? ปกติพี่ตรีเฝ้ารอวันศุกร์แรกของเดือนเสมอนี่ บอกหวายออกจะบ่อยว่ามันเป็นวันครอบครัว” ตรีปวายถามบ้างด้วยรู้ดีว่าวันศุกร์แรกของเดือนจะเป็นวันนัดพบระหว่างแม่ลูก โดยมีจุดรวมพลที่คอนโดหรูหราของคุณตรีทิพ ตรีปวายยังรู้อีกว่าพี่สาวชอบวันนี้เป็นที่สุด เพราะจะได้ทำกิจกรรมร่วมกัน รวมทั้งวางแผนสำหรับการเที่ยวในวันรุ่งขึ้น แทบทุกครั้งตรีประดับจะเป็นฝ่ายคะยั้นคะยอเคี่ยวเข็ญให้หล่อนมา...นี่เป็นครั้งแรกนับแต่มีข้อตกลงร่วมกัน นอกจากจะมาสายแล้วยังเอ่ยปากคล้ายเบื่อการนัดพบเสียเต็มประดาทำให้ตรีปวายอดสงสัยไม่ได้
“นั่นสิ” คุณตรีทิพเอออออย่างเห็นด้วยกับลูกสาวคนเล็ก “มีอะไรหรือเปล่าลูก?” ถามพลางทรุดลงนั่งใกล้ ๆ ตรีประดับถอนหายใจยืดยาว เบือนหน้าเบื่อโลกมองแม่ที มองน้องสาวทีก่อนเอ่ยว่า
“มันมาอีกแล้ว”
“อะไรมา ? ใครเหรอพี่ ? หรือว่าใครมันทำอะไรพี่ บอกหวายเดี๋ยวหวายจัดการหลอกหลอน...เอ๊ย...ตื้บมันให้ บอกมาเลยอย่าเกรงใจ !” ตรีปวายถามอย่างตื่นเต้น คุณตรีทิพพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“นั่นสิตรี...ใครทำอะไรตรีบอกแม่มาเลย แม่จะเอากาแฟร้อน ๆ ไปสาดหน้ามัน !” คุณตรีทิพทำหน้าขึงขังประกอบ อาการอยากเอาเรื่องของแม่และน้องสาวทำให้ตรีประดับได้แต่ยิ้มเนือย ๆ ก่อนยกมือขึ้นเท้าคางเอ่ยเสียงลอดไรฟัน
“ที่จริงก่อนนั้นนาน ๆ มันก็มาก่อกวนที แต่พักหลังมาถี่จนแทบทนไม่ไหวแล้ว”
“บอกมามันเป็นใคร !” คุณตรีทิพเสียงกร้าวเมื่อเห็นท่าทางของลูกสาวคนโตทอดอาลัย
“ผู้ชายหรือเปล่าพี่ ? แหม ถ้าเป็นผู้ชายพี่น่าจะยินดีมากกว่านะ ถึงนาน ๆ มาทีก็ยังดีกว่าไม่มีมาเลยแหละน่า” ตรีปวายบอกกลั้วหัวเราะก่อนร้องโอยเมื่อคุณตรีทิพฟาดเพี้ยะลงต้นแขน
“ปากเหรอนั่นยัยหวาย ! ถึงฉันจะอยากให้พวกแกเป็นฝั่งเป็นฝาแต่ถ้าจะมีผู้ชายมาทำให้เจ็บช้ำหน้ามุ่ยอย่างนี้ฉันก็ไม่กรี๊ดหรอกนะ” พูดพลางค้อนปะหลับปะเหลือกให้ลูกสาวคนเล็กก่อนหันไปหาลูกสาวคนโต “ตกลงไอ้ผู้ชายคนนั้นมันเป็นใคร?” ตรีประดับถอนหายใจเฮือกใหญ่ ส่ายหน้าน้อย ๆ สีหน้าระอาส่งมาให้คนในครอบครัวได้เห็น
“ไม่ใช่ผู้ชาย” หล่อนว่าพร้อมมองค้อน
“เฮ้ย...อย่าบอกนะว่า...ว่า...พี่เปลี่ยนแนวมาชอบเล่นดนตรีไทยแล้ว !” ตรีปวายโวยหน้าตื่น ซึ่งนั่นทำให้คุณตีระพลอยตาเหลือกไปด้วย คนถูกกล่าวหาถอนหายใจยืดยาวตอบเสียงเข้ม
“ไม่ใช่ !” พูดจบหล่อนก็นิ่วหน้ากลับไปเท้าคางต่อหลังจากเมื่อครู่เผลอถอนมือออก
