คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : IV - Through The Cellar Door
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
“รู้มั้ยคำว่า ‘เซลลาร์ ดอร์’ คือคำที่เพราะที่สุดในภาษาอังกฤษ”
จิมถามขึ้นในห้องเรียนว่างเปล่าตอนเย็นวันนี้ที่มีแค่เขากับเอดีนา เป็นห้องเรียนวิชาประวัติศาสตร์อเมริกาที่เอดีนาเพิ่งเรียนจบไป เขาที่เพิ่งออกจากห้องแล็บวิชาเคมีก็เลยมานั่งรอเธอทำการบ้านจนเสร็จ เพื่อจะได้เอาหนังสือไปคืนที่ห้องสมุดก่อนปั่นจักรยานกลับบ้านพร้อมกัน จิมเอาเก้าอี้มานั่งที่มุมข้างของโต๊ะเดียวกับเธอ มือหนึ่งก็เท้าคางขณะจับจ้องมองดูคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาเขียนถึงเรื่องการเดินขบวนทางเพศลงในสมุด
เอดีนาวางปากกาลงเมื่อมือซ้ายเขียนจุดปิดท้ายประโยคยืดยาวเรียบร้อย เธอพับปิดหนังสือที่กางอยู่ตรงหน้า หันมองจิมแล้วตอบเขาว่า “ไม่รู้ ทำไม”
“ไม่เคยดูหนังเรื่องดอนนีย์ ดาร์คโคเหรอ”
“ไม่เคย ทำไม มันเกี่ยวอะไรกันเหรอ”
“มันมีพูดถึงในหนังเรื่องนั้น” จิมหัวเราะเมื่อเห็นแก้มขึ้นสีเรื่อของคนถูกถามเพราะอายที่ไม่รู้เรื่องราวอีกครั้งคราว ทั้งที่ก็รู้ว่าจิมไม่เคยว่าอะไรที่เธอไม่ได้มีความรอบรู้เรื่องหนังซึ่งเขามักจะชอบหยิบยกมาพูด เขาพร้อมอธิบายให้เธอฟังอย่างใจเย็นเสมอ เหมือนที่เอดีนารักจะเห็นเขาที่ดูกระตือรือร้นอย่างมีความสุขยามแบ่งปันสิ่งที่รักกับเธอ
“เอาไว้คืนนี้ฉันจะเปิดให้ดู”—แล้วจิมก็ยินดีจะพาเธอไปทำความรู้จักกับมันด้วยกัน
“เค้าบอกว่ามันเป็นคำที่ผสมกันแล้วเพราะที่สุดในประวัติศาสตร์เลยนะ สวยกว่าคำว่า ‘ท้องฟ้า’ แล้วก็คำว่า ‘สวย’ เป็นคำที่จะพาเธอไปยังอีกมิติที่สูงกว่าได้”
เอดีนาเอียงคอหรี่ตาข้างหนึ่งคล้ายไม่แน่ใจว่าเธอเห็นด้วยหรือเปล่า งึมงำออกมาว่า “ประตูห้องใต้ดินเหรอ”
“มันฟังไพเราะรื่นหูเหมือนเสียงดนตรีด้วยนะ”
