คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ๔.ผูกสัญญาไม่คืนคำ
๔
- ผูกสัญญาไม่คืนคำ -
“ฮันบินอา...”
เจ้าจิ้งจอกสะท้านสั่น ไม่ทราบว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงล่วงรู้นามตน
ความคิดที่เดิมทีกลิ้งกลอกว่องไวกลับทึ่มทื่อ ยามเมื่อกลีบปากได้รูปร้อนผ่าวคู่นั้นแนบอยู่บนผิว กดหนักย้ำนักทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับว่าถูกแผดเผา...เหมือนสมองจะละลาย...
ฮันบินดิ้นรนขืนตัว สะกดกลั้นเสียงพร่าเครือไว้ในคอ เสียงทุ้มหวานนั่น--- ที่เหมือนดั่งเสียงสั่นของกระพรวนเงิน
“อื้อ...”
ปลายลิ้นฉ่ำชื้นลากเลื่อนลิ้มรสอย่างย่ามใจ ยังถึงกับทิ้งรอยแต้มขบเม้มประทับลงบนผิวเรียบละเอียดขาว ความรู้สึกยามผิวหนังถูกกลืนกินประทับร่องรอย...เจ็บปวดและไม่เคยคุ้น ทำให้เจ้าจิ้งจอกกดปลายเล็บลงกับมือหนาที่กอบกุมรวบรั้งมือตนไว้ ข่วนเป็นรอยลึกยาวประท้วงต่อต้านไม่พอใจ ...อย่างที่ช่างดูไร้ความหมายเหลือเกิน
การดิ้นรนอย่างนั้นของเขา นอกจากจะไม่ทำให้อีกฝ่ายอยากนึกผละออกห่าง กลับยิ่งตรงข้ามกัน
ทว่าก่อนที่ขุนนางหนุ่มจะทันได้รังแกอีกฝ่ายจนสมใจ เจ้าตัวเล็กที่ถูกเบียดอยู่ตรงกลางก็พลันแผดเสียงร้องจ้าขึ้นมา ผู้ใหญ่สองคนที่กำลังยื้อยุดผลักดันกันอยู่จึงพากันชะงักไป จีวอนเผลอผ่อนปรนการเกาะกุมลงชั่วขณะ เปิดโอกาสให้ฮันบินสามารถผลักร่างสูงกว่าออกห่างได้ด้วยกำลังทั้งสิ้นที่มี
ชายหนุ่มที่ถูกแรงดันให้ผงะถอยมองดูคนที่รีบร้อนปลอบขวัญเจ้าตัวเล็กให้หยุดร้องไห้ทว่ายังไม่ลืมส่งสายตาดุร้ายมาให้ตน แวววามวาวของดวงตาพยัคฆ์บนดวงหน้าคมคายแหลมคมราวกับเข็ม ร้อนเหมือนไฟ ฉายชัดถึงความรู้สึกเป็นอริศัตรูชิงชัง ทว่ารอยแต้มสดสีบนลำคอเรียวขาวก็ยังทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มบาง บนสีหน้าปรากฏร่องรอยแห่งความพึงใจ
เวลานั้นพอดีเป็นจังหวะที่รถม้าได้หยุดลง
นายท่านเจ้าจวนปัดตบจัดแจงรอยยับบนเสื้อผ้าให้เข้าที่ รอยยิ้มบนใบหน้ายังไม่คลายจาง ก่อนที่เขาจะผลักประตูรถม้าให้เปิดออก ร้องสั่งกับคนที่ค้อมกายรออยู่ด้านนอก ในน้ำเสียงที่เอ่ยออกเจือความรื่นเริงใจ
“ท่านลุงรบกวนเชิญแขกไปรอข้าที่ห้องหนังสือ” ว่าพลางหรี่ดวงตาเรียวยาวของตนลง เอ่ยกำชับย้ำไว้อีกสองสามคำ
