ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fic KHR reborn] Vampire or Mafia

    ลำดับตอนที่ #4 : chapter 3 [อัพเดทครบ 100%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 144
      0
      17 ม.ค. 58

    -3-


                       ร่างเล็กที่เต็มไปด้วยบาดแผลจากแวมไพร์หนุ่มร่างสูงเบื้องหน้าทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นและปรายตามองรอบห้องซึ่งไม่มีอะไรที่บ่งบอกว่ามีการต่อสู้เกิดขึ้นไปไม่กี่นาทีก่อน   จะมีก็มีแค่แจกันที่โดนทอนฟาฟาดจนแตกที่ตกอยู่บนพื้นอยู่หน้าห้องเท่านั้นแหละ  ซากิเบ้ปากและประคองแขนข้างหนึ่งของตัวเองไว้ด้วยสีหน้านิ่งเฉย



              "เดี๋ยว"    เสียงใสแหบพร่
    าเรียกชายที่กำลังก้าวเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็ว     ฮิบาริไม่ได้หันกลับมามองแต่ยังคงยืนค้างอยู่กับที่อยู่อย่างนั้น



             "นายชื่ออะไร?"   นัยน์ตาสีแดงฉานจ้องมองแผ่นหลังกว้างของชายเรือนผมสีเข้มโดยไม่ละไปไหน





            "เธอชื่ออะไรล่ะ ยัยสัตว์กินพืช"     ฮิบาริไม่ได้ตอบ   แต่กลับย้อนถามหญิงร่างเล็กแทน






            "ไม่มีคำตอบสำหรับนาย"   ซากิแค่นหัวเราะและลุกขึ้นเดินไปยังร่างสูงที่ในตอนนี้หันมาประจันหน้ากับเธอแล้ว  นัยน์ตาสีแดงฉานจ้องมองดวงตาคมกริบสีรัตติกาลของอีกฝ่ายอย่างท้าทาย     "ในเมื่อนายไม่ตอบฉัน ฉันก็จะไม่ตอบคำถามของนายเช่นกัน"  ร่างเล็กยักคิ้วให้และกระตุกยิ้มกวนประสาทใส่ร่างสูงที่ดูไม่พอใจกับการพูดของซากิแม้แต่น้อย




              "ว่ายังไงล่ะ นาย.....?"





             "แล้วเธอคิดว่าฉันชื่ออะไรล่ะ?"     สายตาเรียบเฉยของฮิบาริจ้องมองดวงตากลมโตที่มองมาอย่างไม่ยอมแพ้




             "อืมม.."    สุดท้ายแล้วก็เป็นร่างเล็กนั่นแหละที่แพ้สงครามจ้องตาแบบนี้  ดวงตากลมกรอกไปมา ใบหน้าสวยหวานทำหน้าครุ่นคิด และคลี่ยิ้มกวนประสาทออกมาในที่สุด  "ฉันคิดว่า.. นายน่าจะชื่อรังนกนะ   หัวรังนกน่ะ "  ซากิยิ้มตาหยีและปรบมือให้กับความคิดของตัวเองเบาๆ  เพราะบนเรือนผมสีดำสนิทนี่ก็มีนกน้อยสีเหลืองนอนหลับอย่างน่าเอ็นดูอยู่แทบตลอดเวลาที่พบเจอ ถึงแม้การพบเจอครั้งนี้จะเป็นเพียงแค่ไม่กี่ครั้งก็ตาม





              ทอนฟาสีเงินแวววาวถูกฟาดลงมาใส่ร่างเล็กอีกครั้งด้วยความเร็ว   โชคดีที่เอาแขนกันไว้ทันอย่างทุกครั้ง  แต่ใบหน้าของซากิบิดเบี้ยวเล็กน้อยด้วยความเจ็บปวดอีกครั้งที่แล่นอยู่ในแขน





           "หัวรังนกคุง  หยุดเล่นสักทีเถอะ"    ซากิยิ้มหวานอย่างน่าหมั่นไส้  แท้จริงแล้วรอยยิ้มหวานๆนี่เหมือนเป็นรอยยิ้มยั่วยวนประสาทเสียมากกว่า   ฮิบาริยังคงฟาดทอนฟาใส่ร่างเล็กไม่ยั้งมือ   แต่จู่ๆการเคลื่อนไหวด้วยความเร็วของฮิบาริ เคียวยะกลับชะงักลงทันที






        เคร้ง!
     




