ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทสี่ คนทางนั้น
บทสี่ คนทางนั้น
ดวงตาเรียวค่อยๆปรือตาขึ้นจากความมืด จากภาพเบลอๆกลายเป็นแสงสว่างและเพดานห้องที่ไม่คุ้นตา เมื่อครั้นจะพยุงตัวขึ้นก็ต้องปวดร้าวไปทั่วทั้งร่างและก้านสมอง ซ้ำยังไม่อาจเปล่งเสียงคำใดออกไปจากลำคอแห้งผากนี้ได้เลย
รอจนกว่าความรู้สึกตัวกลับมาครบถ้วน เขากวาดมือไปรอบกายเพื่อตามหาหยดน้ำเพื่อสักหยด ได้ยินเสียงของแตกไปสองครา แต่สวรรค์ใจร้ายเกินกว่าจะรับคำขอ ภายในห้องทึบมีเพียงเขาและเครื่องเรือนโอ่อ่าประหลาดตาเท่านั้น นภากรตัดใจลุกขึ้นเดินแม้ขาสองข้างเขาจะสั่นราวกับทารกเพิ่งหัดเดิน ค่อยๆก้าวช้าๆไปจนถึงบานประตูและเปิดมันออก
"โอ๊ย"
แสงด้านนอกสว่างจนต้องยกแขนขึ้นกัน ความรู้สึกของเขาถึงกับเบลอไปอีกครั้งเช่นกันกับขาสองข้างที่อ่อนแรงอยู่แล้วสะดุดกับธรณี เป็นเหตุให้ร่างที่เบาโหวงร่วงลงไปกองกับพื้นโครมใหญ่ เขารู้สึกชามากกว่าเจ็บ แต่ที่มากกว่าคงจะเป็นลำคอที่โหยหาความชุ่มชื้น
"น้ำ...."
นภากรไม่เคยไปทะเลทรายและไม่เคยหลงทางในทะเลทราย แต่พอจะเดาได้ว่าความรู้สึกเมื่อขาดน้ำเป็นอย่างไร เขาได้แต่คลานอยู่บนพื้นในชุดคลุมพะรุงพะรังและสิ่งที่เหมือนเส้นผมติดพันไปทั่วร่าง มองไปทางใดก็เห็นแต่สวนสวยงามแสนไร้ประโยชน์
จะร้องเรียกใครซักคนก็ไร้ซึ่งความหวัง ลมที่ออกจากลำคอไม่ต่างจากเข็มที่กรีดซ้ำ ทรมานเหลือเกิน ...ทรมานจนดวงตาทั้งสองข้างนั้นชุ่มเปรอะ ได้แต่เอ่ยถามในตนด้วยความประหลาด แค่หิวน้ำนี่เขาถึงกับต้องร้องไห้เชียวหรือ
อ่อนแอขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
"ท่าน.....!!!"
นภากรพยายามเหลือกตาไปทางต้นเสียง เขามองไม่เห็นเพราะไม่มีแรงหันไป แต่ฟังจากโทนน่าจะเป็นหญิงสาว หล่อนวางบางลงบนพื้นอย่างแรงแล้วก็เร่งฝีเท้าตรงมา ทั้งร่างของเเขาถูกดึงขึ้นไปด้วยแรงเกินหญิงที่มากพอดู ภาพผ่านม่านน้ำตาทำให้มองหล่อนได้ไม่ชัด แต่ก็ว่าหน้าตาน่ารักพอสมควร
"น้ำ....."