“อ้าว” สองเสียงประสานกัน เพิ่มความสงสัยลงบนสีหน้า
“ตรี...ปวดฟัน” ตรีปวายเฉลยในที่สุดก่อนครางอ๋อย คำตอบของหล่อนทำให้แม่และน้องสาวอ้าปากค้าง “ก่อนนั้นมันนาน ๆ ที แต่เดือนนี้มาสองรอบแล้วนะ...โอย...พูดมากปวด” หญิงสาวว่าพลางกุมแก้มครวญคราง
“ปวดฟัน...หรอกเหรอเนี่ย” ตรีปวายครางเบื่อ ๆ
“เฮ้อ อุตส่าห์ดีใจนึกว่าลูกสาวคนโตจะขายได้เสียอีก” คุณตรีทิพบ่นเบื่อ ๆ และคำบ่นนั้นก็ทำให้ลูกสาวคนโตละจากอาการปวดสะบัดสายตามองค้อน ก่อนหันกลับไปอยู่ในสภาพยกมือกุมแก้มร้องโอดโอยต่อ
“เฮ้อ...พี่สาวเรา แค่ปวดฟันทำพิโอดพิโอย...บอกหลายครั้งแล้วว่าให้ไปหาหมอ” ตรีปวายพูดพลางหยิบผลไม้เข้าปากเคี้ยว
“ไปแล้วก็ได้แต่ยาแก้ปวดมากินนี่ แค่ยาแก้ปวดหากินแถวนี้ก็ได้” ตรีประดับบอกเบา ๆ
“ไม่จริงละมั้ง หวายว่าหลังจากจ่ายยาหมอเค้าต้องนัดให้ไปหาอีกทีเพื่อจัดการกับฟันซี่ที่เป็นปัญหาไม่ใช่เหรอ?” หญิงสาวแย้งผู้เป็นพี่
“ไม่เห็นสั่งอะไรสักทีนี่” ตรีประดับงึมงำตอบ น้องสาวเห็นท่าส่งตาปะหลับปะเหลือกของพี่สาวแล้วก็ได้แต่ปล่อยก๊าก
“โธ่เอ๊ย...พี่ตรีพูดอย่างกับหวายไม่รู้จักพี่อย่างนั้นแหละ พี่เคยไปหาหมอฟันกี่ครั้งเชียวตั้งแต่จำความได้นี่ พี่น่ะปวดทีก็กินยาแก้ปวดพอหายก็ไม่ไปรักษาต่อ นามบัตรหมอฟันเต็มกระเป๋าแล้วมั้ง อาการของพี่น่ะนะน้องสาวน่ารักรู้ดีว่ามันเป็นอาการกลัวหมอฟันขึ้นสมอง” ตรีปวายว่าเยาะ ๆ คนถูกกล่าวหาส่งค้อนตอบพร้อมปฏิเสธเสียงหลง
“ไม่จริงย่ะ” พออ้าปากกว้างเข้าหน่อยเพราะลืมตัว สุดท้ายตรีประดับก็แทบน้ำตาเล็ดหันกลับมากุมแก้มครวญครางต่อท่ามกลางเสียงหัวเราะของน้องสาว และการส่ายหน้าระอาจของคุณตรีทิพ
“เอาล่ะ ๆ พอได้แล้วหวายอย่าไปล้อพี่เขาเลย แกเองก็ใช่ว่าจะดีเด่หรอกน่า เพิ่งมีเรื่องกับหมอมาหมาด ๆ เห็นแววว่าแพ้รำไรแล้วไม่ใช่เหรอ” คุณตรีทิพเย้าอย่างหมั่นไส้
“ไม่มีทาง ! หวายจะพยายามจนถึงที่สุด คอยดูนะคุณหมอชื่อประหลาดต้องเสร็จหวายแน่ ๆ !” หล่อนว่าพร้อมทุบกำปั้นลงกับหมอนอย่างมั่นใจ...สายตามุ่งมั่นของตรีปวายมองรอยยิ้มระอาของคุณตรีทิพแล้วเบือนมามองพี่สาวซึ่งยังคงครางอ๋อยอยู่เหมือนเดิม ดวงตามุ่งมั่นของหญิงสาวแปรเปลี่ยนเป็นครุ่นคิดและตบท้ายด้วยประกายเจ้าเล่ห์เมื่อเริ่มขยับเข้าใกล้พี่สาว
“พี่ตรี...เรามาเล่นเกมกันดีไหม” หล่อนเกริ่นนำเสียงหวาน ตรีประดับเหลือบมองส่งสายตาแทนคำถาม
“คึกอะไรอีกล่ะ” คุณตรีทิพเป็นฝ่ายถามก่อน
