ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์พระพาย โดย yนวิยา (yuri)

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3 ภูเขาไฟใต้น้ำแข็ง

    • อัปเดตล่าสุด 27 ก.ย. 57


    บทที่ 3 ภูเขาไฟใต้น้ำแข็ง

     “คุณพระพายค้า...คุณพระพาย...ตื่นหรือยังค้า คุณพระพาย...”

    พริกหวานป้องปากตะโกนเรียกหญิงลูกครึ่งร่างระหงที่ยังคงปิดกระท่อมเงียบเชียบ ท่ามกลางความมืดสลัวในเวลาตีห้าครึ่ง ทั้งที่นัดกันไว้ดิบดี  ซึ่งเธอเดาว่า สาเหตุที่คุณพระพายยังคงหลับอุตุ น่าจะมาจากการเกี่ยวข้าวเอาเฟืองเป็นแน่ เพราะเมื่อวาน...คนท้องเสียอย่างเธอได้ยินแว่ว ๆ มาว่า สาวชาวกรุงอย่างเขา หน้าซีดจนเกือบจะเป็นลมล้มพับกลางแปลงนา

    คิก ๆ อยากลองของเองนี่นา...ช่วยไม่ได้นะค้าคุณพระพาย ^ ^  ไอ้พริกเตือนแล้วน้าด้วยความหวังดี หึ ๆ ผิวบางมือบางซะขนาดนี้ กลับไปเขียนเช็คนับแบงก์เหมือนเดิมดีกว่ามั้ง อย่ามาตีซี้กับคุณหนูซะให้ยาก หุหุ

    ขณะพริกหวานกำลังค่อนแคะในใจอย่างเมามันอยู่ดี ๆ  

    เสียงกัลยาณีเอวบางร่างน้อยข้างกายได้ห้ามปรามว่า

    “พอเถอะพริก ประเดี๋ยวคุณพระพายก็ตื่นหรอก นี่สงสัยเขาคงเพลียจัดกับการเกี่ยวข้าวเมื่อวานแน่ ๆ เลย รักว่า เรากลับกันก่อนดีกว่า”

    “แหม...คุณหนูขา แต่คุณพระพายเขาตบปากรับคำกับคุณหนูเองนี่นา ว่าในช่วงสามวันนี้ เขาอยากจะลองใช้ชีวิตอย่างมีความสุขโดยไม่ต้องใช้เงินสักบาทน่ะเป็นยังไง แล้วตอนนี้...เราก็กำลังจะไปทำเรื่องดี ๆ กันนี่คะ และถ้าเราไม่ชวนเขาไปด้วย เขาอาจจะมาต่อว่าพวกเราทีหลังก็ได้น้า”

    หญิงซนเซี้ยวผมทรงหน้าม้า ตัดสั้นแค่คางเหมือนเด็กมัธยมอย่างพริกหวาน ยังหาเหตุแย้งตลอด แถมแกล้งทำเป็นไขสือด้วยการป้องปาก ตะเบ็งเรียกคนในกระท่อมอีกหนว่า “คุณพระพายคะ...คุณพระ...โอ๊ย!

    กัลยาหน้าผ่องเชื้อสายปกาเกอะญอหลุดร้องโอ๊ย! เมื่อโดนคุณหนูรักปายตีต้นแขนเสียงดังเพียะอย่างหมั่นไส้ ทั้งค้อนตาขุ่น เอ็ดเสียงเขียวว่า

    “นี่...ยัยพริก! โตแล้วไม่รู้จักโตนะเธอ แกล้งคุณพระพายอยู่นั่นล่ะเดี๋ยวกลับไปนี่ รักจะฟ้องนมเฟืองว่า พริกดื้อไม่เชื่อฟัง รับรองว่านมเฟืองจะต้องไม่ทำกับข้าวให้พริกกินเป็นอาทิตย์ ๆ เลย” รักปายเขม่นตาคาดโทษ

    “โถ ๆ ๆ คุณหนูรักจ๋า พริกไม่ได้จะแกล้งคุณพระพายซะหน่อยน้า พริกก็แค่หวังดี อยากให้เขาได้ร่วมทำบุญตักบาตรกับเราเท่านั้นนี่นา”

    ปากพริกหวานยังคงเฉไฉ นั่นเพราะสาวแก่นซนสังเกตว่า คุณหนูรักปายเริ่มมีอาการแปลก ๆ ตั้งแต่เจอผู้หญิงสวยเท่ตาคมคนนี้ ไม่ว่าจะพูดจะจาอะไร ก็ดูจะขวยเขินไปซะทุกอย่าง ถึงแม้คุณหนูจะไม่ได้ร่าเริงโอเว่อร์แบบเธอ แต่ก็เป็นสาวอ่อนหวานสดใส มากน้ำใจที่ใคร ๆ ต่างรักใคร่ทั้งนั้น

    และยิ่งแน่ใจในสิ่งที่สงสัยมากขึ้น เมื่อเธองัวเงียขึ้นมาเข้าห้องน้ำตอนตี 4 กว่า ๆ แต่พอกลับมานอนที่เตียง ดันเหลือบไปเห็นไฟในห้องนอนคุณหนูตรงชั้น 2 เปิดขึ้น บนบ้านหลังใหญ่สไตล์ล้านนาบาหลีแบบยกเสาสูง

    ส่วนบ้านหลังกะทัดรัดน่ารักด้านข้างที่ครอบครัวเธอพักอาศัยอยู่นี้    ถือเป็นความกรุณาปรานีของคุณท่านทั้งสองที่เพิ่งสิ้นใจให้สร้างไว้ในบริเวณเดียวกัน โดยอาคารบ้านพักของคนงานทั่วไปนั้นจะอยู่ห่างราว 1 กิโลเมตร

    เดาว่าที่คุณหนูตื่นตั้งแต่ตี 4 แบบนี้ คงเป็นเพราะกำลังตื่นเต้นที่จะได้เจอใครบางคนในตอนเช้ามืดล่ะสิท่า ถึงได้เปลี่ยนทรงผมอยู่หน้ากระจกนานนับชั่วโมง กว่าจะได้ทรงที่ถูกใจ คือรวบผมสูงเป็นหางม้าทางด้านข้าง โชว์หน้าผากเนียนเกลี้ยงเกลา แถมไดร์ลอนผมใหญ่ตรงปลายให้ดูหนานุ่มเป็นธรรมชาติ ซ้ำตบแป้งบาง ๆ ทาลิปเจลให้เรียวปากดูชมพูสุขภาพดีอีก

    เฮ้อ! อาการน่าเป็นห่วงขนาดนี้ เขาเรียกว่า อาการคนกำลังอินเลิฟ แต่ดันเป็นความรักระหว่างสาวเพศเดียวกันเนี่ยสิ...อั๋ยย่ะ! ไม่ได้ ๆ !!!