เขาเอ่ยกับเธอด้วยแรงทั้งหมดที่เหลือ หล่อนหันรีหันขวางและขออนุญาตวางเขาลงอย่างนุ่มนวล สาวเจ้าโหวกเหวกเสียงดังไปตลอดทางจนเขานึกขำ ไม่นานนักเธอก็กลับมาพร้อมถ้วยน้ำขนาดใหญ่และหญิงสาวอีกนางหนึ่ง ประคองคนป่วยอย่างทะนุถนอมจรดขอบไปที่ริมฝีปากซีดผาก
นภากรไม่ต่างอะไรกับพืชแห้งเฉาใกล้ตายที่ได้รับฝนจากปุยเมฆ เขาหอบนำน้ำดื่มทั้งถ้วยเข้าไปร่างกายตัวเองอย่างตะกละ รสชาติประดุจน้ำจากสรวงสวรรค์และกลิ่นหอมจางๆของบุปผา ฉับพลันทั้งร่างเหมือนได้ถูกชุบเกิดใหม่อีกครั้ง
"แค่ก... พอแล้ว ขอบใจมาก"
"เป็นอย่างไรบ้างเพคะ เหตุใดจึงมานอนพับอยู่ตรงนี้ได้"
"อ่า...หิวน้ำ"
"เหตุใดจึงไม่เรียกบ่าวไพร่ให้รับใช้ ท่านน่ะขี้เกรงใจมากไปแล้ว หากล้มหมอนนอนเสื่อไปอีกจะทำเยี่ยงไรเล่าเพคะ"
'ถ้าเรียกได้คงเรียกไปนานแล้วล่ะ' ชายหนุ่มตวัดสายตาขุ่นมัวพร้อมก่นด่าอีกฝ่ายในใจ ไม่ติดว่าเขาเป็นหนี้บุญคุณไว้นะ หล่อนยื่นถ้วยใส่น้ำให้หญิงสาวอีกคนที่มองอยู่ห่างๆแล้วประคองร่างผอมบางของเจ้านายขึ้นจากพื้นเย็นๆ
"อย่างไรก็ตามอากาศด้านนอกยังหนาวอยู่ พระสนมเสด็จเข้าด้านในเพื่อพักผ่อนก่อนเถิดเพคะ เดี๋ยวไข้จะกลับเสียเปล่าๆ"
"อืม"
...
นภากรหยุดร่างกายเอาดื้อที่หน้าประตู ท่าทางประหลาดจนหญิงสาวที่คอยประคองเงยหน้ามองด้วยความฉงน สบเข้ากับดวงตาสีราตรีที่บรรจุความฉงนที่ยิ่งกว่าของเธอเอาไว้
"เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่า....อะไรนะ"
"พระสนมเพคะ"
นภากรเหมือนถูกตบหน้าฉาดใหญ่ด้วยฝ่ามือที่มองไม่เห็น เขาแกล้งปิดหูปิดตามองทุกอย่างว่ามันเป็นแค่ฝัน เขาชอบประวัติศาสตร์จีน มันมีบางครั้งที่เขาฝันว่าตัวเองเป็นองค์ชาย หรือพวกนักรบ แต่ไม่นานเขาก็ตื่นกลับไปเป็นนายนภากรคนเก่า ...มันมักเป็นความฝันไม่นานนัก เพียงแค่บอกให้ตื่น ทำร้ายตัวเองนิดหน่อยก็กลับคืนไป
"พระสนม! มือท่าน!"
แล้วทำไมครั้งนี้มันไม่เหมือนเดิมล่ะ... เขากำเศษแก้วจนเลือดออกมือไปหมดแล้วนะ... เมื่อไหร่จะตื่นซะที
"คลายมือก่อนเถอะเพคะ โลหิตไหลนองเต็มไปหมดแล้ว"
สาวรับใช้รีบพาเจ้านายไปนั่งแล้วแกะฝ่ามือชุ่มเลือดออก บาดแผลเหวอะจนเธออยากจะเป็นลมไปเสียตรงนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป บางคราเธออยากจะกรีดร้องถามว่าเสียสติไปแล้วหรือถึงต้องทำร้ายตัวเองเช่นนี้? แต่เกรงว่าศีรษะบนบ่าก็จะหายตามไปด้วยเช่นกัน
หล่อนสั่งให้เด็กรับใช้อีกทอดรีบไปตามหมอมาดูอาการ ในขณะที่รอเธอก็พยายามใช้เศษผ้าพันบริเวณแผลไว้ ท่ามกลางความเงียบและความกังวลใจนั้น เสียงไพเราะของพระสนมกับเอ่ยคำถามขึ้นมาคำหนึ่ง
"ข้าชื่ออะไร...."
