ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    It’s the End of the World as We Know It /The Boys x Fem! OC

    ลำดับตอนที่ #4 : Losing My Religion

    • อัปเดตล่าสุด 21 พ.ย. 67


    “บิลลี่ ลูกคนแรกของเราควรชื่ออะไรดี?”

     

    เบคก้าภรรยาสาวเอ่ยถามโดยที่หล่อนอยู่ใต้อานัติบุตเชอร์

    “หนูน้อยทอร์เจอร์?” บุตเชอร์เสนอ

    “จะบ้าหรอ ชื่อแบบนั้นใครเขาเอามาตั้งให้เด็ก”

    บุตเชอร์อมยิ้มแก้มปริ “ขนาดเจ้านั่นยังชื่อเจ้าเทอร์เรอร์ได้เลย”

    “ให้ตายเถอะ คนนะบิลลี่ไม่ใช่บลูด็อก”

    “โอเค ๆ งั้น.. ไรอัน เป็นไง”

    “ฉันชอบชื่อนั้นนะ ไรอัน บุตเชอร์

    “แล้วชอบคนตั้งชื่อไหม?”

    “ถวายหัวเลยล่ะค่ะ” 

     

    บุตเชอร์สะดุ้งตื่นจากความฝัน ดวงตาหมองคล้ำสะท้อนถึงสภาพร่างกายเหมือนศพมีชีวิต เขาลุกขึ้นจากที่นอนราบในห้องโทรม ๆ คราบน้ำคร่ำครึเป็นรอยอยู่ระหว่างพนังและเพดาน เขาเอาผ้าห่มที่คลุมร่างเปลือออก เดินโทง ๆ เข้าห้องน้ำ ชำระร่างกายด้วยน้ำเย็น สายน้ำในฟักบัวทำเขาหวนถึงภรรยา เขายังได้กลิ่นน้ำหอมที่เธอเคยใช้ เนื้อสัมผัสนุ่มนั้นยังคงติดอยู่ที่ปลายนิ้วมือ ใคร ๆ ก็ต่างบอกว่า เขาอยู่ได้ก็เพราะความหวังลมแล้ง ๆ เกี่ยวกับการมีชีวิตอยู่ของภรรยา

    ในโลกนี้มีสัตว์อยู่สองประเภท ประเภทหนึ่งได้แก่มารดาเมื่อยามพบบุตร ประเภทสองได้แก่พยัคฆ์เมื่อยามพบเหยื่อ บุตเชอร์เขาเป็นหนึ่งในประเภทสอง เขาพร่ำบอกตัวว่ามันดีกว่าเป็นเหมือน ซุปเปอร์ฮีโร่พวกที่มือถือสาก ปากถือศีล โฆษณาโอ้อวดสรรพคุณตัวเองบนป้ายโฆษณา ทำตัวเป็นพ่อพระแม่พระบนป้อนคำหลอกปลิ้นปล่อนน่าสมเพช พวกมันทำให้สาวกงมงายด้วยประโยคที่ว่า ความดีชนะความชั่ว

    โดยความจริงแล้วสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงหุ่นเชิดของคนเส็งเคร็งเท่านั้น

    ผู้ถูกเถิดทูนเป็นพระเจ้า ผู้เชิดชูนับเป็นคนเขลา พวกเขาได้ตกอยู่ใต้แสงไฟเกมทุนนิยมจากคนที่อยู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร

    ในบันทึกหญิงชรา เกรซ มัลลอร์รี อดีตผู้บัญชาการหัวหน้าเอฟบีไอกล่าวว่า บุตเชอร์เป็นคนอันตรายยิ่งกว่าพวกมีพลังเหนือมนุษย์ ความรั้น ความสามานย์ จิตวิทยาใต้คำพูด แม้มีอุปสรรคถาโถม หากเขาต้องการอะไรขึ้นมา พระเจ้าองค์ใดก็ไม่สามารถห้ามเขาได้ กล่าวคือต้องระวังเขาเหนือกว่าความตาย เพราะหากได้เผชิญหน้ากับเขา มันคือสัญญาณว่าบิดาแห่งนรกมาจุติแล้ว