    ทั้งที่เรื่องนี้ เธอพยายามกีดกันพวกสาวหล่อสาวเท่ทั้งหลายที่เพียรมาขายขนมจีบกับคุณหนูรักปาย ตั้งแต่สมัยเรียนที่สตรีปายมองบลังค์โรงเรียนสตรีมีชื่อประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอน และดังที่สุดในภาคเหนือ

    ซึ่งภารกิจนี้...ยังไม่มีท่าทีว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด

    ทุกสิ่งที่ทำ...เพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณคุณท่านทั้งสองที่เพิ่งเสีย เพราะท่านให้การอุปถัมภ์ค้ำชูครอบครัวเธอที่เร่ร่อนมาพึ่งใบบุญเป็นอย่างดี

    ดังนั้นคุณหนูรักปายของไอ้พริกหวานจะต้องได้แต่งงานกับผู้ชายนิสัยดี ฐานะใกล้เคียงกันอย่างพี่พัดยศ...เกษตรอำเภอซึ่งเป็นลูกชายผู้ใหญ่เอื้องคำที่รู้จักกันตั้งแต่เด็ก หรือไม่ก็ต้องได้หนุ่มมาดดี จิตใจเข้มแข็งแน่วแน่มาปกป้องอย่างรองสารวัตรแผ่นดิน...ตำรวจตงฉินฝ่ายสืบสวนสอบสวนที่ทำตัวเป็นมดแดงแฝงพวงมะม่วงมาหลายปี ซ้ำยังเป็นเครือญาติกับตระกูลผู้ดีเก่าอย่างชนกนันทินี สกุลดังในแม่ฮ่องสอน ซึ่งพอจะคะคานอำนาจอิทธิพลของไอ้แก่บ้าหน้าเลือดจากตระกูลเพชรนาคา ที่เธอแสนเกลียดชัง

    ชิชะ...แค่คิดถึงชื่อตระกูลนี้ทีไร ก็ยิ่งโมโห อาไร้...คิดอยากจะฮุบที่ของคนอื่นจนตัวสั่น ที่ดินก็มากมายก่ายกอง...ยั๊งจะงกขึ้นสมองอีก...เฮอะ!

    ความคิดของพริกหวานกำลังคุกรุ่นอยู่ดี ๆ

    เสียงห้าวเล็ก ๆ กระหืดกระหอบแต่มีเสน่ห์ชวนฟังของสาวลูกครึ่งไทย-เดนมาร์ก ได้ลอยมาจากชานกระท่อมว่า

    (แฮก ๆ...) ขอโทษนะค้า...คุณรัก...คุณพริก ที่ทำให้คุณสองคนต้องมาคอยพี่แบบนี้ พี่คงเพลียมากไป เลยเผลอปิดนาฬิกาปลุกน่ะค่ะ ถ้ายังไง...เชิญขึ้นมานั่งคอยบนบ้านก่อนนะคะ พี่ขอเวลาอาบน้ำแต่งตัวแค่แป๊บเดียว ไม่เกิน 10 นาทีค่ะ ขอโทษจริง ๆ นะค้า”

    เพียงได้ยินเสียงสตรีสวยห้าว หัวใจรักปายก็ตื่นเต้นตึกตักอย่างดีใจ

    และยิ่งสาวน้อยได้ฟังคำขออภัยแบบสุภาพนุ่มนวล ส่งผ่านมาตามดวงตาสีกาแฟสวยลึกลับคุณพระพาย ซึ่งเวลานี้...ผมหนานุ่มซอยสไลด์     สีน้ำตาลอ่อนเคลียต้นคอของเขาออกจะยุ่ง ๆ เซอร์ ๆ แต่กลับดูดีชะมัด

    น้ำเสียงเจ้าของปศุสัตว์ที่ดวงใจกำลังเต้นตึกตัก เลยเก้อเขินว่า

    “เอ่อ...คือ...ไม่...ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ค่ะคุณพระพาย พวกเรามาถึงก่อนเวลาเองล่ะค่ะ เชิญคุณทำธุระตามสบายเถอะค่ะ...พวกเรารอได้”

    ครั้นพริกหวานฟังคำพูดเกรงอกเกรงใจของคุณหนูรักปาย ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนสนิทและเจ้านาย ยัยตัวแสบเลยอดที่จะค่อนเบา ๆ ไม่ได้ว่า

    “เฮ้อ...แน่ล่ะสิ๊ เล่นตื่นมารอได้ตั้งแต่ตี 3 ตี 4  กะอีแค่ 5 นาที   10 นาที ทำไมจะคอยไม่ได้เล่า อ๊ะ...โอ๊ย!” พริกหวานหลุดร้องหน้าเบ้

    เมื่อยัยตัวดีโดนดรุณีสวยน่ารักข้างกายอย่างคุณหนูรักปาย แอบใช้ปลายนิ้วหยิกขยุ้มเนื้อตรงหลังเอว ก่อนเจ้าของฟาร์มร่างพริ้มจะโน้มเข้าไปกระซิบประชดข้างหูเพื่อนสนิทว่า “หึ! ตาดีนักนะ...คุณพริกหวาน”

    ทว่าเสียงแขวะค่อย ๆ ของคุณหนูรักปาย กลับถูกขัดจังหวะด้วยเสียงหญิงลูกครึ่งตรงชานเรือนว่า “เมื่อกี้คุณพริกเป็นอะไรรึเปล่าคะ?!

    คราวนี้...สาวน้อยปากเก่งอย่างพริกหวานเลยออกอาการแหย ๆ ตอนหันมาปฏิเสธแขกของฟาร์มว่า “อะ...อ๋อ แหะ ๆ ไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณพระพาย อ่า...พอดีว่า  มดคันไฟแถวนี้มันเย๊อะเยอะน่ะค่ะ เมื่อกี้มันก็แอบมากัดตรงเอวพริกเนี่ย...เจ๊บเจ็บ แหะ ๆ ๆ จริงไหมคะ...คุณหนูรัก”

    ไม่พูดเปล่า พริกหวานสาวหน้าอ่อนผมหน้าม้าสั้นแค่คางยังทำหน้าทะเล้นใส่แม่มดคันไฟตัวจริง ส่วนรักปายนั้นอดหมั่นไส้ยัยลูกน้องตัวแสบที่ควบตำแหน่งเพื่อนรักไม่ได้ เลยได้แต่เม้มปากผินหน้างอนไปทางอื่นแทน

    ฮื่อ...ยัยพริกบ้า! จะไม่รู้มันสักเรื่องได้มั้ยเนี่ย ชิ! งอนแล๊ว (>///<)

    ด้านพรพระพายที่ยังยืนตรงชานกระท่อม ถึงกับแย้มพรายน้อย ๆ อย่างสมใจ กับท่าทางลับลมคมในของสองสาวด้านล่าง ซึ่งเธอคาดเดาว่า

    สิ่งที่สองหญิงสาวซุบซิบกันนั้น...สาเหตุน่าจะมาจากเธอเป็นแน่แท้

    และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง...งานของเธอจะได้เสร็จสิ้นในเร็ววัน

    แล้วเมื่อถึงเวลานั้น...เธอจะได้กลับไปแก้แค้นคนทรยศให้สาแก่ใจ!