         ทอนฟาคู่หนึ่งตกลงมากระทบพื้นจนเกิดเสียงดังเคร้ง  ดวงตาคมกริบราวใบมีดเบิกกว้างอย่างงุนงงและตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้   ซากิกรอกตาไปมาอีกครั้งและก้มเก็บทอนฟาส่งให้ฮิบาริที่ยืนตกตะลึงอยู่





           ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนที่ทำให้อาวุธของเขาตกลงสู่พื้นได้..








           











                     "เธอนี่มันน่าสนุกจริงๆ ยัยสัตว์กินพืช"





                    "ฉันชื่อซากิ    เออ.. ขออะไรหน่อยได้มั้ย ?"









     
    --------------------------------



     
                              [Eunji talk]






           ฉันเดินเตร็ดเตร่อยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆย่านชานเมืองได้สักพักนึงแล้ว      วันนี้เป็นวันคริสมาสต์   ช่วงนี้ที่นี่จึงมีการตกแต่งประดับประดาด้วยต้นสนต่างๆอย่างสวยงาม  ถึงแม้จะไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรมากเหมือนในตัวเมืองแต่ที่นี่ก็สวยงามในสายตาของฉัน     มือของฉันถือตะกร้าใบเล็กของที่นี่และเดินเลือกวัตถุดิบที่จะทำอาหารกินวันนี้   แต่ตอนนี้ฉันยังไม่แน่ใจเลยว่าจะทำมันออกมาได้ดีรึเปล่า่..




           "ค..คุณ  คุณอึนจี.."   เสียงเล็กที่คุ้นหูมาระยะนึงแล้วดังขึ้นจากหลังชั้นวางสินค้าต่างๆ   และตอนนี้ฉันกำลังเลือกผงโกโก้เพื่อที่จะเอาไปทำขนมในวันคริสมาสต์นี้



         ผู้หญิงตัวเล็กผมสีออกม่วง เธอปิดตาข้างหนึ่งไว้และเดินมาหาด้วยท่าทางกล้าๆกลัวๆ  ในมือของเธอถือกล่องบรรจุผงโกโก้ยี่ห้อดังไว้   ฉันส่งยิ้มให้กำลังใจไปให้เธอ   และพยายามพูดต่อด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองกับผู้หญิงขี้อายเบื้องหน้าให้มากที่สุด    "มีอะไรเหรอโคลม ?"





          "เอ่อ.. โกโก้ใช้แบบนี้ได้มั้ยคะ?"     โคลมก้มหน้างุดและจ้องมองไปยังด้านข้างกล่อง   พลางยื่นมันมาให้ฉันอย่างลำบากใจ



        "อ่าาา ...." ฉันรับกล่องบรรจุผงโกโก้นั่นมาพิจารณาดูรายละเอียด และยิ้มบางให้โคลม





       "ไม่ได้"  ฉันยังคงยิ้มอยู่  พร้อมถือกล่องบรรจุผงโกโก้ไว้ในมือ




       "ห..เห? "       โคลมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย   ดูเสียใจกับการช่วยอะไรไม่ได้ในการเลือกซื้อของนอกบ้านนี่เลย




        "ฉันล้อเล่นน่ะ"  ฉันกลั้นขำจนตัวสั่นและจัดการเอากล่องเล็กๆใส่ตะกร้าที่ฉันถืออยู่    โคลมเป็นคนไม่ค่อยกล้าแสดงออกและพูดน้อยมากกว่าฉันเสียอีก   พอโคลมได้ยินคำว่าล้อเล่นแผ่วๆจากปากของฉันใบหน้าของเธอก็ดูมีสีสันขึ้นมาทันที




             ในวันคริสมาสต์..  ฉันอยากให้ทุกคนมีความสุขนี่หน่า..





