คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : 03 — ปีหนึ่งห้องเอ แผนกฮีโร่ โรงเรียนยูเอ
03 — ปีหนึ่งห้องเอ แผนกฮีโร่ โรงเรียนยูเอ
เช้าวันแรกของการไปโรงเรียน , คิเคียวตื่นเช้ากว่าที่คาดไว้สามสิบนาที แม้จะไม่มีความจำเป็นที่ต้องตื่นเช้า แต่ตื่นมาก็ดีจะได้มีเวลาเตรียมตัวเยอะๆ ไม่ต้องรีบร้อนจนพลาดบางสิ่ง
อาหารเช้าวันนี้คือแฮมเบิร์กง่ายๆ ให้พออิ่มท้องมีพลังงานและสารอาหารเพียงพอที่จะใช้ชีวิตครึ่งวันก่อนกินมื้อเที่ยง คิเคียวไม่ได้กังวลอะไรมากเพราะเป็นวันแรกของการเปิดเรียนคงไม่มีอะไรมากนัก จึงไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับการไปเรียน
วันนี้เธอมีนัดไปเอาไวโอลินที่ส่งซ่อมตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อนตอนเช้าก่อนไปเรียน เธอจึงควรออกจากบ้านก่อนเวลาปกติ หากถามว่าเธอเล่นไวโอลินเป็นด้วยหรือ? ขอตอบว่าได้
เพราะมันเป็นงานอดิเรกไม่กี่อย่างในชีวิตของเธอและเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงเธอกับพี่ชายแท้ๆ อีกด้วย
รถไฟฟ้ายามเช้ายังไม่แน่นมากนัก เพราะเวลาตอนนี้ถือว่าเช้ากว่าปกติ จุดหมายแรกคือไปยังร้านเครื่องดนตรีที่เธอเอาไวโอลินไปซ่อม ไปรับไวโอลินมาแล้วค่อยไปยังโรงเรียน แม้จะไม่ค่อยอยากพกไวโอลินไปแต่จะให้กลับมาบ้านเพื่อเก็บมันก่อนแล้วค่อยไปโรงเรียนอาจจะทำให้เธอไปสาย จึงช่วยไม่ได้ที่ต้องหิ้วมันไปด้วย
ได้แต่หวังว่าคงไม่มีใครมาสร้างความรำคาญให้เธอนัก เพราะเธอไม่แน่ใจว่าไม่จัดการคนที่มาทำตัวล้ำเส้นเธอไหม
ใช้เวลาเดินทางไม่นานก็มาถึงร้านดนตรีที่เธอคุ้นเคย
ร้านดนตรีของคุณลุงโมริโกตะ เธอค่อนข้างสนิทกับคุณลุงเพราะเมื่อก่อนก็เคยถูกช่วยไว้หลายอย่าง ไวโอลินของเธอก็ซื้อจากที่นี่เช่นกัน
คิเคียวผลักบานประตูเข้าไปภายในร้าน , เสียงกรุ๊งกริ๊งของกระดิ่งที่แขวนไว้กับที่จับประตูส่งเสียงดังเมื่อพวกมันถูกแรงไปกระทบ เป็นสัญญาณบอกแก่เจ้าของร้านว่ามีลูกค้าเข้าร้านมา
ไม่นานลุงโมริโกตะก็ออกมาจากหลังร้าน ไม่ต้องรอให้ใครพูดอะไร คุณลุงทำเพียงยิ้มใจดีอย่างที่เขาชอบทำและหายกลับเข้าไปที่หลังร้านอีกครั้ง ก่อนจะออกมาใหม่พร้อมกับกระเป๋าที่ข้างในบรรจุไวโอลินของเธอเอาไว้
“รักษาไว้เป็นอย่างดีเลยนะ ลุงเปลี่ยนสายให้ตามคำขอแล้ว ราคาเดิมนะ”