    หากถามถึงต้นเหตุของความโทมนัสเดือดดาลพันแปดประการภายในใจบุตเชอร์ คำตอบคือ มันเกี่ยวข้องกับการหายไปของภรรยาที่น่าสงสาร ตอนนี้เขานับวันรอวันเอาคืนพวกมันทั้งหลาย

    และถึงแม้พวกมันที่เกี่ยวข้องได้เป็นผีในโลงไปแล้ว เขาจะลากมันขึ้นมาจากหลุมและกระทืบให้วิญญาณแตกสะบั้น

     

    บุตเชอร์เดินเข้ามาในเฟลตไอเอิร์นพร้อมกาแฟดำและหนังสือพิมพ์ เวลาบนกำแพงแสดงให้ทราบว่าสมาขิกคนอื่น ๆ ยังคงไมลุกออกจาเตียง เขาทิ้งตัวนั่งเฉิบลงบนเก้าอี้ ร่ายอ่านตัวอักษรในหน้าหนังสือ วันนี้มันมีรายงานแจ้งการหายตัวไปของเด็กในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เรื่องน่าแปลกที่มันเป็นสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าภายใต้การสนับสนุนของวอทอินเตอร์เนชันแนล แต่พวกมันกลับเผิกเฉย ทำตัวไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่เคลื่อนไหวอะไรเลยสักนิดเดียว เขาเอื้อมหยิบปากกาและจดสถานที่นั้นลงสมุดโน้ตทันที

    เอ็มเอ็มเข้าวางเสื้อกั๊กไว้บนพนักเก้าอี้ท่ามกลางความเงียบ ร่างของเขาผ่อนคลายลงเพียงเล็กน้อย แต่สายตาทีเหลือบมองบุตเชอร์ยังคงมีความระมัดระวัง

    “ไง เอ็ม ๆ” บุตเชอร์ทักเสียงเบา ท่าทางคล้ายคนที่ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีใครมารบกวนในเช้าวันนี้มากนัก

    “วันนี้คงไม่ไปยิงใครอีกนะ” เอ็มเอ็มยิ้มบาง ๆ แต่คำพูดนั้นยังคงเต็มไปด้วยความหมายที่แฝงอยู่

    “เออน่า.. ไม่มีหรอก” บุตเชอร์ตอบพลางมองไปที่ภาพในหนังสือพิมพ์

     

    “ต้องล้อเล่นกันแน่ ๆ” ฮิวอี้กอดกแน่น “ให้ผมไปกับแอนนี่แทนไม่ได้หรือไง?”

    “แกจะลากแม่สาว ซุป นั่นเข้ามาจริง ๆ เหรอ?” บุตเชอร์ลากเสียงเน้นคำ

    “มันยังเหมือนกว่า เหมือนกว่าที่คุณจะให้ผมกับเฟรนชี่เข้าไปเป็นสามีภรรยาเพื่อขอลูกบุญธรรม”

    “ถ้าฉันไม่มีประวัติฉันไปเป็นสามีให้แกได้นะฮิวอี้ แต่มันไม่ได้ว่ะ”

    “จะบ้าหรือไง ผมไม่เอาทั้งคุณและเฟรนชี่ ผมจะไปกับแอนนี่”

     

    “สรุปไม่ทราบว่าคุณทั้งสองเป็นสามีภรรยากันตามกฎหมายใช่ไหมคะ?” เจ้าหน้าที่ตรวจสอบกระดาษในมือพลางมองหน้าฮิวอี้และเฟรนชี่อย่างสงสัย

    “Oui, oui.” เฟรนชี่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่แฝงความมั่นใจ

    “แน่ใจนะคะว่าทั้งสองคนได้สัญชาติอเมริกาเรียบร้อยแล้ว?”

