ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Day Month Year [KrisYeol, HunHan, LayMin]

    ลำดับตอนที่ #4 : LayMin Chapter 3 May.-Jun.

    • อัปเดตล่าสุด 17 ธ.ค. 58


                May

                พึ่งจะเข้าสู่เดือนพฤษภาคมมาได้ไม่เพียงแค่ไม่กี่วัน อาการของชายหนุ่มชาวจีนที่ทำให้ต้องมานอนอยู่ในโรงพยาบาลเกือบสองอาทิตย์ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนที่แล้วก็ดีขึ้นจนหมออนุญาตให้กลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ แม้ว่าขาของเขาจะยังไม่สามารถเดินได้ตามปกติและยังต้องใช้ไม้เท้าในการช่วยพยุงร่างกาย แต่ก็นับว่าเป็นโชคดีเหลือเกินที่สมองของเขาไม่เป็นอะไร มีเพียงสภาวะเครียดแทรกซ้อนอาการป่วยทางกายเท่านั้นที่ทำให้เขาเหมือนครุ่นคิดวุ่นวายใจอยู่ตลอดเวลา กินข้าวได้แค่มื้อละไม่กี่คำ แถมยังพูดน้อยลงจนสามารถนับคำได้ จางอี้ชิงเป็นแบบนี้เขาไม่รู้หรือไงว่าคนตัวเล็กข้างกายจะพลอยป่วยไปกับเขาด้วยเพราะเป็นห่วง

                “อีกคำหนึ่งได้ไหม อี้ชิง...” มินซอกพยายามจะส่งช้อนเข้าปากชายหนุ่มที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงคนป่วยในขณะที่เขากลับผลักมือออกเบาๆ และก้มหน้านิ่งแสดงอาการปฏิเสธด้วยความเงียบ

                “งั้น... ฉันวางเอาไว้ใกล้ๆ ตรงนี้ละกันนะ เผื่อนายหิวจะได้ลุกขึ้นมากินเองได้” มินซอกเอ่ยขึ้นในขณะที่ยกชามซุปกับข้าวออกมาวางไว้ที่โต๊ะเล็กๆ ตรงข้างเตียงก่อนจะเลื่อนโต๊ะทานข้าวผู้ป่วยออกไปให้พ้นจากความเกะกะและเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นมาพอดี

                “นูน่าครับ ผมจะกลับประเทศจีน” อี้ชิงเอ่ยขึ้นในทันทีที่ประตูถูกเปิดเข้ามา ทั้งซองอึนนูน่า และ มินซอกต่างก็หันมามองหน้ากันอย่างตกใจเล็กน้อย ก่อนที่สีหน้าของคนทั้งคู่จะค่อยๆ คลี่คลายลงเป็นความยากใจแทน

                “คือว่า...”

                หญิงสาวรีบส่งของเยี่ยมให้มินซอกแล้วก็ตรงเข้ามานั่งลงบนเตียงคนไข้ข้างๆ น้องชายของเธอทันที

                “นูน่าครับ ผมต้องกลับไป”

                “ไม่ได้นะ!” หญิงสาวหลุดเสียงคล้ายจะตวาดออกมาทำให้ชายหนุ่มบนเตียงคนป่วยตาตก ลงไป

                “ก็...” หญิงสาวรีบหาคำกล่าวแก้ “คือ...” เธอหันมามองมินซอกเหมือนอยากจะขอให้ช่วยคิด แต่ชายหนุ่มตัวเล็กสบตาเธอนิดเดียวก็ก้มหน้าหลบลงไปอย่างไม่มีความเห็น

                “คือเธอ... ใช่ เธอรับปากกับคุณตาเอาไว้แล้วไม่ใช่เหรอ ว่าถ้าทำตามฝันไม่สำเร็จ เธอจะไม่กลับไปที่จีนเด็ดขาด”

                “แต่ผมไม่มีทางทำสำเร็จ นูน่าก็รู้...”

                อี้ชิงน้ำตาคลอเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะถูกนำส่งมาที่โรงพยาบาล ระยะนั้นเขาถูกรังควานทางโทรศัพท์ทุกวันจนเกิดความเครียดหลังจากที่งานเพลงชิ้นสำคัญของเขาถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดีเพียงเพราะว่าเขาเป็นคนแซ่จาง และชื่อว่าอี้ชิง

                เขาถูกปฏิเสธจากค่ายเพลงทุกที่ เพียงเพราะเขาคือลูกชายคนเดียวของแม่!

                “กลับบ้านได้แล้วอี้ชิง... หมดเวลาทำตัวไร้สาระแล้ว” เสียงจากปลายสายโทรศัพท์ยังคงก้องอยู่ในหู

                แม่ทำทุกอย่างเพื่อให้เขากลับบ้าน ไม่เลือกวิธีการแม้จะต้องใช้อิทธิพลในทางธุรกิจที่มีปิดประตูความฝันและค่ายเพลงทุกที่ที่อาจจะต้องการคนมีฝีมืออย่างเขาเข้าไปร่วมงานจนจางอี้ชิงคนนี้กลายเป็นคนที่หมดโอกาส เมื่อเดือนที่แล้วแม่ส่งคนมารับตัวเขากลับบ้าน แต่ไม่รู้โชคดีหรือร้ายที่คนของแม่มาถึงแล้วกลับไม่เจอเขา คุณนายจางจึงนึกสนุกออกคำสั่งต่อมาให้คนของตนบุกเข้าไปในร้านหนังสือ Good friend ของแม่หลานสาวตัวดีที่แอบให้ความช่วยเหลือ และที่หลบซ่อนตัวแก่ลูกชายคนเดียวผู้แสนดื้อของเธอ คุณนายจางสั่งให้ขนข้าวของทั้งหมดของคุณหนูใส่รถกลับมาก่อน และเธอเชื่อ... ว่าอีกไม่กี่อึดใจต่อจากนั้น คุณหนูจางอี้ชิงของแม่จะต้องเป็นฝ่ายที่ซมซานกลับมาเอง!

