ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มาลาสวรรค์ ภาค ๒ ปาษาณสัตตบุษย์

    ลำดับตอนที่ #4 : ห้วงพระสุบิน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1
      0
      25 ส.ค. 67

    ห้วงพระสุบิน . . .

     

    เวลาผันผ่านไปกระทั่ง ๓ ปี

     

    นครเลื่องชื่อมากหมู่มาลานามว่าเกตุกุสุม อันตั้งอยู่ทางด้านทิศประจิม ก่อร่างสร้างรากฐานตั้งบุรินทร์ขึ้นหลังสิ้นอัคนิรุทรลามโลกา ตั้งอยู่เชิงคีรีลาดลงมา เบื้องหลังก็พบมีศิขรินธารหลากไหลเป็นน้ำดี แม้นไม่มากเยี่ยงก่อนไฟลุกลาม ทว่าชาวเกตุกุสุมก็มีหนทางจัดสรรปันส่วนน้ำให้พอใช้และเพียงพอต่อการบำรุงรักษ์พืชพันธุ์ได้เป็นอย่างดี จนกว่าหยาดวรุณจะพลั่งพรากหลากลงอีกครา

    เกตุกุสุมนับว่าเป็นนครที่มีชาวประชาอาศัยอยู่มาก เนื่องด้วยมีพฤกษาป่าไม้ให้ผลได้ประทั่ง แลยืนต้นคงอยู่ได้อย่างมิถูกพิษใต้หล้ากลืนกิน แลงามอย่างยิ่งด้วยหมู่มาลา

    เกตุกุสุมแม้นตั้งอยู่เชิงคีรีแลเห็นเด่นต่อสายตา ทว่าการจะเข้าออกกลับมิได้ง่ายเยี่ยงตาเห็น แม้นจะมีพระเวททะยานฟ้าเดินเวหาก็ใช่ว่าจะเข้าสู่เกตุกุสุมได้เอง ด้วยเกตุกุสุมนั้นมีวงกตกานนรายล้อมอยู่โดยรอบภารา หากมิคุ้นชินก็มีแต่จะพลัดหลงไปในทิศาที่มิได้มุ่งเข้าสู่นคร สำคัญคือม่านพระเวทที่เสกขึ้นคลุมครอบตัวนครเอาไว้ด้วยอีกครา เพื่อป้องกันห่าแร้งร่อนลงมาโฉบชาวประชากิน

    หากกล่าวถึงม่านพระเวทแล้ว ในเพลาที่โลกาถดถอยน้อยพฤกษาลงเช่นนี้ จึงมีเมืองนครก่อร่างสร้างขึ้นเพียงน้อยนิด ด้วยเกรงจะเลี้ยงชีพหมู่ประชาได้มิถ้วนทั่ว หลากนครจึงสร้างขึ้นแค่เพียงราชวังไร้ผู้พักพิง ปกครองชีพเพียงตนแลกำลังไพร่พลภายในไร้ชาวประชา บ้างก่อร่างสร้างเป็นเพียงวสนะอย่างพออยู่เพียงตัวตน สำคัญคือม่านพระเวทที่ร่ายเสกครอบคลุมภาราไว้ให้พ้นจากแร้งร้าย

    หากแม้นไร้เวทเสกม่านครอบคลุมแล้วไซร้ ภาราก็จำต้องล่มลงด้วยไร้ผู้คนอันตกไปเป็นของกินแร้ง หรือหากแม้นไร้ม่านเวทปกปักจริงก็จำต้องเข้าลึกตั้งถิ่นในพงพนาให้เร้นลับ

     

    เสียงกุมารีดังแจ้วแว่วชายตามสายพระพายโชย กายก็รุดแล่นหวังไล่ให้ทันสองนางกำนันผู้เป็นพระพี่เลี้ยง ประทับเล่นอยู่ที่เบื้องหน้าตำหนักมิห่างจากสายพระเนตรพระบิดามารดานัก แลแม้พระโอษฐ์ของพระนางสร้อยสลาจะแย้มออกอ่อนงาม ทว่าในแววพระเนตรนั้นหยั่งลึกกลับจินตภาพถึงอีกสองธิดาดวงพักตร์พริ้มปรางอิ่มอวบ ที่กำลังละเล่นอยู่เคียงกันพรั่งพร้อมอย่างเบิกบาน