เด็กสาวพึมพำคำที่ไพเราะที่สุดในภาษาอังกฤษออกมาอีกครั้ง คิ้วขมวดจนหน้าผากย่นยู่ นึกฉงนอยู่ในใจว่าเหตุใดมันจึงเป็นคำที่เพราะที่สุด เธอคิดว่ามันเป็นคำที่ดี อาจไม่ได้ฟังพิเศษมากมายแต่ก็เป็นคำที่ดี หากก็ไม่ถึงกับเป็นคำที่เพราะที่สุด...อย่างน้อยก็ในความคิดของตน
“บางคนก็บอกว่าคำนี้มีความหมายในทางอารมณ์ หรือไม่ก็เป็นเหมือนทางหลบหนีในจินตนาการจากความเป็นจริงที่โหดร้าย”
“เรื่องดอนนีย์ ดาร์คโคเป็นอย่างนั้นเหรอ”
จิมรู้ว่าเอดีนาไม่ชอบรู้เรื่องราวสำคัญของหนังก่อนจะได้ดู—และมันก็เกือบจะเป็นเรื่องราวสำคัญในหนังเรื่องนั้น จึงตอบออกมาอย่างระมัดระวังแค่ว่า “ประมาณนั้น” และเอดีนาก็พยักหน้าเพื่อบอกว่าเธอเข้าใจคำตอบที่คลุมเครือของเขาดี
“คงดี...ถ้าตอนอยู่มินนีแอโพลิส ฉันจะมีห้องใต้ดินบ้าง” เปรยไปได้แค่นั้น เอดีนาก็ถอนหายใจออกมา—ด้วยเหตุผลที่จิมกำลังจะได้รู้
“รู้มั้ยว่าฉันเรียนไฮสกูลสองปีในมินนีแอโพลิสโดยไม่มีเพื่อนแม้แต่คนเดียว ถ้าที่พีวีฉันไม่มีนาย มันก็จะไม่มีอะไรแตกต่างเลย”
พูดจบก็เงียบไป จิมเองก็ได้แต่มองหน้าเธอนิ่งโดยไม่พูดอะไร เพราะรู้ว่าเธอกำลังจะบอกเล่าเรื่องราวบางอย่างให้เขาได้ฟัง ทว่าสิ่งที่แสดงอยู่บนใบหน้าก็เต็มไปด้วยความเห็นใจที่เอดีนารับรู้ว่าเขามีให้เธอมาตลอด
“ฉันก็เคยมีเพื่อน เคยไปปาร์ตี้ เคยมีชีวิตสนุกสนานในโรงเรียนเหมือนนาย แต่เป็นเพราะ...” แล้วก็เงียบไปอีก เหมือนการเรียกความทรงจำพวกนั้นออกมาเป็นเรื่องยาก และใช่...จิมรู้ว่ามันเป็นเรื่องยาก เขาจึงกอบกุมมือขวาของเธอไว้ หวังว่าความห่วงใยที่มีจะถูกส่งผ่านมันไป
“มันเป็นงานปาร์ตี้ที่จัดขึ้นในโรงเรียน มีแอลกอฮอล์ มีดนตรี มียา มีทุกอย่างที่นายจะหวังได้จากงานปาร์ตี้ที่ลูกชายเจ้าของโรงเรียนเป็นคนจัด” แค่นหัวเราะออกมาเมื่อนึกถึงความขัดแย้งที่น่าขำนั้น
“แล้วก็มีเพื่อนสนิทของฉัน...กับแฟนของเธอ ปกติฉันไม่ดื่มนะ แต่เพื่อนสนิทของฉันคะยั้นคะยอให้ดื่ม แค่แก้วเดียว...หรือไม่ก็สองแก้ว ไม่รู้สิ แล้วแฟนของเพื่อนฉันก็บอกว่า แฟนเขารอเจอฉันอยู่ที่สระว่ายน้ำ ฉันก็เลยตามเขาไป...”