"โถ ทูลหัวของกระหม่อม เหตุใดท่านจึงกล่าวดั่งคนความจำเลือนหายเช่นนั้น"
ว่ากล่าวหยอกล้อเล็กน้อยเพราะใครต่างก็รู้ว่าว่าอีกฝ่ายเป็นคนจิตใจดีและไม่ถือตัวปั้นตนยิ่งใหญ่ค้ำฟ้า สาวรับใช้พยายามสร้างบรรยากาศครึกครื้น แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองหล่อนถึงกับซวนเซ
"พระสนม"
ดวงตาสดใสหม่นหมองราวฟ้าครึ้มฝน ดวงเนตรที่เธอว่างดงามดังดวงดาวเปรอะเปื้อนอัสสุชลเต็มดวงหน้าที่ใครต่างกล่าวว่างดงามราวรูปวาด ร่างบางสั่นสะท้านและพร้อมพังทลายลงทุกเมื่อ พระสนมเอ่ยถามอีกครั้งด้วยคำถามเดิมด้วยสุระเสียงสั่นครือ
"ข้าชื่อ....อะไร"
นภากรเหมือนหัวใจจะฉีกออกเป็นสอง ภายในหัวเขาร่ำร้องจนปวดหนึบ ไม่รู้เพราะพิษบาดแผลรึว่าเจ้าของร่างกายที่หลงเหลืออยู่ เขาทำได้เพียงแหกปากเหมือนคนไร้สติ เพียงแค่ต้องการคำตอบที่ตอกย้ำจิตใจให้ดำดิ่งลงไปลึกกว่าเก่า
"ข้าคือใคร"
"..."
"ข้าเป็นใคร! ข้าถามว่าข้าเป็นใคร! เจ้าหูหนวกจนไม่ได้ยินที่ข้าถามรึอย่างไร!"
ยิ่งเห็นอีกฝ่ายอ้ำอึ้งเป็นคนใบ้ ความอดทนทุกอย่างยิ่งต่ำลงจนติดลบ นภากรสะบัดฝ่ามือชุ่มเลือดออกแล้วกำมือทั้งสองข้างแน่น ริมฝีปากบางส่งเสียงตวาดดังลั่นจนปอดแทบหลุดออกมา
"ข้าเป็นใคร!!! แค่ก! แค่กๆ!"
สองมือปิดปากกันเสียงไอจนสั่นไปทั่วกาย ร่างกายน่าสมเพชที่เพียงตะโกนก็ไร้แรงเช่นนี้น่ะหรือตัวเขา สาวรับใช้ก้มหน้าแทบชิดพื้นแล้วกล่าวแถลงไขด้วยน้ำเสียงสั่น เธอทั้งหวาดกลัวและโศกศัลย์แทนเหนือหัว
"พระองค์... คือพระสนมขององค์รัชทายาทหยวนจินหลงเพคะ ส่วนนามนั้นคือ....พระสนมไป๋เทียนเพคะ"
"สนม... พระสนม?"
"เพคะ...ถูกต้องแล้วเพคะ"
"ตาบอดรึไง! ข้าเป็นผู้ชาย"
ใช่ ร่างกายของบุรุษที่เส้นเกศาดำขลับยาวถึงบั้นเอว ร่างกายผอมบางกับผิวนวลฉวีดั่งบุปผางาม และน้ำเสียงนุ่มลึกไพเราะดุจเทพเซียน แต่ถึงอย่างไรก็เป็นบุรุษมิใช่หรือ?
"ข้าไม่มีวัน...ที่จะเป็น....สนม"
สองตาเรียวฉ่ำเบิกกว้าง มุมปากตระยุกยิ้มเยาะคล้ายไว้เชื่อวาจาที่ผ่านเข้าหู พลันดวงตากลับปรากฎหยาดน้ำทะลักไหลท่วมอีกครา แม้ตัวเขาจะเคยอ่านหนังสือนวนิยายเกี่ยวกับการข้ามภพชาติมาก็มาก เคยถามตัวเองก็หลายครั้งว่ามันจำเป็นต้องตกใจถึงเพียงนั้นเลยหรือ
แต่พอได้เจอเองกับตัว สองขาผอมแห้งนี้ก็แทบรั้งตัวไว้ไม่อยู่...
นภากรปาดน้ำตาที่กลั้นไม่เคยอยู่แรงๆประหนึ่งว่าไม่สนใจในร่างกายนี้แม้ความรู้สึกต่างๆจะส่งมาถึงจิตวิญญาณเขาโดยตรง ชายหนุ่มพาตัวเองขึ้นไปบนเตียงและใช้ผ้าคลุมทั้งตัวก่อนจะออกคำสั่ง
"ออกไปก่อน ข้าต้องการอยู่คนเดียว"
"แต่แผลท่าน..."
"ออก...ไป..."