    "สร้อยสลา" สายพระเนตรพลันละออกจากพระธิดา แลเหลียวสบสู่ภัสดาเคียงข้างตน ก่อนจะร่ายโอษฐ์แย้มตอบความท้าวกษิดิศให้ได้ชื่นพระทัย ว่านางมิได้เศร้าหมองแต่อย่างใดแล้วจึงเอนกายเข้าซบหาพระองค์ พระกรท้าวก็พลางโอบวรองค์พระนางเข้าแนบซบไว้ 

    แลพักตร์ทอดพระเนตรมองธิดาตนพลางแย้มพระโอษฐ์ยิ้มอย่างพระทัยสุขที่มเหสีได้ประสูติหนึ่งธิดามา

    ทุกเวลาที่เลื่อนผ่านไปในทุกขณะ ท้าวกษิดิศและพระมเหสีสร้อยสลาล้วนแล้วแต่มีให้แก่ธิดาตนมิขาดหาย มอบรักให้ธิดาให้สมอย่างที่พระเทวีท่านประทานกุมารีมอบให้ในห้วงสุบิน ไม่ว่าจะยามกินยามบรรทมพระธิดาน้อยจะทรงอยู่ระหว่างสองพระองค์เสมอมา

     

    ยามประสบสุขวันเวลาจึงมักจะเลยผ่านไปเร็วไวนัก เพียงได้แลเห็นธิดาละเล่นอยู่ต่อเบื้องพักตร์มินาน ก็หมดทิวาวันล่วงเข้าสู่ราตรีกาลแล้ว 

    "ของลูกหรือเพคะ" หัตถ์บิดาที่คล้องจับธิดาตนมาแต่สวนหลวงคลายออกคราเมื่อล่วงมาถึงหน้าตำหนัก ก่อนท้าวกษิดิศจะลดกายลงเสมอธิดาตนเพียงพักตร์ แล้วจึงเลื่อนพระหัตถ์ขึ้นผายร่ายเสกวงทองกรออกปรากฏ ทองพระกรหล่อให้ขึ้นวงพอดีกับข้อพระหัตถ์พระธิดา สลักลายประณีตเลียนแบบช่อกลีบผกางามอ่อนช้อยสลับรูปจนรอบวง วงมิบางมิหนานักแลสลักนามพระธิดาเอาไว้ที่ด้านใน

    "พ่อให้เจ้า"

    "ขอบพระทัยเพคะ เสด็จพ่อ" เมื่อทองพระกรถูกสวมใส่ให้แก่ธิดาแล้วเสร็จ คราพระพักตร์ท้าวกษิดิศแลขึ้นพบพักตร์ธิดาร่ายแย้มยิ้ม จึงอดที่จะจินตภาพถึงอีกสองกุมารีที่พระเทวีท่านกล่าวมอบให้มิได้

    "เมื่อว่าเรื่องปันส่วนน้ำแล้วเสร็จ พี่จะเร่งรีบกลับตำหนักหลับบรรทมนะสร้อยสลา"

    "เพคะเจ้าพี่" น้ำคำเย็นกล่าวรับสวามีก่อนจะประคองกายธิดาตนนี้ก้าวขึ้นสู่ตำหนัก เบื้องหลังท้าวกษิดิศก็ค่อยแลมองทุกก้าวย่างของธิดาตนอยู่เช่นนั้นจนหายลับสายพระเนตรไป แล้วจึงหันกลับวรกายมุ่งสู่ทิศท้องพระโรง