เธอหยุด บีบมือของจิมแรงขึ้น จนจิมรู้สึกถึงเล็บสั้นกุดที่กดลงไปบนหลังมือ เด็กหนุ่มรู้ดีว่าการพูดถึงมันไม่แค่เรียกความทรงจำขมขื่นให้กลับคืน หากยังเรียกความรู้สึกในตอนนั้นให้กลับมาด้วย เล็บของเอดีนาไม่ทำให้เขาเจ็บ จิมรู้ว่ามันไม่มีความหมายอะไรเลยเมื่อเทียบกับความเจ็บที่เธอเคยเผชิญ
“เขาหยุดฉันที่ล็อกเกอร์สระว่ายน้ำ แล้วก็บอกว่า...เขาชอบฉัน ฉันไม่เคยคิดอะไรกับเขาแบบนั้น แต่ฉันไม่รู้ว่าเพราะฉันเมา...หรือเพราะมันเป็น...จูบแรกของฉัน ฉันเลยไม่ได้ทำอะไรเพื่อหยุดเขา ต่อให้เขาจะทำมากกว่านั้น ตอนนั้นฉันก็คงไม่ปฏิเสธ แต่มีคนเข้ามาพอดี เราถึงหยุด เช้าวันต่อมาฉันถึงได้รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป ฉันไม่รู้ว่าใครถ่ายคลิปของฉันกับเขา แต่ฉันเองก็ได้ดูนะ มันแย่มาก...มันน่าเกลียด...มันทุเรศ และฉันเข้าใจถ้าเพื่อนสนิทจะโกรธเกลียดฉัน ถึงฉันจะโทษว่ามันเป็นเพราะเหล้า แต่ใช่...ฉันก็ผิด”
ใบหน้าของเอดีนาเต้นระริก ดวงตากะพริบถี่รัว กัดริมฝีปากที่เม้มแน่น ทุกการกระทำนั้นก็เพราะเธอพยายามจะกั้นอารมณ์ให้อยู่แค่ข้างในให้ได้
“แต่แฟนของเพื่อนฉันหาว่าฉันเป็นคนเริ่ม และไม่มีทางที่ทุกคนจะรู้ว่าตอนต้นเป็นยังไง เพราะคลิปนั้นเริ่มจากตอนที่เราจูบกัน...ตอนที่ฉันมีอารมณ์ไปกับเขาแล้ว ทุกคนชี้นิ้วมาที่ฉัน บอกว่าฉันแย่งได้กระทั่งแฟนของเพื่อนสนิท ไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนกับฉันอีก ฉันถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวในโรงเรียนตลอดสองปี แต่ผู้ชายคนนั้นกลับอยู่สุขสบายดี มีความสุขดี มันไม่ยุติธรรมเลย ทั้งที่เราก็ผิดด้วยกันทั้งคู่ แต่ทำไม...ถึงมีแค่ฉันที่ต้องรับผิดชอบคนเดียว”
ถึงตอนนั้นเอดีนาก็กลั้นไว้ไม่อยู่อีกต่อไป น้ำตาที่เก็บกักไว้ร่วงเผาะลงมา เธอก้มหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น ราวกับเหตุการณ์ในตอนนั้นเพิ่งเกิดขึ้น...เป็นฝันร้ายที่ยังคงดำเนิน
“เอดีนา เธอไม่ผิดเลย”
“ไม่...จิม” เอดีนาค้านทั้งที่ยังก้มหน้า “ฉันรู้ว่าตัวเองดื่มเหล้าไม่ได้ แต่ก็ยังดื่ม จนเมา...จนโง่...จนไม่มีสติ”
“ไม่ เอดีนา” จิมเอามือจับแก้มที่ชุ่มน้ำตา เพื่อให้ใบหน้างดงามที่มีหยดน้ำส่องประกายเงยขึ้นมาหาเขา “เรื่องนี้ไม่มีอะไรที่เป็นความผิดของเธอแม้แต่นิดเดียว”
จิมไม่เห็นความแค้นเคืองในดวงตาคู่นั้น เขาเห็นเพียงความผิดหวังที่อัดอยู่จนเต็มแน่น
เอดีนาเข้าใจมาตลอดว่ามันเป็นความผิดของเธอ แต่จิมทำให้เธอ ‘เชื่อ’ ว่าไม่มีอะไรที่เป็นความผิดของเธอ ถ้าเพียงแต่ในตอนนั้นมีใครสักคนก้าวออกมายืนข้างเธอ บอกว่ามันไม่ใช่ความผิดของเธอ เอดีนาที่ครั้งหนึ่งก็เคยเป็นเด็กผู้หญิงร่าเริงธรรมดาคนหนึ่ง คงไม่ต้องกลายเป็นคนที่ยากจะเข้ากับใครได้อีกอย่างนี้
