ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Azur Lane] Gundam Azur Lane

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 4 ช่วยเหลือ

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.ย. 63


    เช้าวันต่อมา จาเวลินและลาฟฟีมาปิกนิกกันที่ริมหน้าผาแห่งหนึ่ง ที่แห่งนั้นตั้งอยู่บนที่สูงมีทุ่งหญ้าและต้นไม้อยู่ประปราย ที่นั่นสามารถมองเห็นวิวทะเลได้กว้างสุดลูกหูลูกตา

    พวกเธอนั่งอยู่บนผ้าปูและมีตะกร้าวางอยู่ ภายในปิ่นโตมีแซนวิช ไส้ต่างๆ ไส้กรอกรูปปลาหมึก สลัดผัก และแอปเปิ้ลที่หั่นเป็นชิ้นประดับอยู่ และมีกระติกน้ำวางอยู่ข้างๆ

    จาเวลินนั่งกอดเข่ามองดูวิวทะเล ขณะที่ลาฟฟีนั่งทานแซนวิชอยู่ข้างๆ ตัวเธอมีขวดโคล่าวางอยู่

    “เด็กคนนั้นจะสบายดีหรือเปล่านะ”

    “หืม... อ้อ อายานามิงั้นสินะ?”

    ลาฟฟีพูดขึ้นมาดูเหมือนว่าเธอจะรู้ว่าคนที่จาเวลินพูดถึงคือใคร

    “อายานามิจังเหรอ?”

    จาเวลินถอนหายใจออกมา ก่อนจะแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีคราม

    “มีหนทางที่ไม่ต้องสู้กันบ้างมั้ยนะ”

    พั่บ

    จาเวลินกับลาฟฟีได้ยินเสียงกระพือปีกของนกตัวใหญ่ พวกเธอจึงเงยหน้าขึ้นไปมองแล้วพวกเธอก็เห็นนกอินทรีหัวขาวบินลงมาเกาะกิ่งไม้ที่อยู่ใกล้กับพวกเธอ

    “นกนั่นมัน...”

    ลาฟฟีจำนกตัวนั้นได้ นั่นคือ นกอินทรีหัวขาวของเอ็นเทอร์ไฟรซ์

    เอ็นเทอร์ไฟรซ์เดินอยู่ที่ทางเดินด้านล่าง จาเวลินเห็นเธอก็ลุกขึ้นมายืน

    “คุณเอ็นเทอร์ไฟรซ์!”

    เอ็นเทอร์ไฟรซ์มองมายังพวกเธอทั้งสองคน ก่อนจะเดินขึ้นไปหาพวกเธอ

    นกอินทรีสัตว์เลี้ยงของเธอก็บนไปมาบนท้องฟ้า ส่วนเอ็นเทอร์ไฟรซ์ก็ยืนอยู่ที่ริมหน้าผามองดูวิวทะเล

    แต่ไม่รู้ทำไมบรรยากาศถึงรู้สึกอึดอัดแบบนี้ จาเวิลินมีท่าทีกระวนกระวาย ส่วนลาฟฟียังคงทานแซนวิชอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่สนใจรอบข้าง

    แต่ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร กันดั้มดับเบิ้ลโอ สกายก็ร่อนลงมาหาพวกเธอก่อนจะคืนร่างเดิม

    “คุณอากิระ”

    “ไง จาเวลิน ลาฟฟี”

    “หวัดดีค่ะ”

    ลาฟฟีทักทายก่อนจะกลับไปกินตามเดิม จากนั้นเขาก็หันไปมาเอ็นเทอร์ไฟรซ์

    “ไง เอ็นเทอร์ไฟรซ์ มาอยู่ที่นี่เองเหรอ?”

    “อืม ไม่คิดเลยว่านายจะหาฉันเจอที่นี่”

    เอ็นเทอร์ไฟรซ์หันมาพูดคุยกับอากิระ ดูเหมือนว่าบรรยากาศตึงเครียดของทั้งสองจะลดลงมาบ้างแล้ว

    ถ้าจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นก็คงต้องย้อนกลับไปยังช่วงก่อนเวลาค่ำของเมื่อวาน

     

    ในเวลาประมาณ 16.00 น. ของเมื่อวาน

    “ไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่ยอมรับค่ะ”

    เอ็นเทอร์ไฟรซ์คัดค้านเรื่องที่จะยอมรับอากิระให้เข้าร่วมกับอซูร์เลน

    ณ ห้องผู้บัญชาการซึ่งถูกใช้เป็นห้องประชุม เหล่าคันเซย์ซึ่งถูกเรียกตัวมารวมกันที่ห้องประชุมรวมถึงอากิระด้วย

    ภายในห้องมี ปรินซ์ออฟเวลส์ อิลลัสเทรียส ยูนิคอร์น คลีฟแลนด์ จาเวลิน ลาฟฟีและเอ็นเทอร์ไฟรซ์ รวมถึงอากิระและคนอื่นๆ ทั้งหมดมาเข้าร่วมการประชุมในหัวข้อเรื่องที่จะให้อากิระเข้าร่วมกับอซูร์เลน แน่นอนว่าทุกคนยอมรับกันได้หมดยกเว้นเอ็นเทอร์ไฟรซ์

    เอ็นเทอร์ไฟรซ์นั้นคัดค้านหัวชนฝา

    “ไม่ว่ายังไง เขาก็อาจเป็นสปายของจักรวรรดิซากุระที่แฝงตัวเข้ามาเพื่อล้วงข้อมูลของฝ่ายเราก็ได้”

    “นี่เธอ! จะให้ฉันพูดอีกกี่ครั้งกี่หนกัน! ว่าฉันไม่ใช่สปายของจักรวรรดิซากุระน่ะ!!”