คิเคียวยิ้ม หากคนที่รู้จักเธอมาเห็นก็คงจะรู้สึกประหลาด เพราะเธอไม่เคยยิ้มเลยสักครั้งกลับยิ้มออกมาตอนนี้
“ค่ะ เพราะมันคือของขวัญที่พี่เซ็ตสึให้หนูนี่นา”
ลุงโมริโกตะยิ้ม , เขารู้ดีว่าเด็กตรงหน้าเคยอ่อนโยนมากเพียงใด เคยมีรอยยิ้มสดใสมากเพียงใด แต่ทุกอย่างก็เลือนหายไป เขาเห็นเด็กคนนี้มาตั้งแต่เล็กๆ จนตอนนี้เติบใหญ่แล้ว
เมื่อเวลาผ่านไป คนเราจักเติบโตขึ้น , เด็กตรงหน้าก็เช่นกัน
แต่เขาก็รู้สึกเศร้าใจที่การเติบโตมันพรากรอยยิ้มสดใสของเด็กคนนี้ไปหมดเสียแล้ว
หลังจากไปเอาไวโอลินที่ร้าน คิเคียวก็ตรงไปโรงเรียนเลยทันที ตอนนี้ยังเช้าอยู่แถมจากที่ร้านก็ไม่ไกลโรงเรียนมากนัก อย่างน้อยๆ เธอน่าจะไปถึงโรงเรียนตอนเจ็ดโมงพอดี
และก็เป็นไปตามที่คาด เธอมาถึงหน้าโรงเรียนยูเอตอนเจ็ดโมงพอดีไม่ขาดไม่เกิน
โรงเรียนยูเอค่อนข้างใหญ่ แต่เธอก็ไม่ได้คิดไว้ว่าประตูหน้าห้องเรียนมันจะต้องสูงขนาดนี้ ขนาดเธอสูง 170 ยังรู้สึกว่าประตูสูงอยู่เลย แต่เมื่อคิดว่าโลกใบนี้มีอัตลักษณ์ คนที่มีอัตลักษณ์ที่ทำให้ร่างเป็นไททันก็คงจะมีอยู่มั้ง การสร้างประตูให้สูงเพื่อไว้คงเป็นการอำนวยความสะดวกแหละ
เธออยู่ห้อง 1-A และตอนนี้ก็มาถึงหน้าประตูแล้ว พอเปิดเข้าไปเท่านั้นแหละ
เจอแต่คนคุ้นหน้าคุ้นตาทั้งนั้น
เสียงทะเลาะเอะอะของเด็กผู้ชายสองคนกลายเป็นจุดสนใจของเด็กในห้องจนถึงตอนที่ได้เห็นเด็กผู้หญิงเจ้าของเรือนผมสีเงินสวย สวมแว่นตาสีชาทรงหยดน้ำซึ่งมันเข้ากับใบหน้าของอีกฝ่ายมากเปิดประตูเข้ามา ความสนใจก็เทไปหาเด็กคนนั้นกันหมด
แววตาเย็นชาของเด็กสาวกวาดตามองไปยังทุกคนก่อนจะเริ่มเดินเข้าห้องมา แต่ยังไม่ทันจะเดินไปถึงโต๊ะกลับถูกเด็กผู้ชายที่ทุกคนมองเพียงครั้งเดียวก็รู้ว่านิสัยไม่ดีเอาเสียเลย บวกกับเรื่องเขาทะเลาะกับเด็กผู้ชายที่เอาจริงเอาจังอย่าง ‘อีดะ เทนยะ’ ก่อนหน้านี้ด้วยแล้ว ต้องมีเรื่องเกิดขึ้นแน่นอน นั่นคือความคิดของทุกคนในห้อง
คิเคียวมองเด็กผู้ชายผมเม่นที่เธอจำได้ลางๆ ว่าเห็นเขาในห้องประชุมตอนนั้น ตอนนี้กำลังยืนขวางเธอและใช้สายตามองอย่างหาเรื่อง พร้อมจุดระเบิดในมือให้ได้ยินเสียงประกายไฟ
มันอาจจะน่ากลัว แต่สำหรับคิเคียวที่เจอเรื่องที่น่ากลัวกว่านี้มาแล้ว มันก็เหมือนกับของเด็กเล่น แล้วอีกอย่างหมอนี่มาขวางเธอทำไม?