                  หลังจากการซื้อของจากซุปเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆแล้ว  ฉันกับโคลมก็มุ่งหน้าไปยังตึกร้างแห่งหนึ่ง   ในตอนแรกฉันรู้สึกกลัวมันมากพอๆกับตอนเข้าไปที่โรงเรียนนามิโมริ    แต่ว่าที่นี่..  ไม่มีอะไรอย่างที่ฉันคิดไว้  ซึ่งมันก็ดีแล้ว









             ฉันมาที่'โกคุโยแลนด์'ได้ยังไงน่ะเหรอ  ?









                เรื่องมันเริ่มต้นมาจาก ฉัน ซากิ และลีนออกไปล่าท้าผีกันที่นามิโมริ   สุดท้ายแล้วทุกคนก็วิ่งหนีกันป่าราบ   จนกระทั่งเจอกับชายทั้งสามที่ท่าทางเหมือนผู้ดีมีชาติตระกูล(?)     แล้วก็ทั้งสามก็หน้าตาดีในระดับหนึ่ง.. เอ่อ.. ฉันหมายความว่า.. ช..ช่างมันเถอะ      โรคุโด มุคุโร่บอกกับฉันว่าจะพาไปส่งที่บ้าน   ไม่ต้องเป็นห่วงเพื่อนอีกสองคนของฉัน  เพื่อนๆของฉันจะปลอดภัยแน่นอน    ท่าทางของมุคุโร่สุภาพมากๆ  และเขาก็ใช้สายหมอกของเขาพาฉันกลับบ้าน.. แต่ว่าเขาบอกว่าผิดพลาดอะไรสักอย่างเนี่ยแหละ เลยทำให้ฉันและเขามาอยู่ที่นี่   ซึ่งมุคุโร่บอกว่านี่เป็นที่อยู่อาศัยของเขา   ในตอนแรกฉันก็งงกับคำพูดของเขา  แต่ที่นี่มันสกปรกเกินกว่าที่จะอยู่นะ!!    แต่มันไม่เกี่ยวกับฉันสักหน่อยนี่...    ฉันเจอกับคนที่เรียกกันว่าจิคุสะ  กับ ผู้ชายหน้า(และท่าทางเหมือน)หมา   อ่าา..   แล้วก็ยังมีแฟนของมุคุโร่ด้วย (เขาไม่ได้บอกหรอก  แต่ฉันพอจะเข้าใจอยู่กับท่าทางหวงมุคุโร่ของผู้หญิงคนนั้น)   แล้วก็มีเด็กผู้ชายผมสีเขียวน่าเอ็นดู  ชื่อฟรานอยู่ด้วย เขาเก่งเรื่องภาพลวงตามากๆ ฉันเห็นแล้วยังทึ่งเลย..   แต่ฉันน่ะไม่ใช่ธาตุหมอก..  ฉันธาตุพิรุณ อ่าา.. จนถึงตอนนี้ยังไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่เลย   ช่างเรื่องนั้นก่อนเถอะ..   ฉันจะเล่าเรื่องที่ฉันมาอยู่โกคุโยแลนด์ให้คนพวกนี้ฟัง   ฉันจะไม่นอกเรื่องเด็ดขาด!    โอเค..







      ถึงไหนแล้วนะ?









     
           มุคุโร่บอกว่าจะพาไปส่งที่บ้าน ถ้าหากฉันมาอยู่ที่โกคุโยแลนด์จนถึงวันคริสมาสต์ ซึ่งก็คือวันนี้นั่นแหละ..   แต่ว่า..  ฉันก็อยากทำอาหารให้คนพวกนี้เป็นครั้งสุดท้าย(เว่อร์)ก่อนที่จะกลับบ้าน      ฉันไม่รู้จักและไม่เคยได้ยืนชื่อโกคุโยแลนด์มาก่อน   ถ้ารู้ว่ากลับบ้านไปทางไหน ฉันก็กลับไปนานแล้ว!