    อากิระก็พูดโต้เถียงกับเอ็นเทอร์ไฟรซ์ ทั้งสองโต้เถียงกันถึงขั้นเอาหัวชนกันและดันกันไปมาพร้อมกับประกายไฟที่พุ่งออกมาจากตาของทั้งสองที่ส่งเสียงดัง เปรี๊ยะๆ ออกมา

    บรรยากาศภายในห้องประชุมหนักอึ้งเป็นอย่างมาก ปรินซ์ออฟเวลส์ อิลลัสเทรียส ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจต่อสภาพของทั้งสองที่เอาแต่ทะเลาะกันตลอด

    “เอาไงดีล่ะเนี่ย เอ็นเทอร์ไฟรซ์เอง ก็หัวแข็งใช่เล่นเลยด้วย ไม่มีทางที่จะทำให้เธอยอมรับได้เลยเหรอ”

    อิลลัสเทรียสมองดูทั้งสองทะเลาะกันอย่างลำบากใจ

    “นี่ ทั้งสองคน หยุดทะเลาะกันสักทีเถอะ”

    ‘หุบปากไปเลย!!!’

    อากิระกับเอ็นเทอร์ไฟรซ์พูดประสานเสียงกันอย่างพร้อมเพรียง ทำให้คลีฟแลนด์ที่เข้ามาห้ามถึงกับต้องผงะถอยหลังทันที

    ยูนิคอร์นซึ่งมองภาพการทะเลาะกันของทั้งสองก็เอ่ยขึ้นมา

    “ทั้งสองคนดูเหมือนคนรักกันยังไงก็ไม่รู้นะคะ พี่สาว”

    ‘!?’

    ทั้งสองที่ได้ยินคำพูดของยูนิคอร์นก็ตกใจ เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่อยู่ภายในห้องประชุม

    “ฉันกับยัยนี่เนี่ยนะ!?”

    “ฉันกับหมอนี่เนี่ยนะ!?”

    ‘คนรัก อย่ามาพูดบ้าๆ นะ!?’

    ทั้งสองชี้นิ้วใส่กันและพูดประสานเสียงกันอย่างพร้อมเพรียง ทำให้ทั้งสองถึงกลับอึ้ง ก่อนจะหันมามองหน้ากัน

    “เธอพูดพร้อมฉันทำไม!”

    “นายนั่นแหละ พูดพร้อมฉันทำไม!”

    ‘ฮึ้ย’

    อากิระกับเอ็นเทอร์ไฟรซ์พูดประสานเสียงกันอย่างลงตัว แล้วจ้องเขม็งใส่กันก่อนจะสะบัดหน้าหนีแล้วกอดอกส่งเสียงดัง หึ ออกมาทางจมูก

    “เฮ้อ”

    ทุกคนภายในห้อง ยกเว้นยูนิคอร์นที่ดูจะเป็นเด็กไร้เดียงสา ได้แต่ถอนหายใจกันออกมา

    “เอาล่ะ เอาล่ะ ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว ทุกคนแยกย้ายไปพักผ่อน ทานอาหารและอาบน้ำกันเถอะ”

    ปรินซ์ออฟเวลส์เป็นคนที่ทำให้บรรยากาศตึงเครียดภายในห้องผ่อนคลายลง

    “ก็ดีเหมือนกันนะ”

    “เห็นด้วย”

    “อาบน้ำ อาบน้ำ”

    จากนั้นทุกคนก็เริ่มเดินออกจากห้องประชุมจนเหลือแค่เอ็นเทอร์ไฟรซ์กับอากิระ ทั้งสองจ้องเขม็งใส่กันก่อนจะเดินออกจากห้องไป

    หลังจากทานอาหารเงินเสร็จแล้ว อากิระก็เดินไปยังห้องอาบน้ำ โชคดีที่เฮสเทียเตรียมเสื้อผ้าให้กับเขาด้วยเลยโชคดีไป จริงๆ โลกนี้ก็มีผู้ชายอยู่ แต่ว่าเสื้อผ้าส่วนใหญ่ในฐานทัพดันมีแต่ของผู้หญิงทั้งนั้น จึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ถ้าจะเดินทางไปยังแผ่นดินใหญ่หรือเกาะที่มีผู้คนอาศัยอยู่ก็คงจะใช้เวลานาน

    เขาเดินเข้ามาในห้องอาบน้ำ ความจริงแล้วเนื่องจากเขาเป็นผู้ชายคนเดียวที่อยู่ภายในฐานทัพแห่งนี้ เลยต้องมีการกำหนดเวลาในการเข้าใช้ พวกผู้หญิงจะใช้ห้องอาบน้ำก่อนในเวลาประมาณ 18.00น. ถึง 19.30น. อากิระจะสามารถเข้าใช้ได้ตอนสองทุ่ม

    เขาเปิดประตูเข้ามาในห้องอาบน้ำ

    “ว้าว สุดยอดไปเลย อย่างกับงานสถาปัตยกรรมที่งดงามเลยแฮะ”

    เขาพูดออกมาด้วยความชื่นชม ภายในห้องอาบน้ำเป็นแบบของตะวันตก มีหัวสิงโตปล่อยน้ำออกมาจากปากไหลลงสู่อ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ มีที่สำรับอาบน้ำล้างตัวก่อนจะแช่น้ำ

    “หืม นั่นใครน่ะ?”

    “เอ๊ะ”

    จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา ไอน้ำบดบังจนมองไม่ค่อยเห็น จะเห็นได้ก็แค่ร่างเงา จากนั้นร่างเงานั้นก็ค่อยๆ เห็นชัดเจนมากขึ้น

    “อ๊ะ”

    “อา”

    เมื่อเห็นไอน้ำจางลงอากิระก็เห็นเอ็นเทอร์ไฟรซ์อย่างชัดเจน ใช่แล้ว เธออยู่ในสภาพเปลือยเปล่า หน้าอกอันใหญ่โตอุดมสมบูรณ์ เรือนร่างอันงดงามราวกับเทพธิดา ในมือถือผ้าขนหนูเอาไว้ผืนเดียว

    “กรี๊ดดดดด!!!!”