    ให้รู้ไปว่า อำนาจเงินตรานั้น...มันยิ่งใหญ่คับฟ้าขนาดไหน

    จะหว่านเงินให้ผู้หญิงสักกี่ร้อยกี่พันคนยอมสยบแทบเท้า...ก็ยังได้!!!

    ซึ่งความคั่งแค้นที่อัดแน่นในใจพรพระพาย เปรียบเสมือนภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นซ่อนอยู่ใต้ธารธาราหิมาลัย รอวันระเบิดไฟบรรลัยกัลป์รุนแรงมหาศาล ทำให้ผู้มีใจเจ็บแค้นอาฆาตหลงลืมว่า หายนะแห่งเพลิงพิโรธนั้น  มันสามารถเผาผลาญหลอมเหลวทุกสิ่งอย่าง ไม่เว้นแม้กระทั่ง...ตัวมันเอง!

     

    เอ๊กอิเอ๊ก...เอ๊ก เอ๊กอิเอ๊ก...เอ๊กกกก...

    เสียงไก่โก่งคอขันแว่วกระชั้นส่งสำเนียงหวานก้องไกล ต้อนรับ แสงเงินแสงทองยามรุ่งสางอันแสนสงบเรียบง่าย ตามด้วยเสียงทุ้มกังวานน่าเลื่อมใสของท่านเจ้าอาวาสที่สวดให้พรหลังรับบิณฑบาตจากสามดรุณีว่า

    “อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฒาปะจายิโน

    จัตตาโร ธัมมาวัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พลัง”

    หลังเจ้าอาวาสวัยเกือบ 70 สวดคาถาให้พร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบทให้พรยะถา สะพี ที่แปลว่าพรทั้งสี่ประการคือ อายุ วรรณะ สุขะ พะละ ย่อมเจริญแก่ผู้มีปกติกราบไหว้ และเคารพต่อผู้ใหญ่เป็นนิจ

              ภิกษุสงฆ์แก่พรรษาน่าเลื่อมใสเงยหน้ามองสามสาวต่างสไตล์ที่เพิ่งลุกยืน หลังนั่งพนมมือรับพร โดยสตรีสวยน่ารักผิวสีน้ำผึ้งรวบผมยาวที่ยืนยิ้มละไมอยู่ตรงกลาง ท่านเห็นมาแต่อ้อนแต่ออก บัดนี้เติบใหญ่กลายเป็นเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์คนใหม่ที่จำต้องแบกรับภาระหนักด้วยวัยเพียง 21 ปี

    ท่านจึงโอภาปราศรัยอย่างเป็นกันเองด้วยน้ำเสียงเนิบช้าตามวัยว่า

              “เป็นไงบ้าง...สีการัก ทำใจเรื่องพ่อแม่ได้แล้วรึยัง?

              รักปายพนมไหว้ท่านเจ้าอาวาส ซึ่งเพิ่งหายจากอาการอาพาธได้  ไม่นาน ก่อนทอดยิ้มอ่อน ๆ แฝงแววเศร้าสร้อย ตอบด้วยเสียงอ่อนน้อมว่า

              “เรื่องนั้น...รักทำใจได้แล้วล่ะค่ะหลวงปู่ พวกท่านไปสบายแล้ว”

              “อืม...ดีแล้วล่ะโยม เพราะบนโลกนี้...ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่จะหนีความตายพ้น แม้กระทั่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉะนั้นจงรีบทำแต่กรรมดีเถิดซึ่งจิตกุศลอันดีเหล่านั้น จะส่งให้โยมพบแต่ความสุขความเจริญ”

              หญิงพักตร์พริ้มเจ้าของฟาร์มยิ้มรับคำท่านภิกษุที่เลื่อมใสศรัทธา ทั้งพยายามปรับน้ำเสียงและแววตาให้สดชื่น แล้วเลือกที่จะเอ่ยเจตนารมณ์ซึ่งตนเคยให้สัจสัญญากับบุพการี ตอนทำบุญวันเกิดอายุ 20 เมื่อปีที่แล้วว่า

              “ค่ะ...หลวงปู่ แล้วต่อไป...รักจะหมั่นทำนุบำรุงพุทธศาสนาเหมือนอย่างที่คุณพ่อคุณแม่ ท่านเคยอุทิศตนเป็นโยมอุปัฏฐากด้วยค่ะ”

              ครั้นได้ยินเช่นนั้น พรพระพายที่ยืนฟังเงียบ ๆ ทางฝั่งขวามือของรักปาย ได้เผลอคิดถึงคำสนทนาระหว่างเธอกับคุณปู่นาคา ที่แวบเข้ามาว่า

              เมื่อกี้ที่ถามว่า ทำไมปู่ไม่จ้างนายหน้าที่มีชั้นเชิงประสบการณ์ให้ไปติดต่อซื้อฟาร์มนี้ใช่มั้ย หึ ๆ หลานไม่รู้อะไร...ครอบครัวนี้มันเป็นพวกชอบสร้างภาพขนาดไหน โดยเฉพาะลูกสาวมันที่ชื่อรักปาย ต่อหน้าใคร ๆ ก็เล่นบทคุณหนูใสซื่อ แต่ลับหลังสิ...ฉลาดเป็นกรด มีลูกล่อลูกชนสารพัดถอดแบบมาจากพ่อแม่มันที่เพิ่งตกเครื่องบินตาย พร้อมพ่อ...

              คุณปู่นาคาเริ่มใส่อารมณ์กับเรื่องที่พูด แต่จำต้องชะงักคำไว้แค่นั้น เมื่อหลานสาวในไส้วัย 26 เงยขึ้นมาสบตากับเขาแน่วนิ่ง ดูน่าเกรงในที

    แค่นั้นก็ทำให้ปู่นาคาจำต้องเลี่ยงประโยคที่ค้างไว้ว่า

              ของ...อ่า...ก็...ก็นั่นล่ะ เอ่อ...เอาเป็นว่า ปู่เคยจ้างให้นายหน้าไปขอซื้อกิจการมันแล้ว แต่ไอ้น้ำปายมันคงกลัวเสียศรัทธาจากไอ้พวกขี้ข้าที่รับใช้กันมานานล่ะมั้ง  ต่อหน้า...มันเลยแกล้งปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่ขาย ๆแต่ลับหลัง...มันก็แอบมาโขกราคากับปู่เอง อ้อ...อีกอย่างนะไอ้พวกบ้านนี้ มันเป็นประเภทชอบทำบุญบังหน้า แกล้งใจดีทุ่มเงินบริจาค ตระเวนทำซุ้มประตูวัดเล็ก ๆ ไปทั่วเพื่อจะจารึกชื่อไว้ไง แต่ความจริงมันต้องการโปรโมตห้างขายสังฆภัณฑ์แบบครบวงจรที่มันมีหุ้นส่วนต่างหาก ถ้าไม่เชื่อก็ดูดีนี่สิ