แต่จิมไม่เพียงทำให้เธอกลับมาเชื่อมั่นในตัวเองอีกครั้ง เขายังทำให้เธอมีความสุขเมื่อได้อยู่กับเขา ทำให้เธอมีรอยยิ้มได้แค่เพราะการมีอยู่ของเขา ทำให้เธออยากเป็นคนที่ดีพอจะคู่ควรกับผู้ชายที่ดีอย่างเขา จิมทำให้เอดีนาเชื่อว่าต่อให้ทั้งโลกจะหันหลังให้ เขาก็จะยืนอยู่เคียงข้างเธอแม้จะไม่เหลือใคร
เหมือนที่จิมเองก็ได้เข้าใจว่าเหตุใดเอดีนาถึงได้ดูเหมือนอยู่ไกลห่างจากเขา ดั่งมีกำแพงกระจกใสที่มองไม่เห็นคั่นกลาง ทว่าอาจเพราะอย่างนั้น...เขาถึงได้ถูกเธอดึงดูด
จิมหลงรักเอดีนาตั้งแต่ได้เห็นแผ่นหลังของเธอที่นั่งเหม่อมองทะเลอยู่คนเดียว—จนกระทั่งในห้องนอนของเธอคืนนั้น
เขาขอบคุณเธอที่เปิดใจบอกเล่าเรื่องราวน่าเศร้านี้ให้ฟัง และปณิธานกับตัวเองว่าทุกช่วงเวลาจากนี้ในพาโลส เวอร์เดส เธอจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป
ครู่ใหญ่ที่มีแต่เสียงสะอื้นไห้ของเอดีนาในห้องที่เงียบสงัดราวกับอยู่ในอีกมิติหนึ่ง ทว่าความเงียบและน้ำตาที่เกิดจากความเศร้าของเธอ ท้ายที่สุดก็กลายเป็นความโล่งใจเมื่อได้ปลดปล่อยภาระหนักอึ้งที่ติดค้างในใจมานานออกจากอก ความทรงจำที่เลวร้ายในมินนีแอโพลิสไม่อาจย่างกรายเข้ามาหาเธอในพีวีได้อีก
“ขอโทษนะ...แล้วก็ขอบคุณ” น้ำเสียงของเอดีนาแหบแห้ง หากก็ระบายรอยยิ้มอ่อนจางออกไปให้เขาได้
“เธอเหมือนกับหนังเรื่องเดอะ ทรี ออฟ ไลฟ์” จิมพูดทั้งที่นิ้วยังปาดเช็ดน้ำตาอยู่บนแก้มสีแดงสดที่ยังสั่นเล็กน้อยอย่างน่าสงสารนั้น
“มันเป็นหนังที่ตอนดูครั้งแรกฉันไม่เข้าใจ แต่พอดูหลายรอบฉันถึงได้เข้าใจว่ามันเป็นหนังที่ซับซ้อนและมีความหมายลึกซึ้งมากมายซ่อนอยู่ มันเป็นหนังเข้าใจยากที่ยิ่งดูก็ยิ่งรัก และเป็นหนังที่งดงามที่สุดที่ฉันเคยดูมาในชีวิตนี้...จนถึงตอนนี้”
จิมหยุดมือที่ขยับแล้ว มือของเขาวางอยู่ที่แก้มของเอดีนา พูดประโยคต่อมาอย่างอ่อนโยนทว่าเปี่ยมด้วยความหมาย
“นั่นคือสิ่งที่เธอเป็นสำหรับฉันมาตลอด”
ด้วยคำพูดนั้น น้ำตาที่คนขี้แยนึกว่าจะหยุดได้แล้วก็หยดแหมะลงมาอีกครั้ง จิมไม่รอช้าที่จะเอานิ้วกลับไปเกลี่ยซับหยดน้ำที่รินไหลอาบแก้มครั้งแล้วครั้งเล่า มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำแบบนี้ และจิมรู้ว่ามันจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย แต่เขาก็ยินดีจะทำแบบนี้ให้เธอไม่ว่าจะอีกกี่ร้อยพันครั้งก็ตาม
“ตอนอยู่มินนีแอโพลิส ประตูห้องใต้ดินของฉันก็คือทะเลสาบแฮร์เรียตที่อยู่ข้างบ้าน” เสียงของเอดีนาขาดช่วงเป็นระยะ แต่จิมก็นิ่งคอยอย่างใจเย็น ตั้งใจรอฟังมันจากปากเธอ...เหมือนทุกเรื่องของเธอที่เขาอยากรับฟัง
“มันทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้น เหมือนได้อยู่อีกโลก และฉันก็คิดว่าทะเลที่พีวีอาจเป็นแบบนั้นสำหรับฉันได้ แต่มันคือนาย...นายคือประตูห้องใต้ดินของฉันมาตลอด ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราได้เจอกัน...ตั้งแต่กลับจากทะเลทุกเย็นแล้วได้โบกมือให้นาย...ตั้งแต่คืนนั้น...ทุกอย่าง...”