                แม่คงไม่รู้... ว่าทำแบบนี้ลูกชายตัวเองจะประสาทเสีย หลังจากออกไปเพียงแค่ไม่ถึงสามชั่วโมง เมื่ออี้ชิงกลับมาเห็นสภาพห้องที่ว่างเปล่าและไม่มีกีต้าร์ตัวโปรดก็ถึงกับคล้ายๆ ว่าจะคลุ้มคลั่งทันที ก่อนที่เสียงโทรศัพท์ของร้าน Good friends จะดังขึ้น

                “กีต้าร์ของผม... เอากีต้าร์ของผมคืนมา”

                “ต้องการแค่นั้นจริงๆ เหรออี้ชิง” ผู้หญิงที่คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าชีวิตเขาพูดผ่านสายโทรศัพท์มาด้วยน้ำเสียงเย็นจัด ทำเหมือนไม่รับรู้ว่าลูกชายคนเดียวกำลังเดือดพล่านอย่างเต็มที่

                “อย่ามายุ่งกับผม... ผมเป็นผู้ใหญ่แล้ว คุณไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวผมอีก”

                “ผู้ใหญ่เขาไม่ทำตัวไร้สาระไปวันๆ อย่างนี้หรอก ฟังนะ...”

                “ผมไม่ฟัง เอาของๆ ผมคืนมา!” อี้ชิงกระแทกเสียงใส่โทรศัพท์ด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดในแบบที่ไม่เคยเป็น

                “นี่คือคำสั่ง... กลับมาหาแม่ เดี๋ยวนี้!

                “มะ...” สัญญาณโทรศัพท์ขาดหายไปแล้ว “โถ่เว้ย...” ชายหนุ่มโยนมันทิ้งอย่างไม่ใยดี ก่อนจะเริ่มอาละวาดด้วยการใช้กำปั้นทุบตรงสันหนังสือเล่มหนาๆ ร่วงระนาวลงจากชั้นเกลื่อนไปหมด แล้วอยู่ดีๆ ก็เริ่มมีอาการปวดหัวหนักขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มเริ่มซวนเซหาที่ยึดเกาะจนทำเอาข้าวของจำพวกเซรามิกที่ตกแต่งอยู่บนชั้นหนังสือของซองอึนนูน่าหล่นกระจายแตกยับลงเต็มพื้น อี้ชิงซวนเซไปเตะถูกมันบ้าง เหยียบใส่มันเอาบ้างจนได้แผลที่เท้า ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกไม่ไหว และนึกถึงคำพูดก่อนจะไปของคิมมินซอก

                “มีอะไรก็โทรมานะ”

                เท่านั้นล่ะ ชายหนุ่มก็เริ่มนึกถึงโทรศัพท์มือถือทันที ใช่... มันอยู่บนโต๊ะเล็กๆ ตรงใกล้ๆ กับบันไดบนชั้นสอง อี้ชิงพยายามคว้าราวบันไดเอาไว้ให้มั่นและดึงตัวเองขึ้นไปจนเกือบจะถึงขั้นสุดท้าย เขาเห็นโทรศัพท์วางอยู่ไม่ไกลแล้วจึงใช้มือเอื้อม และทันทีที่คว้ามาได้อาการปวดหัวรุนแรงราวกับว่ามีอะไรมาบีบรัดก็กำเริบหนักขึ้นจนทรงตัวไม่อยู่ ชายหนุ่มพลัดตกลงมาจากบันไดและความกระทบกระเทือนดังกล่าวก็ทำให้เขาหมดสติไปนานอยู่เกือบสองวันเต็ม ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ก็นอนเป็นผักอยู่ในโรงพยาบาลภายใต้การดูแลของเพื่อนตัวเล็กอย่างคิมมินซอกและซองอึนนูน่าที่รีบเดินทางกลับจากต่างจังหวัดทันทีที่รู้เรื่อง

                หมอบอกว่าอาการปวดหัวรุนแรงที่เกิดขึ้นในคืนนั้นเป็นเพราะเครียดสะสม เมื่อรู้เช่นนี้แล้วทั้งซองอึนนูน่าแล้วก็คิมมินซอกก็เลยปิดปากเงียบไม่ยอมพูดถึงเรื่องอะไรที่จะทำให้อี้ชิงไม่สบายใจอีก  รวมทั้งเรื่องเหตุผล... ที่ยอมให้ชายหนุ่มกลับประเทศจีนตอนนี้ไม่ได้