ไม่ต้องรอให้เธอสงสัยนาน เด็กผู้ชายที่ดูก็รู้ว่าเป็นพวกหยิ่งในศักดิ์ศรีและทรนงในตัวเองมากคนนี้ก็เปิดปากพูด
“เฮ้ย! แกใช่มั้ยวะ!? ที่แย่งที่หนึ่งไปจากฉันน่ะ!!”
มันเป็นเหี้ยอะไรของมัน? เฮ้อ เธอกะไว้แล้วว่าไอ้อันดับหนึ่งนี่มันพาซวยชะมัด
เสียเวลาที่จะต่อปากต่อคำ คนประเภทนี้คิเคียวไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยที่สุด น่ารำคาญโคตรๆ
“เฮ้ย! ตอบมาดิวะ แกใช่มั้ย!!?”
เธอเบี่ยงตัวเดินผ่านเด็กชายผมฟางไปโดยไม่แม้แต่จะชายตามองหรือฟังเขาพล่ามเลยสักนิด เธอขอย้ำอีกรอบส่าเธอไม่อยากยุ่งด้วย มันเสียเวลาและเสียสุขภาพหู
คนบ้าอะไรพูดตะคอกตลอดเวลา บ้านเปิดบริษัทยาอมแก้เจ็บคอรึไงถึงกล้าตะโกนโหวกเหวกตลอดแบบนั้น
แต่ดูเหมือนเธอจะคิดง่ายเกินไป
บาคุโก คัตสึกิ , รู้สึกโกรธ ยัยผู้หญิงนั่นที่เขาแน่ใจว่าหล่อนคือคนที่ได้อันดับหนึ่งเมินเขา ยัยนั่นไม่แม้แต่จะชายตามองเขา! ทำอย่างกับเขาเป็นไอ้ไร้ค่า (คิดไปเอง เขาแค่ไม่อยากยุ่ง) นั่นทำให้คัตสึกิโกรธ แค่ยัยนั่นมันได้อันดับหนึ่งแทนเขาก็ทำให้เขาโกรธจะแย่อยู่แล้ว ยัยนั่นยังมาเมินเขาอีก!!!
เขาไม่ใช่ไอ้ไร้ค่าเดกุนะเว้ย!!!!!!
บรึ้ม!
“ฉันว่านายควรไปฝึกการควบคุมอารมณ์หน่อยนะ”
คิเคียวหันมามองอีกฝ่ายด้วยสายตารำคาญ
“ก็โตแล้วนี่นา นายควรมีวุฒิภาวะทางอารมณ์มากกว่านี้นะ ไม่เห็นหรอว่าเสียงระเบิดจากอัตลักษณ์ของนายมันทำให้คนอื่นเขาปวดหูน่ะ”
คิเคียวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยก่อนจะหันหน้ากลับและเดินไปนั่งที่ของตนโดยที่ไม่สนใจบาคุโกอีก
บาคุโก คัตสึกิขอสาบาน เขาจะขยี้ยัยนี่ให้จมดิน
ความวุ่นวายในห้องดำเนินต่อไปได้ไม่นานก็ถูกขัดจังหวะโดยเสียงของคนที่คิเคียวจำได้ว่าเป็นเสียงของฮีโร่ที่ดูอดนอน
“ถ้าอยากหาเพื่อนเล่นก็ไปที่อื่น”
ทุกคนหาต้นเสียงอยู่สักพักก่อนจะเจอกับก้อนสีเหลืองๆ ที่พอมองดีๆ มันคือถุงนอนและในนั้นมีคนอยู่
“เอาล่ะ ใช้เวลาไปตั้งแปดสิกว่าจะเงียบ”
ชายที่อยู่ในถุงนอนค่อยๆ เอาตัวเองออกมาจากถุง
“ฉันเป็นอาจารย์ประจำชั้นของพวกเธอ ไอซาวะ โชตะ”
“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยล่ะ”