    “จ๊ากก!!!!”

    เมื่อเห็นหน้ากันอย่างชัดเจน ทั้งสองก็กรีดร้องออกมาดังลั่นไปทั่วห้อง

    “ทะ ทะ ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่? นี่มันเวลาอาบน้ำของฉันนะ”

    “นะ นะ นายนั่นแหละ เข้ามาทำไม? นี่มันเวลาอาบน้ำของผู้หญิงไม่ใช่เหรอ?”

    “เอ๊ะ?”

    ทั้งสองส่งเสียงงุนงงออกมาก่อนจะรู้ตัว

    “โดนหลอกเข้าให้แล้ว”

    ดูเหมือนว่า จะมีใครบางคนบอกเวลาผิดให้เอ็นเทอร์ไฟรซ์ฟังว่าเวลาอาบน้ำของผู้หญิงคือสองทุ่ม แต่จริงๆ แล้วเวลาที่ถูกต้องคือ 18.00น. ถึง 19.30น. ต่างหาก

    “จะยังไงก็ตาม ฉันขอออกไปก่อนนะ เชิญเธออาบน้ำได้ตามสบายเลย”

    อากิระรีบวิ่งไปที่ประตูทันที แต่ว่าเมื่อเขาพยายามจะเปิดประตู

    “เอ๊ะ? ทำไมประตูถึงเปิดไม่ออก!?”

    “อะไรนะ!?”

    เอ็นเทอร์ไฟรซ์ได้ยินแบบนั้นก็รีบพันผ้าเช็คตัวแล้วเดินมาที่ประตูแล้วลองเปิดมันดู

    “เปิดไม่ออก พวกเราถูกขัง!!”

    “ว่าไงนะ!?”

    อากิระตกใจเป็นอย่างมาก การอยู่กับผู้หญิงสองต่อสองนั้นอาจจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นและอาจถูกเข้าใจผิดในหลายๆ ความหมายได้

    “จะเอาไงดีล่ะทีนี้”

    “อืม”

    ทั้งสองคิดไม่ตกเลยว่าทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย

    “นี่หรือว่า...”

    “นี่เป็นฝีมือของปรินซ์ออฟเวลส์น่ะ”

    ที่ด้านนอกของห้องอาบน้ำ ปรินซ์ออฟเวลส์ อิลลัสเทรียส คลีฟแลนด์ยืนอยู่หน้าประตูห้อง

    “หวังว่านี่สถานการณ์นี้จะช่วยให้ทั้งสองคนปรับความเข้าใจกันได้นะ”

    “นั่นสินะ หากทั้งสองคนสามารถดีกันได้ก็คงจะดี”

    “คงได้แต่ภาวนาไม่ให้เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นนะ”

    คลีฟแลนด์พูดพลางเอามือทั้งสองวางไว้ที่หลังศีรษะ ทั้งสามมองไปประตูห้องอาบน้ำด้วยความรู้สึกกังวล

    หลังจากเวลาผ่านไปได้สักพักหนึ่ง อากิระกับเอ็นเทอร์ไฟรซ์ก็ลงมาแช่ในอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่

    โดยทั้งสองหันหลังชนกัน ทำให้แผ่นหลังของทั้งสองแนบชิดติดกัน ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าทั้งสองจะเริ่มพูดจากันเลย

    ขืนเป็นแบบนี้มีแต่จะแย่ลงแน่ๆ

    ในที่สุดอากิระจึงเริ่มปากพูด

    “นี่ เอ็นเทอร์ไฟรซ์”

    “อะไรเหรอ? เจ้าสปาย”

    พูดจิกกัดทันทีเลยนะ อากิระถอนหายใจออกมา

    “ทำไมเธอถึงไม่ยอมเรียกชื่อฉันสักทีล่ะ เกลียดจักรวรรดิซากุระอะไรนั่นขนาดนั้นเลยเหรอ”

    เขาลองถามเธอดู เขาเหลือบมองไปด้านหลังก็เห็นว่าเธอส่ายหน้าก่อนจะขยับริมฝีปากพูด

    “เปล่าหรอก เพราะว่าอยู่ในภาวะสงครามฉันจึงต้องระวังตัวเพื่อไม่ให้มีคนของฝ่ายศัตรูแฝงตัวเข้ามา”

    “งั้นเหรอ”

    เอ็นเทอร์ไฟรซ์เริ่มพูดเรื่องราวให้อากิระฟัง

    “ฉันน่ะเกิดมาก็พบเจอแต่สงคราม กลิ่นดินปืน เสียงปืนใหญ่ เขม่าควันดำ มันทำให้ฉันรู้สึกไม่ชอบทะเลเอามากๆ แม้จะมีคนบอกว่ามันยังมีด้านที่สวยงามอยู่ก็ตาม”

    “นั่นคือที่มาของความเจ็บปวดของเธอสินะ”

    อากิระรู้สึกเห็นใจเอ็นเทอร์ไฟรซ์ ตัวเธอซึ่งเกิดมาในยุคสงครามที่รบราฆ่าฟันเป็นยังไงนั้น เขาที่เกิดมาในยุคที่สงบสุขไม่มีทางเข้าใจได้

    “น่าแปลกนะ ทำไมฉันถึงกล้าที่ระบายความรู้สึกที่เก็บเอาไว้ในใจออกมากันนะ ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ”

    เอ็นเทอร์ไฟรซ์กอดเข่าตัวเองขณะเอาหลังของเธอพิงหลังอากิระ

    “ถ้ามีเรื่องลำบากใจที่ไม่สามารถระบายให้คนอื่นฟังได้ จะมาพึ่งพาฉันก็ได้นะ ฉันยินดีที่จะช่วยเธอ”

    เอ็นเทอร์ไฟรซ์เบิกตาโพลงอย่างแปลกใจ

    “นายเนี่ยแปลกคนจริงๆ นะ แต่ก็ขอบใจนะ อากิระ”