    เมื่อสองแม่ลูกเข้าสู่ห้องบรรทม กายพระธิดาจึงถูกโอบอุ้มขึ้นประทับพระแท่นด้วยสองกรมารดา วางร่างธิดาให้ทอดลงหนุนเขนยแล้วจึงคว้าผ้างามขึ้นห่มกายให้แก่ลูกตน ตามมาด้วยวรกายตนที่ทอดลงบรรทมตามธิดา สอดแทรกกรเข้าสวมกอดธิดาด้วยรักใคร่ห่วง ฝ่ายนางกำนัลน้อยใหญ่ก็จึงได้เร่งรุดดับประทีปทั้งลงกลอนบัญชรทวารให้ทั้งสองพระนางได้หลับเนตรสู่ห้วงนิทรา

     

    "ดวงจิตสามนางได้แยกออกจากกันแล้วเมื่อภพก่อน ทว่าเหตุใดคราจุติในภพชาตินี้จึงรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอีกล่ะเพคะ" เทพธิดาบริวารขององค์สุคันธมาทน์เทวีกล่าวถามต่อพระนาง ยามเมื่อบานบัญชรปิดลงสนิทบดบังดวงพักตร์ผ่องผุดของสองแม่ลูกนางแล้ว 

    ฝ่ายพระเทวีเมื่อได้ฟังคำนางรัมภาบริวารแล้วเช่นนั้น ท่าทีพระนางกลับแลดูมิได้นึกฉงนสงสัยสิ่งใด เพียงทอดพระเนตรมองดูสองแม่ลูกเบื้องล่างอย่างสงบงัน ก่อนจะกลับหันพระวรกายย่างบาทสู่บาทบใหญ่ใจกลางฆยานีย์ 

    "จะทรงเข้าสู่สมถกรรมฐานหรือเพคะพระเทวี" เมื่อลำต้นบาทบใหญ่ค่อยเลื่อนเคลื่อนเปิดเป็นโพรงออก รัมภาเคียงพระเทวีจึงกล่าววัจน์ขึ้นถามพลัน ด้วยเพลาเช่นนี้น่ะหรือที่พระนางจะเข้าสู่บาทบเพื่อสงบดวงจิต

    "เพียงมินาน แลห้ามให้ผู้ใดรบกวนเรา"

    "เพคะ"

    เมื่อสิ้นคำรับจากนางรัมภา พระเทวีสุคันธมาทน์จึงยกบาทย่างเข้าสู่โพรงบาทบใหญ่ไปพลัน ทันใดลำพฤกษาก็จึงค่อยเคลื่อนเข้าปิดบดบังวรกายพระนางเอาไว้ที่ภายใน

     

    กระแสพระพายพัดโบกกระทบบัญชร เสียงบัญชรกระทบกรอบบานเรียกเร้าให้พระมเหสีสร้อยสลาพลันลืมพระเนตรขึ้นมาจากหลับนอน กวาดสายพระเนตรแลเหลียวรายรอบห้องบรรทมนาง แล้วจึงได้พบเข้ากับบานทวารที่ถูกเปิดเอาไว้กว้าง พร้อมพบกลอนถูกถอดวางไว้เบื้องใต้ ทันใดก็จึงตามมาด้วยพระธิดาตนที่ควรจะหลับเนตรอยู่เคียงกาย แต่ทว่าไม่ใช่! ธิดาน้อยนางกลับรุดแล่นวิ่งออกจากห้องบรรทมไปราวเบิกบานชื่นอุรา ไร้แม้นางข้าหลวงบริวารที่จะไหวกายรู้สึกตัวออกติดตาม มีเพียงแต่ตัวพระนางที่ร้อนรน อยากจะเร่งรุดออกติดตามธิดาตนไปแต่ทว่าก็ทำมิได้ ด้วยวรกายมิอาจขยับได้เยี่ยงพระนางคิด