              คุณปู่นาคาว่าพลางยื่นสำเนาชื่อผู้ถือหุ้นให้เธอ ซึ่งตรวจดูคร่าว ๆ ก็พบว่า ห้างสังฆภัณฑ์แบบครบวงจรนี้ มีคุณน้ำปายและภรรยาร่วมหุ้นอยู่แค่ 15% และน่าจะเป็นการซื้อต่อจากพี่น้องในตระกูลนั้นได้ไม่ถึงปีด้วยซ้ำ หากคิดจะสืบค้นข้อมูลในเชิงลึก คงต้องใช้เวลา

    หากแต่ว่าสิ่งที่เธอคิดคือ...ผู้หญิงสวยน่ารักผิวสีน้ำผึ้งในรูปที่เธอถือดูอยู่นี้ ซึ่งในภาพ...รักปายกำลังยืนยิ้มร่ามีความสุข ท่ามกลางอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของพ่อแม่ จะเป็นคนหน้าซื่อใจคดเหมือนอย่างที่คุณปู่ว่าหรือไม่

    ที่ต้องคิดเช่นนี้ เพราะเธอรู้ซึ้งถึงแก่นที่ว่า รู้หน้าไม่รู้ใจ! ซะแล้ว

    ขนาดคนที่เธอเคยมั่นอกมั่นใจว่า สามารถตายแทนกันได้ พวกเขาสองคนยังคิดคดทรยศให้เธอตายทั้งเป็นได้อย่างเลือดเย็น!

    ก่อนห้วงภวังค์ของพรพระพายจะจมดิ่งอยู่ในอารมณ์เคืองแค้นน้ำเสียงเนิบนาบมากเมตตาของท่านเจ้าอาวาสที่เจรจาตอบรักปายแว่วเข้ามาว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง...อาตมาก็ขออนุโมทนา...ในกุศลจิตอันดีงามของโยมรักด้วย อือ...ว่าแต่...สีกาท่านนี้เป็นใครกัน อาตมาเพิ่งเคยพบหน้า”

    รักปายเผลอสบตาคม ๆ ของหญิงลูกครึ่งหน้าเรียวรูปไข่ กระนั้นเธอต้องรีบเสสายตาเพราะจู่ ๆ ดันเขินขึ้นดื้อ ๆ แล้วหันไปตอบพระท่านว่า

    “อะ...อ๋อ...เอ่อ...นี่...นี่คุณพระพายค่ะ เธอเป็นนักท่องเที่ยวจากกรุงเทพฯ ที่สนใจอยากจะหันมาทำงานเกษตรดูบ้างน่ะค่ะหลวงปู่”

    สิ้นคำบอกเล่าของรักปาย หลวงปู่ได้หันมาเพ่งพิศสตรีร่างสูงสง่าผิวขาวลออตา ผมน้ำตาลซอยสไลด์เคลียต้นคออย่างคนเมือง ก่อนท่านจะย้อนดวงตากลับมาอ่านความหมายสุดลึกล้ำเรียบนิ่งในนัยน์ตาสีกาแฟนั้น แล้วเอ่ยกับหญิงที่ชื่อพระพาย ด้วยเสียงอ่อนโยนเปี่ยมล้นไปด้วยเมตตาว่า

    “ไม่มีสิ่งใด...ที่จะยากเกินความตั้งใจของมนุษย์หรอกโยมพระพาย เพียงใช้ความเพียรเป็นที่ตั้ง แล้วทุกสิ่งทุกอย่าง...จะประสบผลสำเร็จ”

    “เจ้าค่ะ...หลวงปู่” พรพระพายแย้มพรายน้อย ๆ ก้มหัวพนมไหว้

    ทว่าโบรกเกอร์สาวนัยน์ตาฝรั่งที่ตั้งใจแฝงตัวเข้ามาถึงกับสะดุดกึกในใจ เมื่อเงยขึ้น แล้วท่านพูดต่อว่า “หากสิ่งที่โยมกระทำ...คือสิ่งที่ดีงาม

    เพียงเท่านี้ สตรีที่มีชนักติดหลังก็จ้องลึกเข้าไปในแววตาพระภิกษุ ค้นความนัยที่อาจซ่อนเร้นในวาจา ทว่ามีแค่แววกรุณาในดวงตาที่ทอดมอง

    ฉับพลันเสียงแหลมใสของสาวแก่นเซี้ยวปกาเกอะญอก็แทรกขึ้นว่า

    “หลวงปู่จ๊ะ...หลวงปู่...ขอพรให้สีกาพริกหวานคนนี้บ้างสิค้า”

    เสียงแจ๋ว ๆ นั้น ทำให้ท่านเจ้าอาวาสต้องหันไปสัพยอกอย่างเอ็นดูกับสาวน้อยหน้าผ่องที่เห็นตั้งแต่แบเบาะว่า “หึ ๆ อย่างโยมพริกหวานน่ะ อาตมาว่า แค่เจื้อยแจ้วให้น้อยลง ก็ถือเป็นการทำบุญต่อผู้อื่นได้แล้วล่ะ”

    “ฮื่อ...หลวงปู่อ่ะ ว่าพริกพูดมากอีกแล้วน้า...งอนแล๊ว”

    พริกหวานค่อนว่าหน้ามุ่ย ฝ่ายเจ้าอาวาสได้แต่คลี่ยิ้มละไมอย่างเอ็นดูเสมือนลูกหลาน ก่อนจะค่อย ๆ ย่างเท้าจากไปด้วยท่าทีสุขุมเยือกเย็น ปล่อยให้สามอนงค์ใส่บาตรพระลูกวัด และเณรน้อยที่เดินตามอีกหลายรูป ซึ่งบรรยากาศดี ๆ ในเช้าวันนี้ ทำให้รักปายรู้สึกเบาสบายในหัวใจเหลือเกิน

    ช่างต่างกันกับความผิดชอบชั่วดีที่กำลังตีกันนัวในใจพรพระพาย ซึ่งมองตามหลังเหล่าภิกษุสงฆ์ที่เดินเรียงแถวบิณฑบาตกันไปตามดินลูกรัง คำพูดของพระอาวุโสรูปนั้นยังคงก้องในสมอง ให้หวนนึกถึงสิ่งที่ตัดสินใจทำ ความรู้สึกของเธอคงเหมือนสำนวนที่ว่า สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ!

    ทันใดนั้น...อีกใจกลับแย้งว่า แล้วพวกที่ทรยศหักหลังเธอล่ะ...

    มันก็สมควรกันแล้วไม่ใช่เหรอะ ที่สองชู้รักนั่นต้องได้รับบทเรียนราคาแพงว่า ความรู้สึกของคนตกนรกทั้งเป็นนั้น...มันเลวร้ายเยี่ยงไร!