เมื่อถูกออกปากไล่ครั้งสอง หญิงสาวถอนหายใจแผ่วเบา หล่อนจำต้องพับความห่วงใยเก็บไว้ใต้คำสั่งแม้ใจจะว้าวุ่นแทบคลั่ง
"ทราบแล้วเพคะ ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันขออนุญาตนำเรื่องไปกราบทูลองค์รัชทายาทก่อนเพคะ"
คนใต้ผ้าคลุมไม่ตอบกลับถือเป็นคำอนุญาตของเธอ สองเท้ารีบสาวออกจากเรือนไปให้เร็วที่สุด พระสนมผู้เปลี่ยนไปทำเธอหวาดผวาไม่น้อย ถ้าเช่นนั้นจะทำเช่นไรได้อีกนอกจากให้ท่านผู้สูงศักดิ์รับมือแทน นั่นคือสิ่งดีที่สุดที่ข้ารับใช้จะทำได้
หวังว่าดวงใจนั้นจะยังจดจำคนรักของท่านได้นะพระสนม...
มิเช่นนั้นวังหลวงถึงคราวมืดมนเป็นแน่แท้
นภากรตื่นมาอีกทีท้องฟ้าก็ถูกย้อมเป็นสีส้มจางๆ ทั่วร่างรู้สึกตึงด้วยความไม่คุ้นชิน เขาเผลอหลับไปทั้งๆที่น้ำตานองหน้าเปรอะไปถึงหมอน เป็นธรรมดาที่ตื่นมาแล้วดวงตาปูดบวมช้ำเป็นลูกมะนาว พอจะยกมือขึ้นจับก็พบว่าฝ่ามือข้างที่บาดเจ็บมันถูกรักษาจนหายเรียบร้อย เขาคงหลับไปลึกมากขนาดที่ว่าต่อให้ใครมายกเค้าไปหมดห้องก็ไม่รู้ตัว
ชายหนุ่มปล่อยตัวเองอยู่กับความเงียบและแสงจางๆที่ปกคลุมทั่วสารทิศ ไม่มีแรงบันดาลใจจะทำอะไรซักอย่าง ช่วงท้องกู่ร้องเป็นเสียงประท้วงของร่างกาย แต่เขาต้องสนใจหรือ ในเมื่อร่างกายนี้เป็นเจ้าของก็ไม่ใช่ หากตายจากไปวิญญาณอาจจะมีโอกาสกลับคืนร่างเดิม
การหนีปัญหาก็เป็นวิถีของคนโง่ แต่ช่างมันประไร เขาก็ไม่ได้คิดว่าตนฉลาดเท่าไหร่อยู่แล้วล่ะ...
เขาจมจ่ออยู่กับความเศร้าได้ไม่นาน เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งพร้อมแสงสว่างก็ค่อยโผล่เข้ามาในห้อง หล่อนวางบางอย่างที่โต๊ะและจุดไฟไล่ความมืด เมื่อเห็นเจ้านายของเธอจ้องเขม็งตรงมาหล่อนก็อดผวามิได้
"พระสนม ฟื้นแล้วหรือเพคะ"
"...มีอะไร"
"เอ่อ หม่อมฉันนำกระยาหารมาให้เพคะ เอ่อ แล้วอีกไม่นานองค์รัชทายาทท่าจะเสด็จมาที่นี่เพื่อชมอาการประชวร..."
"เอาไปทิ้งซะ ข้าไม่กิน"
"แต่..."
"เอาออกไป!"
หญิงรับใช้แทบอยากจะกลั้นหายใจตายไปต่อหน้าดวงตาคู่คมที่จ้องราวจะฟาดฟันให้ตายไปข้างหนึ่ง ได้ข่าวเรื่องพระสนมสติกลับจากวงในมาบ้างแต่ไม่คิดว่าพระสนมผู้อ่อนโยนเช่นนั้นจะเป็นคนก้าวร้าวภายในข้ามวัน เธอก้มศีรษะรับคำปลกๆแล้วรีบคว้าถาดอาหารออกไป แต่ไม่ทันไรเธอก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อพบกับเรื่องยุ่งยากกว่าเก่า
"ถวายพระพรองค์รัชทายาทเพคะ"
"นั่นเจ้าจะเอาไปไหน"
แม้จะไม่ได้สบกับดวงตามังกรแต่เธอก็รู้ว่ามันมีอำนาจแค่ไหน มือสองข้างเริ่มสั่นเทาและชื้นเหงื่อ จะให้เธอตอบอย่างไรว่าถูกสั่งให้เอาไปเททิ้งโดยพระสนมผู้แสนดีในพระองค์ท่านน่ะ
"คือว่า..."
"ข้าให้นางเอากลับไปเอง"
นภากรเอ่ยขัดแม้ดวงตาจะมองแต่มือเรียวและขาวนวลสองข้างของตน เขาไม่อยากพบหน้าใคร ไม่อยากรู้ว่าสวามีรึคนรักของเจ้าของร่างนี้หน้าตาเช่นไร ช่วยเข้าใจและไสหัวออกไปเสียทีเถอะ
"เช่นไร? เจ้าต้องทาน"
"ไม่"
"..."