        แต่ฉันก็ไม่ใช่คนที่จะหนีอะไรแค่นี้หรอก..   การที่เห็นคนพวกนี้อยู่อย่างมีความสุข(มั้ง)ก็เป็นอะไรที่ดีมากสำหรับผู้อาศัยชั่วคราวแบบฉัน






             ว่าแต่.. ฉัน......





    ฉัน....
    ..
    .
    .
    .
    .
    ......
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    ....





    ..... ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวเลยนะ !!!











         สวัสดี ฉันชื่อ อึนจี..  ปาร์ค อึนจี ค่ะ!  เป็นชาวเกาหลีแท้ๆไม่ได้มีเลือดญี่ปุ่นแม้แต่เสี้ยวนึง     ถามว่าทำไมฉันถึงต้องมาอยู่ในนามิโมริแห่งนี้น่ะเหรอ..?           เป็นเพราะเพื่อนตัวดีทั้งสองที่อยากมมาเที่ยวที่ญี่ปุ่นเนี่ยแหละ    จนถึงตอนนี้ฉันก็ได้แต่สงสัยว่ามาเที่ยวหรือย้ายบ้านมาญี่ปุ่นกันแน่ก็ไม่รู้         ตอนนี้ฉันอายุ..  หนึ่ง สอง... สาม... สี่..   เ่อ่อ..  จบมัธยมปลายแล้วนะ!  แต่ว่าตอนนี้ฉันยังไม่ได้เรียนต่อมหาลัยฯอย่างที่ต้องการสักที         สาเหตุก็มาจากเพื่อนสองคนนั้นอีกเช่นเคย  ฉันขอโทษนะ..    แต่ฉันจะโทษว่าเป็นเพราะพวกเธอสองคน   อย่าบอกสองคนนั้นเด็ดขาดนะ!







         ไม่ใช่ว่าสมองฉันมันแย่ถึงขนาดสอบไม่ติด   ฉันเป็นคนที่เกรดพอใช้ได้มาตลอด    ไม่เคยตกไม่เคยซ้ำชั้นด้วยนะ..    เกรดพอใช้ของฉันก็เอทุกวิชานั่นแหละ..    เอ่อ.. ฉันไม่ใช่คนฉลาดแบบซากินะ! แต่..  ก็แค่ขยันเท่านั้นแหละ     (กำลังถ่อมตัวในขณะนี้..)      ซากิเป็นคนที่ฉลาดมากคนหนึ่ง   แต่กลับขี้เกียจสุดๆ   เกรดก็ดันออกมาดีอีกต่างหาก   ชักเริ่มสงสัยแล้วว่าซากิไปข่มขู่อาจารย์คนไหนบ้างรึเปล่า....    ส่วนลีนนั้นก็ไม่ต้องพูดถึง.. เป็นคนที่ทำอะไรได้ดีพอใช้ (ล่ะมั้ง)   แต่กลับตกแล้วตกอีก ตกซ้ำซาก เป็นเพราะไม่ได้ส่งงานตามกำหนด  ขี้เกียจพอๆกันกับซากินั่นแหละ..








      แต่ฉันว่าซากิขี้เกียจกว่าลีนเยอะหลายขุมเลยนะ . . .

















        "พี่สาว  กลิ่นอะไรไหม้ๆ" เสียงฟรานตะโกนเข้ามาในห้องครัว (ใช้ภาพลวงตาที่กลายเป็นของจริงโดยเครื่องแปลกประหลาดมุมห้อง)   เสียงเด็กคนนั้นทำให้ฉันสะดุ้งหลุดออกจากห้วงภวังค์ที่กำลังนินทาเพื่อนสนิททั้งสอง   ฉันทำตาโตและชะโงกหน้ามองหม้อที่มีแต่เนื้อกลมๆดำๆกับน้ำที่แห้งเหือดไปหมดจนดูไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว








         "ข.. ขอโทษนะคะ"   โคลมที่กำลังทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกันกล่าวขอโทษและก้มหัวให้ซ้ำๆ






        ".."








