ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    legend of turpentine ~dragon\'s tale of turpentine~

    ลำดับตอนที่ #4 : chapter 3 ~The gathering when blowing stroms and tidal waves meet~

    • อัปเดตล่าสุด 6 ต.ค. 46


                                                                     ตำนานแห่งเทอร์เพนไทน์



                                                        ภาค ~เรื่องเล่าของมังกร~



                                      ตอนที่ 3 ~การประชุมเมื่อลมพายุและคลื่นนํ้ามาบรรจบกัน~




              ที่ภูเขาครีเอเชียส ขณะที่มังกรตัวหนึ่งกำลังพุ่งเข้ามาหาชายลึกลับอย่างรวดเร็วนั้น เขาก็ไม่ได้หวั่นไหว เขาเพียงแค่

    ชำเลืองมองด้วยความแปลกใจ ทั้งยังกล่าวภาษารูนออกมาด้วยคำๆหนึ่งว่า \"ฮัลด์\" ซึ่งก็ทำให้มังกรตัวนั้นหยุดชะงักในทันที

    พลางโต้ตอบด้วยภาษารูนเช่นกันว่า



    \"เอลดิ มูร์น เซฟาล อิลลูสเต มอสคอว์ เต ราสกา?(ทำไมเจ้าซึ่งเป็นมนุษย์ถึงรู้จักคาถาลวงตานี้ด้วย)\"

    ชายลึกลับไม่ตอบคำถาม เขาเพียงแค่หลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นมาใหม่ ส่งผลให้คาถานั้นสลายไป มังกรตัวนั้นก็เป็นอิสระอีก

    ครั้ง แทนที่คราวนี้มันจะพุ่งเข้ามาต่อ มันกลับหมอบตัวลงนอนแผ่อย่างนิ่มนวล ครางเสียงทุ้มตําออกมาก่อนจะกล่าวต่อว่า



    \"ฮาร์วานอยด์ มูร์น รูห์ยอาห์ รอว์ดิ ฟิแอสต้า(หรือว่า เจ้าคือ นักปราชญ์ทมิฬ ในตำนาน)\"



    \"อาลรู อาลห์วี นอสโตรคารดิ คิรูว์ฟ มูร์น ซาลเต(ไม่รู้สิ ข้ามีเรื่องอยากจะถามเจ้าอยู่เหมือนกัน)\"ชายลึกลับตอบ



    \"คิรูฟว์? อามาเซรอนิอัส อาลู แนธ ดราโก! เมนโอเซสลู คาร์ดิ(ถาม กับข้านี่นะ ข้าเป็นมังกรนะ! เจ้าจะถามอะไรกับข้าเล่า)\"



    \"อาลรู... คิมูซาลเด ฮาร์วา อานิดิอัส(ข้า...อยากจะรู้ว่าข้าเป็นใคร)\"



    \"ฮูมมม นิโฮลีมูร์น อานา คิกาลอย นาเลอัส อาลูนอส นิโฮมูร์นนา กาเลโอวา บายน์ดัส ฟีออลโรนิแอนนิวัส ฮูม... นาร์อาซี

    ไวซอรอซ๊ร่า เดอมัส อูร์นี  อาคารีอาลูอัส...(อืม นี่เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครกัน ข้าไม่ใช่สัพพัญญูนะที่จะรู้ไปเสียทุกอย่าง เจ้าก็รู้

    นี่ว่าเผ่าพันธุ์ของเราถูกปิดกั้นจากโลกภายนอกมาหลายร้อยปีแล้ว แต่ ถ้าเป็นมังกรที่มีความรู้มากที่สุดในกลุ่มเรา น่าจะเป็น

    เจ้านั่น อืม ตามข้ามาสิ..)\"

    แล้วมันก็หมอบตัวลง ให้ชายลึกลับสามารถขึ้นไปบนหลังของมันได้ หลังจากขึ้นไปแล้ว มันก็สะบัดปีกอย่างรุนแรงและรวด

    เร็วทะยานออกไปตรงที่ระบายอากาศยักษ์ สู่บริเวณที่มีอากาศธรรมชาติในภูเขาครีเอเชียส...



              หลังจากสายลมอันรุนแรงได้พาดผ่าน โหมกระหนํ่าทั่วร่างของเขาตลอดการเดินทางอันยาวนาน ซิรูเฟก็ถึงจุดหมาย

    ที่เมืองเวเนร่า ที่ซึ่งเขาทนเฝ้ารออย่างลำบากยากเย็น ความโศกเศร้ากระหนํ่าลงในจิตใจ รวมทั้งซัดสาดให้ร่างกายของเขา

    เปียกปอน เขาก็ได้แต่ปล่อยให้ความสับสนถาโถมเข้ามา จนบัดนี้หลังจากที่กรุนกัสต์ได้มาส่งเขาและพุ่งหายเข้าไปในกลีบ

    เมฆ สายฝนที่เริ่มตกลงตั้งแต่เขาออกมาจากภูเขาครีเอเชียส ก็มีแต่จะเทกระหนํ่ารุนแรงขึ้น ไม่ได้มีท่าทีจะลดความรุนแรง

    ลงแม้แต่น้อย กรุนกัสต์มาส่งเขาแล้วก็หายลับไป ไม่ได้แนะนำเขาเลยแม้แต่น้อยว่าควรจะทำอย่างไร เขาจึงไม่รู้จะไปไหน

    ดี ได้แต่เดินตามทางมาเรื่อยๆ จนเริ่มเห็นเค้าโครงของเมืองเวเนร่า...