"..."
เหล่าข้ารับใช้ผู้ก้มหน้าได้แต่เหงื่อตกข้างใน แค่เรื่องผัวเมียข้างบ้านพวกเขาก็มิอยากยื่นมือไปสอดแล้ว แต่ยิ่งเป็นเรื่องผัวเมียแห่งวังหลวงอีก หากไม่ตัดลิ้นก็อาจถูกแขวนคอ องค์รัชทายาททอดถอนใจก่อนจะสั่งหญิงรับใช้ให้วางถาดอาหารไว้ที่เก่าพร้อมเอ่ยคำบัญชา
"พวกเจ้าออกไปก่อน"
ทุกคนรับบัญชาด้วยความยินดี นี่เป็นคำสั่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุด
นภากรยังคงก้มหน้าโดยมีเส้นไหมสีดำบดบังด้านข้าง ฝีเท้าของรัชทายาทแผ่วเบาย่ำก้าวไปทั่วห้องและสุดท้ายก็หยุดลงที่ข้างเตียงของตน ฝ่ามือแกร่งยื่นมาดึงมือข้างบาดเจ็บของเขาไปสัมผัส
"เจ้าเจ็บมากไหม"
เหมือนถูกแรงที่มองไม่เห็นบังคับให้ต้องขึ้นไปสบดวงตาของมังกรผู้สูงส่ง รูปหน้าของชายชาตรีแต่ติดหวานเหมือนสตรีสูงศักดิ์ เครื่องหน้าทองคำทั้งดวงตาพญาปักษา ไล่มานาสิกรั้นจนกระทั่งรูปปากกระจับงามราวกับเทพสวรรค์ปั้นเสกด้วยความรัก ล้อมรอบด้วยเส้นเกศาดำยาวดั่งเส้นไหมชั้นดี ผิวขาวเนียนละเอียดดั่งหยกเนื้องามทว่าโครงร่างกำยำสมชาติบุรุษ
งาม...จนต้องเผลอกลั้นลมหายใจไปชั่วขณะ
ความรักความเทิดทูนและความยินดีที่มีให้ต่อบุรุษเบื้องหน้านั้นเอ่อล้นจนจุกเสียด อุระด้านซ้ายเต้นกระหน่ำด้วยสัญชาตญาณเก่าและนอกเหนือการควบคุม เรื่องราวรักผุดขึ้นเป็นฉากๆอย่างไม่ต้องพยายาม ใครว่าพระสนมความจำเสื่อมหรือ ...เขาจดจำได้ทุกอย่างเลยต่างหาก
แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด...
"เจ้าร้องไห้ทำไม"
ทำไมหัวใจถึงได้จุกและเจ็บขนาดนั้น...
"ไป๋เทียน? เป็นอะไร"
องค์รัชทายาทเมื่อเห็นน้ำตาจากคนรัก ดวงใจชายชาติก็เต้นแกว่งไม่เป็นจังหวะ ครั้นจะพยายามปลอบประโลมก็จนปัญญาเนื่องด้วยฝ่ามือหยาบที่มักจับถือศาสตราวุธ ทำได้เพียงโอบกอดดวงใจและลนลานอย่างน่าอับอาย
"ท่านจินหลง..."
นภากรสะอึกสะอื้น เขาหลุดคำพูดไปอย่างไม่อาจห้ามได้คล้ายร่างกายไม่เป็นของตัวเอง ความรู้สึกแบ่งเป็นสามฝ่าย เป็นความปรีดาจากจิตวิญญาณและความรู้สึกที่ยังหลงเหลืออยู่ อีกส่วนเป็นความโศกาจากคนที่อยู่ตรงนี้ และสุดท้ายคือความคะนึงที่มิอาจระงับได้
แม้อีกฝ่ายจะอยู่ตรงหน้า... แต่คนที่อยากจับต้ององค์รัชทายาทคือไป๋เทียน...หาใช่นภากรไม่
แต่จะทำเช่นไรได้อีก... นอกจากโหยหาอยู่เช่นนั้น
"เจ้า...จำข้าได้?"