    เจ้าหน้าที่สาวถามขึ้นอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูเย็นชาและสงสัยมากขึ้น แต่ฮิวอี้ยังคงยิ้มบาง ๆ ให้กับคำถามนั้น

    “ครับ” ฮิวอี้ตอบสั้น ๆ มือข้างหนึ่งจับมือเฟรนชี่ไว้แน่น

    “งั้นให้คุณคุยกับเด็ก ๆ ไปก่อนนะคะ” เจ้าหน้าที่โค้งตัวเคารพด้วยความสุภาพก่อนจะทิ้งให้ทั้งคู่อยู่ตามลำพัง

    เมื่อเจ้าหน้าที่สาวเดินจากไป ทั้งฮิวอี้และเฟรนชี่แลกสายตากัน ก่อนที่ฮิวอี้จะยิ้มเล็กน้อยแล้วหันไปกล่าวเสียงเบา “เดี๋ยวผมจะจัดการเรื่องกล้องวงจร”

    เฟรนชี่พยักหน้าก่อนจะเข้าไปนั่งเล่นกับเด็ก ๆ

    ฮิวอี้ผลักประตูออกแล้วเงยดูกล้องวงจรปิด เขาเดินตามไฟสายหลักบนพนัง มันพาเขามาถึงห้องควบคุม เขาไม่พบใครอยู่ที่ห้องนั้น เขาพรวดตัวเข้าไปนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ในห้อง แต่อดีตฮิวอี้เขาเป็นพนักงานขายในร้านไอทีกิ๊กก็อก ทว่าการลาออกจากงานประจำและการเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้พรรคนี้ทำให้ทักษะการขายเริ่มพัฒนาเป็นฝ่ายไอทีเต็มตัว

    เริ่มรีเซ็ตเวลาและวันที่ ย้อนเวลากล้องวงจรสู่ในช่วงไม่มีเขา เชื่อมไวไฟ เชื่อมกล้องวงจรบางตัวให้เข้ากับสัญญาณของรถที่จอดไว้ข้างนอก ทันใดนั้น สายตาเขาเห็นกล้องตัวหนึ่งมันแสดงรูปภาพสถานที่แปลกตา มันไม่เหมือนอยู่ในอณาเขตของสถานสงเคราะห์แห่งนี้ โถงทางเดินรายล้อมด้วยประตูห้องเสมือนโรพยาบาลจิตเวช เสียงกรีดร้องโวยวายดังไม่ขาดสาย ไม่นาน กล้องวงจรจับภาพพนักงานเจ้าหน้าขณะเขากำลังยื่นอาหารใส่ปล่องหน้าประตู หนวดปลาหมึกยักษ์คว้านรับดึงอาหารเข้าไปในห้อง

    “ฮิวอี้ ดูเหมือนมันจะเพราะพันธุ์สัตว์น้ำด้วยล่ะ” เสียงบุตเชอร์ผ่านหูฟังเข้ามา “รู้ไหมว่ามันอยู่ไหน”

    “ผมไม่รู้เลย..”

    “โอเค เอาล่ะ ออกมาได้แล้ว ที่เหลือฉันจัดการเอง”

    จังหวะนั้น!เสียงฝีเท้าปริศนาดังใกล้เข้ามา เสียงผิวปาก ฮิวอี้แน่ใจได้เลยว่ามันไม่ใช่เฟรนชี่ มือเขาสั่นสะท้านหัวใจกระหน่ำราวกลอง หันหน้าควับไปทางบานประตู เมื่อเห็นลูกบิดประตูขยับ

    “บุตเขอร์ เรางานเข้าแล้ว”

     

    ประตูหน้าคฤหาสน์หลังยักษ์ เปิดประตูต้อนรับคริมสันในชุดเสื้อโค้คคลุมเข่า เธอสวมแว่นตาเรย์แบน มัดผมทรงสูง ริมฝีปากแดงฉานสายตาเธอคมกริบดั่งมีด คุณนายคริมสันแม่ของเธอที่ตกใจอย่างที่สุด หล่อนสะดุ้งและถอยหลังไปเล็กน้อยเหมือนจะไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น หล่อนยืนนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนที่จะเอื้อมมือไปจับแขนของคริมสันด้วยความไม่เชื่อ “ลูกยัง?”

    “ยังไม่ตาย” คริมสันดึงแขนตัวเองหนีพร้อมพยักหน้าเบา ๆ

    “ลูกมาที่นี่?”