              เวเนร่า เมืองแห่งวิทยาการ ผู้ใดที่มาเยี่ยมเยียนที่นี่จะได้ความรู้ต่างๆกลับไปอย่างแน่นอนไม่มากก็น้อย เนื่องจาก

    ที่นี่เป็นศูนย์รวมของความรู้ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นวิทยาการของพวกนักรบที่สอนทักษะการใข้อาวุธต่างๆอย่างครบครัน ทั้งยัง

    มีเปิดสอนให้กับเหล่าผู้ใช้เวทมนตร์ด้วย ไม่ว่าจะเป็นสายเวทมนตร์ขาว ดำ หรือพวกอัญเชิญสัตว์อสูร ผู้ใช้เวทกาลเวลา หรือ

    จะเป็นพวกผู้ใช้ธาตุทั้งสี่ก็มี เป็นต้น วิทยาการที่เมืองนี้มี ไม่ได้มีเฉพาะทางสายการต่อสู้เท่านั้น สำหรับพวกนักบวชหรือพวก

    บาทหลวง-แม่ชี ก็มีสอนเรื่อง การเยียวยาโดยใช้เวทมนตร์จารีตประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ คุณธรรมและวัฒนธรรมที่จำเป็น

    ในด้านต่างๆด้วย



              ไม่ได้มีเท่านั้น ที่นี่ยังมีศูนย์ฝึกพรานป่า มีสอนการล่าสัตว์ การเลี้ยงสัตว์ทุกชนิด สอนการยิงธนูให้แม่นยำไม่พลาด

    เป้า หรือทางสายนักเล่นแร่แปรธาตุต่างๆไปมาได้ตามใจปรารถนา ซึ่งที่นี่ไม่สอนแต่ศาสตร์ด้านดีเท่านั้น ศาสตร์ต้องห้ามที่

    คนทั่วไปว่าเป็นศาสตร์ด้านมืดก็มีสอนด้วย ไม่ว่าจะเป็นจอมโจร นักลอบฆ่า เงา ด้านการใช้พิษ การวางกับดัก ก็มีอยู่พร้อม

    ศาสตร์แห่งปรัชญาสำหรับเหล่านักปราชญ์ผู้มีภูมิปัญญาสูงส่ง ศาสตร์แห่งการทำนายของผู้ทำนายที่ไลายคนใฝ่ฝันถึงก็ไม่

    ได้หายไปไหน



              เหล่ายอดคนแห่งยุคที่ถูกกล่าวเป็นตำนานเล่าขานส่วนใหญ่ก็ต่างมาศึกษาวิทยาการต่างๆที่เมืองนี้กันทั้งนั้น ไม่ว่า

    จะเป็น เซอร์เอกซติงค์ ที่เป็นต้นแบบของอัศวินผู้ซื่อสัตย์ ภักดี และเปี่ยมไปด้วยความสามารถก็ได้มาศึกษาที่นี่ในวัยเยาว์

    หรือ บาร์ด นักปราชญ์ในตำนานเคยศึกษาและใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนี้ ทั้งในฐานะนักเรียนและผู้อำนวยการสถาบันวิทยาการ

    ทั้งหมดเช่นกัน จะเห็นได้ว่า ที่นี่เป็นแหล่งผลิตประชากรที่มีคุณค่าได้มากที่สุดของอาณาจักรเทอร์เพนไทน์นี้



              เคยมีผู้กล่าวไว้ว่า \"ถ้าอยากรู้อะไรให้ไปที่เมืองเวเนร่า แต่ถ้าไม่ใช่ชนชั้นสูงและผู้มีฝีมือ อย่าหวังว่าจะได้ไปถึงที่

    นั่น\" ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า หนทางสู่เมืองนี้ ลำบากยากเย็นยิ่ง ถ้าไม่ใช่ผู้ชำนาญนำทางมาแล้ว อาจจะไม่สามารถมีชีวิต

    รอดได้ก่อนจะไปถึงเมืองนี้ รอบๆตัวเมืองยังมีหมอกอาคมสีประหลาดร่ายไว้ เพื่อป้องกันผู้ประสงค์ร้ายเข้ามาในเมือง ซึ่ง

    มันก็ประสบผลสำเร็จอย่างงดงาม อย่างไรก็ตาม เมืองนี้ก็เป็นเมืองที่สำคัญที่สุดเมืองหนึ่ง มีความลับที่ถูกซ่อนเร้นไว้อยู่

    มากมาย...

                                        จาก บันทึกรายนามว่าด้วยเรื่อง เมืองต่างๆในอาณาจักรเทอร์เพนไทน์ โดย กาเลส ยานอส




              ซิรูเฟพยายามนึกทบทวนถึงข้อมูลของเมืองนี้จากหนังสือที่เขาเคยอ่านสมัยเด็กๆ ซึ่งค่อยหลั่งไหลออกมาจนเขา

    สามารถสรุปได้ว่าจะเข้าเมืองนี้ได้นั้น ไม่ง่ายอย่างที่คิด แล้วเขาจะเข้าเมืองได้อย่างไร...?



              ขณะที่เขากำลังครุ่งคิดพลางเข้าไปหลบฝนใต้ร่มเงาต้นไม้นั้น เขาก็แว่วเสียงหนึ่งที่ไม่ใช่เสียงฝน มันเป็นคล้ายกับ

    เสียงของสัตว์ชนิดหนึ่ง เสียงนั้นเดี๋ยวทุ้มเดี๋ยวแหลมฟังดูประหลาดพิกล แต่คาดเดาได้ว่าอยู่ไม่ไกลจากตัวเขาเท่าไหร่นัก

    เขาพยายามหายใจให้ช้าลง เพื่อลดเสียงไม่ให้เจ้าของเสียงนั้นรู้สึกตัวได้ และพยายามที่จะแนบตัวให้ชิดกับต้นไม้มากที่

    สุดพลางตั้งสมาธิเพื่อจับเสียงของสัตว์ประหลาดที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ เขาหลับตาลง ในใจระลึกถึงวิธีอำพรางจิตที่เคยอ่าน

    มาจากหนังสือ ที่มีหลักว่า



    \'ทำให้ความไม่ว่างเปล่าในใจให้เต็มไปด้วยความว่างเปล่า โดยการนึกถึงกระแสธารที่ไหลเอื่อยๆ ไหลไปเรื่อยๆ ค่อยๆ