    แม้ดวงเนตรจะแลเห็นทุกสิ่ง แต่กายกลับคล้ายถูกเสกสะกดไว้มิให้ขยับ เนตรพระนางแลมองยังทวารพลางสลับแลหานางข้าหลวงเบื้องล่าง ร้อนรุ่มยิ่งในพระหฤทัยนักเกรงจักเป็นผีสางที่พร่ำเพรียกธิดานางให้ออกหา ทว่าทันใดในคราที่เนตรพระนางสร้อยสลายแลมองสู่บานทวารอย่างร้อนพระทัย มินานภาพเบื้องหน้าที่แลเห็นก็เปลี่ยนเวียนฉาย ให้พระนางได้พบเห็นภาพที่ภายนอกตำหนัก 

    พบธิดานางวิ่งร่าออกภายนอกห่างจากตำหนักไปได้มิมาก ก็พลันหยุดยั้งตนพร้อมพนมหัตถ์ขึ้นด้วยสำรวมสงบตน พลางเงยดวงพักตร์ขึ้นขยับโอษฐ์กล่าววัจน์เจื้อยราวพบเห็นสิ่งใด ครานั้นพระหฤทัยพระนางจึงยิ่งพรั่นพะวงใหญ่ ก่อนเบื้องหน้าธิดานางจะสว่างอาภาระเรื่อขึ้นเผยกายพระเทวี องค์สุคันธมาทน์ผู้ที่เคยเอ่ยคำประทานกุมารีให้แก่นางถึงสามธิดา พระเทวีเผยกายายกฝ่าพระหัตถ์ขึ้นลูบไล้ไปตามแนวเกศาธิดานางเพียงแผ่วเบา

    พลันทันใดในครานั้น!

    จากหนึ่งธิดาแต่กำเนิดมาจึงกลายมีสามกายากุมารีหยัดขึ้นต่อพักตร์พระนางสร้อยสลาดั่งฤทัยเคยคิดหวัง แต่ก่อนที่สามกุมารีน้อยจะหันกลับแลหามารดาที่เบื้องหลัง ทุกสิ่งอย่างก็จึงพลันเลือนรางลง พาให้พระมเหสีได้พลันดันผทมขึ้นจากนิทรา ดวงฤทัยพระนางที่สั่นไหวด้วยสุขสมก็ค่อย ๆ เชื่องช้าลงเมื่อรู้ว่าสามกุมารีที่ได้พบเป็นเพียงภาพในพระสุบิน 

    แต่ครั้นเมื่อผ่อนปรนลมหายใจพลางไหวกรจะสวมกอดหนึ่งธิดาแนบข้าง ร่างธิดานางกรับไร้กายประทับอยู่ เมื่อเลื่อนเนตรแลสู่บานทวารแล้วจึงรู้ ว่าเหตุการณ์ที่ได้ประสบอยู่ช่างประหลาดเยี่ยงในพระสุบิน บัดนั้นพระมเหสีสร้อยสลาจึงพลันรีบเร่งเสด็จออกตามหาธิดานาง คราเมื่อเร่งรุดออกมาตามห้วงพระสุบินฝัน

    พระนางสร้อยสลาจึงได้พบเห็นสามกุมารียืนหันปฤษฎางค์ให้แก่นางอย่างในห้วงฝันจริง ทว่าโดยไร้สิ้นแล้วแม้ชายพัสตราภรณ์ของพระเทวี

    "เสด็จแม่" 

    เพลาพระมเหสีอ่อนลงพับยามเมื่อได้แลเห็นดวงพักตร์ของสามธิดานางพร้อมเพรียง อีกทั้งยังได้ยินสำเนียงเสียงแจ้วที่ขานเรียกนางว่ามารดา ยิ่งพาให้อุราพระนางแผ่ไออุษณอาบไปทั่ววรกาย 

    สามกุมารีน้อยรุดแล่นโผกายาเข้าตระกองกอดมารดาพลันทันใด ทั้งเอียงศิระแนบซบ ทั้งแลเนตรขึ้นสบพักตร์ ช่างเรียกเร้าชลเนตรผู้เป็นมารดาให้หลั่งไหลลงอาบปรางได้ดีนัก สี่คนแม่ลูกประทับนั่งร่ำร้องกันอยู่เช่นนั้นนิ่งนาน โดยไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่ากระแสเสียงกำสรวลจะแว่วดังไปถึงกรรณผู้เป็นภัสดา