เด็กหนุ่มเลื่อนเก้าอี้เข้าไปใกล้คนที่ไม่อาจพูดอะไรต่อได้อีก แล้วก็ดึงร่างที่ไหวสั่นจนตัวโยนเข้ามากอด ให้เธอได้ซุกหน้าร้องไห้กับบ่าของเขา
“คำที่ไพเราะที่สุดของฉันไม่ใช่คำว่าเซลลาร์ ดอร์ จากนี้มันจะเป็นคำว่าเอดีนา เพราะเธอคือประตูห้องใต้ดินของฉัน และฉันก็หวังว่าฉันจะเป็นแบบนั้นให้เธอได้”
เอดีนาทำได้เพียงยกมือขึ้นโอบรัดเขาแนบแน่นจนแทบไม่มีช่องว่าง เพื่อตอบรับด้วยภาษากายให้จิมรู้ว่าเขาจะเป็นแบบนั้นสำหรับเธอ
นับจากนี้...จนถึงตลอดไป
และจิมก็ยืนยันคำพูดของเขาด้วยริมฝีปากที่กดลงไปประทับ เป็นจูบอีกครั้งจากนับร้อยครั้งที่พวกเขามีด้วยกัน แม้มันอาจไม่พิเศษไปกว่าจูบครั้งไหน เพราะทุกครั้งที่พวกเขาจูบกัน...มันพิเศษเสมอ ริมฝีปากของเอดีนาสั่นระริกจากแรงสะอื้นจนแน่นอนว่าเขาจะรู้สึกได้เมื่อมันสัมผัสกัน น้ำตาที่เปียกชื้นเปรอะแก้มของเขาที่แนบกับแก้มฉ่ำของเธอ ทั้งน้ำตาและริมฝีปากของเอดีนาอุ่นจัดจนถึงกับร้อนจี๋ ร่างที่บอบบางของเธอก็สั่นสะท้านเหมือนนกตัวน้อยที่น่าสงสาร แต่จูบของเขาจะช่วยปลอบโยนเธอได้—เหมือนที่เป็นมาตลอด
มันอาจเนิ่นนานเกินพอจนร่างที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาหยุดสั่นได้ เอดีนาวางสองมือบนอกจิมก่อนดันตัวเขาออกอย่างเบามือ เงยหน้าที่หยุดร้องไห้แล้วขึ้นยิ้มเรื่อให้เขา
“ฉันไม่เป็นไรแล้ว ขอบคุณนะ”
ก่อนหลุบตาต่ำ ขยับตัวออกห่างจากเขาจนเก้าอี้ที่เธอนั่งขยับถอยไปเล็กน้อย หากจิมก็รู้และเข้าใจการกระทำของเธอดี พวกเขา...‘เขา’เพิ่งทำเรื่องที่เสี่ยงมากลงไป และอาจมีคนเข้ามาเห็นได้ทุกเมื่อ
มันเป็นเรื่องที่พวกเขาให้ใครรับรู้ไม่ได้...เรื่องที่จะต้องอยู่แต่ในประตูห้องใต้ดินของพวกเขา
หากจิมกับเอดีนาก็หวังว่าสักวันหนึ่ง...จะได้เปิดประตูบานนั้นออกไปเผชิญกับโลกภายนอกด้วยกัน
ไปยังโลกที่พวกเขาจะรักกันได้โดยไม่ต้องแคร์สายตาใคร...โลกที่ความรักของพวกเขาไม่ใช่เรื่องที่ผิด
❥