    พลันรอยยิ้มสดใสบริสุทธิ์ของรักปายที่ยืนเคียงกายพรพระพาย  ได้กลายเป็นภาพซ้อนทับของสาวไทยหน้าสวยหวานเรียบร้อยที่ชื่อน่ารัก    ไม่เหมือนใครว่า บัวบูชา กำลังยืนหว่านยิ้มหวานโปรยเสน่ห์เคลือบยาพิษ   มาทางเธอ และห้วงนาทีที่เพลิงแค้นกำลังคุอยู่ในหัวโบรกเกอร์สาวนั้นเอง เสียงแจ่มใสนี้ได้ทลายกำแพงใจเข้ามาว่า “คุณพระพาย...คุณพระพายคะ”

    “.....!!?” แค่สตรีผู้ถูกเรียกขานกะพริบตา ภาพรอยยิ้มแฝงเล่ห์ของบัวบูชาได้อันตรธานไป กลายเป็นวงหน้าสาวน้อยนัยน์ตาใสซื่อที่ชื่อรักปาย

    อย่างไรก็ดี ไม่ทันที่รักปายจะได้บอกเล่ากิจกรรมสร้างความสุขโดยไม่ต้องใช้เงินสักบาทในวันนี้ให้สาวลูกครึ่งฟัง ลุงกระถินก็รีบซิ่งมอเตอร์ไซค์เข้ามาเสียงดังบรืนนน!!! ร้องหน้าตาตื่นแต่ไกลว่า “คุณหนูคร้าบ...คุณหนู!

    แม่ลูกสาวตัวดีที่ยืนข้าง ๆ คุณหนู อดแกว่งปากแซวบิดาไม่ได้ว่า

    “อะไรกันจ๊ะพ่อจ๋า...ร้องหาคุณหนูแต่เช้าเชียว คราวนี้เจ้าตัวไหนจะตกลูกอีกล่ะพ่อ โน่นไง...สัตวแพทย์มือหนึ่งของฟาร์มเรามาพอดี”

    พริกหวานบุ้ยปากไปทางด้านหลังที่ สพ.ญ.น้ำขิงกำลังปั่นจักรยานแม่บ้าน มาตามทางดินลูกรังในเขตฟาร์ม แต่กลับโดนผู้เป็นพ่อเอ็ดว่า

    “บ๊ะ...ไอ้นี่! มัวแต่เล่นอยู่นั่นล่ะ นี่มันความเป็นความตายนะโว้ย”

    “มีอะไรแต่เช้าจ๊ะลุงถิน?” รักปายแทรกถามอย่างสงสัย

    “คืองี้ครับคุณหนู เมื่อครู่ท่านรองสารวัตรแผ่นดินโทร.มาแจ้งว่า เจอคุณป้องที่หายตัวไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะครับ”

    “ที่ไหนคะ?!” รักปายถามโดยไม่คิดว่าสิ่งที่ได้ฟัง จะทำให้เธออึ้ง!

    “ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลปายครับ คือคุณตาที่พบ แกเล่าให้ฟังว่าเมื่อเช้ามืดระหว่างที่แกกำลังขี่มอไซค์มาดี ๆ จู่ ๆ คุณป้องแกก็โผล่พรวดออกมาจากป่าข้างทาง เป็นลมสลบกลางถนน เนื้อตัวงี้ถูกซ้อมซะเละเชียว และช่วงที่ตาแกกำลังเงอะ ๆ งะ ๆ ก็โชคดีว่า รถท่านรองสารวัตรแผ่นดินผ่านไปทางนั้นพอดี แล้วจากการสันนิษฐานเบื้องต้น น่าจะเป็นการทำร้ายร่างกายเพื่อชิงทรัพย์น่ะครับ เพราะพอเข้าไปตรวจบริเวณป่าหญ้าแถวนั้น ก็พบรถกระบะฟาร์มเราถูกยิงจนพรุนจอดอยู่ ตรงล้อมีตะปูเรือใบปักเพียบ แต่จะทำยังไงกันดีล่ะครับคุณหนู ทั้งเงินเดือนคนงานและค่าใช้จ่ายในฟาร์มที่คุณป้องแกเพิ่งไปเบิกจากธนาคารเมื่อเย็นวาน...ถูกขโมยซะเกลี้ยงเลย”

    สาวเจ้าของฟาร์มถึงกับตะลึงงันชั่วครู่ ก่อนจะตั้งสติและบอกว่า

    “เรื่องเงินน่ะ...ช่างมันก่อนเถอะค่ะลุงถิน โชคดีเท่าไหร่แล้ว...ที่มันไม่โหดเหี้ยมถึงขนาดฆ่าแกงกันตาย ยังไง...ลุงถินอย่าเพิ่งเล่าอะไรให้คนงานฟังนะคะ เดี๋ยวจะตกใจกันไปใหญ่ รอให้รักกลับจากเยี่ยมอาป้องที่โรงบาลก่อน แล้วขากลับ...รักจะแวะไปเบิกเงินที่ธนาคารมาจ่ายให้คนงานเองค่ะ”

    สั่งความเสร็จ รักปายก็หมุนตัวไปทางกระบะออฟโรดสีน้ำตาลทองของเธอที่จอดข้างถนน แต่เสียง ๆ นี้ได้ร้องตามว่า “ให้พริกไปด้วยสิคะ”

    กระนั้นเหาฉลามพริกหวานต้องหน้าม่อย เมื่อคุณหนูรักปายหันมาปฏิเสธว่า “ฮื่อ! ไม่ต้องหรอกพริก เธออยู่ที่นี่แหละ เพราะเดี๋ยวสาย ๆ จะมีคณะผู้ตรวจรับรองมาตรฐานฟาร์มจากกรมฯ มาไม่ใช่เหรอะ ยังไงพริกช่วยดูแลทางนี้แทนรักจะดีกว่า ไปก่อนนะ...ไว้มีอะไร เดี๋ยวรักจะโทร.มาอีกที”

    พูดเสร็จ สาวน้อยเจ้าของปศุสัตว์ที่เป็นผู้ใหญ่เกินวัยรีบก้าวขึ้นไปนั่งเบาะฝั่งคนขับ เตรียมสตาร์ตกระบะออฟโรด แต่จำต้องชะงักมือที่กำลังบิดกุญแจ เมื่อแขกของฟาร์มที่ยืนฟังเงียบ ๆ มานานร้องเรียกไว้ก่อนว่า

    “เดี๋ยวค่ะคุณรัก! พี่ขอไปด้วยคนสิคะ เผื่อจะช่วยอะไรคุณได้บ้าง”

    “เอ่อ...งั้น...เชิญขึ้นรถเลยค่ะ”