    ช้าลงจนหยุดนิ่ง ไม่มีสิ่งใดหวั่นไหว ให้สัมผัสกับความอบอุ่นของกระแสธารแห่งชิวิตในจิตใจ หากคิดที่จะคืนจิตกลับสู่

    สภาพเดิมก็ให้จินตนาการก้อนหินก้อนหนึ่งผ่านลงบนผิวนํ้า เกิดระลอกคลื่นตามมา ให้ก้อนหินเคลื่อนผ่านกระแสธารแห่ง

    ชีวิตอันอบอุ่น จนสามารถคืนสติได้\'




              เขาทำตามคำแนะนำในหนังสือที่เคยอ่านมาอย่างช้าๆ จนรู้สึกได้ว่าตัวเองค่อยๆจางหายไป รู้สึกได้ถึงสิ่งรอบตัว

    แต่ไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของตนเอง เสียงที่ใกล้เข้ามานั้นหยุดนิ่ง ทำเสียงฟืดฟาดด้วยความฉงนสงสัย แว่วเสียงของมนุษย์

    ที่คล้ายจะเป็นเสียงของเจ้าของสัตว์ตัวนั้นว่า



    \"นี่ อาบรู เจ้าว่ามันแปลกประหลาดไหม เมื่อครู่นี้ข้ารู้สึกได้ถึงกลิ่นไอแห่งชีวิตของมนุษย์ แต่มันก็ค่อยๆจางหายไป ราวกับ

    ว่ามันสามารถหายตัวได้อย่างนั้นแหละ ลองเข้าไปให้ใกล้กว่านี้หน่อยสิ\"

    สัตว์ตัวนั้นส่งเสียงทุ้มตํ่า ราวกับจะตอบรับชายคนนั้น



              ซิรูเฟหลับตาแน่น พยายามทำจิตให้ว่างเปล่าที่สุด แม้สายฝนที่เล็ดรอดมาจากช่องว่างระหว่างใบไม้จะหยดลงบน

    ศีรษะของเขาจนทำให้เขาเปียกปอนไปทั้งตัวแล้วก็ตาม เสียงซอกแซกที่บ่งบอกถึงการค้นหาตามพุ่มไม้ เริ่มขยายวงกว้าง

    ไปทั่ว จนเริ่มทิศทางการค้นหาเริ่มเบี่ยงเบนออกห่างไปจากตัวเขา และเสียงค่อยๆหายลับไปกับเสียงของฝนที่สาดเทลงมา



              เมื่อเขาเริ่มมั่นใจว่าปลอดภัยดีแล้วก็ค่อยๆคืนสติมาจากภวังค์แห่งความสงบ ลืมตาขึ้นพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก

    เขาไม่รู้ว่าทำไมจึงเกิดความคิดที่ทำให้เขาพยายามที่จะอำพรางจิตได้อย่างทันท่วงที ราวกับว่าส่วนลึกของจิตใจเบื้องลึก

    ของเขามันรํ่าร้องให้ทำอะไรก็ได้ ที่จะทำให้ตัวเองหลุดรอดปลอดภัยจากชายประหลาดและสัตว์ประหลาดที่ไม่รู้จักหน้าค่าตา

    กันนี้ อย่างไรก็ตาม เขาคิด เขาจะต้องไปให้ถึงเมืองเวเนร่าให้ได้ตามที่อาจารย์ของเขาได้ฝากฝังไว้...



              การประชุมกำลังพลที่เมืองลาฮาลเริ่มขึ้นท่ามกลางฝนที่ตกกระหนํ่าลงมา โดยที่การประชุมนี้ได้ถูกจัดขึ้นอย่างเร่งด่วน

    ที่สุดภายใต้คำสั่งของเจ้าเมืองนาม รุนดอว์ฟ ในท่ประชุมนี้เต็มไปด้วยแม่ทัพมากหน้าหลายตาดูท่าทางทะมัดทะแมงไว้ใจได้

    แต่ถึงแม้ว่าจะมีความฮึกเหิมสักเท่าใด ในตอนนี้ถ้าเทียบกับกำลังของฝ่ายศัตรูแล้วต่างไม่มีใครคาดคิดว่าจะชนะใดเลย สงคราม

    อาจจะเริ่มต้นในเวลาใดก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อศัตรูสามารถตั้งค่ายในระยะที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเช่นนี้ ย่อม

    ก่อให้เกิดความเกรงกลัวในพละกำลังอันมหาศาลที่พร้อมจะบดขยี้เมืองเล็กๆนี้ให้แหลกเป็นจุลได้ในพริบตา เพราะฉะนั้นทุกคน

    ในที่นี้ต่างก็มีความตึงเครียดหลบซ่อนอยู่ภายในจิตใจ



              ถึงแม้ว่าอาเบลจะไม่ใช่ผู้ที่มียศสูงถึงขนาดเป็นแม่ทัพ แต่เขาก็เป็นผู้ที่แม่ทัพหลายๆคนยอมรับว่ามีทักษะในด้านการ

    วางแผนการรบแบบจำลองเหตุการณ์และใช้อาวุธสงครามได้อย่างดีเยี่ยม อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในรอบสิบปีเลยทีเดียว บาง

    ครั้งเขาก็จะได้รับเชิญให้ไปสอนทหารฝึกหัดทางด้านทฤษฎีพิชัยสงครามด้วย ไม่มีใครเคยล่วงรู้ภูมิหลังของเขา จะรู้เพียงแต่ว่า

    เขาเข้ามาประจำการที่นี่เมื่อห้าปีก่อน และก็เฝ้าอยู่ที่หอประจำการนี้มาตลอด ไม่มีใครรู้ว่าใครสั่งให้เขามาที่นี่หรือเขามาที่นี่ด้วย

    จุดประสงค์ใด ซึ่งเรื่องนี้ก็กลายเป็นที่นิยมในการโจษจันกันของชาวเมืองเมืองลาฮาลมากเลยทีเดียว

            