    “หนูมาเอาสิทธิ์หนูคืน”

    คุณนายคริมสันสะอึก แต่ในที่สุดก็ต้องยอมให้ลูกสาวเข้าไป

    “การยื่นรับสิทธิ์ถือหุ้นที่แม่ส่งให้กับศาล หนูเกรงว่าแม่คงตำพริกละลายแม่น้ำแล้วล่ะค่ะ”

    “แม่..”

    “หนูรู้เรื่องที่แม่ติดสินบนเพื่อเข้าถึงหลักทรัพย์หนูแล้ว”

    “ฟังแม่ก่อนได้ไหม?” คุณนายคริสสันเสียงสั่นเครือ “แม่ขอโทษ แม่.. แม่มีเหตุผล”

    “ไม่มีเหตุผลใดที่แม่จะมีนอกจากการแค่เกลียดพ่อ..”

    คุณนายคริมสันเม้มปากเงียบ แววตาของหล่อนแสดงความหมดหวังที่ดิ่งลึกถึงก้นมหาสมุทร “ลูกพูดถูก แม่ไม่มีเหตุผลอะไรนอกจากเหตุผลที่แม่เกลียดเขา แต่สิ่งที่แม่ทำลงไปมันจะดีต่อตัวเรา”

    “เก็บคำพูดพวกนี้ไปต่อรองที่ศาลเถอะค่ะ” คริมสันเบือนตัวหนีเดินออกไป ก่อนที่เสียงไซเรนข้างนอกจะดังเข้ามา “ทานข้าวในคุกให้อร่อยนะคะ แม่...”

    เสียงโหวกเวกไม่รู้ความพ่นออกมาไม่เป็นภาษา คุณนายคริมสันถูกตำรวจจับตัวไป

     

    หลังจากคำพูดของชายเหี้ยมตีเธอกลับมาคิดอีกครั้ง แผลของเธอยังไม่หายซึมเลือดซึมหนอง เธอเลือกลงตัดสินใจเข้าร่วมกับบุตเชอร์ ธาตุแท้จริงนั้น เธอไม่สามารถยืนอยู่ดูความอธรรมเข้ากัดกินผู้คน ไม่สามารถนั่งบนเก้าอี้เคลือบไฟความเลวได้ ทั้งสามีที่น่าสงสารและชีวิตตามอุดมคติอันสวยงามได้ถูกพรากด้วยน้ำมือสิ่งที่ชนกลุ่มหนึ่งขนานนามว่า “ฮีโร่” คำพูดสะอิดสะเอียนบนโลกหมดศัทธา ล่อปลาให้ติดกับ เธออยากจะกำจัดมันให้หมดไป และเนื่องจากพ่อของเธอทิ้งหุ้นมูลค่าหลายล้านให้ถือ เธอจะใช้มันเข้าไปเป็นเส้นสาย เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้สิ่งเหล่านี้ล่มสลายในเร็ววัน

    อีเมล์ทางการขึ้นแจ้งเตือนขึ้นในโทรศัพท์เธอ

     

    เรียน คุณแอมเบอร์ คริมสัน

    ในนามของทีมงานและผู้บริหารของวอทอินเตอร์เนชั่นแนลขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งที่ท่านได้ให้ความไว้วางใจและตัดสินใจเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัววอทอินเตอร์เนชั่นแนลของเรา การลงทุนของท่านในบริษัทถือเป็นความสำคัญอย่างยิ่งที่ช่วยเสริมสร้างการเติบโตและความสำเร็จของเราในอนาคต

    เรามีความยินดีที่ได้ร่วมงานกับท่าน และขอให้ท่านมั่นใจได้ว่าเราจะทำงานอย่างเต็มที่เพื่อให้บริษัทของเรามีความก้าวหน้าตามวิสัยทัศน์และเป้าหมายที่ตั้งไว้

    หากท่านมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัทหรือการลงทุนของท่าน เรายินดีที่จะให้ข้อมูลและการสนับสนุนตลอดเวลา

    ขอแสดงความนับถือ

    สแตน เอ็ดการ์

    ผู้บริหารวอทอินเตอร์เนชั่นแนล

     


    R.E.M. - Losing My Religion

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×