        "ฉันเห็นว่า..  ค..คุณอึนจี กำลังนั่งเหม่ออยู่ เลยไม่อยากเรียก.."











     
       "เอ๋..?  ไม่ต้องขอโทษหรอก เ่อ่อ.. ฉันเหม่อไปเองแหละ ขอโทษด้วยนะที่ปล่อยให้โคลมทำอยู่คนเดียว ขอโทษจริงๆ"  ฉันรีบลุกขึ้นยืนและโค้งหัวให้หลายรอบอย่างสำนึกผิด  ฉันนี่แย่จริงๆเลยทำไมปล่อยให้เป็นแบบนี้ได้กันนะ..



    [Eunji End talk]











     
                                    50 %


     
    -----------



    [Saki Talk]

     
            ท่ามกลางหิมะโปรยปราย ผู้คนต่างเดินขวักไขว่ในยามค่ำคืน อาจเป็นเพราะช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาล จึงทำให้ผู้คนเยอะมากมายเช่นนี้  ชายร่างสูงผมสีดำสนิทขมวดคิ้วเข้าหากันอีกครั้งเมื่อฉันเริ่มพึมพำอย่างชวนประสาทเสียกับผู้หญิงตัวเล็กคนนี้ ฮิบาริ เคียวยะยังคงกุมมือบางไว้ในมือตัวเองและรีบเดินต่อไปโดยไม่สนใจคำพูดของฉันเลยแม้แต่น้อย





           "นี่! เดินช้าๆหน่อยก็ได้ แขนฉันจะหลุดแล้ว" น้ำเสียงเนือยๆที่ดูเบื่อหน่ายดังขึ้นข้างตัวอีกครั้ง แขนที่ไม่ได้ถูกจูงอยู่ถูกหุ้มด้วยเฝือก


        เพราะอะไร ฉันถึงสภาพแบบนี้น่ะเหรอ ?




       แนะนำให้ย้อนอ่านขึ้นไปด้านบนเลยนะ จะเจอฉันที่ถูกทอนฟาฟาดจนกระดูกแตก -_-;




       ฉันผ่อนลมหายใจออกอย่างไม่ชอบใจ เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันแทบจะเป็นปม ทั้งๆที่อากาศหนาวเย็นจับขั้วหัวใจขนาดนี้ ฉันยังต้องถูกแวมไพร์บ้าเลือดจูงกลับบ้านสภาพเหมือนหมาหลงทางที่ถูกจูงกลับบ้านไม่มีผิด




      จู่ๆนายเคะหน้าซึนนี่ก็ทำตัวมีพิรุธแล้วรีบกลับบ้านซะอย่างนั้น กลับเองได้ว้อย! จะลากไปส่งถึงที่ทำไมฟะ=_=!!





      จะไม่ปริปากบ่นสักคำถ้ามือนายไม่เย็นขนาดนี้...





      หนาวจะตายแล้ว T^T..







      ถ้าแบกฉันไปส่งที่บ้านได้คงทำไปแล้วสินะ =_=***
       






     
    [Saki end talk]




    ------------------------





     
                  ท่ามกลางแมกไม้สีเขียวขจี ซึ่งมีหิมะเกาะเป็นบางจุดอยู่บนยอดของต้นไม้ ยังมีปราสาทหินสูงตะหง่านตั้งอยู่กลางป่าลึกลับแห่งนี้ ท้องฟ้ายามราตรีประดับไปด้วยหมู่ดาวทำให้ปราสาทแห่งนี้ดูมืดมนกว่าเดิมเสียอีก เหล่าชายชุดดำยืนเฝ้าเวรยามอย่างดีไม่ได้ขยับไปไหนยืนล้อมรอบปราสาทหิน