“อย่ารุนแรงกับแขกคนสำคัญ ...แต่ก็ระวังอย่าได้ทำหายไประหว่างทาง”
พ่อบ้านประจำตระกูลคิมรับคำนอบน้อม ทราบดีถึงความนัยที่นายท่านของตนได้กำชับ ดังนั้นเมื่อยามชายชุดขุนนางสีน้ำเงินเข้มของอีกฝ่ายพลิ้วหายไปกับมุมหนึ่งของทางเดินในจวน แทนที่จะเรียกหาบ่าวสตรีเยาว์วัยงามตาอย่างปรกติ คนที่เขาเรียกใช้ให้ช่วยนำทางแขกจึงเป็นองครักษ์หนุ่มที่ยืนยามอยู่ไม่ไกล
“น้อมเชิญคุณชาย” ใบหน้าที่ยังคงเค้าความสง่างามเมื่อวัยหนุ่มของท่านพ่อบ้านอาบรอยยิ้มอารี กระทั่งในแววตายังมีความเอ็นดูสงสารอยู่สามส่วน ด้วยไม่ทราบเรื่องราวระหว่างทั้งสอง และไม่ได้ล่วงรู้ถึงสถานะคนร้ายดื้อดึงปากแข็งของเจ้าจิ้งจอก เขาจึงเพียงรู้สึกว่าคุณชายผู้นี้ก็ช่างน่าเห็นใจที่จู่ๆ ก็ถูกบังคับพามาเป็นแขกที่จวนอย่างไม่ใคร่เต็มใจ ทว่าด้วยหน้าที่และความภักดี ท่านพ่อบ้านก็ยังยกอ้างข้อความอย่างนอบน้อม ชักชวนให้อีกฝ่ายไปยังห้องหนังสือตามคำสั่งของเจ้านาย
“ไปกันเถิดขอรับ นี่ก็คล้อยสายมากแล้ว ถึงห้องหนังสือบ่าวจะได้สั่งคนยกเครื่องว่างมาให้พวกท่านรับประทานเล่น”
ปิศาจจิ้งจอกในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มในชุดขาวจ้องมองมาจากด้านใน สายตาเปี่ยมด้วยความระแวดระวังไม่วางใจ ในอ้อมแขนยังโอบอุ้มทารกน้อยเยาว์วัยแน่นแนบชิดไว้กับตัวอย่างระแวงป้องกัน
“ไม่ต้อง ข้าอยากกลับแล้ว”
ฟังเสียงห้วนสั้นขุ่นเคือง บ่งบอกอารมณ์ผู้พูดได้ดียิ่งว่ากำลังกรุ่นโกรธอยู่มากเพียงไร
พ่อบ้านสูงวัยได้แต่ก้มหน้าต่ำลงยิ่งกว่าเดิม เอ่ยอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจนใจ
“คำสั่งเจ้านาย บ่าวไม่อาจขัด...”
ฮันบินฟังแล้วเงียบไป... นานนัก จึงค่อยเอ่ยถามออกมาเสียงลังเล
“หากข้าไม่ไป ท่านจะเป็นอย่างไร?” สัมผัสได้ถึงความอาทรอ่อนลงในน้ำเสียง ดังนั้นท่านพ่อบ้านจึงลอบยิ้มไม่ให้คนถามได้เห็น ทราบอยู่ในใจแล้วว่าสมควรรับมือกับแขกผู้นี้อย่างไร
“ตามระเบียบของจวน ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องไป ย่อมต้องถูกโบย” ...คำกล่าวนั้นออกจะเกินจริงอยู่บ้าง “บ่าวชรามากแล้ว ขอคุณชายโปรดเมตตา”
คำนั้นแม้คล้ายร้องขอ ทว่าแท้จริงเป็นการบีบบังคับอย่างหนึ่ง ฟังว่าอีกฝ่ายจะถูกโบยลงโทษปิศาจจิ้งจอกปากมีดดาบใจเต้าหู้เช่นฮันบินก็ย่อมไม่สามารถขัดขืนไม่กระทำ ร่างประเปรียวผ่อนลมหายใจแรงๆ ออกมาเฮือกหนึ่ง ที่สุดก็ยินยอมก้าวลงจากรถม้าด้วยสีหน้าที่ยังแฝงความขุ่นเคืองใจ