    อากิระตกตะลึง เขาไม่คิดเลยว่าเอ็นเทอร์ไฟรซ์จะยอมเรียกชื่อของเขา แม้ว่าจะไม่เห็นหน้าของเธอ แต่ก็พอจะรู้สึกได้บางว่าเธออาจจะกำลังยิ้มอยู่ก็ได้

    หลังจากที่ทั้งสองพูดปรับความเข้าใจกัน ทั้งสองก็ยอมรับกันได้ในที่สุด

    ปรินซ์ออฟเวลส์ อิลลัสเทรียส คลีฟแลนด์ซึ่งแอบฟังอยู่ด้านนอกก็ยิ้มออกมา

    “ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วล่ะนะ”

    อิลลัสเทรียสพูดออกมาก่อนจะปลดล็อคประตู แล้วทั้งสามก็เดินจากไป

     

    กลับมาที่เวลาปัจจุบัน ที่หน้าผาสูง เอ็นเทอร์ไฟรซ์กับอากิระกำลังยืนมองทะเลกันอยู่

    จาเวลินมองทั้งคู่ด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนก็เอ่ยทักพวกเขา

    “คุณเอ็นเทอร์ไฟรซ์ คุณอากิระ ลองทานสักหน่อยมั้ยคะ?”

    จาเวลินยกปิ่นโตด้วยสองมือพลางลุกขึ้นมาคุกเข่า เอ็นเทอร์ไฟรซ์ก็โบกมือปฏิเสธ

    “ไม่หรอก ขอบคุณนะ”

    “ฉันมีทานมาเรียบร้อยแล้วล่ะ ขอบใจนะ”

    เมื่อได้ยินดังนั้นจาเวลินก็กลับไปนั่งตามเดิมแล้วหยิบแซนวิชขึ้นมาทาน

    “เอ็นเทอร์ไฟรซ์ บาดเจ็บงั้นเหรอ?”

    “เอ๊ะ!”

    ลาฟฟีที่จู่ๆ พูดขึ้นมา ทำให้จาเวลินร้องอุทานออกมา

    “เอ๊ะ!? ต้องไปรักษาให้ดีก่อนสิคะ”

    “การซ่อมแซมในส่วนสำคัญเสร็จหมดแล้วล่ะ ไม่มีอะไรต้องกังวลไปหรอก”

    ถึงเอ็นเทอร์ไฟรซ์จะพูดแบบนั้น แต่อากิระกลับไม่คิดแบบนั้น ความเสียหายที่เธอได้รับมันหนักหนามาก จริงๆ ควรจะส่งเข้าอู่เพื่อทำการซ่อมแซมขนานใหญ่

    อากิระเลือกที่จะเงียบไม่พูดอะไร เพราะว่าถึงเขาจะพูดไปเอ็นเทอร์ไฟรซ์ก็ไม่รับฟังอยู่ดี ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่ห้องอาบน้ำเมื่อคืนจะสามารถทำให้เธอยอมรับว่าเขาไม่ใช่สปายของจักรวรรดิซากุระได้แล้วในระดับหนึ่ง แต่เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น เพราะหลังจากที่อาบน้ำเสร็จ เขาก็บอกให้เธอเอาเรือไปเข้าอู่เพื่อซ่อมแซม แต่เธอก็ปฏิเสธ

    จาเวลินก้มหน้าลง

    “คุณเอ็นเทอร์ไฟรซ์ เรือที่แข็งแกร่งที่สุดของยูเนี่ยน เพราะเป็นคนแบบนั้นถึงได้แข็งแกร่งหรือเปล่านะ... แต่มันก็ คุณเอ็นเทอร์ไฟรซ์ ทำไมถึงได้ยืนหยัดต่อสู้ถึงขนาดนี้เหรอคะ?”

    เมื่อได้ยินคำถามที่แปลกประหลาดของจาเวลิน เอ็นเทอร์ไฟรซ์ก็ทำหน้าประหลาดใจ ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย

    “เป็นคำถามที่แปลกจังเลยนะ พวกเราคือตัวตนที่เกิดมาเพื่อต่อสู้ เรื่องนี้ไม่มีข้อกังขาอะไรเลย”

    “ไม่ใช่หรอก เอ็นเทอร์ไฟรซ์”

    “!?”

    อากิระพูดขึ้นมา ทำให้เอ็นเทอร์ไฟรซ์ตกตะลึง

    “จริงอยู่ที่ตัวเธอในอดีตรวมถึงคนอื่นๆ จะเป็นเรือรบ แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้นอีกแล้ว พวกเธอเป็นมนุษย์มีหัวใจ มีความรู้สึกเหมือนมนุษย์ อย่าคิดว่าตัวเองในตอนนี้คือเครื่องจักรอีกเลย นั่นก็เพราะว่าตอนนี้พวกเธอคือมนุษย์”

    คำพูดนั้นของอากิระ ทำให้พวกเธอตกตะลึง ลาฟฟีก็พยักหน้าเห็นด้วย

    “ถูกแล้วล่ะ ลาฟฟีน่ะ พอง่วงแล้วก็ไม่อยากทำอะไรเลย”

    “ละ ลาฟฟีจัง!?”

    ลาฟฟีพูดเช่นนั้นออกมาแล้วดื่มโคล่า ส่วนจาเวลินก็สะดุ้งตกใจต่อคำพูดของเธอ

     

    “แต่ว่า ลาฟฟี ตอนที่เพื่อนถูกแกล้งก็ยอมไม่ได้เหมือนกัน พอถึงตอนนั้นก็ต้องเอาจริงสักหน่อย แล้วเอ็นเทอร์ไฟรซ์เป็นแบบไหนล่ะ?”

    เมื่อได้ยินแบบนั้น เอ็นเทอร์ไฟรซ์ก็ลังเลที่จะพูด

    “ฉันน่ะ...”