จินหลงเอ่ยราวคนเพ้อพะวง เขาได้รับคำกล่าวทูลจากหญิงรับใช้นางหนึ่งว่าไป๋เทียนได้เปลี่ยนไปหลังจากฟื้นคืนสติและกล่าวเหมือนจดจำสิ่งใดมิได้เลย พระองค์ทรงวิตกกังวลนักว่าอีกฝ่ายจะลืมเลือนเกี่ยวกับเขา และถ้าเป็นเช่นนั้น พระองค์ก็คงไม่ต่างอันใดกับเรือเล็กที่ถูกคลื่นซัดจนเซคว่ำ พิษรักช่างหนักหนานัก เขาหวาดกลัวเหลือเกิน
แต่เมื่อครู่ แม้จะเป็นเพียงคำเรียกชื่อสั้นๆ แต่มันคือน้ำทิพย์ประโลมใจอันบอบช้ำของพระองค์โดยแท้ บุรุษรูปงามกระชับอ้อมกอดแด่คนรักด้วยหัวใจเปี่ยมล้น
"เจ้าจำข้าได้...."
ในเวลานั้น บุรุษสองท่านก็ได้หลั่งหยดน้ำตาแก่กันและกัน...
"พักผ่อนเสียนะไป๋เทียน ไว้ข้าจะมาเยี่ยมเจ้าอีก"
โอษฐ์อิ่มแห่งองค์รัชทายาทประทับจูบบนนลาฏ(หน้าผาก)มนพลางลูบเกศาหอมของคนรัก ไป๋เทียนระบายยิ้มจาง บรรยากาศระหว่างเราทั้งคู่มิต่างจากปักษาในฤดูกาลแห่งความรัก
แม้จะประหลาดใจอยู่บ้างที่ว่าที่โอรสสวรรค์ชั้นใดจึงมาป้อนข้าวป้อนยาคนเดินดินธรรมดาเช่นนี้ แต่ในความทรงจำของไป๋เทียน แม้เด็กคนนี้ไม่ได้มาจากตระกูลใหญ่โตอันใด ทว่ามีบุญวาสนาสูงส่งจึงได้พบเจอกับองค์รัชทายาทและกลายเป็นยอดดวงใจที่จะค้ำชูบารมีของพระองค์ขนาดที่ว่าจนตายจากไปก็มิมีผู้ใดมาเทียบเคียง
"ลำบากพระองค์เสียเปล่า"
"จะขัดบัญชาข้ารึ"
"มิบังอาจหรอกท่าน"
"หึๆ"
เอ่ยหยอกล้อด้วยความเอ็นดู มังกรวาดยิ้มก่อนจะจัดแจงห่มผ้าแก่พระสนมคนงามด้วยความอ่อนโยน แสงสว่างในห้องค่อยๆเลือนหายเพื่อให้คนป่วยได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ชายหนุ่มบนเตียงเฝ้ามองพลางชื่นชมท่วงท่ากิริยาทุกฝีก้าวที่ช่างงดงามดั่งบุรุษจากชั้นฟ้า
ทั้งๆที่เจ้าก็เป็นเพียงคนธรรมดา เหตุใดเจ้าจึงวาสนาดีเช่นนี้หนอไป๋เทียน
...
"ราตรีสวัสดิ์"
ถึงแม้จะได้รับคำนี้มาเนิ่นนานแต่นภากรก็ไม่อาจข่มตาหลับได้เสียที ร่างผอมบางพลิกซ้ายขวากระวนกระวาย นอนหงายนอนคว่ำก็แล้วแต่ยังไม่เคลิ้ม เกลียดช่วงเวลาแบบนี้ที่สุดเลย! เขาถอนใจแล้วสอดแขนใต้หมอนหนุนแบบที่ชอบทำประจำ
กึก
หลังมือถูกของเเข็งๆบางอย่างเข้า น่าสงสัยจนต้องคว้าออกมาดู มันเป็นก้อนเล็กๆอะไรซักอย่าง เขาไม่อาจมองเห็นเพราะแสงในห้องน้อยเกินไป นภากรตัดใจลุกจากที่นอนประคองตัวไปที่ริมหน้าต่าง ค่ำคืนนี้แสงจันทร์กระจ่างสว่างตาจนไม่ต้องพึ่งไฟตะเกียง เขาทิ้งสะโพกลงช่องหน้าต่างแล้วค่อยๆแบฝ่ามือออก
สิ่งแรกที่เห็น มันคือก้อนเหมือนหินแกรนิตขรุขระที่เห็นได้ทั่วไป
สิ่งที่สอง มันดูธรรมดา แต่ก็สวยเหมือนอัญมณี
และสิ่งสุดท้ายมันคือสีฟ้า.... สีที่เหมือนกับชื่อของเขาเอง
' มึงบอกว่ามึงฝันร้าย คนขายเค้าบอกกูว่าอันนี้มันช่วยปกป้องคุ้มครองเจ้าของ '
' เทอร์ควอยซ์ '
' สีฟ้า '
..