                “พักผ่อนเถอะนะอี้ชิง ทั้งร่างกายแล้วก็จิตใจของเธอตอนนี้ยังไม่แข็งแรง” ซองอึนนูน่าเอ่ยพลางยกมือขึ้นลูบผมน้องชายเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นปรับเตียงนอนให้โดยมีมินซอกวิ่งเข้ามาช่วย อี้ชิงจำต้องนอนลง แล้วก็ไม่มีใครพูดอะไรอีกจนกระทั่งชายหนุ่มค่อยๆ หลับไปด้วยฤทธิ์ยาในถุงน้ำเกลือ ผ้าห่มผืนหนานุ่มถูกเลื่อนคลุมให้กับอี้ชิงอย่างอ่อนโยนด้วยมือบางของซองอึน

                “มินซอก...” หญิงสาวเรียกขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวลใจ

                “ครับนูน่า”

                “คือ...” ซองอึนนูน่าหลบสายตาลงต่ำด้วยความรู้สึกลังเลเล็กน้อย ใจจริงเธอเองก็ไม่อยากที่จะรบกวนเด็กหนุ่มคนนี้อีกแล้ว แต่ว่า... จะให้ทำอย่างไรล่ะ เวลานี้คงฝากให้ใครดูแลอี้ชิงไม่ได้ถ้าไม่ใช่มินซอก

                “คือว่า... เธอพอจะช่วยนูน่ากับอี้ชิงอีกซักเรื่องหนึ่งได้ไหม...”

                เป็นคำถามที่ควรจะลังเลแต่ว่าในตอนนี้... และเพื่อจางอี้ชิงคนนี้...

                ก็ทำไมถึงจะช่วยไม่ได้...

     

               

    Day-Month-Year

     

                เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว... คิมมินซอกออกจะตกใจเล็กน้อยกับตัวเลขที่ปรากฏบนนาฬิกาข้อมือ ให้ตายสิ... นี่เขาพึ่งจะกลับมาถึงห้อง คนตัวเล็กรีบสอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วควานหากุญแจก่อนจะไขประตูเข้าไป จากนั้นมินซอกเอื้อมมือไปกดสวิตซ์ไฟฟ้าของห้องให้เปิดสว่างขึ้นในทันที เขาหยุดยืนดูสภาพห้องของตัวเองที่ไม่ได้ปัดกวาดเช็ดถูมาเป็นเวลานานด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ ทำไมถึงได้รกขนาดนี้ กองหนังสือเตรียมสอบที่วางอยู่บนโต๊ะก็ดูกระจัดกระจายไร้ระเบียบไปหมด เศษกระดาษโน้ตที่ร่วงลงพื้นก็ปลิวว่อนดูไม่ต่างอะไรจากเศษขยะ ผ้าปูที่นอนก็ไม่ได้เปลี่ยนมานานมากแล้ว ส่วนผ้าห่มของเขาก็กองม้วนอยู่บนเตียงแบบไม่ได้พับ

                เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่อี้ชิงเข้าโรงพยาบาลสินะ ชายหนุ่มร่างเล็กทอดถอนใจใหญ่

                “ฉันควรทำยังไงดีเนี่ย...” มินซอกคิดหนักในขณะที่ความง่วงกำลังเริ่มเข้าโจมตี แล้วอยู่ๆ ดวงตาเฉี่ยวคมก็เหลือบไปเห็นกระดานความฝันของตนเองที่ติดอยู่บนผนังห้องเข้า เป้าหมายของเขา จางอี้ชิงกำลังมองมา

                “มะๆๆ ไม่ ไม่ได้นะ ไม่ได้เด็ดขาด...” คนตัวเล็กรีบตรงเข้าไปแกะรูปภาพของชายหนุ่มนักดนตรีผู้อ่อนไหวออกจากกระดานความฝันของตัวเองทันทีก่อนจะรีบเก็บกวาดห้องให้สะอาดเรียบร้อย รวมทั้งเปลี่ยนผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน แล้วก็ผ้าห่มด้วย กว่าจะเสร็จ ก็เล่นเอาซะหมดแรง มินซอกมองดูนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง

                02:48 am

                ได้เวลาพักผ่อนเสียที จนกว่าจะเช้า ห้องนี้ยังคงเป็นห้องของเขาแต่เพียงผู้เดียว

     

               

    Day-Month-Year

     

                May 6

                เมื่อกระดุมเม็ดน้อยบนคอเสื้อโปโลของจางอี้ชิงถูกปลดออกด้วยมือเล็กๆ ของคิมมินซอกเพื่อให้ผู้สวมใส่ได้หายใจหายคออย่างสบายขึ้นเสียงเคาะประตูก็ค่อยๆ ดัง

                “เรียบร้อยแล้วใช่ไหมมินซอก” เสียงของซองอึนเรียกผ่านบานประตูเข้ามา

                “ครับ นูน่า...” มินซอกร้องตอบออกไปก่อนก็คว้าเอาไม้เท้าส่งให้กับชายหนุ่มที่กำลังนั่งห้อยขาอยู่บนเตียงผู้ป่วยอย่างระมัดระวัง

                “นายไหวไหมอี้ชิง”

                แววตาเศร้าตวัดขึ้นมามองมินซอกแค่นิดเดียวแล้วก็หรุบลงไปโดยไม่มีคำตอบ ขณะที่อี้ชิงกำลังค่อยๆ พยุงร่างตัวเองขึ้นมินซอกก็คอยประคองอยู่อย่างใกล้ชิด

                “เสื้อตัวนี้ใส่สบายไหมอี้ชิง ฉันกับนูน่าช่วยกันเลือกอยู่ตั้งนาน กลัวว่าจะไม่พอดีกับตัวนาย”

                “...”