     

    ณ น่านน้ำใกล้ฐานทัพอซูร์เลน มีกองเรือกำลังมุ่งหน้ามาที่ฐานด้วยความเร็วสูงสุด คันเซย์คนหนึ่งสวมชุดเมด ผมสีขาว มีผ้าพันคอลายธงชาติของอเมริกา เธอ เรือพิฆาต แฮมมานน์

    “แฮมมานน์ ใจเย็นๆ หน่อยสิ”

    คันเซย์ที่มากับเธอก็พยายามที่จะบอกให้เธอใจเย็นๆ เธอมีผมยาวถึงกลางหลัง ผูกริบบิ้นสีเหลืองไว้ที่ศีรษะด้านขวา สวมชุดที่ดูคล้ายชุดว่ายน้ำ เธอคือเรือลาดตระเวนหนัก นอร์แทมป์ตัน

    “ไม่ใช่เวลาจะมาเอ้อระเหยสักหน่อย พวกของแฮมมานน์ที่ฐานกำลังแย่แล้วนะ”

    “คือว่า อย่างที่บอกกองเรือข้าศึกถูกขับไล่ไปแล้วนะ...”

    คันเซย์อีกคนที่บอกว่ากองเรือข้าศึกถูกขับไล่ไปแล้วนั้นก็คือ เฮเลน่า เธอเป็นเรือลาดตระเวนเบา เธอมีผมยาวสีฟ้า สวมชุดสีน้ำเงิน

    “ต้องรีบไปแล้วล่ะ!”

    แต่ดูเหมือนว่าแฮมมานน์จะไม่ยอมรับฟังแล้วเร่งเกียร์สูงสุดเพื่อไปให้ถึงฐาน

    “ดูพลังเหลือล้นจังนะ เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”

    “คุณผีไม่ไหวแล้วค่ะ เหนื่อยจัง”

    เธอชื่อ ลอง ไฮส์แลนด์ เป็นเรือบรรทุกเครื่องบินเบา เธอเป็นเด็กสาวที่มีผมยาวสีดำ สวมเสื้อแจ็คเก็ตแขนยาวสีน้ำเงินและสวมเสื้อเชิ้ตคอปกสีขาวผูกเนคไทสีแดงและสวมหูฟัง เนื่องจากเดินทางมาตลอดทั้ววันทั้งคืนจึงทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยมาก

    “ดูเหมือนว่าคนที่ขับไล่ข้าศึกออกไปได้คือ เอ็นเทอร์ไฟรซ์ ผู้เก่งกาจคนนั้นกับโมบิลสูทสีขาวที่ชื่อกันดั้มนะคะ”

    หญิงสาวที่กำลังนั่งอยู่บนเรือ เธอมีชื่อว่าแอริโซน่า เธอเป็นเรือประจัญบาน เธอมีผมยาวสีดำ สวมถุงมือสีดำ และสวมเสื้อสีน้ำเงิน

    “เอ็นเทอร์ไฟรซ์ ฮอร์เน็ต ถ้าจำไม่ผิด...”

    “ใหตายสิ มีพี่สาวที่สุดแกร่งแบบนี้เนี่ยลำบากใจจริงเลยน้า”

    เด็กสาวผู้ซึ่งกำลังยิ้มอยู่นั้น เธอสวมหมวกคาวบอยสีดำและสวมบิกีนี่สีดำ สวมเสื้อโค้ทสีดำเหลือง สวมกางเกงขาสั้นสีดำ เธอมีชื่อว่าฮอร์เน็ต เธอเป็นเรือบรรทุกเครื่องบิน เธอเป็นเด็กสาวที่มีผมสีบลอนด์ทองยาว เธอผูกผมเป็นทรงทวินเทล นอกจากนั้นเธอยังเป็นหัวหน้ากลุ่มกองเรืออิสระ

    “แต่ว่านะ ฉันไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับโมบิลสูทสีขาวที่ชื่อกันดั้มนั่นเลยนะ ที่พวกเราเคยต่อสู้ด้วยก็มีแค่โมบิลสูทที่ชื่อแซกวอริเออร์กับเซอร์เพนท์ คัสตอมเองนะ”

    “นั่นน่ะสิ แถมในรายงานยังบอกอีกว่า เขาสามารถจัดการพวกโมบิลสูทหลายสิบเครื่องด้วยตัวคนเดียว”

    “โห แข็งแกร่งขนาดนั้นเชียว ชักอยากจะลองเจอตัวดูสักครั้งแล้วสิ”

    ระหว่างที่พวกเธอกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น แฮมมานน์ที่นำหน้าไปก่อนนั้น ก็หันหลังกลับมาแล้วตะโกนใส่พวกเธอ

    “มัวแต่คุยโอ้เอ้อะไรกันอยู่ได้น่ะ!? ศัตรูอาจจะโผล่ออกมาเมื่อไหร่ก็ได้ไม่ใช่เหรอ!”

    “เอาเถอะ ที่แฮมมานน์พูดมาก็มีเหตุผลอยู่นะ ดูเหมือนว่าต้องรีบแล้วล่ะ”

    ฮอร์เน็ตสนับสนุนความคิดของแฮมมานน์แล้วรีบเร่งความเร็วขึ้นทันที

    วิ้งงง!!

    “!?”

    เฮเลน่าเหมือนจะจับสัญญาณอะไรบางอย่างได้เธอเอามือแนบหูซึ่งมีอุปกรณ์เรดาห์สวมอยู่

    “ทุกคน!”

    เธอเรียกทุกคนก่อนจะหยุดเคลื่อนที่

    “เฮเลน่า”

    แอริโซน่าขมวดคิ้วสงสัยก่อนจะหยุดเคลื่อนที่

    ฮอร์เน็ตเองก็หยุดเคลื่อนที่ด้วยเช่นกัน

    “ดูท่าเราคงต้องไปถึงช้าสักหน่อยแล้วล่ะ”

    นั่นเพราะว่าตรงหน้าของพวกเธอ มีเรือบรรทุกเครื่องบินสองลำอยู่ทางด้านหน้าของพวกเธอ และกำลังมุ่งหน้ามาหาพวกเธอ

    “กองเรือบรรทุกเครื่องที่ 5 แห่งจักรวรรดิซากุระ...”