“เจ้านายท่านอำมหิตเลือดเย็นปานนั้น เหตุใดจึงยังจงรักภักดีอยู่ได้” เขาย่อมไม่ทราบว่าตนเองกล่าวประณามผิดไป จวนสกุลคิมนี้ไม่เคยใช่บ้านขุนนางสูงศักดิ์เย่อหยิ่งเลือดเย็นที่ไม่เห็นคนด้วยกันเป็นคน หากจะพูดให้ถูกต้องชัดเจนยิ่งกว่า...คือเป็นหนึ่งในตระกูลชั้นสูงไม่กี่ตระกูลที่ปฏิบัติต่อบ่าวไพร่ด้วยดีจนได้รับคำยกย่องกล่าวขาน
พ่อบ้านลูบปลายคางเรียวของตน แก้ไขความเข้าใจผิดให้แก้เจ้านาย
“กฎเกณฑ์นี้นายท่านมิใช่คนตราขึ้นมา...บางครั้งยังชอบลดหย่อนผ่อนโทษให้ตามสมควร ทว่ากฎเมื่อมีอยู่ก็ย่อมต้องรักษา แม้ท่านจีวอนไม่ได้ว่ากล่าวอะไร บ่าวไร้สามารถย่อมละอายแก่ใจ ได้แต่ชดใช้โดยการน้อมรับโทษทัณฑ์ด้วยตนเอง”
คำพูดคนนั้นเมื่อเอ่ยจริงจัง...บางครั้งก็สามารถกระทบใจผู้ฟัง ฮันบินฟังคำสัมผัสได้ถึงความจงรักษ์ภักดีอันเข้มข้นเหมือนจะสามารถหยดกลั่นออกมา เขาจึงนิ่งไป...
...คนผู้หนึ่งได้รับความภักดีถึงขั้นนี้ได้ ไยไม่ใช่สมควรถูกเรียกว่าเป็นยอดคน?
ทว่ายามเมื่อหวนนึกถึงยามที่อีกฝ่ายข่มเหงตน...กลั่นแกล้งราวกับหยอกเด็ก เจ้าจิ้งจอกย่อมไม่อาจยอมรับ พ่นลมหายใจดังหึออกมาหนึ่งคำ ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมระหว่างเดินไปยังห้องหนังสือตามการนำทาง
จิ้งจอกใจแคบตัวนี้...มีใจอคติยิ่งนัก
ไม่ทราบสามร้อยปีที่ใช้ชีวิตมา หรือที่แท้ข้างในไม่ได้โตเป็นผู้ใหญ่ไปตาม คิกคัก...คิกคัก...
จวนสกุลคิมแม้กว้างใหญ่ ทว่าห้องหนังสือไม่ได้อยู่ห่างไกลจากจุดที่รถม้าเทียบจอดมากนัก ดังนั้นไม่นานก็มาถึงจุดหมาย พ่อบ้านเชื้อเชิญแขกให้นั่งรอ สั่งบ่าวรับใช้ให้รับรองด้วยขนมเลิศรสและชาชั้นดี ก่อนที่จะขอตัวล่าถอยออกไป
ฮันบินมองบานประตูที่ถูกเลื่อนงับ แม้อยู่ผู้เดียวในห้องทว่าก็ทราบดีว่าที่ข้างนอกประตูนั่นที่กั้นไว้ยังมีคนเฝ้าอยู่ราวห้าหกคน
เดิมทีจำนวนคนเท่านี้เขาจะหนีไปเสียไม่ใช่เรื่องยากอะไร ไม่ใช่ว่าเมื่อเช้าเขาก็เพิ่งหลบสายตาเวรยามลอบเข้ามาวางเพลิงอยู่หรอกหรือ ...ทว่ายามนี้ได้ทราบว่าหากตนหนีออกไป พ่อบ้านคนนั้นก็เอ่ยราวกับว่าจะพาตัวเองไปถูกโบย...จึงมีแต่ต้องรั้งอยู่ก่อน อย่างน้อยพบหน้าไอ้มนุษย์น่าตายนั่นอีกสักครั้ง ค่อยหาทางหนีออกไปแล้วกัน