                ทันทีที่ลูกบิดประตูถูกหมุนให้เปิดออก

                “นูน่าครับ... ผมต้องกลับประเทศจีน” ประโยคนี้ของอี้ชิงกำลังทำให้ซองอึนลำบากใจ และเขาก็คงไม่รู้ตัวหรอกว่านอกจากนี้มันยังทำให้คนตัวเล็กที่ประคองอยู่ข้างๆ รู้สึกใจหาย และหน้าก้มหน้านิ่งลงไปฉับพลัน

                “นะครับ นูน่า ต่อให้ผมไม่ยอมกลับไป เขาก็ต้องส่งคนมาเอาตัวผมไปให้ได้อยู่ดี เขารู้แล้วว่าผมอยู่ที่ร้านของนูน่า”

                “เธอจะไม่อยู่ที่นั่นอีกแล้ว อี้ชิง”

                “หมายความว่า...” ชายหนุ่มค่อยๆ หันไปมองมินซอกด้วยสายตาแปลกๆ ณ ขณะนั้น มินซอกรู้สึกได้จริงๆ ว่าจางอี้ชิงคงไม่ต้องการแบบนี้

                “คือว่านูน่าครับ อันที่จริงแล้ว...” คนตัวเล็กเอ่ยค้างได้เพียงแค่นั้นซองอึนก็ออกอาการโอดครวญ

                “โถ่ มินซอก... เราคุยกันแล้วไม่ใช่เหรอ ขอร้องเถอะนะมินซอก...” หญิงสาวอ้อนวอนอย่างไม่รู้จะทำยังไง

                “ผมจะกลับประเทศจีน!

                จางอี้ชิงแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด แล้วทุกอย่างก็เงียบไปหมด... ก่อนที่ปากน้อยของคิมมินซอกจะขยับพูด

                “ไม่อยากไปอยู่ที่ห้องฉัน นายรังเกียจฉันเหรออี้ชิง”

                “...”

                “นายจะกลับประเทศจีน จะกลับยังไงในเมื่อตอนนี้ร่างกายของนายก็ยังไม่แข็งแรง เงินติดตัวก็ไม่มีเลยซักนิด ถ้าฉันกับซองอึนนูน่าไม่ให้นายกลับ ไหนนายลองตอบฉันมาซิว่านายจะกลับยังไง”

                “...” คุณหนูจางเริ่มอยากติดต่อกลับไปที่บ้านแล้วบอกกับแม่ว่าเขายอมแพ้แล้วทั้งๆ ที่แม้แต่เบอร์โทรศัพท์ของแม่เขาก็ยังไม่เคยคิดที่จะจำด้วยซ้ำ และในเวลานี้ อย่าว่าแต่แค่โทรศัพท์มือถือ สมบัติติดตัวซักชิ้นเขาก็ไม่มีอยู่เลย

                “อี้ชิง...” เสียงเรียกนั้นทำให้คุณหนูจางค่อยๆ หันไปมองหน้าคนตัวเล็กอย่างจนหนทาง “นายไปพักอยู่กับฉันให้แข็งแรงกว่านี้ก่อนเถอะนะ แล้วถ้านายถอดใจที่จะตามหาฝันในประเทศเกาหลีนี้แล้วจริงๆ ฉันจะเป็นคนที่ไปส่งนายกลับบ้านเอง!

     

               

    Day-Month-Year

     

                ไม่ว่าจะจำใจหรือจำยอมก็แล้วแต่ ในที่สุดจางอี้ชิงก็ได้ย้ายเข้ามาอาศัยอยู่บนสวรรค์ชั้นเจ็ดของคิมมินซอกเป็นที่เรียบร้อยแล้วในฐานะรูมเมทเฉพาะกิจ พวกเขาปล่อยให้วันเวลาล่วงเลยไปอีกเกือบสองอาทิตย์อย่างเหมือนจะไร้ความหมาย จางอี้ชิงก็ยังคงไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาอะไรเหมือนเดิม เขาได้แต่อยู่เงียบๆ ในห้องของคิมมินซอกและใช้เวลาในแต่ละวันไปกับการอ่านหนังสือจำพวกบทกวีอันเป็นของสะสมของคนตัวเล็กในขณะที่เจ้าของห้องก็ยังคงแลดูเหมือนว่าย่ำเท้าอยู่กับที่ทุกวันๆ

                May 18

                ในขณะที่จางอี้ชิงกำลังก้มหน้าก้มตาอ่านบทกวีจีนในหนังสือเล่มขนาดเหมาะมืออยู่ที่ตรงระเบียงห้อง เสียงโทรศัพท์มือถือของคิมมินซอกก็ดังขึ้นเบาๆ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือและมองเข้าไปในห้องเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อเมื่อเห็นคนตัวเล็กเดินออกมาจากกองเอกสารสมัครทุนที่เจ้าตัวกำลังวุ่นวายจัดเรียงอยู่และคว้าเอาโทรศัพท์มือถือของตนมากดรับสายและกรอกเสียงใส่ลงไปเบาๆ