              อย่างไรก็ตาม ในการประชุมครั้งนี้ เขาก็ถูกเรียกตัวเข้ามาเป็นแขกพิเศษของเจ้าเมือง ในฐานะของที่ปรึกษาพิเศษ

    ไม่ใช่ในฐานะทหารใต้อาณัติของเจ้าเมือง หลังจากที่สมกชิกนั่งกันครบองค์ประชุมแล้ว รุนดอว์ฟ เจ้าเมืองก็ได้กล่าวเปปิด

    ประชุมว่า



    \"ทุกท่านในที่นีคงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าสถานการณ์โดยรวมของเมืองเราตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นอันตรายจนใกล้จะถึงจุดวิกฤตแล้ว

    ตามสถติแล้วกองกำลังของเผ่ามาซันมีมากกว่าเราประมาณสิบเท่า ดีที่เมืองนี้มีภูมิประเทศที่เหมาะต่อการป้องกันข้าศึก

    จึงน่าจะได้เปรียบตรงชัยภูมิ แต่แค่ชัยภูมิก็ยังไม่อาจที่จะมีชัยเหนือศัตรูที่มีกำลังมากกว่าเราถึงเพียงนี้ได้ พวกท่านคิดว่าเรา

    ควรจะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไรดี\"



    \"ข้าคิดว่าเราน่าจะถอยพลางตั้งรับไปด้วยนะ เพราะเราต้องยันศัตรูให้ได้ก่อนที่ทัพหลวงจะยกมาช่วยเรา\"นายพลคนหนึ่งออก

    ความเห็น



    \"แต่ว่าศึกครั้งนี้เราไม่ควรล่าถอย เนื่องจากละแวกหมู่บ้านชาวนาที่อยู่หลังเมืองของเรายังอพยพไม่ทันเลย ถ้าหากว่าเราล่าถอย

    จนอาจจะทำให้เกิดความสูญเสียมากมาย ท่านเข้าใจหรือไม่?\" รุนดอว์ฟโต้ตอบ



    \"หรือพวกเราอาจจะต้องเสียสละ...เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของคนหมู่มาก ยันทัพจนต้องตายกันหมด แต่ว่าข้ายังมีครอบครัวที่รอล

    คอยการกลับไปของข้าอยู่ ข้าจะยังมาตายที่นี่ไม่ได้ ข้าจะต้องรอด\" แม่ทัพคนหนึ่งเปรยขึ้น แว่วเสียงซุบซิบเซ็งแซ่อึงอลไปหมด



    \"เกิดเป็นชายชาติทหาร ตายครั้งหนึ่งตะเป็นไร ถือว่าทำเพื่อองกษัตริย์และอาณาจักรของเรา เรื่องแค่นี้ครอบครัวของท่านน่าจะ

    เข้าใจดี ท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอก\" แม่ทัพอีกคนหนึ่งออกความเห็น



    \"...ท่านไม่เข้าใจผู้ที่มีครอยครัวอย่างข้าหรอก ข้ามีลูกชายตัวเล็กๆคนหนึ่งที่กำลังรอให้ข้ากลับไปให้ความรักและความรู้ให้อยู่

    ถ้าข้าตายไปแล้วใครจะทำหน้าที่แทนข้าได้ ภรรยาของข้าก้จากข้าไปเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้ข้าไม่อยากเสียใครไปอีกแล้ว\"

    แล้วแม่ทัพอีกคนก้รีบลุกขึ้นจ้องตาเขาในทันที แต่ก่อนทีเขาจะพูด รุนดอว์ฟก็ทุบโต๊ะให้ทุกคนสงบและหันมาฟังเขาพูด



    \"เอาล่ะ ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านทั้งสองดี แต่ละคนก็มีความคิดที่แตกต่างกันไป จริงอยู่ท่านยังไม่อยากตาย แต่ทำสงคราม

    ครั้งนี้ท่าน หรืออีกหลายๆคนอาจจะไม่ตายก็ได้ เราลองมาหาวิธีที่ไม่ต้องถอย แล้วก็ไม่ต้องมีการล้มตายด้วยดีไหม?\"



    \"แต่ท่านเจ้าเมือง สิ่งที่ท่านพูดดูเหมือนจะง่ายดาย แต่ความจริงมันไม่ง่ายดายถึงเพียงนั้นนะท่าน จะมีวิธีอะไรที่จะสามารถรับมือ

    กับกองทัพนับหมื่นโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อได้\"



    \"เพราะฉะนั้นข้าถึงได้เรยกพวกท่านมาประชุมกันยังไงล่ะ แล้วก้ถามความคิดเห็นของพวกท่าน ซึ่งไม่น่าจะได้ผล แต่ข้าคิดว่ามี

    อยู่คนหนึ่งที่หาแผนรับมือกับศัตรูได้ ใช่ไหม อาเบล\"



    \"อืม...แผนน่ะมันมี แต่ถ้าหากว่าทุกคนไม่ร่วมใจกันแล้วแผนนี้ก็คงไม่ประสบผล\"อาเบลตอบอย่างครุ่นคิด



    \"ท...ท่านมีแผนการอย่างนั้นหรือ ท่านรีบบอกมาเถิด\" แม่ทัพคนหนึ่งถามอย่างลิงโลด



    \"ไม่ทราบว่าพวกท่านรู้จัก \"ทัพพิสดาร\" หรือไม่ ข้าคิดว่ากองทัพอันน้อยนิดของเราจะสามารถเอาชนะศัตรูได้ก็เพราะศัตรูคิดว่า

    จะขนะเรายังไงล่ะ นี่คือประเด็นที่หนึ่ง อย่างที่สองก็คือ ชัยภูมิ ดังที่ท่านเจ้าเมืองว่ามาน่ะแหละ ยังไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญเท่าไหร่

    มันอยู่ที่การวางกลยุทธ์แล้วการใช้อุปกรณ์พิเศษเข้ามาช่วยต่างหาก ถ้าเราสามารถใช้อาวุธที่ศัตรูก็ยังไม่เคยคาดคิดมาก่อนได้