เจ้าจิ้งจอกถอนหายใจเบื่อหน่าย วางบุตรชายที่ร้องไห้จนเหนื่อยหลับไปลงบนเบาะนุ่มที่มีคนตระเตรียมไว้ให้อย่างเบามือก่อนที่จะนั่งลงข้างกัน พลางกวาดตามองสำรวจรอบตัวอย่างคนไม่มีอะไรให้ทำ
มองดูแล้วก็จึงได้ทราบ ว่าที่แห่งนี้หากจะเรียกว่าห้องหนังสือ มิสู้เรียกว่าเป็นเรือนหนังสือมากกว่า ในเมื่อทั้งเรือนมีเพียงห้องเดียว ทั้งยังทิ้งระยะห่างออกมาจากเรือนใหญ่ รอบเรือนปลูกไม้ใหญ่รายล้อมน่ารื่นรมย์ ส่วนตัวห้องแม้กว้างเพียงสามวาหากทอดตัวยาวไปมากกว่านั้น...คะเนดูด้วยสายตา คงไม่ต่ำกว่าสิบวาทีเดียว
ทั่วทุกพื้นที่ในห้อง นอกจากโต๊ะไม้กฤษณาขนาดกลางที่ตั้งไว้พร้อมกับเครื่องเขียนหมึกพู่กันมากมาย ล้วนถมเต็มไปด้วยชั้นไม้ที่บนนั้นอัดแน่นด้วยตำรา บ้างเป็นเล่มเย็บอย่างประณีต บ้างเป็นม้วนกระดาษ ไม้ไผ่ หรือกระทั่งมีเป็นแผ่นหนังเก่าคร่ำ...กลิ่นหมึกจางๆ ที่เจืออยู่ในอากาศ ยามเมื่อผสานรวมกับกลิ่นหอมของไม้กฤษณา ...ก็บันดาลให้คนสามารถสงบใจ
ปิศาจจิ้งจอกชมดูคร่าวๆ แล้วถอนหายใจออกมาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนรั้งปลายแขนเสื้อลง ถูเอาคราบเขม่าออกจากเรียวแขนขาวของตัว แม้จะรู้ว่าสายเกินไป ทว่าก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรแล้วปล่อยทิ้งไว้ให้กลายเป็นหลักฐานมัดตัว ยังเช็ดถูออกไปไม่ทันหมด หางตาก็พลันเหลือบเห็นสิ่งของบางอย่างที่วางไว้บนชั้นเตี้ยๆ ข้างโต๊ะกฤษณา
“?”
จอกกระเบื้องลายบัวแสนคุ้นตาตรงนั้น....หรือไม่ใช่จอกสุราของเขาที่ถูกคนหยิบฉวยเอาไป?
ของรักที่ไม่คิดว่าจะได้คืนปรากฏขึ้นตรงหน้า ฮันบินต่อให้ใจเย็นปานใดก็ห้ามตัวเองไม่ไหว ร่างประเปรียวก้าวเข้าใกล้ชั้น หยิบจอกใบน้อยงดงามใบนั้นขึ้นมาพินิจชมดู ไล้ปลายนิ้วผ่านลายใบบัวสีครามเข้มและตัวดอกแดงอ่อน สัมผัสลื่นมือแสนคิดถึงทำให้เจ้าตัวขยับยิ้ม
แต่ยังไม่ทันไร ร่างก็ถูกยกอุ้มให้ลอยขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว
“!!” เรียวแขนแข็งแกร่งประคองใต้สะโพกสอบเพรียว ยกร่างประเปรียวขึ้นสูง เจ้าจิ้งจอกตื่นใจจนแทบทำจอกกระเบื้องหลุดมือไปทว่าเสียงทุ้มของอีกฝ่ายที่ดังขึ้นกลับยังนุ่มนวล...ทั้งยังเจือความขบขันบางประการ