    สิ้นคำอนุญาต สาวมาดเท่พรพระพายกระโดดขึ้นไปนั่งข้างกันกับหญิงเจ้าของฟาร์ม จากนั้นรถออฟโรดแล่นออกไปพลัน ส่วนลุงกระถินนั้น ขี่มอเตอร์ไซค์ไปอีกทางเพื่อดูแลคนงานตามปกติ ซึ่งไม่กี่นาที...สัตวแพทย์หญิงน้ำขิงได้ปั่นจักรยานสไตล์แม่บ้านสีตุ่น ที่ยืมจากป้ามะเฟืองมาถึงพอดี

    สาวแกร่งร่างสูงโปร่งหน้าตาคมเข้ม ผิวสองสีที่มัดผมยาวตรงไว้กลางหลังดูติส ๆ เซอร์ ๆ เหมือนจิตรกรมากกว่า มองตามรถออฟโรดของรักปายอย่างสงสัย ก่อนจะหันมาถามยัยแสบพริกหวานที่ชะเง้อชะแง้ว่า

    “นี่ยัยพริกกะเหรี่ยง คุณรักขับรถไปไหนกับคุณพระพายแต่เช้าน่ะ เพิ่งจะตักบาตรกันเสร็จไม่ใช่เหรอะ”

    แค่ได้ยินคำเรียกขานสุดบาดหูของรุ่นพี่คู่กัด พริกหวานได้หันไป แสร้งยวนตามสไตล์ว่า “เอ...สงสัยว่า คุณหนูจะรีบไปกรวดน้ำคว่ำขันให้ใครบางคนแถวนี้ล่ะมั้ง ตามติดเก่งซะเหลือเกินนี่”

    “เธอว่าใครยัยพริกกะเหรี่ยง...แห้ง!

    แดกดันคำว่า แห้ง ต่อท้ายให้รุ่นน้องคู่กัดที่หุ่นดูตรง ๆ ทื่อ ๆ อย่างกับไม้กระดานเจ็บใจเล่น พริกหวานที่ถูกกระแนะกระแหนยิ่งยั่วต่อว่า

    “เปล๊า...ใครจะกล้าไปว่าสัตวแพทย์คนเก่งของฟาร์มเราล่ะค้า”

    หน็อย...แต่หน้าตาเนี่ยสิ สวนกับคำพูดชะมัดยาด

    และยิ่งยัยรุ่นน้องจอมกวนหันมาเห็นตรงตะกร้าหน้าจักรยานที่เธอยืมมา ว่ามีถุงข้าวสารอาหารแห้งชุดเล็กที่เตรียมใส่บาตร เพราะเธอเพิ่งรู้จากป้ามะเฟืองเมื่อสิบห้านาทีว่า สามสาวเขามารอตักบาตรกันหน้าฟาร์ม

    เหอะ ๆ แต่ตอนนี้...เธออยากจะเปลี่ยนใจหันมาทำบาป ด้วยการบีบคอยัยแสบนี่จริง ๆ เมื่อได้ยินเสียงกระแดะ ๆ เสียดสีสุด ๆ ว่า

    “อุ๊ย...ต๊ายล่ะ...พี่หมอน้ำขิงขา นี่เตรียมของมาใส่บาตรด้วยหรือคะแหม...แต่อย่างว่านะคะ...มัวแต่ถีบจักรยานกินลมชมวิว ช้าเป็นเต่าล้านปีแบบนี้ มันก็เลยสายโด่งเด่ง พระเพอะที่ไหนท่านจะคอยได้ล่ะ คิก ๆ อืม... นี่ยังดีน้าที่เป็นพวกของแห้ง ไม่งั้นล่ะก็...เสียของแย่เลย ฮ่า ๆ”

    หึ..กวนดีนักใช่ม่ะ! ได้...จัดป่ะ คิดได้ดังนั้น สพ.ญ.น้ำขิงซึ่งเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันตั้งแต่โรงเรียนสตรีปายมองบลังค์ ยันมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เลยจัดการกระชากร่างยัยเด็กปากจัดยิ่งกว่ากรรไกรโรงพยาบาล จงใจให้ก้นเล็ก ๆ บาง ๆ นั่น กระแทกกับเบาะซ้อนท้ายจักรยานแข็ง ๆ มันซะเลย  

    เสียงแหลม ๆ ของหญิงปกาเกอะญอที่ถูกกลั่นแกล้ง แว้ดทันทีว่า

    “โอ๊ยพี่หมอ! พริกเป็นคนนะ...ไม่ใช่วัวใช่ควาย จะได้ฉุดกระชากแขนกันแทบหลุดยังงี้ เบา ๆ น่ะเป็นม่ะ” พริกหวานต่อว่าเสียงฉุน

    แทนที่สัตวแพทย์หญิงจะขอโทษขอโพย เจ้าตัวกลับถีบรถจักรยานออกไปดื้อ ๆ ดรุณีแน่งน้อยผิวขาวเหลืองซึ่งไม่ทันตั้งตัว เกือบหล่นปุ๊ตกจากจากเบาะซ้อน โชคดีที่คว้าเอวสาวคนขี่ไว้ได้ทัน แต่ไม่วายร้องเสียงหลงว่า

    “โอ๊ะ ๆ! พี่หมอบ้า พริกเกือบจะหล่นอยู่แล๊ว จะรีบไปไหนเนี่ย”   

    “หึ! ก็จะรีบพา ตุ๊กตาเสียกบาล ไปทิ้งไว้ที่วัดน่ะสิ...ถามมาได้”

    “อ๊ายยย...ยัยพี่หมออออ...บ้า!!! จอดเดี๋ยวนี้น้า”

    เสียงแปดหลอดของพริกหวานดังลั่น พร้อมกับการต้องรีบกอดซบแผ่นหลังคนช่างแกล้งให้แน่นขึ้น เพราะเขาเล่นปั่นจักรยานซะเร็วราวจรวด

    ยิ่งเสียงกรี๊ดกร๊าดดังเท่าไร รอยยิ้มสาแก่ใจยิ่งฉายชัดเต็มใบหน้าสัตวแพทย์สาวขี้แกล้ง ก่อนจะเหน็บยัยแจ๋นพริกหวานต่อว่า

    “จุ๊ ๆ อย่ากรี๊ดดังไปสิพริก เดี๋ยวชาวบ้านชาวช่องแถวนี้ได้ยินเข้า เขาจะตกใจเอา นึกว่า เปรต มาขอส่วนบุญแต่เช้าน้า”

    “กรี๊ดดดด...!!! หมอปากหมา...ปล่อยเค้าเดี๋ยวนี้น้า!!!