เอดีนากับจิมเจอเฮเตอร์ตอนออกมาจากห้องเรียน—ประตูห้องใต้ดินในช่วงเวลาหนึ่งของพวกเขา—ด้วยกัน หล่อนยืนกอดอกพิงกำแพง จดจ้องกับหน้าจอไอโฟนในมือข้างหนึ่ง ก่อนเมินมันเมื่อร้องทักจิมทันทีที่ได้เห็นเขา ทั้งคู่ตกใจไปกับเสียงแหลมที่คุ้นหูนั้นเพราะเพิ่งทำความผิดมา จึงไม่แปลกหากปฏิกิริยาของพวกเขาจะเหมือนเด็กที่กลัวโดนจับได้แล้วจะถูกนำตัวไปลงโทษ แต่เฮเตอร์เพียงหันไปยิ้มให้เอดีนาแป๊บหนึ่ง แล้วกลับไปให้ความสนใจกับเพื่อนสนิทของหล่อนต่อ
“ฉันกำลังจะโทรหานายพอดี คืนนี้พวกเรามีปาร์ตี้ ฉันคิดว่านายอาจสนใจ”
“คงต้องปฏิเสธนะ คืนวันศุกร์เป็นคืนดูหนังของฉัน”
เฮเตอร์ยักไหล่กับคำตอบที่อีกฝ่ายแทบไม่เสียเวลาคิด หล่อนแตะไหล่เด็กหนุ่มตัวสูงขณะกำลังจะเดินผ่านเขาว่า “เดี๋ยวนี้นายไม่ค่อยมารวมกลุ่มกับพวกเราเลยนะ” ดวงตาสีน้ำเงินเข้มของหล่อนสบกับเอดีนาที่ยืนสงบเสงี่ยมอยู่หลังจิมในเสี้ยววินาทีหนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า บาย! ให้คนทั้งคู่ก่อนเดินจากไป
“มันก็จริงนะ” เอดีนาเริ่มพูด ขณะออกเดินไปห้องสมุดเพื่อเอาหนังสือที่เธอยืมมาทำการบ้านไปคืน “นายควรไปปาร์ตี้กับพวกเขา ไม่รู้สิ...ใช้เวลาอยู่กับพวกเขา เราจะดูหนังเมื่อไหร่ก็ได้” เอดีนาบอกเขาอย่างนั้น เพราะรู้ดีว่าตนเองคือเหตุผลที่ทำให้จิมไม่ค่อยได้ใช้เวลาอยู่กับเพื่อนสนิทเหมือนที่เคย
“และฉันจะปาร์ตี้เมื่อไหร่ก็ได้” จิมพูดราวกับล่วงรู้ความคิดของคนเดินด้วย
เขาเลือกจะใช้เวลากับเอดีนาเพราะมันคือสิ่งที่เขาต้องการ และมันจะเป็นไร...หากเขาจะทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
“เพราะฉันมีความสุขที่สุดตอนที่ได้อยู่กับเธอ”
❥
จิมกำลังดูหนังเรื่องดอนนีย์ ดาร์คโค กับเอดีนาด้วยกันที่ห้องรับแขกชั้นล่างของบ้าน ตอนที่ไอโฟนของเขาสั่นเพราะมีสายเข้า เด็กหนุ่มเอื้อมไปหยิบมือถือที่วางคว่ำหน้าบนโต๊ะกระจกเตี้ยหน้าโซฟาที่นั่งอยู่ขึ้นมา มันขึ้นชื่อของเฮเตอร์ เขาหันมองเอดีนาที่นั่งอยู่ข้างกัน แต่เธอไม่ได้สนใจเพราะมัวจดจ่อกับภาพบนจอ จิมจึงไม่ได้พูดอะไรกับเธอ นอกจากลุกไปที่ประตูบ้านซึ่งอยู่ข้างหลังพวกเขา เพื่อรับสายโดยไม่ให้รบกวนคนที่กำลังตั้งใจดูหนัง
“เฮเตอร์ มีอะไร”
“ฉันรู้เรื่องของนาย” น้ำเสียงของเฮเตอร์ที่เขาได้ยินฟังเหมือนกำลังเมา “...กับเอดีนา”