    ท้าวกษิดิศรวมถึงอีกข้าหลวงบริพารต่างพร้อมเพรียงกันแลดูความปรีดาเช่นนั้นให้ห่างโดยมิเข้าขวางขัด พร้อมกับองค์กษัตริย์ที่ตรัสสั่งให้อมาตย์ไปกล่าวบอกแก่นายช่างหลวงให้รีบเร่งหล่อทองกรพร้อมสลักสองนามพระธิดาลงไว้อย่าได้เชื่องช้า

     

    คราเมื่อท้องนภาสาดแสงทิวาสู่รุ่งอรุโณทัย

    ทั่วทั้งเกตุกุสุมต่างขวักไขว่ไปด้วยผู้คน ข้าราชบริพารต่างอลหม่านไปด้วยการจัดราชพิธีรื่นเริงให้แก่สามพระธิดา ทั้งนำช่อผกาเข้าจัดสถานทั้งเลือกสรรค์พัสตราภรณ์งามเข้าประดับแต่งองค์ให้แก่พระกุมารี ประดับพลอยแต่งองค์ให้ทรงงามไปตามรูปพรรณพระธิดาอีกทั้งมารดาก็ไม่น้อยไป 

    คราเมื่อแต่งองค์ทรงเครื่องประดับพรมประทิ่นแล้วเสร็จ พระมเหสีสร้อยสลาจึงนำพระธิดาให้เสด็จไปยังท้องพระโรง ให้นอบนบลงต่อเบื้องพระพักตร์พระบิดาคือท้าวกษิดิศ แล้วจึงเป็นท้าวกษิดิศที่นำทองพระกรเร่งขึ้นรูปเข้าคล้องใส่ข้อพระหัตถ์ให้แก่บุตรธิดาพระองค์ พร้อมขานพระนามให้ข้าราชบริพารได้รับรู้โดยทั่วกัน ว่าบุตรธิดาทั้งสามคนที่พระเทวีทรงประทานลงมาผ่านห้วงพระสุบินของพระนางสร้อยสลานั้น มิใช่เพียงวาจาโป้ปดแต่อย่างใด

    หนึ่งทองพระกรถูกสวมใส่ไว้ก่อนคราราตรี บิดาคว้าหัตถ์น้อยขึ้นลูบจับด้วยรักใคร่ ทั้งยลชมดวงพักตร์อิ่มพริ้มให้ได้ชื่นพระทัยอีกหนึ่งครา พระธิดาพระองค์แรก แรกประภพด้วยบุญญางามรัศมีศรีสุวรรณ เป็นดั่งขวัญฤทัยบิดามารดาคราแรกพบดวงพักตร์ หลอมรวมดวงฤทัยบิดามารดาให้ชื่นสุขขึ้นอีกครั้ง ถูกกล่าวขานพระนามออกขลังว่านามนั้น ปสพสุวรรณ เสนาะเพราะอย่างสมควร

    วงทองกรที่สองถูกวางประดับไว้เหนือเขนยทอง ก่อนที่ท้าวกษิดิศจะทรงหยิบจับลงคล้องใส่ข้อพระหัตถ์ให้แก่พระธิดาอีกหนึ่งพระองค์ พระธิดาผู้มีวาจางามสม น้ำคำหวานเสนาะไปจนถึงกิริยาสง่าองค์ รู้กล่าวรู้เจรจาให้น่าตรับฟัง พระนามถูกกล่าวขานอีกครั้ง นามนั้น จราวรส เสนาะสมดังพรนลัทหวานจากช่อผกา