    จากนั้น...ตลอดทางที่สัตวแพทย์หญิงเมืองย่าโมปั่นจักรยานไปทำบุญที่วัด เสียงต่อล้อต่อเถียงระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้อง ก็ดังเป็นระยะไม่ได้ขาด

    เฮ้อ...จะมีวันไหนไหมน้า...ที่แม่พริกหวานรสจัดจ้านเม็ดนี้จะยอมญาติดีกับคุณหมอน้ำขิงสุดเผ็ดร้อน หรือต้องรอถึงชาติหน้า

    เหอ ๆ กรรมใครกรรมมันล่ะงานนี้! ( - -*)

     

    ส่วนอีกคู่ที่มุ่งหน้าไปทำธุระกันนั้น บัดนี้...พรพระพายที่ขันอาสาขับกระบะออฟโรดสีน้ำตาลทองแทน ได้แล่นออกจากโรงพยาบาลปายมุ่งไปยังธนาคารในเวลาสิบเอ็ดโมงกว่า โดยไม่มีข้าวตกถึงท้องสักเม็ดตั้งแต่เช้า

    อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พรพระพายครุ่นคิดเงียบ ๆ ขณะขับ กลับเป็นบทสนทนาตอนหนึ่งระหว่างผู้พิทักสันติราษฎร์หนุ่มมาดดีวัย 30 ต้น ๆที่ชื่อรองสารวัตรแผ่นดิน กับคุณปกป้อง...หนุ่มใหญ่ท่าทางตุ้งติ้งวัย 50 กว่า ๆ ซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกบัญชีและการเงินของฟาร์มรักปาย คำพูดเหล่านั้นคือ

    อืม...ถ้าคุณป้องอาการดีขึ้นแล้ว คุณป้องพอจะให้การเพิ่มเติมได้มั้ยครับว่า ตอนที่คุณขับรถมาถึงจุดเกิดเหตุ เป็นเวลาสักกี่โมง

    สี่ทุ่มกว่า ๆ เห็นจะได้ คนถูกซ้อมหน้าเขียวช้ำตอบโดยไม่ลังเล

    แล้วยังไงครับ ตำรวจหนุ่มซัก พลางมองผู้คุ้นเคยด้วยแววเวทนา

    คือ...หลังผมออกมาจากงานเลี้ยงรุ่นที่โรงเรียนปายวิทยาคารเสร็จ พอมาถึงจุดเกิดเหตุ จู่ ๆ ก็เหมือนล้อรถเหยียบโดนอะไรเข้า ผมเลยจอดรถจะลงไปดู แต่แล้วก็มีมอไซค์เสียบเข้ามาขวางไว้ มันคลุมหัวเป็นไอ้โม่งใส่ชุดดำทั้งตัว ชักปืนขึ้นมาขู่ บอกให้ผมเอาของมีค่ามาให้หมด ตอนนั้นผมคิดแต่จะปกป้องไม่ให้มันเอาเงินสด 5 แสนของฟาร์ม ที่เพิ่งเบิกจากธนาคารไป  ผมเลยตัดสินใจขับหนีเข้าไปในป่า แต่มันยังขี่ตามมา แถมยิงปืนใส่รถจนหมดแม็ก ซึ่งก็พอดีกับที่รถผมแล่นต่อไปไม่ได้ ผมเลยต้องวิ่งหนีเอาตัวรอด แต่โดนมันกระชากเข้าไปซ้อมจนสลบ พอฟื้นขึ้นมา ก็พบว่าทั้งเงิน 4 พันในกระเป๋ากางเกงและสร้อยทองหนัก 3 บาทก็หายไป ผมเลยพยายามลากสังขารออกจากป่า แต่ดันหน้ามืดเป็นลมกลางถนนนั่นล่ะครับท่านรองฯ

    ตลอดคำให้การของคุณปกป้อง ฟังดูน่าเชื่อถือ แต่ที่มันแปลกคือ...

    ข้อแรก...หลังจากให้การเสร็จ...คุณปกป้องไม่ได้ถามถึงซองเงินสด 5 แสนบาทที่เก็บไว้ในรถกระบะ ว่ายังอยู่ดีหรือไม่

    ข้อสันนิษฐานต่อมาคือ ทำไมคนร้ายต้องกระหน่ำยิงปืนใส่รถจนหมดแม็กด้วย ทั้งที่น่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่า ล้อรถที่ถูกตะปูเรือใบปักซะขนาดนั้น  ขับไปได้แค่ไม่กี่ร้อยเมตร ก็จอดสนิทแล้ว

    และสิ่งสำคัญอีกข้อคือ โชคดีที่เธอเริ่มสังเกตตั้งแต่แรกว่า นับแต่รองสารวัตรแผ่นดินก้าวเข้ามาในห้องคนไข้  ดวงตาสงบนิ่งของคุณปกป้องเอาแต่จับจ้องเขา ที่กำลังรายงานผลความคืบหน้าจากการตรวจสอบพื้นที่โดยรอบที่เกิดเหตุให้คุณหนูรักปายฟัง และพอตำรวจหนุ่มหันมาซักถามเพิ่มเติมกับผู้เสียหายอย่างคุณปกป้อง พฤติกรรมหัวหน้าแผนกบัญชีที่หน้าตาปูดบวมก็เปลี่ยนไป  โดยเฉพาะอาการสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เหมือนตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง จากนั้นคุณปกป้องที่เพิ่งผ่านเรื่องเลวร้ายมาได้ ก็เปิดฉากเล่าเรื่องนาทีระทึกใจให้รองสารวัตรแผ่นดินฟังอย่างลื่นไหล

    ถึงเช่นนั้นภาษากายของคุณปกป้อง กลับเผยธาตุแท้ออกมาจนหมดเปลือก ทั้งเท้า ลำตัว แขน มือ และใบหน้า นั่นเพราะสมองส่วนลิมบิกซึ่งเป็นอวัยวะที่ซื่อสัตย์ที่สุดในร่างกายของมนุษย์ มันจะตอบสนองแบบฉับพลันทันใดโดยปราศจากการคิดไตร่ตรอง ไม่ว่าจะเป็นอาการเผลอจับ ลูบคอ หรือการถูฝ่ามือบ่อยขึ้น และแรงขึ้น ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนว่า...

    คำถามนั้นสร้างความอึดอัดใจให้ผู้ตอบอย่างเขา!

    นั่นอาจเพราะคุณปกป้องรู้ตัวดีว่ากระทำความผิด หรือกำลังพูดโกหก รึอาจเป็นเพราะรองสารวัตรแผ่นดินเข้าใกล้สิ่งที่เขาไม่อยากจะพูดถึง

    ซึ่งถ้าหากเธอไม่ได้สนใจที่จะศึกษาการอ่านภาษากายมาก่อนล่ะก็.. เธอคงปล่อยให้เรื่องเล็กน้อยผ่านไปด้วยความสงสารเห็นใจ เหมือนท่านรองสารวัตรแผ่นดิน แต่ด้วยภารกิจที่เธอต้องแทรกซึมเข้าไปอยู่ในตำแหน่งสำคัญของฟาร์มรักปาย เธอจึงต้องสังเกตคนที่คุมตำแหน่งนี้มากเป็นพิเศษ

    อย่างไรก็ตาม ข้อสันนิษฐานทั้งหลายแหล่...ต้องเก็บเป็นความลับ!