                “ครับแม่...” เจ้าของห้องตอบเพียงเท่านั้นก็เดินเลี่ยงออกไปหาที่คุยนอกห้องราวกับเกรงใจแขกหรือไม่ก็คงเป็นเรื่องส่วนตัวจริงๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับมาเงียบสงบลงอีกครั้ง อี้ชิงไม่รู้เลยว่าเขาใช้เวลานั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงระเบียงคนเดียวมานานเท่าไหร่แล้ว เขาไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าเขาใช้เวลาอยู่ที่ห้องของคิมมินซอกมานานแค่ไหน แล้วก็เช่นเดียวกัน... เขาไม่รู้เลยว่านานเท่าไหร่แล้ว ที่ไม่ได้ยินเสียงดนตรีดังขึ้นภายในหัวใจอันสิ้นหวังท้อแท้ของเขาดวงนี้...

                เมื่อแสงแดดทาบทาลงมายังพื้นโลก

    สายลมโบกโบยด้วยกระแสอันสงบ

    ใบไม้พลิ้วไหวแม้เพียงเล็กน้อย

    นั่นหมายความว่าธรรมชาติกำลังขับขานบทกวี

     

                พายุ... อาจทำให้ฟ้ามืดครึ้ม

    กระแสลมกรรโชกแรง

    ใบไม้หล่นร่วงลงจากต้น

    แต่นั่นก็คือ... บทกวี

     

                ในขณะที่โลกหมุน

    ใบไม้ที่หล่นร่วง ผลิขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง

    นั่นคือเสียงเพลงแห่งธรรมชาติ

    ที่ไม่เคยขาดหาย...

     

                ในหัวใจที่มีเสียงเพลง

    ธรรมชาติ... กวี... ดนตรี...

    จะไม่หวั่นไหว และไม่หยุดบรรเลง

    แม้จะอยู่ท่ามกลางพายุร้ายแรง!’

     

                เสียงของบทกวีดังก้องอยู่ในหัวใจของจางอี้ชิงคลอไปกับเสียงกีต้าร์ที่กำลังล่องลอยมาตามสายลม

                เสียงกีต้าร์... ที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนได้สื่อสารกับพ่อที่จากไปตั้งแต่เขายังเล็ก เสียงกีต้าร์... ที่ไม่เคยขาดหายไปจากหัวใจของเขา เหมือนกับที่จางอี้ชิงรู้สึกว่าพ่อยังอยู่ อย่างน้อยก็ในตัวเขา ชายหนุ่มจึงมีความมุ่งมั่นอยากจะเป็นนักดนตรี อยากจะเป็นนักแต่งเพลงเหมือนอย่างที่พ่อของเขาได้ใฝ่ฝันเอาไว้

                ควรหยุด... ไม่ใช่สิ แต่เขา... จะหยุดได้จริงๆ หรือ

                 อี้ชิงลุกขึ้นยืนและมองไปยังระเบียงห้องข้างๆ ด้วยความโหยหาในเสียงดนตรี เขามองเห็นร่างสูงของชายหนุ่มคนหนึ่งจากด้านหลัง ใครคนนั้นกำลังนั่งเล่นกีต้าร์อยู่บนขอบระเบียงอย่างมีความสุขเหลือเกิน

                จางอี้ชิงนึกถึงตัวเองชะมัด...

                “ทำอะไรน่ะ อี้ชิง” เสียงของคนตัวเล็กดังขึ้นหลังจากเสียงปิดประตูห้องนิดเดียว มินซอกออกไปคุยโทรศัพท์กับแม่ไม่นานพอกลับมาแล้วเห็นอี้ชิงดูยืนมองอะไรซักอย่างอยู่ตรงระเบียงด้วยดวงตาที่คลอขังไปด้วยหยดน้ำก็โยนโทรศัพท์มือถือของตนลงบนเตียงแล้วก็ตรงดิ่งมาที่ตัวเขาในทันที

                มินซอกเดินออกมายืนตรงระเบียงแล้วก็ได้ยินเสียงกีต้าร์ดังขึ้น คนตัวเล็กลองหันมองไปตามเสียงก็เห็นร่างยักษ์ที่ดูคุ้นตาแปลกๆ นั่งเล่นกี้ต้าร์อยู่ตรงขอบระเบียงห้องข้างๆ อย่างไม่รู้จักกลัวพลัดตกลงไปข้างล่างเลยแม้แต่นิด ขณะที่คิมมินซอกกำลังขบคิดว่าเคยเห็นชายคนนี้ที่ไหนมาก่อนรึเปล่าเสียงกีต้าร์ก็เงียบลง คนเล่นวางอาวุธทางดนตรีไว้พิงกับระเบียงห้องของตัวเองแล้วก็กระโดดลงมายืนหันหน้าออกสูดอากาศเข้าสู่ปอดอย่างมีความสุข และจังหวะนั้นเองคิมมินซอกก็ได้เห็นใบหน้าด้านข้างของเขาคนนั้นแจ่มชัด

                “อ้าว ชานยอล...” มินซอกร้องเรียกพลางโบกไม้โบกมือให้กับคนรู้จัก อี้ชิงหันมามองหน้าคนตัวเล็กด้วยความประหลาดใจ แล้วชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่อยู่ห้องข้างๆ ก็ร้องตอบกลับมาว่า

                “คิมมินซอกใช่ไหม...”