    ทองพระกรวงที่สามอันถูกวางประดับไว้เหนือเขนยทองเช่นวงก่อน ถูกหยิบยกออกด้วยท้าวกษิดิศ สวมใส่ข้อพระหัตถ์ให้แก่พระธิดาองค์ที่สาม พระธิดาผู้มีน้ำวาจาเจื้อยแจ้วกังวานใสสด เด่นงามในรูปพักตร์ด้วยแววพริ้ม งามรุจียิ่งคราร่ายแย้ม เบิกบาน เติมแต่งความระเริงให้หลายผู้คนยามได้พบพักตร์ พระนามพระธิดาถูกขานขลังออกถัดมา นามนั้นว่า กุมาริกา มาลาขาวไร้รอยด่างสะอาดอย่างกุมารี

    มาบัดนี้ยามได้ยลยินสำเนียงเสียงสรวลดังเจื้อยแจ้ว ในพระทัยบิดามารดาจึงหมดสิ้นแล้วความโศกศัลย์ เมื่อพระธิดาทั้งสามประจักษ์ชัดต่อเบื้องพระพักตร์อย่างเคยหวัง มิใช่เป็นเพียงพบพักตร์อย่างในห้วงพระสุบิน

     

     

     

    เมื่อด้านนครใหญ่ทางทิศประจิมอย่างเช่นเกตุกุสุมมีสิ่งให้ปรีดี ทางด้านนครใหญ่อันตั้งอยู่ฟากฝั่งทิศบูรพาก็มีสิ่งให้ปรีดาเช่นเดียวกัน ด้วยปลาบปลื้มในพระปรีชาของสามพระราชโอรสที่มีมากขึ้นทุกคืนวัน ไม่ว่าจะเป็นด้านศาสตร์ศิลป์ หรือศาสตร์ยุทธ์ แลสำคัญยิ่งคือด้านพระหฤทัย สามพระโอรสก็มีได้อย่างน่าชื่นชม 

    ตจสารนครตั้งอยู่ทางด้านทิศบูรพา เป็นนครใหญ่ที่แว่นแคว้นใกล้ไกลรู้ถึงชื่อเสียงเรียงนามดี เป็นนครที่มีมานานกาลเพลาแล้วมิใช่ก่อตั้งขึ้นหลังอัคนิรุทรมอดดับ ทว่าแต่กาลก่อนนั้นเป็นนครที่แม้นจะรู้จักนามอยู่บ้าง ทว่าก็ไม่ได้กว้างไกล แลเป็นนครที่มีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์มาแต่กาลก่อนิจวบจนกระทั่งมาบัดนี้ก็ยังคงสมบูรณ์ มิรู้ว่าเป็นเพราะดินดีหรือเป็นดังตำนานเล่าขาดกันมาแต่ปางก่อนว่าเป็นนครมากหลากเทวดาสถิต หรือบ้างก็ว่าเป็นทิศที่ท้าวเทวราชท่านประจำอยู่

    ยิ่งคราเมื่ออัคนิรุทรมอดดับตจสารนครที่มีชื่อจึงยิ่งรุ่งเรืองขึ้นด้วยสมบูรณ์พืชพันธุ์ แว่นแคว้นใดขาดแหล่งอาหารก็จึงได้หลั่งไหลเข้ามาสู่ตจสารนคร ชาวประชาอพยพก็ให้ที่หลับนอนเยี่ยงราษฎร เชื้อพระวงศ์หลบภัยก็ให้พักอาศัยอยู่อย่างสมพระเกียรติ 

    ตจสารนครตั้งอยู่โดดเด่นบริเวณพื้นที่ราบ ถูกรายล้อมไปด้วยไพรมืดรอบทิศา พนาพฤกษาดำทะมึนอันถูกกลืนกินด้วยพิษผการ้อนใต้โลก พนามืดกับอรัญงามแตกต่างกันอย่างชัดเจนคราแลเห็นจากเบื้องเวหา ด้วยตจสารนั้นไร้วงกตกานนเรียงรายกั้นอย่างที่เกตุกุสุมภารา แลที่มีไม่ต่างจากแว่นแคว้นอื่นที่ยังมิล่มลงก็คือม่านพระเวทแกร่งกล้า อันเสกขึ้นครอบคลุมภาราไว้ด้วยเวทวิชาคุณของผู้มีฤทธาถึง ๘ คน เพลานี้ตจสารนครจึงเปรียบได้ดั่งแหล่งให้ชีวิตของทุกสรรพสิ่งในโลกา

    "วราธร!"