อาจารย์ไอซาวะทักทายด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ก่อนที่เขาจะหยิบอะไรบางอย่างที่อยู่ในถุงนอนออกมาโชว์ต่อหน้าเหล่านักเรียนในปกครอง
มันคือ ‘ชุดพละ’ ของโรงเรียน
“อย่าเสียเวลาอีกเลยเถอะ เอานี่ไปใส่แล้วไปที่สนามซะ”
นักเรียนหลักสูตรฮีโร่ชั้นปีหนึ่งห้องเอ ไม่มีเวลาแม้แต่จะตั้งคำถามว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นเลยด้วยซ้ำ
หลังจากที่คิเคียวทนเปลี่ยนชุดในห้องแต่งตัวหญิง ที่เธอถูกจับจ้องจากสายตาผู้หญิงที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นจนเธอรู้สึกอึดอัดมาได้ ตอนนี้เธอมาอยู่ในสนามที่อาจารย์ประจำชั้นนัดไว้แล้วเรียบร้อย ข้างๆ มียาโอโยโรสึอยู่ด้วย
คิเคียวพึ่งสังเกตเห็นหล่อนตอนที่เดินไปที่นั่ง แต่ตอนนั้นเธอไม่มีอารมณ์ทักทายเลยไม่ได้ทัก อีกฝ่ายมาทักเธอตอนที่เธอเปลี่ยนชุดเสร็จและกำลังจะออกจากห้องแต่งตัว
ตอนนี้ทุกคนมาครบแล้ว อาจารญืก็เริ่มอธิบายว่าทำไมถึงให้พวกเรามาที่นี่ ง่ายๆ เลยก็คือ
‘ทดสอบความเข้าใจในอัตลักษณ์’ ใช้อัตลักษณ์ในการทดสอบสมรรถภาพต่างๆ ทางร่างกาย งั้นสินะ
ไม่รอให้ใครโวยวายมากกว่านี้ อาจารย์ไอซาวะก็เรียกชื่อเธอ
“อากิฮิโระ คิเคียว สอบได้ที่หนึ่งใช่ไหม?”
อย่าพูดบ่อยเลยเถอะ ขอร้องล่ะ ไอ้อันดับหนึ่งเนี่ย
เสียงพูดคุยดังขึ้นเล็กน้อยเมื่อทุกคนรู้ว่าใครเป็นอันดับหนึ่งในการสอบเข้ารอบปกติ แต่มีอยู่คนนึงที่พึมพัมอะไรที่ดูเหมือนจะ ‘รู้มาก’ อยู่คนนึงด้วย
“ตอนมอต้นเธอขว้างซอฟต์บอลได้เท่าไหร่?”
“87 เมตรค่ะ”
อาจารย์ยื่นลูกบอลมาให้พร้อมพูดว่า
“งั้นที่นี้ลองใช้อัตลักษณ์ของเธอขว้างดู”
เธอเดินไปรับลูกบอลมาถือไว้ในมือพลางใช้ความคิด
สำหรับเธอที่รู้จักพลังตัวเองดียิ่งกว่าใคร เธอรู้ดีว่าจะต้องใช้วิธีไหนในการส่งบอลไปให้ไกลที่สุด วิธีที่ดีที่สุดคือการใช้แรงคลื่นลมปะทะเวลาที่เธอใช้อัตลักษณ์สองอย่างพร้อมกัน นั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุด มันจะไปได้ไกลมากจริงๆ แต่เธอไม่ต้องการใช้อัตลักษณ์อีกอันที่นอกเหนือจาก ‘เพลิงโลกันตร์’