“อะไรนะ”
แต่ทันใดเสียงจากอีกฝ่ายก็เงียบไปเหมือนถูกตัด จิมเอามือถือออกจากหูเพื่อดูว่ามีอะไรผิดปกติกับสัญญาณหรือเปล่า ทว่าหน้าจอก็ขึ้นว่าเฮเตอร์ยังอยู่ในสาย แต่ก่อนจะได้เอากลับมาแนบหู ก็มีข้อความที่ถูกส่งเข้ามาจากเจ้าของชื่อเดิมนั้น จิมกดดูแล้วก็ตัวชาวาบ รู้สึกเหมือนมีค้อนทุบเข้าที่หัวอย่างจัง
มันเป็นภาพของเขากับเอดีนาในห้องเรียนเมื่อตอนเย็น—ภาพที่พวกเขาจูบกัน
ยกมือถือขึ้นจ่อกับหูด้วยใจที่เต้นรัวเร็วจนไม่เป็นจังหวะ ก่อนได้ยินเสียงจากปลายสายอีกครั้งเมื่อหล่อนได้ยินเสียงระบายลมหายใจแรงของเขา
“นั่นใช่มั้ยสาเหตุที่นายไม่ค่อยมาอยู่กับพวกเราเหมือนแต่ก่อน” ใช่...เฮเตอร์กำลังเมา ไม่เหล้า ก็ยา หรือไม่ก็ทั้งสองอย่าง
“ต้องการอะไร เฮเตอร์” จิมพบว่ามันมีความตึงเครียดถึงขีดสุดในน้ำเสียงที่แตกพร่าของเขา
“โธ่ จิม ฉันคิดถึงนายมากๆเลยนะรู้มั้ย...ทุกอย่างของนาย”
เสียงหัวเราะรวนร่าราวเยาะเย้ยของเฮเตอร์เหมือนเป็นสว่านที่เจาะเข้ามาในประสาทของเขา พร้อมทำให้หัวสมองของเขาระเบิดกระจุยกระจายได้ในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง
“จากนี้นายอย่าปฏิเสธฉันอีก แล้วเรื่องของนายกับเอดีนา...จะมีแค่เราสองคนที่รู้”
แม้เมื่อเฮเตอร์จะวางสายไปแล้ว จิมก็ยังกำมือถือที่แนบอยู่กับหูแน่นจนข้อมือกลายเป็นสีขาว
เสียงพูดของตัวละครในหนังดังมาจากทีวีทางด้านหลัง มันเป็นบทโต้ตอบของดอนนีย์ ดาร์คโค กับครูสอนภาษาอังกฤษที่รับบทโดยดรูว์ แบร์รีมอร์
“เซลลาร์ ดอร์คืออะไรฮะ” ดอนนีย์ ดาร์คโคถาม
“นักภาษาศาสตร์คนดังเคยบอกว่า ในหมู่คำภาษาอังกฤษทั้งหมดในประวัติศาสตร์ที่นำมาผสมกันได้ไม่สิ้นสุด ‘เซลลาร์ ดอร์’ คือคำที่สวยที่สุด” ครูของดอนนีย์ตอบ
ไม่ต้องหันมอง จิมก็จดจำได้ทุกฉากของหนังที่เขาดูมาเป็นสิบรอบ ฉากต่อจากนั้น ดอนนีย์จะเดินออกมานอกห้องเรียน ได้เจอกับเชริต้าเพื่อนนักเรียนที่เป็นคนจีน ดอนนีย์จะเอาหูฟังที่เธอสวมครอบหูออกเพื่อบอกเธอว่า
“ฉันสัญญาว่าวันหนึ่ง ทุกสิ่งจะดีขึ้นสำหรับเธอ”
แล้วเชริต้าก็จะตะโกนใส่เขาก่อนวิ่งหนีไป
“หุบปาก!”