    "มเหสีปล่อยลูกไปก่อนเถิด"

    เมื่อหนึ่งโอรสของพระนางเดินออกจากพระราชพิธีไปด้วยสีพักตร์มิชื่น แลยังติดตามไปด้วยอีกสองโอรสพร้อมด้วย คราพระนางจะไหวกายก้าวย่างไปตามด้วยห่วงใย ทว่าหัตถ์ภัสดากลับคว้ากรห้ามเอาไว้พลัน ปล่อยให้สามพระโอรสได้กล่าวถ้อยว่าความกัน รอให้พระองค์กล่าวปรารภถึงต้นกล้าทั้งสามเบื้องพักตร์ก่อนแล้วจึงค่อยติดตามโอรสไป

    ตจสารนครแห่งนี้ปกครองอยู่ด้วยท้าวปรุฬห์ผู้เป็นกษัตริย์ มีพระมเหสีเคียงข้างพระองค์เพียงหนึ่งพระนาง ทรงมีพระนามว่ากชรส ทั้งสองพระองค์ทรงมีพระราชโอรสร่วมกันถึงสามพระองค์ 

    พระโอรสพระองค์แรกพระนามว่า ทักษรักษ์ มีพระชนมายุ ๘ พรรษา มีพระปรีชารอบด้านทั้งศิลป์ศาสตร์และพระเวทยุทธ์ แลเด่นดีในพระหฤทัยเย็น พระวาจานุ่มนวลน่าตรับฟัง อิริยาบถก็ช่างงามสมพระราชโอรสองค์กษัตริย์ผู้ประสูติก่อน

    พระโอรสพระองค์ที่สองนั้นมีพระนามว่า วราธร พระชนมายุ ๗ พรรษา ปรีชาพระโอรสนั้นมีทั้งด้านยุทธ์แลด้านศิลป์ ทว่าพระหัตถ์โอนเอนไปทางด้านพระเวทศาสตราเด่นเสียมากกว่า พระวาจานั้นก็เสนาะฟังเพราะมิต่างไปจากเชษฐา อีกทั้งอิริยาบถค่อนข้างที่จะเงียบขรึม

    พระโอรสพระองค์สุดท้ายนั้นมีพระนามว่า กรณ์รบส  มีพระชนมายุได้ ๖ พรรษา มีพระปรีชาทั้งยุทธ์ศิลป์เทียบเท่ากับพระเชษฐาทั้งสองพระองค์แม้จะทรงประสูติภายหลัง พระอารมณ์เย็น น้ำวาจาเสนาะรู้กล่าววัจน์รู้กระทำ ใฝ่การละเล่นแลท่องชมพงพนา

    ด้วยวัยอันสมควรของทั้งสามพระโอรสแห่งตจสาร พระบิดาผู้ปกครองนครแห่งพืชพันธุ์อุดมจึงให้โอรสทั้งสามลงหัตถ์ปลูกบำรุงรักษ์พฤกษาด้วยตนเอง คราเมื่อเวลาผ่านมาได้ไตรมาส พฤกษาผลใบขยายกิ่งก้านงอกงามดีสมดั่งมีบุญญาเป็นโอรสกษัตริย์ แต่ทว่าพฤกษาต้นกลางอันปลูกบำรุงด้วยหัตถ์ของพระโอรสวราธรกลับแลดูซีดเซียวคล้ายใกล้จักตายลง จึงเป็นเหตุให้พระโอรสปลีกพระองค์แยกตนออกจากราชพิธีไป

     

    "ทั้งที่วราธรก็บำรุงรักษ์พฤกษาเป็นอย่างดีมิแพ้สองโอรส แล้วเหตุใดพฤกษาของวราธรจึงแลดูมิงามขจีเอาเสียเลย"