          ภายในปราสาทไม่ได้ตกแต่งหรูหราเพียงแต่สะอาดหมดจดแตกต่างจากด้านนอกตัวปราสาทแห่งนี้ที่เต็มไปด้วยไม้เลื้อยต่างๆที่บ่งบอกว่าปราสาทหินนี้เก่าแก่มากเพียงใด หญิงสาวที่จัดว่าหุ่นดีคนหนึ่งเดินผ่านชายชุดดำที่ยืนนิ่งราวกับทำความเคารพอย่างไรอย่างนั้น เธอคนนี้มีผมยาวสลวย ดวงตารีเรียวน่าหลงใหล จมูกเชิดรั้นราวกับพระเจ้าสรรค์สร้างเธอคนนี้ลงมา แต่ทว่าใบหน้าสวยงามราวกับรูปปั้นไม่ได้มีรอยยิ้มปรากฎ ทางเดินแห่งนี้ีมีเพียงเสียงรองเท้าของหญิงนิรนามกระทบกับพื้นพรมสีแดงฉานราวกับเลือด

     


               ประตูไม้เนื้อดีสลักเป็นลวดลายสวยงามถูกผลักออกโดยชายหนุ่มชุดดำที่ยืนรักษาการอยู่หน้าห้องแห่งนี้  หญิงสาวเพียงส่งยิ้มหวานราวน้ำผึ้งไปให้บางๆและเดินเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมจตุรัสที่มีเพียงตะเกียงกลางห้องเป็นแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียว  หญิงสาวร่างเพรียวไล้ฝ่ามือขาวเนียนไปตามแฟ้มเอกสารต่างๆไปอย่างทนุถนอม   ใบหน้าสวยยังคงปรากฎรอยยิ้มจางๆ


        "หยุดทำหน้าตาเหมือนโรคจิตสักทีเถอะ"  เสียงทุ้มดังขึ้นขัดจังหวะสาวร่างเพรียว  ถ้าหากเดินเข้าห้องมาจะไม่มีใครสังเหตุเห็นชายในมุมมืดคนนี้เลย มีเพียงเงาสีทะมึนเท่านั้นที่บ่งบอกว่านั่นคือมนุษย์




         "ชอบขัดตลอดเลยแฮะ ~"  ร่างเพรียวพูดขึ้น แม้กระทั่งน้ำเสียงของสาวสวยคนนี้ยังหวานนุ่ม แต่ชายในมุมมืดตรงนั้นไม่ได้หลงสเน่ห์ของเธอคนนี้เลยแม้แต่น้อย






          เจ้าของเสียงทุ้มแฝงความกวนประสาทเดินก้าวออกมาจากมุมมืดๆของเขา  ร่างสูงโปร่งในชุดกราวน์สีขาวสะอาดอ้าปากหาวด้วยความเหนื่อยล้าเล็กน้อย ผมของเขายุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ดวงตาคมภายใต้เลนส์แว่นแบรนด์หรูเป็นประกายวิบวับ จมูกโด่งคมเ็ป็นสัน ริมฝีปากบางได้รูปหยักยิ้มกวนๆส่งให้สาวสวยตรงหน้า





          "มาทำไมล่ะ ควีน?"



        บุคคลที่ถูกเรียกว่าควีนไม่ตอบคำถาม  เธอปรายตามองไปยังหลอดแก้วทดลองบรรจุสารทดลองหลากสีต่างๆด้วยสายตาสนอกสนใจ  ควันพวยพุ่งเล็กน้อยจากหลอดแก้ว กระดาษมากมายสำหรับจดทดลองกระจัดกระจายไปหลายทิศทาง




         แต่ทว่ามีหลอดแก้วทดลองหลอดหนึ่งที่แปลกกว่าหลอดอื่นเป็นพิเศษ มันอยู่ในตู้กระจกพิเศษซึ่งตั้งอยู่มุมห้อง สิ่งที่ถูกบรรจุอยู่เป็นของเหลวสีแดงจัดราวกับเลือดสดๆ ของเหลวสีแดงฉานนั่นเดือดปุดๆอยู่  ตามตู้กระจกนี้มีโน้ตต่างๆแปะอยู่ พร้อมทั้งมีแฟ้มเอกสารการทดลองที่หนาเป็นพิเศษวางอยู่บนตู้กระจกนี้ด้วย  ที่เปิดตู้กระจกนี้มีป้ายเล็กๆแขวนอยู่เป็นตัวอักษรที่เขียนหวัดๆ อ่านออกบางส่วนว่า 'แวมไพร์ชั้นสูง'