วิธีที่รองลงมาคือการใช้เพียงแค่อัตลักษณ์เพลิงโลกันตร์ในการขว้าง อาจจะไม่ได้ดีเท่าวิธีแรกแต่ก็ยังไปได้ไกล
ไม่ต้องเสียเวลาคิดให้มากความ เธอเลือกที่จะใช้วิธีที่สอง
“ถอยไปหน่อยเถอะค่ะ มันอาจจะร้อนนิดหน่อยถ้ายืนใกล้แบบนี้”
เธอเอ่ยฑูดกับคนอื่นๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก มันร้อนจริงๆ เพราะมันเป็นไฟสีฟ้านี่นา
เปลวเพลิงลุกท่วมลูกบอลในมือ เธอกำมันไว้ในท่าเตรียมพร้อมขว้างของพิชเชอร์ในกีฬาเบสบอล ก่อนจะขว้างมันออกไปสุดแรงพร้อมใช้ไฟเป็นแรงผลักมันเหมือนกับทุกครั้งที่เธอใช้ทรงตัวและเคลื่อนที่ในอากาศ
ลูกบอลที่เคลือบด้วยไฟสีฟ้าพุ่งออกไปในอากาศด้วยความเร็วสูงท่ามกลางสายตาตกตลึงของเพื่อนร่วมชั้น และมีหนึ่งคนที่ดูจะตกตลึงเป็นพิเศษ เธอรู้จักเขา ลูกชายคนเล็กของครอบครัวโทโดโรกิ หรือครอบครัวของเอนเดเวอร์
ถามว่ารู้จักได้อย่างไร คงตอบได้ว่าเธอเคยมีเพื่อนสนิทที่เป็รลูกของโปรฮีโร่คนนั้น
เสียงปิ๊บๆ ดังขึ้น อาจารย์ไอซาวะโชว์ระยะการข้างของเธอให้แก่ทุกคนดู
1,200 เมตร หรอ? ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ จะไปให้ไกลกว่านี้ก็ได้แต่เธอไม่เห็นความจำเป็นเลยไม่ทำ
หลังจากทุกคนได้เห็นระยะที่เธอขว้างได้ ก็พูดอะไรที่ฟังแล้วไม่รื่นหูออกมาจนอาจารย์ไอซาวะยิ้มเหี้ยม
“ดี”
“งั้นฉันจะให้คนที่ได้ที่โหล่ในการสอบสมรรถภาพแปดอย่างนี้ จะพิจารณาว่าเป็นคนไร้ความสามารถและไล่ออกก็แล้วกัน”
พออาจารย์พูดแบบนั้นทุกคนก็ตกอยู่ในความเงียบ คิเคียวหลับตาลงพลางถอนหายใจ
ทำให้ได้เกินค่าเฉลี่ยทุกอันก็พอไม่จำเป็นต้องได้ที่หนึ่งหรือชนะใคร
ท่ามกลางความตื่นตกใจ อาจารย์ไอซาวะก็ยังคงพูดต่อราวกับว่าเขาไม่ได้เห็นความตกใจของเหล่านักเรียน
“จะทำยังไงกับนักเรียนก็เป็นอิสระของอาจารย์”
ไอซาวะ โชตะเสยผมของตัวเองขึ้นพลางยิ้มแสยะ
“ยินดีต้องรับทุกคน นี่แหละคือหลักสูตรฮีโร่ของโรงเรียนยูเอ”
ทุกคนตกตลึงอยู่พักหนึ่งก็ที่เสียงของเด็กสาวแก้มกลมที่คิเคียวจำได้ว่าหล่อนยืนอยู่กับเด็กผู้ชายผมเขียวคนนั้นที่เธอนั่งข้างตอนสอบดังขึ้นประท้วงคำพูดของอาจารย์
“คนที่ได้ที่โหล่จะถูกไล่ออกหรอคะ?”