“วางเพลิง ใช้ยาพิษ ยังคิดจะขโมยของอีกหรือ ...เหตุใดจึงได้ดื้อซนปานนี้”
คิมจีวอนเปลี่ยนอาภรณ์จากชุดขุนนางสีน้ำเงินมาอยู่ในขุดดำเข้มเรียบง่าย กระทั่งแถบคาดศีรษะยังเป็นสีดำสนิทไร้ลวดลาย สีดำเหล่านั้นตัดกับผิวขาวจัดปานน้ำนมทำให้เครื่องหน้าเข้มคมยิ่งคมคาย ยิ่งยามเมื่อโอบอุ้มร่างประเปรียวในอาภรณ์ขาวพิสุทธิ์ของปิศาจจิ้งจอกเอาไว้...กลับดูเหมาะสมราวกับภาพวาดที่มีผู้ใดจัดวางไว้ไม่ขัดแย้งกันแต่อย่างใด
“...ปล่อย!” ฮันบินกระซิบเสียงต่ำกราดเกรี้ยว แต่อีกคนนั้นจะเกรงกลัวอันใดก็หาไม่ ยังคงสามารถกล่าวคำพร้อมรอยยิ้มเต็มหน้าต่อไป
“จะให้ปล่อยคน ย่อมต้องคืนของมาก่อน”
“ของอะไรของท่าน!” จีวอนหรี่ตา ดวงตาหงส์เรียวงามแทบกลายเป็นเส้นขีดโค้งนุ่มนวล เอ่ยเสียงเจือความอ่อนหวาน
“เป็นจอกใบนั้นที่เจ้าถือไว้ ...นั่นจอกใส่สุรามงคลของข้ากับนางในดวงใจ ...เป็นของสำคัญ”
...คนยามได้ยินฟังคำว่านางในดวงใจ หน้าก็อดแดงไม่ได้ ...แต่แน่นอนว่าเป็นไปด้วยความโมโหกราดเกรี้ยวจุกอกแทบพ่นไฟ
สุรามงคลมารดาเจ้า! เห็นกันอยู่ว่าไม่ใช่! จอกนี้เป็นของข้าชัดๆ!
ฮันบินถลึงตาใส่ ไม่ได้อยากปล่อยมือจากของรักที่เพิ่งได้กลับคืนมา กระนั้นจะให้บอกว่าจอกสุรานี้เป็นของตนก็เท่ากับยอมรับว่าตัวเองเป็นสตรีที่ล่อลวงอีกฝ่ายในคืนนั้น เรื่องน่าอัปยศอดสูเช่นนี้ให้ตายเขาก็ไม่ยอมรับ ไม่ยินยอมยอมรับโดยเด็ดขาด!
เห็นเจ้าจิ้งจอกโมโหแทบตายแต่ไม่สามารถกล่าวคำ หัวคิ้วเข้มเรียวขมวดยับยุ่งใบหน้าแดงก่ำน่ารัก ขุนนางหนุ่มก็อดใจไม่ไหวบรรจงจุมพิตแผ่วหวานลงกับปลายคางเรียวทำเอาคนถูกเอาเปรียบซ้ำอีกแทบพ่นคำสบถหยาบคายไม่เป็นภาษา ทว่าคำเหล่านั้นยังไม่ทันล่วงผ่านกลีบปากออกมาก็ถูกจูบซับดูดกลืนไป...ด้วยเรียวปากร้อนของคนช่างฉวยโอกาส
สัมผัสอ่อนหวานเบียดคลึง แม้ถูกต่อต้านด้วยการขบฟันกัดเสียจมเขี้ยวหนหนึ่ง ทว่าชายหนุ่มเพียงหัวเราะในคอ ป้อนปันจุมพิตต่อทั้งรสเลือดอย่างนั้น
กลิ่นคาวและรสหวานปะแล่มของโลหิตยิ่งฉุดรั้งรสของจุมพิตให้ดิ่งดำ...ลึกซึ้ง
แม้แต่เจ้าปิศาจเฒ่าที่ผ่านพบเรื่องคาวโลกีย์มากมายยังถูกมอมเมาจนเคลิ้มคล้อยไป
ยิ่งดื่มด่ำยิ่งโหยกระหาย
จีวอนคิดว่ารสจูบของคนในอ้อมแขนนี้ไม่ต่างจากเมรัยกรุ่นกลิ่นดอกบัวในคืนนั้น
ไม่หวาน...ออกจะเฝื่อนฝาด....และ...แรงร้อน...