    “หวา.. ดูแข็งแกร่งจังเลย”

    เฮเลน่ากับแอริโซน่าพูดออกมาด้วยสีหน้าหวาดวิตกกังวล ในขณะที่แฮมมานน์หักนิ้วดังกร็อบ

    “เอาล่ะ เจ้าพวกเด็กน้อย แฮมมาน์คนนี้จะจัดการให้อยู่หมัดเอง”

    แต่ว่าฮอร์เน็ตกลับไม่คิดแบบนั้น เธอรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีชอบกล ขณะมองดูเรือบรรทุกเครื่องบินสองลำที่มุ่งหน้ามาหาพวกเธอ

    บนเรือบรรทุกเครื่องบินลำหนึ่ง มีหญิงสาวนั่งอยู่หัวเรือ เธอมีผมยาวสีขาว มีเครื่องประดับติดไว้ที่ศีรษะด้านซ้าย เธอสวมกิโมโนสีขาว ตัวเสื้อคลุมที่แขนเสื้อมีลักษณะคล้ายปีกนกกระเรียน

     

    “โอ้... ช่างน่าอนิจจาเสียจริงตัวฉัน มาโดนรุ่นพี่ใจร้ายแบบนั้นหมายตาได้เนี่ย...”

    เธอพูดออกมาอย่างโอดครวญการกระทำของอาคากิกับคากะ เธอคือเรือบรรทุกเครื่องบิน โชวคาคุ

    “คิดแบบนั้นบ้างมั้ย ซุยคาคุ?”

    เธอหันไปมองเรืออีกลำซึ่งแล่นคู่กับเธอ ด้านบนของแท่งเหล็กที่เชื่อมกับป้อมปืน มีหญิงสาวซึ่งเหน็บดาบคาตานะไว้ที่เอว เธอก็คือซุยคาคุ เธอถอนหายใจออกมา

    “เฮ้อ ช่วยเอาจริงสักทีได้มั้ย พี่โชวคาคุ”

    พวกเธอสองคนก็คือพี่น้องกระเรียนโชวคาคุกับซุยคาคุ

    “ในการต่อสู้ครั้งนี้ ต้องทำให้รุ่นพี่กองเรือบรรทุกเครื่องบินที่ 1 ยอมรับในความสามารถของพวกเราให้ได้”

    “โธ่... ซุยคาคุล่ะก็เป็นคนเถรตรงจริงๆ เลยนะ”

    โชวคาคุพูดออกมาด้วยความระอาใจที่น้องสาวของเธอเป็นคนเถรตรง

    “ไม่ต้องกังวลไปหรอก ซุยคาคุ พี่สาวคนนี้จะเป็นคนปกป้องเอง”

    โชวคาคุหยิบขลุ่ยออกมาจากแขนเสื้อ

    ซุยคาคุกระโดดลงมาที่หัวเรือและกระแทกส้นเท้ากับพื้นและตั้งท่าของนักดาบ

    “อื้อ! ถ้ามี่อยู่ด้วยล่ะก็ ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว”

    เธอพูดออกมาด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมกับชักดาบออกมาและมีเปลวไฟลุกไหม้ออกมาโดยมีเธอเป็นศูนย์กลาง ตัวดาบเองก็มีเปลวเพลิงลุกไหม้เหมือนกัน

    ที่ห้องผู้บัญชาการของฐานอซูร์เลน ปรินซ์ออฟเวลส์ ได้ออกคำสั่งให้กับเหล่าคันเซย์อยู่ภายในห้อง

    “เราจะมุ่งหน้าไปคุ้มกันพวกฮอร์เน็ตกัน มีเรือลำไหนที่พอขยับได้บ้าง?”

    แต่ตอนนั้นเอง...

    “เวลส์!”

    ปรินซ์---ไม่สิ เวลส์มองไปที่ประตูซึ่งถูกเปิดกะทันหัน อิลลัสเทรียสกับยูนิคอร์นรีบวิ่งมาเพื่อบอกเรื่องสำคัญให้พวกเธอทราบ

    “ท่านเอ็นเทอร์ไฟรซ์น่ะ...”

    “อะไรนะ...”

    ทุกคนที่อยู่ในห้องพากันตกใจ พวกเธอคาดไม่ถึงว่าเอ็นเทอร์ไฟรซ์จะออกรบโดยไม่รอคำสั่งจากเธอ

     

    ณ น่านน้ำ เอ็นเทอร์ไฟรซ์กำลังมุ่งหน้าไปช่วยพวกฮอร์เน็ต แต่ว่าสภาพเรือรบของเธอนั้นเสียหายหนักมาก ในระหว่างที่รีบมุ่งหน้าไปนั้น ตัวเรือก็เกิดรอยแตกร้าวขึ้น ลิฟท์พังเสียหาย ดาดฟ้าเรือเริ่มแตกร้าวและพังเสียหาย

    คลีฟแลนด์ที่ตามมาด้วยนั้นก็ห้ามปรามเธอ

    “เอ็นเทอร์ไฟรซ์! รีบร้อนเกินไปแล้วนะ!”

    “จะมัวเสียเวลาอยู่ไม่ได้หรอก อึก”

    แต่ว่าจู่ๆ เธอก็ทรุดตัวลงในขณะเคลื่อนที่ ทำให้หัวเรือของเธอจมไปในน้ำและเกิดคลื่นที่หัวเรือ

    “ยังเสียหายอยู่จริงๆ ด้วยไม่ใช่หรือไง?”