    เราก็มีโอกาสที่จะเกาะกุมชัยชนะไว้ในกำมือเรามากกว่าครึ่ง และอาจจะสามารถขับไล่ศัตรูให้ล่าถอยได้ถ้าหากว่าศัตรูไม่มั่นใจ

    ในกำลังพลของเรา\"



    \"มันเป็นแผนที่ยอดเยี่ยม แต่ทว่า ทัพพิศดารนั่นท่านจะจัดหามาได้หรือ\"



    \"ได้สิ แต่ข้าบอกแล้วนะว่าพวกท่านต้องร่วมมือกัน ส่วนเรื่องอาวุธประหลาดนั้น ตัวข้าได้ทำการศึกษามานานแล้วตั้งแต่ข้าอยู่ที่

    เมืองเวเนร่าแล้ว ซึ่งข้อมูลของอาวุธนี้เป็นเรื่องลับสุดยอด เอาไว้ข้าจะบอกต่อท่านเจ้าเมืองเป็นการส่วนตัว ข้าคงจะบอกได้แต่

    เพียงวิธีการทำและการหาวัตถุดิบเท่านั้น เรื่องการทำให้ระบบกลไกทำงานได้นั้นเอาไว้ข้าจะเลือกลูกมือมาช่วยทำงานก็แล้วกัน

    เราจะต้องรีบงานนี้ให้ด่วนที่สุด เพราะศัตรูจะต้องบุกมาในไม่ช้านี้แน่\"



    \"เช่นนั้นข้าจะรีบสั่งการให้เกณฑ์เหล่าชายฉกรรจ์ให้มาช่วยงาน พวกท่านที่มาร่วมประชุมคงจะรู้ถึงแผนการกันดีแล้วนะ แยก

    ย้ายกันไปประจำงานได้!\"



              แล้วแต่ละคนก็มาถามหน้าที่ของตนจากอาเบล ซึ่งเขาก็สั่งงานแม่ทัพแต่ละคนได้อย่างคล่องแคล่ว แล้วในไม่ช้าทุกคน

    ก็แยกย้ายกันไปทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างรวดเร็ว บ้างก็ไปเกณฑ์คนมาตัดไม้ บ้างก็ไปขุดแร่หาวัตถุดิบเพื่อทำ \"อาวุธพิเศษ\"

    ให้ทันตามกำหนด ทั้งนี้ทุกคนในเมืองก็ช่วยกันทำโดยไม่มีความตะขิดตะขวงใจเลย ต่างพร้อมใจกันที่จะปกป้องมาตุภูมิของตนไว้

    ให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของศัตรู เป็นความสามัคคีที่หาได้ยากในภาวะเช่นนี้



              อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ทุกคนจะให้ความรวมมือกันเต็มที่เพียงไร การเตรียมตัวเพื่อรับมือศัตรูก็ดำเนินไปอย่างยากเย็น กว่า

    งานจะเดินไปถึงระดับที่น่าพอใจ ตะวันก็เริ่มตกดินเสียแล้ว อาเบลจึงประกาศให้ทุกคนหยุดพักประมาณชั่วโมงหนึ่ง ซึ่งก็มีบางคน

    ทำงานต่ออย่างไม่หยุดยั้ง เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร แล้วก็เดินกลับเข้าห้องพักที่ถูกจัดเตรียมไว้



              เขาเดินเข้ามาในห้อง พบกระดาษแผ่นหนึ่งวางไว้อยู่ ลักษณะการวางเหมือนรีบร้อนวาง เขาจึงรีบฉวยขึ้นมาดูพักหนึ่ง แล้ว

    จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะมีข้อตวามส่งมาจากมูร่ามาว่าได้ติดต่อกับองค์กษัตริย์แล้ว ทัพหลวงจะถูกส่งมาในเร็ววัน แต่

    อย่างไรก้ตามเขาก็ต้องรับมือกับศัตรูที่ตั้งค่ายอยู่เบื้องหน้าของเขาก่อนจึงจะวางใจได้



              หลังจากที่ได้คิดแล้วเขาก็เดินไปหยิบแก้วไวน์ที่โต๊ะมาวางแล้วบรรจงรินไวน์ในขวดที่ถือไว้ในมืออีกข้าง เมื่อไวน์ปริ่มแก้ว

    แล้วเขาก็จิบไวน์นั้นอย่างนุ่มนวล แล้วค่อยเดินออกไปที่ระเบียงนอกห้องอย่างช้าๆ เอนตัวพิงบนราวระเบียงไว้ ปลดเปลื้องความ

    กังวลใจทั้งหมดที่ได้รับในวันนี้ สัมผัสกับช่วงเวลาอันสุขสงบที่ยังเหลืออยู่....



              กลับมาที่นครหลวงแห่งอาณาจักรเทอร์เพนไทน์ ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายแก่ๆแล้ว คณะขององค์กษัตริย์ก็กลับมาจาการล่าสัตว์

    กันอย่างพร้อมหน้า ซึ่งในขณะที่ทั้งคณะผ่านเข้าเมืองก็ได้ยินเสียงตอบรับอันเปรมปรีดิ์มาจากชาวเมืองที่แห่กันมาต้อนรับพระองค์

    ซึ่งพระองค์นั้นก็ไม่ได้สนใจในเรื่องนี้เท่าใดนัก รีบฝ่าขบวนต้อนรับเข้าวังไป เมื่อทหารรักษาการณ์เห็นทั้งคณะกำลังเร่งรีบจึงรีบ

    ทอดสะพานเข้าวังให้โดยเร็ว แทบจะในทันทีที่พระองค์เข้าเขตวังมาได้แล้ว พระองค์ก็รีบลงมาจากหลังม้าและสาวพระบาทเข้า

    ไปส่วนในต่อทันทีโดยมีข้ารับใช้และพระญาติติดตามไปอย่างกระชั้นชิด



              เสด็จพระราชดำเนินมาได้สักพักพระองค์จึงหันพระวรกายมาตรัสต่อผู้ติดตามพระองค์ให้แยกย้ายกันตามสบายได้ แต่อย่า