"มึงนี่มัน..."
กระบอกตาสองข้างร้อนผ่าววูบวาบ นภากรเงยหน้าขึ้นเพื่ออดกลั้นเขากรอกตาไปทั่วเหมือนคนสับสน ถึงแม้ดวงใจจะเศร้ามากแค่ไหน แต่สุดท้ายริมฝีปากกลับคลี่ยิ้มออกมา ทำไมนะ ทำไมถึงได้มหัศจรรย์อย่างนี้ เขาถูกโชคชะตาพัดพามาที่แห่งนี้ ห่างกันไปกี่ภพกี่ชาติก็มิอาจทราบได้
น่าหวาดกลัวว่าสักวันเขาจะคุ้นชินกับมัน ...จนเผลอลืมว่าตัวเองคือใคร
แต่สิ่งนี้ ที่อยู่ในฝ่ามือนี้เหมือนกับสิ่งที่ตอกย้ำและรั้งไว้...ว่าเขาคือใครและมาจากไหน
และบอกเล่าเสมอว่า ไอ้โง่คนไหนที่ได้มอบมันให้มา
มึงจะยังปกป้องกูเหมือนเดิมใช่ไหม?
"ไอ้เอก"
...
' เอก '
"!!"
"ตื่นแล้วเหรอเฮีย พอดีเลย หนูซื้อโจ๊กมาให้ จะกินเลยไหม"
เอกวัฒน์ตบหน้าตัวเองเบาๆเพราะอาการเบลอ เขาหันไปมองน้องสาวในชุดนักศึกษาที่ถือถุงอาหารแล้วเงยหน้ามองนาฬิกาแขวน
"กิ่ง? นี่สายแล้วยังไม่ไปเรียนอีกเหรอ"
"เฮียจะให้หนูไปเรียนได้ไงในเมื่อพี่ชายหนูสภาพทุเรศขนาดนี้ รู้ไหมเมื่อวานหนูต้องแบกเฮียไปนอนที่โซฟาดีๆเพราะเฮียดันไปหลับตาเตียงอย่างนั้น จะฝืนตัวเองก็ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะ หนูไม่ว่างมาดูแลคนป่วยพร้อมกันสองคนนะ!"
ฝ่ายสาวน้อยเมื่อเห็นพี่ชายถามเหมือนจะตำหนิก็อดปรี๊ดแตกไม่ได้ กิ่งขวัญเท้าเอวแล้วระบายเรียงความในใจต่อพี่ชายจนอีกคนสะดุ้ง โห ผมนี่ตื่นเต็มตาเลยครับ
"โทษทีๆ เฮียดูแลตัวเองได้ น่านะสาวน้อย แกไปเรียนเถอะ อย่าห่วงไป๊"
"แต่หน้าพี่ยังไม่ดีขึ้นเลยนะ หนูรู้ว่าเป็นห่วง แต่ถ้ายังฝืนแบบนี้เฮียนั่นแหละทำให้หนูห่วงเพิ่มไปอีก"
"กิ่ง เฮียดูแลตัวเองได้จริงๆ ไปเหอะ"
"เออๆ! อย่าให้รู้ว่าหลับคาเตียงอีกนะหนูจะสั่งยานอนหลับให้กินแน่คอยดู! แล้วโจ๊กที่อยู่บนโต๊ะนั่นน่ะ เฮียต้องกินด้วย เข้าใจไหม!"