       "ว้าว.. ด็อกเตอร์สติเฟื่องแบบนายก็เก่งใช่ย่อยแฮะ"   หญิงสาวเผยอริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูธรรมชาติขึ้น ดวงตารีเรียวโตขึ้นมาเล็กน้อย    ชายหนุ่มด้านหลังส่ายหัวอย่างเอือมๆและทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวประจำที่ตั้งอยู่ในมุมมืดของเขา




       "ยาตัวใหม่ทำเสร็จรึยัง ?"  ร่างเพรียวเอ่ยขึ้นอีกคราเมื่อเห็นชายหนุ่มเงียบไป    ควีนเลิกคิ้วมองชายหนุ่มร่างสูงอย่างคาดคั้นคำตอบ    "ก็เท่าที่เห็นนั่นแหละ"  เขาตอบและหันไปจดจ่อกับหลอดทดลองอีกครั้ง  มือหนาดึงแว่นตาหนาเตอะออกจากใบหน้าหล่อคม แล้วขยี้ตาเหมือนเด็กอยู่ครู่หนึ่ง





        จู่ๆจอภาพขนาดใหญ่เบื้องหน้าก็ฉายใบหน้าเรียบนิ่งองชายชุดดำคนหนึ่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ขลุ่ย  ร่างเพรียวคาดว่าน่าจะเป็นภาพจากหน้าประตูห้องนี้อย่างแน่นอน


         "ขออภัยครับ   คุณควีน คุณดีอาร์"   ชายชุดดำในจอภาพคนนั้นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ




         "ไม่น่าเชื่อเลยแฮะ นายสร้างระบบแบบนี้ขึ้นด้วยเหรอเนี่ย ~?"  ร่างเพรียวเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีไม่ทุกข์ร้อนอะไร



          แต่ทว่าคนที่ถูกชมกลับไม่ได้ใส่ใจ เขาใส่แว่นตามเดิมราวกับไม่ได้ยินเสียงของควีน  "มีอะไร?"



          "คนที่ส่งไปดูผู้พิทักษ์ฝ่ายนั้นเจอผู้พิทักษ์เมฆาในคืนคริสมาสต์ครับ"   ชายชุดดำทำหน้าเคร่งเครียด




          "เคียวคุงนี่ไม่ปรากฎตัวนานเลยน้าา ~"  ดวงหน้าสวยของควีนยิ้มตาหยีและฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี  ต่างจากชายด้านข้างที่กลับไปสนใจงานทดลองของเขาตามเดิม


         "จะให้ทำอะไรมั้ยครับ?"



         "ทำอะไรดีล่ะ ด็อกเตอร์ ?"   หญิงสาวพูดอย่างสบายๆและหันไปถามคนด้านข้างที่ลุกขึ้นไปดูหลอดทดลองและจดบันทึกอะไรบางอย่างอยู่เงียบๆ



        "ไปทักทายเมฆก้อนนั้นสักหน่อยดีไหม?"    ดีอาร์ขยับกรอบแว่นหนาของเขา  กระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์และภาพบนจอก็ขาดหายไปเมื่อได้รับคำสั่งทันที





     
       --------------TBC--------------





     
          สวัสดีปีใหม่น๊ารีดเดอร์ทุกคน *ก้มกราบงามๆ  แฮ่ๆ ดองไว้ตั้งแต่วันคริสมาสต์จนเลยปีใหม่มาแล้วนะเนี่ย 55555555
       พอดีเพิ่งสอบ+ปั่นงานส่งจารย์ขาโหดเสร็จแล้ววว ~ ปีใหม่นี้จะมาอัพบ่อยขึ้นนะ ปวิ๊งๆ *_* อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนก่อนนะ ตอนนี้มีคู่รัก(?)โผล่มาอีกคู่แล้วว //โดนตบ  ฝากติดตามด้วยนะฮ๊าบ ;A;
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×