    ให้ไกลมากเพราะอาจมีเรียกประชุมได้ในเร็วๆนี้ คำตรัสนี้จึงเหมือนกับเป็นการเตือนให้ทุกคนระวังตัวให้พร้อมสำหรับการประชุม

    ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ดังนั้นเหล่าผู้ติดตามจึงเดินไปมาอยู่ในห้องโถงรับรองพลางพุดคุยซุบซิบกันไปก่อน จะเหลือก็แต่

    เพียงเซอร์เอสลาฟเท่านั้นที่ติดตามพระองค์ไปสู่ด้านใน



              เมื่อเริ่มเป็นส่วนตัวแล้วพระองค์จึงตรัสถามข้ารับใช้คนสนิทของพระองค์ที่ชื่อมาร์โก้ว่ามีคนมารอเข้าเฝ้าพระองค์หรือไม่

    ซึ่งมาร์โก้ก็ตอบว่ามีทหารมาจากชายแดนผู้หนึ่งที่ชื่อว่ามูร่าประสงค์จะมาแจ้งข่าวต่อพระองค์ ซึ่งพระองค์ก็หันไปพยักหน้ากับเซอร์

    เอสลาฟแล้วบัญชาให้นำมูร่ามาเข้าเข้าเป็นการส่วนพระองค์ เมื่อเบิกตัวมาแล้วพระองค์จึงให้มูร่าเล่าเรื่องที่ประสบมาทั้งหมด ไม่

    เพียงพระองค์จะไม่รู้สึกตกใจแล้ว ยังตรัสถามถึงเรื่องของอาเบลด้วย ทำให้มูร่าเกิดความสงสัย แต่ก็ไม่กล้าถามองค์กษัตริย์ว่ารู้จัก

    อาเบลได้อย่างไร ได้แต่เก็บไว้ในใจอย่างเงียบๆ...



              จากนั้นไม่นาน เหล่าคณะที่ไปร่วมล่าสัตว์และเหล่าแม่ทัพก็ถูกเรียกตัวมาประชุมในห้องโถงใหญ่ เมื่อทุกคนมาพร้อมหน้า

    กันแล้ว พระองค์ก็ไม่พิรี้พิไร รีบตรัสเรื่องที่พระองค์ต้องการจะพูดทันที



    \"ขอขอบคุณทุกท่านที่มานั่งรอและร่วมประชุม สิ่งที่ข้าต้องการจะพูดก็คือว่า ขณะนี้ทัพหลวงของชนเผ่ามาซันได้มาเยือนถึงเมือง

    ลาฮาล ชายแดนของเราแล้ว และข้าก็ไม่แน่ใจว่ากองกำลังรักษาการณ์ที่เมืองลาฮาลจะต้านทานได้นานเท่าใด ข้าจึงขอถามว่ามี

    ผู้ใดอาสาที่จะนำทัพหลวงกองหน้าไปเสริมกำลังที่เมืองลาฮาลก่อนหรือไม่\"

    เกิดเสียงซุบซิบดังเซ่งแซ่อยู่พักหนึ่งก่อนที่องค์กษัตริย์จะบัญชาให้เงียบ แล้วลอร์ดไอดาโทฟเฒ่าก็แสดงความเห็นว่า



    \"ฝ่าบาทพระองค์ทรงปรีชาสามรถยิ่งที่ตัดสินพระทัยสั่งการได้อย่างรวดเร็วยิ่ง แต่ขอฝ่าบาทดำรัสดูว่า ทหารของเมืองเราว่างเว้น

    จากสงครามมานานนับร้อยกว่าปีแล้ว หม่อมฉันมั่นใจได้เลยว่าจะต้องเกิดความหละหลวมภายในกองทัพเป็นแน่ โดยเฉพาะเผ่า

    มาซันครั้งนี้คงเตรียมทัพมาอย่างดี และมีความฮึกเหิมเต็มเปี่ยมแน่ หม่อมฉันเห็นว่าการรีบร้อนบุกจะเป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์

    นะพะย่ะค่ะ\"



    \"ในเรื่องนั้นข้าก็ได้เคยคิดมาตั้งนานแล้ว ข้าก็เลยฝึกฝนหน่วยรบพิเศษที่มีความสามารถสูงขึ้นมาจำนวนหนึ่ง...พอสมควรเลยที

    เดียวข้าได้ตั้งชื่อหน่วยนี้ว่ากองกำลังปกป้องอาณาจักร พวกเขาขึ้นตรงต่อข้า ซื่อสัตย์และจงรักภักดีและรักชาติเป็นอย่างยิ่ง

    โดยเฉพาะยามที่สงครามกำลังจะประทุขึ้นเช่นนี้ ฉะนั้นขอให้วางใจในตัวข้าได้เลย ให้ข้าได้ใช้หน่วยรบนี้ให้เป้นประโยชน์ ให้ข้า

    ได้นำทัพออกรบในการศึกครั้งนี้ด้วยเถิด ข้าจะไม่ทำให้พวกท่านผิดหวัง ขอให้ใช้ชื่อของข้า เซอร์เอสลาฟ เป็นประกันได้เลย\"



    \"ย่อมได้ ในเมื่อท่านประสงค์เข่นนั้น เซอร์เอสลาฟ จงเข้ามา เข้ามารับโองการแห่งข้า ในนามของข้า เอ็ดเวิร์ด กษัตริย์แห่งราช

    วงศ์ซิมโฟเนียส ขอแต่งตั้งเจ้าเป็นแม่ทัพหลวงฝ่ายกองหน้า ไปเป็นกำลังเสริมให้กับเมืองลาฮาลให้เร็วที่สุด ภายในพรุ่งนี้กองทัพ

    ของท่านจะตร้องเตรียมพร้อม เข้าใจหรือไม่ เอาล่ะ ท่านไปได้แล้ว\"