“ไม่ได้คึกแม่ แค่อยากเล่น...สนใจมั้ยล่ะพี่ตรี หวายเพิ่งคิดเกมได้สด ๆ ร้อน ๆ แถมคิดของรางวัลได้แล้วด้วยนะ” หญิงสาวยังยั่วต่อ และคำว่ารางวัลนั่นเองทำให้ทั้งคุณตรีทิพและตรีประดับขยับตัวเข้าใกล้คนคิดเกมโดยไม่ได้นัดหมาย
“อะไรเหรอ?” ถามเกือบจะพร้อมกัน ตรีปวายหัวเราะอย่างดัดจริตก่อนตอบว่า
“คนชนะได้ไปเกาะช้างสามวันสองคืน คนแพ้เป็นคนจ่าย และสิทธิพิเศษของคนชนะสามารถเลือกคนในครอบครัวไปร่วมรับของฟรีได้สองคน” พูดจบหญิงสาวก็ยักคิ้วหลิ่วตาให้กับสีหน้างุนงงครุ่นคิดของแม่และพี่สาว
“เอ...ข้อเสนอเกาะช้างมันก็น่าสนใจอยู่หรอกนะ...แต่สิทธิพิเศษนี่...มันดูงก ๆ ยังไงพิกล” คุณตรีทิพว่าพลางหันไปมองลูกสาวคนโตซึ่งรีบพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
“เอาน่า...แค่ตอบมาว่าจะเล่นหรือไม่เล่นก็พอ” คนนำเสนอเกมบอกพลางโบกมือไล่ความงกให้พ้นความรู้สึกของคนเล่นเกม
“แล้วเล่นยังไงล่ะเกมแกน่ะ” ตรีประดับกัดฟันถาม สีหน้าแสดงความสนใจนั่นทำให้น้องสาวอมยิ้มอย่างเป็นต่อ
“ง่ายมาก...พี่ตรีแค่ไปหาหมอฟัน เอาชนิดตรวจให้ละเอียดถี่ถ้วนครบทุกกระบวนการ จนถึงขั้นที่ว่าหมอไม่ต้องการพบแล้วนั่นแหละจึงจะถือว่าพี่ชนะ...แต่ถ้าพี่ล้มเลิกกลางคันไม่ว่าจะด้วยกรณีใด ๆ ก็ตาม...พี่ก็ต้องเป็นคนจ่ายค่าเที่ยวเกาะช้าง...เป็นไงสนใจมั้ยล่ะ? ข้อเสนอง่าย ๆ ทำได้ป่าว” ตรีปวายลอยหน้าลอยตาถาม ขณะที่ตรีประดับมีสีหน้าครุ่นคิด คุณตรีทิพกลับส่งยิ้มยื่นมือมาสะกิดแขนลูกสาวคนโตยิก ๆ
“ง่าย ๆ เองนะตรี ได้เที่ยวฟรีเกาะช้างแถมหายปวดฟัน...ตกลงไปเลยลูก” การคะยั้นคะยอของคุณตรีทิพทำให้ตรีปวายได้แต่ย่นคิ้วทำปากบิด แถมพึมพำเสียงไม่ค่อยนักว่า
“แล้วมาว่าเรางก...จะสงสัยดีมั้ยเนี่ยว่าได้เชื้อมาจากใคร”
“ก็ได้...เป็นอันตกลง...บอกไว้ก่อนนะว่านี่ไม่ใช่เพราะเกาะช้างหรอกนะ แต่เพราะฉันไม่อยากถูกแกสบประมาท” ตรีประดับเอ่ยขึ้นในที่สุด หญิงสาวหยิบกระเป๋าใบเล็กขึ้นมาเปิดเลือกนามบัตร กำลังจะหยิบนามบัตรของหมอที่คิดว่าใจดีที่สุด น้องสาวก็คว้ากระเป๋าทั้งใบไปจากมือ
“อ๊ะ ๆ ลืมบอกไปอย่าง เกมนี้มีกฎข้อเดียว นั่นคือ...พี่ตรีต้องไปหาหมอฟันคนที่หวายหาให้เท่านั้น !” ไม่พูดเปล่าตรีปวายยังยื่นนามบัตรให้พี่สาวซึ่งรับไปดูหลังมองค้อน
เมื่อสายตามองกวาดนามบัตรแล้วตรีประดับก็เงยหน้าขึ้นมองน้องสาว เลิกคิ้วเป็นเชิงถามและได้รับการพยักหน้ายืนยัน หญิงสาวก้มอ่านนามบัตรอีกครั้งก่อนส่ายหน้าน้อย ๆ พึมพำเบา ๆ ว่า
“คนอะไรชื่อมหุดิฤกษ์”
ความคิดเห็น