ใช่ หุบปาก! ไม่ว่าจะดอนนีย์ เชริต้า เฮเตอร์ ทุกคนบนโลกนี้ ใครก็ช่าง...หุบปากให้หมด!
“จิม...”
—เว้นก็แต่เจ้าของเสียงนั้น
จิมสะกดอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่อาจระบายออกมาได้จนมิดที่สุด เขาหมุนตัวเดินกลับไปนั่งที่โซฟา จากนั้นก็ยิ้มให้เอดีนาดั่งแทนความหมายโดยไม่ต้องเอ่ยเป็นถ้อยคำว่า
‘ฉันสัญญาว่าวันหนึ่ง ทุกสิ่งจะดีขึ้นสำหรับเธอ’
และรอยยิ้มของเอดีนาที่คืนกลับมา ก็ทำให้จิมเชื่อว่าคำนี้จะเป็นจริงได้ ไม่ว่ากับเธอหรือกับเขา...ในวันหนึ่ง
- เอดีนาร้องไห้ทุกตอนเลย แต่จากนี้ก็ยังต้องร้องไห้อีกอยู่ดี อย่าเพิ่งว่า อย่าเพิ่งรำคาญ ด่าเราได้แต่อย่าด่าเอดีนา T_T
- โคดี้ เฟิร์น เป็นอิมเมจที่เราเอามาแต่งฟิคแล้วได้บทหลากหลายที่สุดแล้ว คู่ควรเป็นพระเอกฟิคทุกแบบ แต่งไปแล้วก็รักจิมมาก พระเอกที่แสนดีที่สุดที่เราเคยแต่งแล้ว T_T
- The Tree of Life คือหนังโคตรปรัชญาที่เราโคตรรัก เป็นหนังที่สวยที่สุดที่เราเคยดูมาในชีวิตแล้ว ก็คือให้จิมอวยเอดีนาขนาดนี้แหละ ทุกอย่างที่ดีและรักเราให้สองคนนี้หมด ส่วนคำว่า Cellar Door เราได้ไอเดียมานานตั้งแต่ได้ดู Donnie Darko จนได้เอามาลงในนี้ล่ะ นักภาษาศาสตร์ที่ว่าก็คือคุณ J.R.R. Tolkien เพราะไม่เพราะก็ตรองดู :p
- เรารู้จัก Mazzy Star เพราะเค้ามีเพลงที่ได้insertในเรื่อง The Handmaid's Tale เพลงนี้เป็นเพลงที่เราบังเอิญได้ฟัง แต่ฟังครั้งแรกแล้วก็รักเลย แน่นอนว่ามันจะเหมาะกับฟิคเรื่องนี้มาก เพราะเพลงลงฟิคนี้เราตั้งใจคัดสรรอย่างดีที่สุด T_T
ปล. เฮเตอร์ (Heather) รับบทโดย Sydney Sweeney ที่น่ารักของเราเองก๊าบ ~
As for the saddest news of Sulli, one of my most beautiful k-pop stars. You've gone through a lot of things and I wish that from now on you'll be living a peaceful and happier life on the beautiful moon like you. Your song 'On The Moon' is one of the songs that set the tone of this fiction. Ty! ilysomuch x
ความคิดเห็น