    เซอร์เอสลาฟคุกเข้าลงน้อมรับดาบที่กษัตริย์เอ็ดเวิร์ดพระราชทานให้ แล้วค่อยๆลุกขึ้น ถวายความเคารพ แล้วล่าถอยออกจาก

    ห้องโถงไป จากนั้นองค์กษัตริย์จึงตรัสต่อว่า



    \"พวกท่านเห็นไหม เซอร์เอสลาฟช่างมองการณ์ไกล จัดตั้งหน่วยรบพิเศษขึ้น เราเองก็ยังไม่เคยคาดคิดมาก่อน เอาล่ะ พวกท่าน

    คงจะเหนื่อยกันมามากแล้วสำหรับวันนี้ เพราะยังไงอีกไม่นานพวกเราก็ต้องตามเซอร์เอสลาฟไปอยู่แล้ว ขอให้พวกท่านพักผ่อน

    ออมแรงไว้ให้มากก็แล้วกัน เชิญพวกท่านแยกย้ายกันไปพักผ่อนได้\"

    สิ้นพระสุรเสียง ทุกคนก็แยกย้ายกันไปผักผ่อนกันตามอัธยาศัยภายในเวลาไม่นาน เหลือแต่องค์กษัตริย์ที่นั่งคิดอะไรต่างๆอยู่

    เพียงพระองค์เดียว...



              ตลอดวันนี้ที่เนินเขาครีเอเชียสเต็มไปด้วยเสียงปะทะเสียดสีของสายลมและเสียงกระทบกันของไม้เท้ากับลูกธนูอย่างไม่

    หยุดหย่อน การกระทบกระทั่งกันของนักปราชญ์และสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งม้าได้ดำเนินมากว่าครึ่งวันแล้ว และดูเหมือนว่าทั้งคู่จะไม่

    เลิกรากันง่ายๆเป็นแน่ จะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งล้มตายอย่างแน่นอน ถ้าหากว่าไม่มีเสียงหัวเราะที่แปลกประหลาดมาคั่นกลางเสีย

    ก่อน เสียงหัวเราะนั้นทำให้ทั้งคู่เงยหน้าขึ้นพร้อมกัน แล้วทันใดนั้นก็เกิดการระเบิดขึ้นระหว่างกลางของคนทั้งสองอย่างรุนแรง ส่ง

    ผลให้ทั้งสองต้องกระเด็นไถลไปไกล



              ภายหลังการระเบิด ตรงที่ที่เกิดการระเบิดก็หลงเหลือแต่กลุ่มควันฟุ้งกระจายไปทั่ว แล้วก็ปรากฏเค้าร่างของคนออกมาจาก

    กลุ่มควันนั้น ที่ดูจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆพร้อมๆไปกับเสียงหัวเราะอันชั่วร้ายที่ดังขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่หยุดยั้งอย่างไม่หยุดยั้ง เจ้าของเสียงนั้นค่อยๆเดินเข้าใกล้ดาโวลท์จนเขาสามารถเห็นหน้าของชายประหลาดได้ชัด แล้วเค้าของความแตกตื่นก็ปรากฏขึ้นบนในหน้าของยอดนักปราชญ์พร้อมๆกับคำพูดที่กล่าวออกมาโดยนํ้าเสียง ไม่สู้จะดีนักว่า



    \"...เมมฟิส...นี่ เจ้า...ยังไม่ตายอีกหรือ?\"

    แล้วเขาก็พยุงตัวขึ้นมาด้วยไม้เท้าอย่างยากเย็น



    \"...หึ...หึๆ...ฮ่าๆ...ฮ่าๆๆๆ นึกแล้ว...ทุกๆคนที่รู้จักข้าต่างก็คิดว่าข้าได้ตายไปแล้ว นี่พวกท่านเอาส่วนไหน ของสมองมาคิดกัน! ท่านนึกหรือว่าคนอย่างข้าจะสามารถตายง่ายๆอย่างนั้นได้ ไม่สมกับที่เป็นนักปราชญ์ ผู้ลือนามเลย อย่าลืมสิว่าข้าไม่เหมือนพวกท่าน กว่าจะถึงอายุขัยของข้าก็อีกนานล่ะ เสียใจด้วยนะ ดาโวลท์ ที่ความหวังสุดท้ายในการปกป้องอาณาจักรของท่านจะต้องสูญสลายไปในวันนี้ เป็นเพราะข้าเอง ฮ่าๆๆ...\"

    เจ้าของใบหน้าที่ยังดูอ่อนเยาว์ยังคงหัวเราะเยาะเย้ยไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งดาโวลท์กล่าวแทรกขึ้นมาว่า



    \"เมมฟิส เจ้าอย่าถือดีไปนักนะ ไม่ใช่ว่าเจ้าคนเดียวที่จะควบคุมมังกรเหล่านี้ได้ จะต้องมีคนที่สามารถลุกขึ้นมา ต่อกรกับเจ้าได้แน่จงจำไว้ว่าความประมาทจะทำให้เจ้าต้องแพ้พ่ายในวันใดวันหนึ่งแน่นอน ตอนนี้...อย่างน้อยข้า ก็ขอถ่วงเวลาให้ได้มากที่สุดก็แล้วกัน...รับมือ!\"



              ทันใดนั้น ไม้เท้าของดาโวลท์ก็เปล่งประกายจ้าขึ้นมาในชั่วพริบตา เกิดลูกพลังขนาดยักษ์ลอยล่องออกมา จากผลึกบนยอดคทา แล้วลูกพลังนั้นก็แตกกระจายออกเป็นลูกพลังก้อนเล็กๆจำนวนมหาศาล แล้วแยกกัน รายล้อมชายที่ชื่อเมมฟิสจากทุกทิศทุกทาง จากนั้นลูกพลังทุกลูกก็พุ่งเข้าใส่เมมฟิสด้วยความเร็วปาน สายฟ้าแลบ เกิดการระเบิดอย่างรุนแรงทำให้เสียงก้องกระจายไปทั่วบริเวณแถบนั้น แล้วฝุ่นผงก็คละคลุ้งขึ้นมา กระจายไปทั่ว