    คลีฟแลนด์กับกันดั้มดับเบิ้ลโอ สกายประคองแขนทั้งสองข้างของเธอเอาไว้ ก่อนจะพยุงตัวเธอขึ้นมา

    “สภาพแบบนี้ไม่ไหวหรอก เธอไม่ควรฝืนตัวเองแบบนี้นะ”

    “ฮอร์เน็ตเป็นน้องสาวของฉัน...”

    “เอ็นเทอร์ไฟรซ์...”

    คลีฟแลนด์พูดขึ้นมาด้วยความแปลกใจ เธอไม่คิดว่าเอ็นเทอร์ไฟรซ์จะเป็นห่วงคนอื่นด้วย

    “เอ็นเทอร์ไฟรซ์”

    “อะไรเหรอ อากิระ”

    เอ็นเทอร์ไฟรซ์เอ่ยถามกับกันดั้มดับเบิ้ลโอ สกาย

    “ฉันจะล่วงหน้าไปช่วยน้องสาวของเธอก่อน เธอรีบตามมาล่ะ”

    เอ็นเทอร์ไฟรซ์ตกตะลึงในคำพูดของกันดั้มดับเบิ้ลโอ สกาย คลีฟแลนด์ก็เช่นกัน

    “คลีฟแลนด์ ฝากเอ็นเทอร์ไฟรซ์ด้วยนะ”

    “อืม เข้าใจแล้ว โชคดีนะ”

    เธอยิ้มและพูดให้กำลังใจเขา

    “อืม แน่นอน”

    กันดั้มดับเบิ้ลโอ สกาย ยกนิ้วโป้งให้เธอ แล้วกางปีกแห่งแสงและเร่งความเร็วขึ้นเพื่อมุ่งหน้าไปช่วยพวกฮอร์เน็ต

    “สวยจัง...”

    เอ็นเทอร์ไฟรซ์พูดออกมาขณะมองปีกแห่งแสงของกันดั้มดับเบิ้ลโอ สกายและมีขนนกประกายแสงร่วงลงมา

    “อะไรกัน ก็ยังพอทีด้านที่เหมือนมนุษย์อยู่บ้างไม่ใช่หรือไง”

    “ให้ตายสิ เธอเนี่ย พูดอะไรที่คล้ายกับเขาเลยนะ คลีฟแลนด์”

    เอ็นเทอร์ไฟรซ์ที่ได้ยินคำพูดคลีฟแลนด์พูดขึ้นมา เธอได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มเจื่อนๆ

    “งั้นเหรอ ถ้างั้นก็รีบตามไปกันเถอะ”

    ทั้งสองเร่งความเร็วขึ้นทันที

    “ฉันเองก็มีน้องสาวอยู่เพียบเลยเหมือนกัน เข้าใจเลยล่ะ แต่อย่างน้อย ก็น่าจะมีเรือคุ้มกันบ้างนะ...”

    นอกจากพวกเธอแล้ว ยังมีจาเวลินและลาฟฟีตามมาด้วย

    “ลาฟฟีจะไปด้วย”

    “ไปช่วยทุกคนกันเถอะค่ะ!”

    จาเวลินพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง

    “โอเค!”

    คลีฟแลนด์ยกนิ้วโป้งให้พวกเธอ

     

    ที่น่านน้ำหนึ่งซึ่งกลายเป็นสนามรบ แฮมมานน์หมดสภาพที่จะต่อสู้ เธอกำลังลอยหน้าคว่ำอยู่ในน้ำ ลองไฮส์แลนด์ก็เช่นกัน เธอลอยอยู่ในน้ำในสภาพนอนหงาย รวมถึงคนอื่นๆ ที่หมดสภาพที่จะต้อสู้ด้วยเหมือนกัน

    เครื่องบินรบทิ้งระเบิดเข้าใส่ฮอร์เน็ตซึ่งเป็นคนที่ยังรอดอยู่ เธอหลบลูกระเบิดที่ร่วงลงได้อย่างคล่องแคล่ว

    โชวคาคุกำลังลอยอยู่กลางอากาศและเป่าขลุ่ยบรรเลงเพลงพร้อมกับส่งเครื่องบินรบออกมา

    “ท่วงทำนองนี้ จะนำทางไปสู่ดินแดนแห่งผู้วายชนม์”

    เครื่องบินรบพุ่งตรงมาที่ฮอร์เน็ตพร้อมกับทิ้งระเบิดใส่เธออย่างต่อเนื่อง ทำให้เธอเริ่มหลบการโจมตีได้อย่างยากลำบากขึ้น

    “เป็นฝ่ายที่ต้องตั้งรับแบบนี้ ไม่ชอบเอาซะเลย”

    เธอบ่นพลางระเบิดลูกระเบิดที่ถูกเครื่องบินทิ้งระเบิดทิ้งลงมา

    แต่ในจังหวะที่เครื่องบินทิ้งระเบิดกำลังจะทิ้งระเบิดใส่เธอ ก็มีลำแสงสีชมพูพุ่งเข้ามาโจมตีใส่ เครื่องบินเหล่านั้น จากนั้นก็เกิดการระเบิดขึ้น

    “เอ๋?”

    “หา?”

    ฮอร์เน็ตร้องอุทานออกมา ขณะมองเครื่องบินทิ้งระเบิดที่กลายเป็นเศษซากตกลงสู่ทะเล

    โชวคาคุหยุดเป่าขลุ่ย ส่วนซุยคาคุก็หยุดเคลื่อนที่ จากนั้นทั้งสามก็แหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า

    วิ้งงงง!!

    ตอนนั้นเองก็มีเสียงของบางสิ่งที่กำลังบินลงมาจากท้องฟ้าแล้วลงมาลอยอยู่ตรงหน้าฮอร์เน็ต

    ทั้งสามตกตะลึงเป็นอย่างมาก เมื่อได้เห็นตัวตนนั้น

    “ไม่เป็นไรใช่มั้ย?”