“ยังไม่ยอมรับอีกหรือ?” ชายหนุ่มถามเสียงนุ่ม กระซิบชิดกลีบปากแดงจัดน่าชม แม้หยุดยั้งจุมพิตดื่มด่ำระหว่างกันลงทว่ากลับยังคงรั้งสัมผัสเคลียคลอ
“...ไม่”
“ดื้อ”
เรียวคิ้วใบหลิวขมวดคราหนึ่งก่อนที่จะคลาย สีหน้าเปลี่ยนเป็นแย้มยิ้มอย่างเดิม
“ฮันบินอา...” เจ้าของชื่อแสร้งนิ่งอยู่ ล่วงรู้แล้วว่าอีกฝ่ายล่วงรู้นามตนจากชื่อที่สลักไว้กับจอกสุรา ดังนั้นจึงไม่ยอมรับหลักฐานมัดตัวเพิ่มเติมให้ดิ้นรนหลุดพ้นยากขึ้นไป
ทว่าอีกฝ่ายก็ยังเรียกซ้ำ “ฮันบิน...ฮันบิน...คิมฮันบิน...” หลายครั้งหลายครา... ราวกับว่าหากเขาไม่ตอบรับ ก็ยังจะเรียกต่อไป จนเมื่อทนถูกเซ้าซี้ไม่ไหว ในที่สุดเจ้าตัวก็ตอบกลับไปเสียงห้วน
“อะไร” ว่าพลางเชิดปลายคางขึ้น... วางท่าเขื่องโขทั้งที่ตัวเองยังถูกอุ้มไว้ ใช้ดวงตาขุ่นเคืองไม่พอใจมองลงต่ำโต้ตอบกับดวงตาแพรวพราวของอีกฝ่ายที่ส่งมาให้ สีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ที่ฉายอยู่บนดวงหน้าอ่อนเยาว์ ราวกับจะถามกลับไปว่าหากเขาชื่อคิมฮันบินแล้วจะเป็นไร เขาไม่แปลงตัวเป็นสตรีอีกเด็ดขาดจะอาศัยหลักฐานใดมาบีบคั้นกันได้ เดิมทีเรื่องอย่างนี้ก็อยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์ ...มีอะไรต้องกลัว?
“จะดื้อแพ่งอยู่ทำไม... เรื่องราวเป็นเช่นไร เราสองล้วนรู้ดีแก่ใจ...”
“อย่ามาใช้คำว่าเราสองเรียกข้ารวมกันท่าน ไอ้วิปริต!”
“อย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้...” จีวอนยังใจเย็นพอที่จะทำเป็นมองข้ามถ้อยคำผรุสวาทไม่รื่นหู แสร้งทำเป็นถอนหายใจ
“มาทำข้อตกลงกันไหม ฮันบิน?”
เจ้าจิ้งจอกฟังคำไม่รู้สึกวางใจ เขม้นดวงตามองอีกฝ่าย ถามอย่างระแวดระวัง “ข้อตกลงอะไร?”
“อืม...จนกว่าจะถึงวันเพ็ญหน้า หากข้ายังทำให้เจ้ายอมรับจากปากไม่ได้ ก็จะยอมตัดใจ ไม่รบกวนสร้างความรำคาญให้อีก”
“แล้ว...ท่านจะได้อะไร?” ชายหนุ่มยิ้มกับคำถามรู้เท่าของคนในอ้อมแขน กระซิบกล่าวความต้องการของตนให้ฟัง
“ขอเพียงตลอดระยะเวลาหลายวันนี้ เจ้าจะต้องอยู่ข้างกายข้าตลอดเวลา”
ฮันบินฟังแล้วคิดตาม ถึงแม้ว่าว่าตัวเองย่อมสามารถหลบหนีออกจากจวนแห่งนี้ได้โดยง่าย แต่หนีไปแล้วก็ไม่พ้นย่อมถูกตามหาอีก ยิ่งใบหน้ายามเป็นบุรุษถูกพบเห็นแล้วการณ์ยิ่งยุ่งยากเข้าไปใหญ่ หนำซ้ำจวนร้อยบุปผาของกูมิโฮก็ใช่ว่าจะปลอดภัยต่อไป
เพลานี้เพิ่งย่างเข้าช่วงปลายข้างแรม กว่าจะถึงวันเพ็ญยังอีกสิบกว่าวัน แต่เวลาเพียงสิบกว่าวันสำหรับจิ้งจอกอายุสามร้อยปีอย่างเขาไม่ต่างกับเพียงพริบตา อดทนอยู่ใกล้ๆ เจ้ามนุษย์ผู้นี้ชั่วคราว แลกกับการที่อีกฝ่ายจะไม่ตามตอแยสร้างความหงุดหงิดรำคาญใจ...