                คนตัวเล็กพยักหน้ารับแล้วก็ส่งยิ้มให้ด้วยความยินดี ก่อนจะหันมาอธิบายกับอี้ชิงว่า “เพื่อนสมัยเรียนมัธยมน่ะ ไม่ได้เจอกันมานานมากแล้ว บังเอิญจริงๆ” อี้ชิงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วมินซอกก็ร้องถามชานยอลไปอีก

                “นายพึ่งย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่เหรอ”

                “ใช่... มาวันนี้เลย เอ้อ... เสียงกีต้าร์เมื่อกี้รบกวนเพื่อนของนายรึเปล่า” ชานยอลหันไปมองอี้ชิงด้วยความเกรงใจ

                อี้ชิงไม่พูดอะไรทั้งนั้น เขาก้มหน้าลงแล้วก็เดินกลับเข้าไปในห้องด้วยท่าทีซึมๆ มินซอกจึงนึกอะไรขึ้นมาได้ในชั่วขณะนั้นพอดี

                “จริงสิ... นายมาอยู่ที่นี่ก็ดีแล้วนะชานยอล ออกมาเล่นกีต้าร์ที่ระเบียงบ่อยๆ ล่ะ ฉันชอบฟัง”

     

               

    Day-Month-Year

     

                จากวันนั้นเป็นต้นมาสวรรค์ชั้นเจ็ดของคิมมินซอกก็เต็มไปด้วยเสียงดนตรีจากห้องข้างๆ ซึ่งคนตัวเล็กก็ได้แต่หวังว่ามันจะช่วยทำให้อาการซึมเศร้าของจางอี้ชิงดีขึ้นมาบ้าง เขารู้ดีว่าดนตรี คือสิ่งที่เคยเป็นเสมือนหัวใจของจางอี้ชิง แต่คนตัวเล็กก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไม เขาใช้ดนตรีรักษาอี้ชิงอย่างอ้อมๆ มาตั้งหลายสัปดาห์แล้วแต่ก็ไม่เห็นจะได้ผลอะไรเลย มิหนำซ้ำพอชานยอลเริ่มเล่นกีต้าร์ทีไร ไม่ว่าหนุ่มชายจีนที่เขาแอบชอบจะทำอะไรอยู่ก็จะหยุดแล้วก็เดินมาปิดประตูระเบียงให้เสียงผ่านเข้ามาได้น้อยที่สุดแล้วก็กลับมานั่งซึมทุกที

                ทำไมอี้ชิงถึงต้องต่อต้านสิ่งที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นชีวิตจิตใจของเขา ทำไมจางอี้ชิงถึงจะต้องต่อต้านเสียงกีต้าร์ เขาจะเลิกเล่นดนตรี เขาจะยอมละทิ้งความฝันของเขาได้จริงๆ หรือ... คิมมินซอกไม่อยากจะเชื่อ

                แล้วเย็นวันนั้น ขณะที่หยาดฝนกำลังค่อยโปรยปราย เสียงกีต้าร์จากปาร์คชานยอลก็ดังขึ้นมาอีกเป็นเวลาเดียวกันกับที่อี้ชิงกำลังอ่านหนังสือท่องเที่ยวรอบโลกที่ค้นได้ภายในห้องของมินซอกอยู่ ส่วนตัวเจ้าของห้องเองก็กำลังฝึกทำข้อสอบภาษาอังกฤษด้วยความตั้งอกตั้งใจแล้วจู่ๆ ชายหนุ่มชาวจีนก็วางหนังสือลงและลุกขึ้นไปเลื่อนประตูระเบียงให้ปิดสนิทลงด้วยท่าทางเคร่งขรึม มินซอกมองตามอี้ชิงไปทุกก้าว แล้วชายหนุ่มร่างเล็กก็เริ่มรู้สึกว่าสุดจะทนแล้ว อี้ชิงอยู่ในสภาพแบบนี้ไม่ได้แน่ๆ ถ้าไกลหูไกลตาล่ะว่าไปอย่าง แต่อยู่ด้วยกันแบบนี้ มินซอกจะต้องรักษาเขาให้หาย

                คิดได้แล้วคนตัวเล็กก็วางหนังสือบ้างก่อนจะพรวดลุกขึ้นไปเปิดประตูระเบียงออกให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้

                “พอกันที ฉันจะไม่ให้นายหนีมันอีกแล้ว”

                “มินซอก ปิดประตู...” อี้ชิงกดเสียงต่ำลงด้วยท่าทีเอาเรื่อง

                “ไม่...”

                “ฉันบอกให้ปิด...” อี้ชิงขึ้นเสียงหนักกว่าเดิม แล้วก็...