    หมู่เทวาผู้ร่วมกันประจำดูแลตจสารนครอย่างตำนานกล่าวว่า ต่างรวมตัวกันอยู่เบื้องหน้าสามกล้ารุกษะ บ้างก็พลางแลไปตามสามโอรสาด้วยความฉงน 

    "เจ้าจงแลดูดวงจิตวราธรให้ดีเถิด แลให้พบว่าแต่กาลก่อนนั้นวราธรเคยเป็นใคร" เมื่อสหายเคียงข้างกล่าว เทวาผู้เอ่ยกล่าวถามจึงพลันเพ่งพินิจพักตร์กุมารน้อยผู้ประทับตนอยู่ริมบึงสัตตบรรณหลวง ทันใดภาพอัคนิรุทรรุ่มร้อนมากไปด้วยการรอนรำบาญจึงฉายชัด อีกทั้งแลเห็นคมเขี้ยวกุมภัณฑ์อันแปดเปื้อนไปด้วยโลหิตมฤคี

    "กุมภัณฑ์"

    "เพราะดวงจิตยังคงเปี่ยมไปด้วยรัศมีร้อนจากภพชาติก่อน มาบัดนี้ความรุ่มร้อนจึงส่งผลอันเป็นกรรม" 

    "ภพชาติวราธรยังไม่น่าสงสัยเท่ากรณ์รบส" หนึ่งเทวากล่าวขึ้นยามเมื่อพิศเนตรแลถึงพฤกษาของโอรสผู้ประสูติทีหลัง

    "เจ้าหมายความว่าอย่างไร"

    "ทักษรักษ์ก็คือนรเทพในอดีตกาลทุกเทวานั้นต่างล่วงรู้ดี เหตุที่พฤกษางอกงามก็ด้วยเพราะหัตถ์เคยบำรุงรักษ์พฤกษามาแต่นานกาล ทว่ากรณ์รบสนั้นกาลก่อนเคยเป็นกุมภัณฑ์ แล้วเพราะด้วยเหตุใดกันพฤกษาจึงได้แลดูงอกงาม แม้นงามเทียบไม่ได้เช่นทักษรักษ์ แต่ก็ควรจะเป็นไปอย่างวราธรมิใช่หรอกหรือ" เมื่อสหายเทวากล่าวมาเช่นนั้น สองเทวาผู้ได้ตรับฟังคำจึงจำต้องแลกลับพิศพักตร์กรณ์รบสตามวาจา

    "จริงอย่างเจ้าว่า" 

    "นั้นก็ด้วยเพราะอดีตกาลนานมา กรณ์รบสเคยประภพเป็นเทวาสำคัญยิ่งกว่าหมู่เรา" หนึ่งเทวาผู้ตรับฟังบทสนทนากล่าวถึงสามโอรสอยู่นิ่งนาน ก้าวย่างเข้าเอ่ยความคลายฉงนให้แก่สหายในส่วนที่ตนรู้

    "แล้วเหตุใดเราจึงแลมิเห็นเป็นเช่นท่านว่ากันอักษา"

    "ถึงพวกท่านจะแลมิเห็น ทว่าองค์เทวราชท่านแลเห็น เพียงเท่านี้ก็น่าจะคลายฉงนให้พวกเจ้าได้แล้วกระมัง" ครั้นกล่าวคำตนจบความ เทวานามอักษาจึงก้าวบาทาผ่านสามสหายไปสู่สามโอรสด้านบึงสัตตบรรณ

    "จะกี่ครั้งกี่คราอักษาก็มักจะเวียนอยู่รอบกายกรณ์บสมิห้าง สองท่านว่าเกี่ยวข้องกันอย่างไรหรือ"

    สามเทวาเบื้องหลังแม้นจะมีสงสัยอยู่เต็มจิต แต่ก็ทำได้เพียงนิ่งตรึกคิดอยู่โดยไร้วาจา

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×