ก็นับว่าข้อเสนอนี้ฟังดูเย้ายวนน่าสนใจไม่น้อยเลย
“เท่านี้หรือ?” ปิศาจจิ้งจอกถามย้ำอีกหน ไม่ไว้ใจว่าเจ้ามนุษย์กลิ้งกลอกชั่วร้ายจนภูติผียังละอายอย่างอีกฝ่ายจะยินยอมยื่นข้อเสนอที่ตัวเองเสียเปรียบปานนี้ออกมาได้
ทว่าจีวอนกลับตอบง่ายๆ
“อื้ม...มีเท่านี้”
“...จอกสุราของข้าเล่า?” เหมือนเจ้าตัวจะลืมไป ว่าเมื่อครู่ยังไม่ยอมรับอยู่เลยว่าจอกสุราใบนี้เป็นของตัว ขุนนางหนุ่มลอบหัวเราะเอ็นดูในใจ อมยิ้มตอบเสียงอ่อนหวาน
“ถึงแม้จะเสียดายอยู่บ้าง แต่ในเมื่อเจ้าชมชอบ...ข้าก็ยินดีมอบให้”
ฟังคำว่าว่ามอบให้แล้วฮันบินก็รีบเก็บจอกสุราไว้กับตัวราวกับกลัวอีกฝ่ายจะสำนึกเสียใจ ทั้งยังเอ่ยวาจาดักทางไว้ไม่ให้สามารถบิดพลิ้วกลิ้งกลอกหลบเลี่ยงได้
“ลูกผู้ชายเอ่ยสัญญาไม่คืนคำ?”
ดวงตาเรียวยาวของคนฟังแพราวพราววาวประกาย ไม่ได้รู้สึกสักนิดว่าตนเองเสียเปรียบที่ตรงไหน
“...ย่อมไม่คืนคำ”
สัญญาที่ก่อร่างขึ้นระหว่างกัน แม้เหมือนเจ้าจิ้งจอกเป็นฝ่ายได้มากกว่าเสีย เพียงสามารถปากแข็งจนถึงที่สุด ไม่ยอมรับจนถึงที่สุด อีกฝ่ายย่อมไม่สามารถบังคับให้เขาแปลงกายเป็นสตรีพิสูจน์ความจริง และย่อมไม่อาจเป็นผู้แพ้ไปได้
แต่หากมองให้ดี...เวลาสิบกว่าวันนี้ที่อยู่ร่วมกันทุกโมงยาม... หรือไม่เพียงพอให้คิมจีวอนหลอกล่อชักจูงให้เจ้าจิ้งจอกเผยหาง บีบคั้นเอาสารภาพออกมา?
คิกคิกคิก...
เวลานั้นที่การพนันเริ่มต้น ต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีใครคิดว่าตนจะแพ้พ่าย
แต่ใครเล่าจะรู้...เรื่องราวใดในโลก...ล้วนยากกะเกณฑ์คาดเดาได้สมดังใจ คิกคัก...คิกคัก....
To be continued
ถึงจะบอกว่าตอนนี้จะมาเร็ว แต่เอาเข้าจริงก็ห่างจากครั้งก่อนช่วงใหญ่เหมือนกัน /เกาแก้ม
เคสคงไม่มีวาสนากับการอัพฟิคติดๆ กันจริงๆ นั่นล่ะครับ (เพราะขี้เกียจเกินไป ฮ่าๆ)
เอาเป็นว่าก็จะมุ่งมั่นในการดอ--- แค่ก! ขัดเกลาแต่ละตอนต่อไปนะคร้าบบ~` <3
พูดคุยแสดงความคิดเห็นกันได้ที่ในคอมเม้นท์ด้านล่าง หรือในแท็ก #บาบิคนกินหมา เหมือนเดิม
พบกันใหม่เมื่อตอนต่อไปขัดเกลา(?)จนได้ที่นะฮับ รักคนอ่านทุกคนเลย *ไล่กอด*
ความคิดเห็น