"จ้า"
กิ่งขวัญจิกตาแล้วเอ่ยคาดโทษพี่ชายจอมกะล่อนของเธอ รู้หรอกว่ารับคำไปงั้นแหละเจ้าแห่งการสับปลับชัดๆ เอกวัฒน์โบกมือยิ้มลั้นลากระทั่งกิ่งขวัญออกจากห้องไปดวงตาสดใสก็ค่อยหม่นลง เอกวัฒน์ลุกจากโซฟาของทางโรงพยาบาลตรงไปที่ข้างเตียงผู้ป่วย นภากรนอนไร้สติอยู่ตรงนั้นและยังไม่มีวี่แววว่าจะฟื้น
"ไอ้กร นอนหน้าโง่เลยนะมึง"
นิ้วยาวเกลี่ยเส้นผมที่หล่นจากผ้าก๊อซพันศีรษะ ตามใบหน้าอันคุ้นตามีรอยช้ำและบาดแผลจากรอยถลอกประปราย แพทย์เจ้าของไข้กล่าวว่าต้องใช้เวลาพักฟื้นนานอยู่เพราะศีรษะได้รับการกระทบกระเทือนแต่ไม่ได้อันตรายขนาดความจำเสื่อมเหมือนในหนังละคร ถือว่าโชคดีมากสำหรับคนที่กลิ้งลงมาจากยอดบนสุดของบันไดหิน
บอกเลยว่าวันนั้นเขาตกใจมากที่จู่ๆมันก็กลิ้งลงไปนอนแบ็บยังกะส้มเน่า ซึ่งไม่น่าใช่เพราะขี้เกียจเดินเป็นแน่ล่ะ เอกวัฒน์หัวโล่งรีบซิ่งพาไปส่งโรงพยาบาลจนเกือบพากันเสยเสาข้างทางดับอนาถทั้งคู่ พอถึงมือหมอมันก็โล่งใจไปได้บ้าง มันก็แค่นิดหน่อยแหละ ไม่งั้นคงไม่กระวนกระวายเฝ้าอาการทั้งคืนจนหลับข้างเตียง รู้ตัวอีกทีนอนอยู่โซฟาด้วยฝีมือกิ่งขวัญแล้ว
...แต่ก็ไม่เข็ดไปนั่งหลังแข็งเฝ้ามันที่เตียงอีกรอบ แล้วก็เสือกหลับอี๊กกกกจนโดนน้องด่า
แต่ตอนเขาจะตื่น ถ้าไม่ได้คิดไปเองเอกวัฒน์ได้ยินเสียงเรียกชื่อเขา เป็นเสียงโง่ๆที่คุ้นเคยกันดี แต่สำเนียงมันกลับเศร้าจนเขาใจหาย
"ตะกี้เสียงมึงใช่ไหม"
"..."
ไร้เสียงตอบรับเช่นทุกคราว นภากรยังหายใจเข้าออกสม่ำเสมอเหมือนแค่หลับเท่านั้น ชายหนุ่มเบนหน้าหนีพร้อมถอนหายใจแล้วปั้นหน้ากลับมาด้วยรอยยิ้มจาง
"เมื่อไหร่มึงจะฟื้นวะ ก็ไหนหมอบอกว่ามึงไม่ได้เป็นอะไรมากซะหน่อยแค่หัวแตกเองเว้ย ใจเสาะจริงๆนะมึง ลืมตาได้แล้วไอ้โง่"
"..."
"รีบตื่นดิ เราจะได้ไปเที่ยวกันต่อไง ทีนี้กูจะไม่บ่นมึงแล้วก็ได้ มึงอยากไปไหนกูจะพาาาา~ ไปทุกทีเลย"
ข้อนิ้วยาวเอื้อมไปคว้าอุ้งมือคนป่วยมาจับ สร้อยคอที่เขาซื้อให้พันอยู่ที่ข้อมือหวังว่าจะใช้ปัดเป่าฝันร้ายระหว่างที่มันหลับอยู่ อย่างน้อยระหว่างพักฟื้นเขาก็อยากให้มันได้หลับฝันดี
เอกวัฒน์ออกแรงบีบเบาๆเหมือนจะความรู้สึกของเขาส่งผ่านมันไป ดวงตานิลหลุบต่ำพลางเม้มริมฝีปากเข้าแน่น เขาเอ่ยคำพูดในใจไว้เพียงแผ่วเบา
"กูรอมึงอยู่นะกร..."
_______________________________________________________
ดูแลตัวเองดีๆนะ คนที่อยู่ทางนั้น คนทางนี้ยังคิดถึงกัน เหมือนอย่างเดิมไม่เคยเปลี่ยน~ ชอบเพลงนี้จังค่ะ ฮอล
นี่คือมิตรภาพลูกผู้ชาย......เหรอคะ? กมรสน
และนี่คือฉากสุดท้ายของพี่เอกค่ะ ให้พี่แกเฝ้าร่างเนื้อพี่กรไปก่อน ทุกคนอย่าลืมจูบลาพี่เค้าซะนะคะ Xp
ซียาาาา
ปล. อย่าฝรัดคอมเม้นต์นะคะ ส่งแค่ครั้งเดียวก็พอค่ะ
8.18 pm
10/07/16
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น