              แล้ว ไครว์ฟ มนุษย์ครึ่งม้าก็เริ่มได้สติจากการระเบิดครั้งใหม่ ขยี้ตาด้วยความงุนงง แล้วก็ต้องงุนงงมากขึ้น เมื่อได้เห็นสิ่งแวดล้อมเบื้องหน้า กลายเป็นหลุมกว้างขนาดใหญ่ และฝุ่นควันก็อบอวลขึ้นมาลูบไล้ใบหน้าของเขา บดบังทัศนวิสัยข้างหน้าจนหมดสิ้นทำให้เขาต้องรอเป็นเวลานานกว่าหมอกควันนี้จะเริ่มจางลง ยังไม่ทันที่หมอกจะจางลง เขาก็ได้ยินเสียงที่เหมือนกับคำรามของสัตว์ร้ายและเสียงโต้ตอบที่เริ่มอ่อนแรง ลงเรื่อยๆของดาโวลท์ ไครว์ฟพยายามจับทิศทางของเสียงเหล่านั้น และพบว่ามันอยู่ใกล้ๆตัวเขาเอง



              เมื่อทัศนวิสัยเริ่มดีขึ้นแล้ว เขาก็รีบควานหาที่มาของเสียงเหล่านั้นที่จางหายไปก่อนหน้านี้ จนในที่สุดเขาก็มาทันเห็นภาพช่วงสุดท้ายพอดี ได้เห็นภาพของสัตว์ร้ายสีดำที่มีลำตัวแข็งกร้าวดุจหินผา และมีหนามแหลมคมงอกออกมา ตามลำตัวกำลังสยายปีกออกและมีชายหนุ่มแปลกประหลาดคนหนึ่ง ยืนอยู่บนลำคอเพื่อควบคุมสัตว์ร้ายนั้น ชายคนนั้นยังหันมาส่งรอยยิ้มอันแปลกประหลาดให้กับไครว์ฟ ก่อนจะพาสัตว์ร้ายนั้นบินหายไป หลงเหลือแต่ร่างอันไร้เรี่ยวแรงของนักปราชญ์ที่เขาเพิ่งปะทะด้วยไม่นานมานี้...



              เขาใช้ฝีเท้าม้าอันปราดเปรียวพุ่งเข้าไปประคองร่างนั้น ร่างนั้นดูชราขึ้นประมาณยี่สิบปี ใบหน้ายิ่งดูอิดโรย ผอมแห้ง ดูเหมือนว่าเวลาของชายคนนี้จะเหลือไม่มากแล้ว เขาลองเรียกดาโวลท์ดู แต่ปฏิกริยาโต้ตอบ การเรียกขานนั้นก็ช้าเหลือเกิน ซึ่งดาโวลท์ก็พยายามที่จะเค้นแรงเฮือกสุดท้ายถ่ายทอดคำพูดของเขาออกมาว่า



    \"ไครว์ฟ...ดูเหมือนว่าตอนนี้ข้าไม่มีแรงที่จะตัดสินกับท่านได้แล้ว...ต้องขอโทษด้วย...อย่างไรก็ตาม..เวลาของข้าเหลือน้อยเหลือเกินแลัว...ข้าขอให้ท่านช่วยข้าเรื่องหนึ่งได้ไหม?\"



    \"ข้าจะช่วยท่านเท่าที่ข้าสามารถจะทำได้อยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง ขอให้ท่านรีบพูดมาได้เลย\"



    \"...ขอให้ท่านช่วยเผยแพร่ข่าวหนึ่ง...และรักษาเรื่องที่ข้าจะบอกท่านอีกเรื่องหนึ่งให้เป็นความลับ...เรื่องข่าวใน ตอนนี้ขอให้ท่านเผยแพร่ให้เร็วที่สุด...ข่าวนี้ก็คือ...สัตว์ร้ายได้ตื่นขึ้นมาจากการหลับไหลแล้ว...โดยที่ข้าไม่อาจที่ จะยับยั้งการตื่นของมันได้...ข้าเชื่อว่าจากนี้ไปเหล่ามนุษย์จะต้องประสบกับเภทภัยอันร้ายแรง...ถ้าหากว่า สัตว์ร้ายตัวนี้ยังอยู่ในพบนี้...และหากว่ายังมีชายที่ชื่อว่าเมมฟิสบงการเรื่องนี้อยู่เบื้องหลัง...ขอให้มนุษย์ทุกผู้ทุกนามจงอยู่ในความไม่ประมาทด้วย...



              และอีกเรื่อง...ที่ข้าให้ท่านเก็บรักษาไว้...ให้กับลูกศิษย์ของข้าที่ชื่อว่า...ซิรูเฟ...ให้บอกเขาเมื่อท่านเห็นว่าสมควร...ให้ท่านแนะเขาว่า...\'ณ ที่ที่โคมน้อยอยู่ท่ามกลางลำนํ้าอันสับสนวุ่นวาย ให้ขยับแขนมังกรแล้วขับลำนำแห่งทิวา มันจะเปิดทางไปสู่สถานที่หนึ่ง ที่นั่น เจ้าจะพบกับสิ่งที่เจ้าสมควรจะรู้\'...โอ ตอนนี้ข้าเหนื่อยเหลือเกินแล้ว ขอให้ท่านรักษาคำมั่นนี้ให้ดี และขอให้ข้าได้นอนหลับใต้ \'ต้นโอ๊คพันปี\' ด้วยเถิด...ขอบคุณท่านมาก... ในที่สุด...ข้าจะได้พักผ่อนยาวเสียที...\"

    สิ้นเสียงแล้วเขาก็หลับตาลง แล้วลมหายใจของเขาก็ขาดห้วงไป ทิ้งให้ไครว์ฟต้องสานต่อปณิธานของเขาต่อไป...

    (to the next chapter!)



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×