“นี่พึ่งเปิดเรียนวันแรกเองนี่คะ ไม่สิ ถึงจะไม่ใช่วันแรกมันก็ไม่ยุติธรรมเลยค่ะ”
“ภัยธรรมชาติ อุบัติเหตุครั้งใหญ่ และเหล่าวิลเลินที่เห็นแก่ตัวสามารถเอาภัยพิบัติมาได้ตลอดเวลา”
“ตอนนี้ญี่ปุ่นมันก็เป็นแบบนี้แหละ”
“และคนที่จัดการกับเรื่องเหล่านี้ได้ก็คือฮีโร่“
“ถ้าคิดจะไปนั่งชิลล์ในร้านหลังเลิกเรียนล่ะก็ทำใจไว้เถอะ”
“ตลอดสามปีจากนี้ยูเอ จะเอาแต่ความทรมาณมากให้พวกเธอ”
“พุ่งออกไปให้ไกลกว่านี้สิ พลัส อัลตรา”
“ก้าวข้ามความลำบากอย่างสุดกำลังกันเถอะ”
ฮะๆ ก้าวข้ามความลำบากอย่างสุดกำลังงั้นหรอ? ก็ใช่นั่นแหละนะ ถ้าแค่นี้ผ่านไปไม่ได้ เรื่องการจัดการงานหรือทำหน้าที่จริงในฐานะฮีโร่ก็ไม่ได้ทั้งนั้นนั่นแหละ
การสอบเป็นไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาประกาศคะแนนแล้ว เธอได้อันดับหนึ่ง (อีกแล้ว) อาจจะเพราะเธอตั้งใจทำให้มันเกินค่าเฉลี่ยทุกอันพอเอามาเฉลี่ยดูเลยออกมาดีกว่าคนอื่น
ถึงแม้ในการทดสอบจะเกิดความวุ่นวายเล็กน้อยตอนที่นายหัวเขียวขว้างซอฟต์บอลก็เถอะ จู่ๆ นายหัวฟางก็จะพุ่งเข้าไปหาเรื่อง แต่ดีที่อาจารย์ระบับเหตุไว้ได้ พร้อมบอกอัตลักษณ์ตัวเองอย่าง ‘ลบอัตลักษณ์’ ให้แก่นักเรียนรู้ด้วย
บอกตามตรงว่าเธอใช้เวลาส่วนใหญ่ระหว่างรอไปกับการเก็บข้อมูลอัตลักษณ์ของเพื่อนร่วมชั้นก็พบคนน่าสนใจอยู่บ้างอย่าง อาซุย ทสึยุ , จิโร่ เคียวกะ , ฮากาคุเระ โทรุ เป็นสามคนที่คิเคียวค่อนข้างสนใจ อัตลักษณ์น่าสนใจ อาซุยเป็นกบ จิโร่ถ้าประยุกต์ใช้ดีๆ จะเป็นอัตลักษณ์ที่เหมาะในการตรวจจับมาก ฮากาคุเระเป็นการหักเห เธอไม่คิดว่านั่นเป็นการ ‘ล่องหน’ น่าจะเป็นการที่เจ้าตัวหักเหแสงออกมากกว่า เพราะการมองเห็นของคนเรา ถ้าไม่มีแสงไปตกกระทบวัตถุเราก็จะไม่เห็นวัตถุ สำหรับร่างกายของฮากาคุเระก็คงแบบนั้นแหละ
หลังการสอบจบลง พวกเราก็ได้รับอนุญาตให้กลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าและกลับห้องเรียนได้
เธอเดินตามหลังกลุ่มนักเรียนหญิงที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นมาเงียบๆ มองดูยาโอโยโรสึผูกมิตรกับเด็กคนอื่นๆ
เธอไม่ได้เดินใกล้กับกลุ่มเด็กพวกนั้นมากจนเกินไปเลยไม่ถูกลากเข้าไปในวงสนทนา สำหรับเธอแล้ว โลกของเด็กผู้หญิงทั่วไปเป็นโลกที่เธอไม่สามารถเข้าถึงได้
เธอสูญเสียความสดใส ความเป็นเด็กไปหมดแล้ว เพราะงั้นเธอจึงหลีกเลี่ยงการเข้าสังคมกับเด็กในรุ่นเดียวกัน มันคงไม่สนุกนักหรอกที่ตัวเองไม่รู้ว่าคนอื่นเค้าคุยอะไรกัน และมันคงเป็นการลำบากเพื่อนคนอื่นด้วย
คิเคียวมองดูรอยยิ้มของยาโอโยโรสึแล้วก็ได้แต่คิด เธอยินดีกับหล่อนนะที่หล่อนมีเพื่อนอย่างที่หล่อนอยากจะมีได้แล้ว เพื่อนที่หล่อนสามารถพูดคุยเรื่องเด็กผู้หญิงทั่วไปได้ เพื่อนที่ไม่เห็นว่าหล่อนเป็นลูกสาวของตระกูลดังและพยายามตีสนิท เพื่อนในแบบที่หล่อนอยากมีมาตลอดน่ะ
รอยยิ้มของเด็กสาววัยรุ่นทั่วไปแบบนั้น คิเคียวก็อยากให้มันไม่จางหายไปเมื่ออีกฝ่ายโตขึ้นเลย
หลังจากที่เปลี่ยนชุดเสร็จทุกคนก็กลับไปที่ห้องกันเริ่มเก็บของกลับบ้านกัน กลุ่มนักเรียนหญิงที่นัดกันจะไปร้านเค้กด้วยกันเพื่อสร้างความสนิทสนมและรู้จักกันมากขึ้นก็กำลังเดินคุยกันลงมาจากตึกเรียนด้วยเช่นกัน
ยาโอโยโรสึ โมโมะ รู้สึกว่าวันนี้ทั้งวันคิเคียวซังดูเหมือนจะหลบหน้าเธออยู่ ตอนที่เข้าไปทักก็ตอบกลับก็จริงแต่หลังจากนั้นก็เว้นระยะห่างกับเธอแบบแปลกๆ เธอทำอะไรผิดหรือเปล่านะ?