                “ไม่...” คนตัวเล็กยังคงยืนกรานพร้อมยืนขวางประตูเอาไว้ เสียงกีต้าร์ลอยลมเข้ามาในห้องดังขึ้น และดังขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้อี้ชิงเริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างหนักชายหนุ่มจึงพรวดลุกขึ้นยืนทันทีแล้วเดินมาผลักร่างคิมมินซอกให้ออกไปอยู่ที่นอกระเบียงแล้วจากนั้นก็ปิดประตูล็อคใส่อย่างไม่ใยดี

                “อี้ชิง... อี้ชิง นี่นายทำแบบนี้ไม่ได้นะ” คนตัวเล็กร้องตะโกนอยู่นอกประตูกระจกบานเลื่อนอย่างเริ่มความโมโห ปาร์คชานยอลที่นั่งอยู่ตรงขอบระเบียงห้องข้างๆ จึงหยุดเล่นกีต้าร์แล้วก็หันมาถามไถ่ด้วยความห่วงใยทันที

                “เกิดอะไรขึ้นรึเปล่ามินซอก”

                “ชานยอล ห้องนายมีไม้อะไรแข็งๆ ที่พอจะทุบกระจกให้แตกได้บ้างไหม”

                ดวงตาคมเฉี่ยวคู่นั้นดูจะเอาเรื่องอยู่จนชานยอลรู้สึกตัวหด “เดี๋ยว... ฉันไปหามาให้นะ” ร่างสูงเดินหายเข้าไปในห้องไม่นานก็กลับออกมาที่ระเบียงพร้อมกับไม้เบสบอล

                “ไม่รู้ว่ามันจะทุบให้แตกได้รึเปล่านะ” ชานยอลเอ่ยขึ้นในขณะที่ส่งมอบอาวุธให้กับคนตัวเล็ก

                “ขอบใจ...” มินซอกพูดแค่นั้นแล้วก็ออกแรงทุบกระจกระเบียงห้องจนทำให้เกิดรอยร้าวได้ในครั้งเดียว

                “เฮ้ย...” ชานยอลเผลออุทานออกมาเมื่อเห็นคนตัวเล็กดูมีแรงเยอะมากจนน่ากลัว มินซอกออกแรงทุบกระจกอีกหลายครั้งจนทำให้จางอี้ชิงที่กำลังนั่งจมอยู่กับตัวเองในห้องอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นมาเปิดประตูอย่างหงุดหงิด

                “ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย”

                “นายนั่นแหละเป็นบ้าอะไร...” มินซอกเหวี่ยงไม้เบสบอลลงบนพื้นด้วยท่าทีโมโหไม่แพ้กัน

                “เออ พวกนาย... คุยกันดีๆ ก่อนได้ไหม” เสียงของชานยอลร้องขึ้นมาจากระเบียงห้องข้างๆ ทั้งคิมมินซอกแล้วก็จางอี้ชิงจึงเงียบเสียงลงไปพร้อมกันแต่ต่างฝ่ายต่างก็ยังยืนจ้องหน้ากันอยู่อย่างนั้นและเหมือนว่าจะกำลังทะเลาะกันด้วยสายตา

                ทำไมนะ... ทำไมถึงต้องเป็นแบบนี้ มินซอกพยายามมองให้ลึกลงไปข้างในดวงตาของชายหนุ่มชาวจีนตรงหน้าอย่างค้นหา แล้วเขาก็พบเพียงความสับสน...

                ทนไม่ไหวอีกแล้ว... มินซอกรู้สึกเจ็บที่หัวใจอย่างประหลาด เขาตัดสินใจก้าวพรวดออกไปจากห้องอย่างรวดเร็วทิ้งให้จางอี้ชิงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง

                “ชานยอล... เปิดประตู” มินซอกออกแรงทุบรัวเร็ว ไม่ช้าชานยอลก็เปิดรับให้เขาเข้าไปในห้องอย่างงงๆ

                “มินซอกใจเย็นๆ ก่อนนะ...” พูดยังไม่ทันจบแล้วก็โดนพูดแทรก

                “ฉันขอยืมกีต้าร์หน่อย”

                “หา!” ชายหนุ่มหลุดเสียงออกมาด้วยความประหลาดใจในขณะที่มินซอกเองก็ไม่คิดจะรอคอยคำตอบของเขาเลยจึงก้าวพรวดเข้าไปหยิบกีต้าร์และเดินกลับไปหาอี้ชิงที่ยืนนิ่งอยู่ภายในห้องของตัวเองทันที

                “ดะ เดี๋ยวก่อน...” ชานยอลรีบวิ่งตามไปคุมเชิงทันที

                “นายรู้จักไอ้นี่ไหม จางอี้ชิง...” มินซอกถามขึ้นในขณะที่อี้ชิงเอาแต่ก้มหน้าหลบตาแล้วก็กำมือแน่น

                “มองสิจางอี้ชิง แล้วบอกฉันว่านายไม่รู้จักของสิ่งนี้ ปฏิเสธมันสิ ของที่เคยเป็นชีวิตจิตใจของนายน่ะ”

                “นี่ไม่ใช่กีต้าร์ของฉัน...” อี้ชิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงขาดห้วง แผ่วเบาและอ่อนระโหยเสียจนชานยอลที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยยังอดรู้สึกเห็นใจไม่ได้

                “แล้วกีต้าร์ตัวนั้น มันเกิดมากับตัวนายหรือไง มันวิเศษกว่ากีต้าร์ตัวอื่นตรงไหนไม่มีมันนายถึงจะทำตามฝันต่อไปไม่ได้”