    เขาหันข้างไปหาฮอร์เน็ตและเอ่ยถามเธอ

    ใช่แล้ว เขาก็คือ​ กันดั้มดับเบิ้ลโอ สกายนั่นเอง เขารีบล่วงหน้ามาช่วยเหลือพวกฮอร์เน็ต

    “กันดั้ม...”

    ซุยคาคุพูดออกมา ทำให้โชวคาคุกับฮอร์เน็ตที่เพิ่งจะได้เห็นกันดั้มเป็นครั้งแรกต่างพากันตกตะลึง

    “นั่นน่ะเหรอ... กันดั้ม”

    โชวคาคุแสดงสีหน้าตกตะลึงเมื่อได้เห็นรูปลักษณ์ของกันดั้ม รูปลักษณ์ของเขานั่นสง่างาม องอาจ น่าเกรงขาม ไม่เหมือนพวกแซกวอริเออร์กับเซอร์เพนท์ คัสตอม ที่พวกเธอเห็นมาตลอด

    ฮอร์เน็ตมองกันดั้มอย่างไม่ละสายตาและไม่ได้ยินสิ่งที่เขาถาม

    “นี่ เป็นไรรึเปล่า?”

    “อ๊ะ อืม ไม่เป็นไร”

    เมื่อเห็นว่าเธอไม่เป็นไร กันดั้มดับเบิ้ลโอ สกายก็หันกลับไปจ้องมองซุยคาคุซึ่งกำลังจ้องมองเขาอยู่เช่นกัน

    “อีกเดี๋ยว เอ็นเทอร์ไฟรซ์กับคนอื่นๆ ใกล้จะมาถึงที่นี่แล้ว เธอรีบถอนตัวจากที่นี่ซะ”

    “นี่นาย รู้จักพี่งั้นเหรอ”

    กันดั้มดับเบิ้ลโอ สกาย หันหน้ามามองแล้วพยักหน้ารับ

    “แล้วสองคนนั้นล่ะ”

    ฮอร์เน็ตเอ่ยถามว่าเขาจะรับมือกับสองคนนั้นยังไง

    “ฉันจะรับมือเอง เธอรีบไปซะ”

    กันดั้มดับเบิ้ลโอ สกายพูดเช่นนั้นออกมา

    “ขะ เข้าใจแล้ว”

    ฮอร์เน็ตตอบตกลงแล้วรีบถอนตัวทันที

    โชวคาคุมองกันดั้มดับเบิ้ลโอ สกายด้วยสีหน้าไม่พอใจ

    “หน็อย ดูถูกกันได้นะ”

    โชวคาคุรู้สึกไม่พอใจที่เธอโดนดูถูก แต่ซุยคาคุก็รีบห้ามเธอ

    “ไม่หรอก พี่ เขาพูดจริง ขนาดพวกแซกวอริเออร์กับเซอร์เพนท์ คัสตอมที่บุกโจมตีฐานทัพของอซูร์เลน ยังโดนเจ้านั่นจัดการจนเกือบหมด”

    “อะไรนะ!? เป็นความจริงเหรอ?”

    ซุยคาคุพยักหน้ารับ โชวคาคุที่เห็นแบบนั้นก็ตกตะลึงและเริ่มวิตกกังวล

    “ถ้างั้นจะทำยังไงดีล่ะ”

    “ฉันจะรับมือเอง”

    ซุยคาคุกระชับคาตานะในมือให้มั่น แล้วเดินเข้าไปหากันดั้มดับเบิ้ลโอ สกาย

    “กันดั้ม ฉันได้ยินกิตติศักดิ์ของนายมาจากพวกแซกวอริเออร์แล้ว โมบิลสูทที่แข็งแกร่งที่สุด ผู้ได้รับสมญานาม เทพสงคราม เทพสายฟ้า ผู้กอบกู้ ผู้พิชิต”

    เธอหยุดพูดไปช่วงหนึ่งแล้วหายใจเข้าออก ก่อนจะพูดต่อ

    “นายคือศัตรูที่คู่ควร ฉัน ซุยคาคุ ขอท้าประลอง สู้กันตัวต่อตัว”

    “กันดั้มดับเบิ้ลโอ สกาย ขอรับคำท้า!"

    วิ้งง!

    ดวงตาของกันดั้มดับเบิ้ลโอ​ สกายส่องแสงวาบ

    กันดั้มดับเบิ้ลโอ สกายเก็บ GN บีมไรเฟิลแล้วชักบัสเตอร์ซอร์ดออกมาแล้วตั้งท่า

    จากนั้นทั้งสองก็เข้าปะทะกันจนเสียงดังสนั่นหวั่นไหวและเกิดคลื่นทะเลขึ้น

     

    ฮอร์เน็ตหลังจากที่เธอถอนตัวออกจากสนามรบแล้วกลับไปรวมกลุ่มกับแฮมมานน์

    “ฮอร์เน็ต”

    เธอก็ได้ยินเสียงของเอ็นเทอร์ไฟรซ์

    “พี่คะ!”

    “ปลอดภัยสินะ”

    เอ็นเทอร์ไฟรซ์ถามเธอด้วยความเป็นห่วง

    “อืม ไม่เป็นไรแล้วล่ะ”

    จากนั้นเธอก็หมดแรงจนล้มลง เอ็นเทอร์ไฟรซ์รีบเข้ามาประคองร่างของเธอ

    “แล้วหมอนั่นล่ะ?”

    ฮอร์เน็ตขมวดคิ้วสงสัยก่อนจะนึกขึ้นมาได้

    “หมอนั่น? อ้อ หมายถึงกันดั้มสินะ ตอนนี้หมอนั่นกำลังสู้กับยัยนักดาบอยู่น่ะ”

    “อากิระ”

    เธอพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบาจนแทบจะไม่มีใครได้ยิน เธอมองไปยังกันดั้มดับเบิ้ลโอ สกายซึ่งกำลังต่อสู้กับซุยคาคุ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×