ตอนที่ไปที่ห้องก็ไม่อยู่แล้วด้วยหรือว่าคิเคียวซังจะน้อยใจเรื่องที่เธอมีเพื่อนใหม่
ไม่ นั่นเป็นไปไม่ได้แน่นอน แต่งั้นทำไมล่ะ?
ระหว่างที่คิดฟุ้งซ่านในหัวและคุยโต้ตอบกับคนอื่นๆ ที่เดินมาด้วยกันอยู่ก็ได้เสียงเสียงไวโอลินดังขึ้นไม่ไกลจากที่เธออยู่นัก
เป็นจิโร่ซังที่ทักขึ้นก่อน
“นี่มันเสียงไวโอลินนี่?”
“ใครเล่นกันนะ? เสียงเพราะมากเลย”
พวกเรามองหน้ากันสักพักก่อนจะตัดสินใจเดินตามหาเสียง และไม่นานก็พบ
คนที่เล่นไวโอลินคือคิเคียวซัง
คิเคียวแค่อยากทดลองเล่นดูนิดหน่อยว่าต้องปรับตรงไหนไหม เธอแค่ยังไม่อยากกลับบ้านเท่านั้นเลยจะลองเล่นดูก่อนที่นี่สักหน่อย ถ้ามันไม่โอเคตรงไหนจะได้ไปร้านคุณลุงโมริโกตะเลย เพราะจากโรงเรียนไปร้านก็ใกล้กว่าจากบ้านไปร้านอยู่ดี
พอได้ทดลองเล่นก็พบว่ามันใช้ได้เลย สุดยอดเลยจริงๆ คุณลุงโมริโกตะ
เล่นไปได้อีกนิดหน่อยให้หายอยาก พอกำลังจะเก็บไวโอลินลงกล่องก็ได้ยินเสียงทักขึ้น
“คิเคียวซังเป็นคนเล่นหรอคะเพลงเมื่อกี้?”
เป็นยาโอโยโรสึที่ทัก ดูเหมือนว่าหล่อนจะมาพร้อมกับเด็กผู้หญิงที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นของเธอด้วย
“ใช่ ทำไมหรอ?”
“เปล่าค่ะ แค่มันเพราะมากเลยค่ะ”
“อืม ขอบคุณ”
เธอพยักหน้าขอบคุณ ก่อนจะหันกลับไปเก็บไวโอลินลงกล่อน ล็อคเก็บเรียบร้อยก่อนจะเตรียมออกจากโรงเรียน ก่อนที่จะได้เดินแยกออกไปก็ถูกเรียกไว้เสียก่อน
“คิเคียวซังคะ!”
“?”
“คราวหน้าช่วยเล่นให้ฟังได้ไหมคะ?”
เธอหลับตาลง
“ถ้ามีโอกาศ”
พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินออกจากโรงเรียนไป
การเรียนวันแรกจบลงแล้ว
ความคิดเห็น