                คนตัวเล็กย้อนถามโดยไม่รู้เลยสักนิดว่าคำพูดของตนจะทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าเกิดความรู้สึกเหมือนกับว่าโดนมีดมากรีดใจ

                “มันวิเศษกว่ากีต้าร์ตัวอื่นแน่นอน เพราะว่าสำหรับฉัน มันคือตัวแทนของอะไรหลายๆ ที่ฉันไม่เคยมีมันมาก่อนเลยในชีวิตจริงยังไงล่ะ!” จางอี้ชิงน้ำตาไหลออกมาแทบจะในทันทีที่พูดจบประโยค

                “เออ... ฉันว่าฉันกลับห้องดีกว่า มีอะไรมาเคาะประตูเรียกนะมินซอก” ชานยอลเอ่ยขึ้นแล้วก็เลี่ยงออกไปอย่างรู้มารยาท มินซอกจึงเดินตามไปปิดประตูแล้วก็หันกลับพบเห็นว่าอี้ชิงกำลังทรุดตัวลงนั่งกับพื้นชันเข่าข้างหนึ่งแล้วยกมือขึ้นกุมศีรษะร้องไห้อย่างไม่ใยดีต่อสายตาเขา

                มินซอกวางกีต้าร์ของชานยอลพิงไว้กับเก้าอี้ตรงโต๊ะเขียนหนังสือแล้วก็เดินเข้ามานั่งข้างๆ อี้ชิงด้วยท่าทางรู้สึกผิด

                “ฉัน... ไม่น่าพูดแบบนั้น ขอโทษนะอี้ชิง” คนตัวเล็กเอ่ยขึ้นในขณะที่มองเห็นร่างของจางอี้ชิงกำลังสั่นเทาด้วยแรงสะอื้นของเจ้าตัว

                “ไม่เอาน่า... ไม่เป็นแบบนี้สิอี้ชิง” คนตัวเล็กเริ่มเบียดตัวเข้าไปใกล้ในขณะที่ดวงตาคมเฉี่ยวของตนเองกำลังค่อยๆ เปียกชุ่มขึ้นด้วยน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ แล้วจางอี้ชิงก็เงยหน้าขึ้น สายตาของเขาสับสนรุนแรงมากจนน่ากลัว

                “ฉันเป็นภาระให้นายมามากเกินไปแล้วใช่ไหมมินซอก”

                “ไม่นะ... อย่าพูดอะไรแบบนั้นสิอี้ชิง”

                “ฉันคิดว่าฉันควรกลับประเทศจีนได้แล้ว”

                “ไม่นะ!” มินซอกรีบปฏิเสธรวดเร็วเสียจนน่าสงสัย และก่อนที่จางอี้ชิงจะหันมาถามว่าทำไมมินซอกก็ฉวยโอกาสจากความใกล้นั้นประทับจมูกและริมฝีปากลงของเขาบนแก้มของชายหนุ่มทันที ในขณะที่ใบหน้ากำลังร้อนผ่าว มินซอกก็ละล่ำละลักพูดออกไปว่า

    “ทำไมถึงต้องดิ้นรนที่จะไปจากกันอยู่ตลอดเวลาด้วย...” ดวงตาคมเฉี่ยวถูกกดปิดแน่นลงในทันทีหลังจากที่รู้ตัวว่าได้ทำอะไรลงไป ชั่ววูบนั้นจางอี้ชิงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังลอยคว้างอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรในขณะที่กำลังเกิดพายุร้าย เขาสับสนและไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร จนกระทั่งคนตัวเล็กตัดสินใจหลับหูหลับตาถามขึ้นมาว่า

    “นายไม่รู้จริงๆ เหรออี้ชิง... นี่นาย... ไม่เคยเห็นอะไรในแววตาของฉันเลยเหรอ”

    สิ่งนี้ชัดเจนที่สุดแล้ว... จางอี้ชิงไม่รู้ว่าเขาจะรับความรู้สึกของมินซอกไหวไหมในเวลาแบบนี้ แต่บางทีมันอาจจะดีกว่าการที่เขาต้องเผชิญหน้ากับพายุร้ายเพียงลำพังก็ได้

    “นายก็ลืมตาสิ” ชายหนุ่มชาวจีนเอ่ยขึ้น

    เพียงวูบเดียวที่แสงสว่างแล่นเข้าสู่ดวงตามินซอกมองเห็นแววตาของอีกคนหนึ่งใกล้เกินกว่าที่เคยใกล้ แล้วทุกอย่างก็มืดลงอีกครั้ง...

    จูบนั้น... แม้จะอ่อนโยน และเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ดูเหมือนจะหนักหน่วง แต่มินซอกจะมั่นใจได้อย่างไรว่ามันคือความจริงในเมื่อจางอี้ชิงแลดูเหมือนกับคนที่ไม่มีสติเลย!

     




    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

               ปิดเทอมแล้ว... ได้มีเวลาแต่งต่อซักที ยังไงก็ขอโทษด้วยนะคะที่ล่าช้า ต่อไปจะมาอัพบ่อยๆ นะ ใครที่รอพาร์ทอื่นอยู่ใจเย็นน้าาา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×