    ด้วยคติที่ว่า อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น! เพราะบางที...งูเกย์เฒ่าตัวนี้อาจจะเลื้อยแหวกทางให้เธอเข้าถึงใจกลางแห่งความสำเร็จก็เป็นได้

    หึ ๆ Thank you 3 times ล่วงหน้านะค้าคุณอาป้อง  

    จู่ ๆ เสียง ๆ นี้ กลับทำลายภวังค์ของพรพระพายไปทั้งหมด

    โครกกก...พรพระพายหันไปตามเสียงนั้น ก็พบกับใบหน้าเหย ๆ แกมอาย ๆ  ของรักปาย ที่กำลังลูบท้องตัวเอง ก่อนเจ้าตัวจะเอ่ยค่อย ๆ ว่า

    “ขะ...ขอโทษค่ะ ส...เสียงดังไปหน่อย” ส่วนในใจรักปายยิ่งคิด  อับอายว่า อั๋ย...เจ้าท้องไม่รักดี มาร้องอะไรตอนนี้ ฉันอายเขาน้า (>///<)

    ฝ่ายสาวเท่ลูกครึ่งไทย-เดนมาร์กที่ชินกับการทานข้าวไม่ตรงเวลา เลยยิ้มขันกับอาการน่ารัก ๆ ของผู้โดยสารด้านข้างที่พวงแก้มออกสีระเรื่อ จึงหันมาสัพยอกอย่างเอ็นดูว่า “หึ ๆ ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณรัก ก็ร่างกาย...มันโกหกไม่เป็นนี่คะ เลยประท้วงกันซะดังเชียว อือ...พี่ว่า เดี๋ยวเราแวะทานข้าวกันก่อน แล้วค่อยไปแบงก์ดีกว่ามั้ย อย่าลืมสิคะว่า กองทัพต้องเดินด้วยท้องน้า เอ...แล้วแถวนี้มีร้านไหนอร่อย ๆ ไหมคะ?

    “อ่า...มีค่ะ เลยแยกนี้ไปไม่ไกล”

    อาการพูดไปหลบตาไปอย่างเอียงอายนั้น ทำให้พรพระพายเผลอเอ็นดูสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มคนนี้นัก และถ้าไม่มีเหตุที่ทำให้ตะขิดตะขวงใจอะไรกัน เธอก็อยากได้น้องสาวสวยน่ารักแบบนี้บ้าง ดังนั้นพรพระพายจึงทำตัวเป็นพี่ที่ดี ด้วยการหาเรื่องชวนคุยให้หญิงหน้าใสวัย 21 ฟังพลาง ๆว่า

    “อืม...คุณรักเคยได้ยินไหมว่า การคบนักบัญชี...ช่วยให้อายุยืน

    “เอ๋จริงหรือคะ?” ดวงตากลมดิกสีน้ำตาล ดูใสซื่อบ้องแบ๊วมาก

    “หึ ๆ จริงสิคะ เรื่องมันมีอยู่ว่า มีผู้ป่วยรายนึงไปที่โรงพยาบาล พอตรวจเสร็จ คุณหมอก็บอกว่า...” คนเล่าแกล้งเว้นวรรคเรียกความสนใจ

    “ว่า...” เสียงเล็ก ๆ ของรักปายดูลุ้นเอามาก ๆ

    สาวสวยสมาร์ตอย่างพรพระพายถึงกับหันมายิ้มกว้างทั้งตาทั้งปาก นัยน์ตาเปล่งแสงสดใส ภูเขาไฟใต้น้ำแข็งละลายไปชั่วขณะ ก่อนเล่าต่อว่า  

    “หมอบอกว่า ผมเสียใจที่ต้องบอกกับคุณว่า คุณจะมีชีวิตอยู่ได้อีก 6 เดือนเท่านั้น คราวนี้คนไข้ก็ตกใจหน้าซีดน่ะสิ และถามว่า ผมควรทำไงดีล่ะหมอ ส่วนหมอก็ทำหน้าเคร่ง แล้วตอบว่า อื้ม...เอายังงี้ คุณไปแต่งงานกับนักบัญชีซะ! พอหมอบอกอย่างนั้น คนไข้ก็ถามกลับทันทีว่า ถ้าแต่งแล้วผมจะมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้นหรือครับหมอ ทีนี้...หมอตอบว่ายังไงรู้ไหมคะ?

    “.....??” นารีพักตร์พริ้มส่ายหน้า และรอฟังคำตอบอย่างสนใจ

    โบรกเกอร์สาวเลยยิ้มขำ ก่อนเฉลยให้ฟังว่า “หึ ๆ หมอก็บอกว่า เปล่าหรอกคุณ...แต่มันจะดูเหมือนว่า ชีวิตคุณ...มันนานขึ้นต่างหากล่ะ

    “คิก ๆ ถึงขนาดนั้นเลยหรือคะ อืม...เอ...แล้วนักบัญชีอย่างคุณพระพายนี่ ต้องเล่นมุกเก่งทุกคนหรือเปล่าคะเนี่ย”  

    แม้ปากชมพูของรักปายจะแซวเช่นนั้น แต่สิ่งที่ใจเธอคิดจริง ๆ คือ

    นักบัญชีอย่างคุณพระพายเคยใช้มุกนี้จีบสาวหรือเปล่าน้า อุ้ย! น่ะนี่ฉันคิดอะไรเนี่ย คุณพระพายเขาอาจจะไม่ใช่อย่างนั้นก็ได้ ของอย่างนี้    ดูยากจะตายไป  บางที...คุณพระพายอาจจะเป็นแค่ผู้หญิงสวยเท่ที่ชอบผู้ชายก็ได้ ว้า...เป็นอะไรไปรักปาย ทำไมเธอถึงต้องวุ่นวายใจอย่างนี้นะ ขนาดตอนที่เธอแอบชอบพี่พันตะวัน เธอยังไม่อาการหนักขนาดนี้เลย   

    Puppy Love สมัย ม.2 แวบเข้ามาในหัวรักปายทันที นับแต่วันที่เธอได้ยินว่า เกิดเหตุวุ่นวายในงานแฟนซีเต้นรำฉลองรุ่นพี่ม.6 จบการศึกษา พี่พันตะวันก็โดดขึ้นปกป้องพี่ขวัญพิสุทธิ์ที่ถูกแฟนคลับเขา ปาของใส่จนหางคิ้วแตก ด้วยการจูบ และประกาศเสียงดุว่า ห้ามใครไปรังแกผู้หญิงของเขาอีก จากนั้นเธอก็ไม่เคยได้ยินข่าวคราวพวกเขาอีกเลย นี่ก็ 8 ปีแล้วสินะ

    ป่านนี้พวกรุ่นพี่เขายังคบกันดีอยู่หรือเปล่าน้า?  

    แค่สิ้นคำถามในใจรักปาย จู่ ๆ สปอร์ตจากัวร์เปิดประทุนสีน้ำเงินคันงาม ได้เร่งเครื่องแซงรถออฟโรดของเธอไปข้างหน้า และเพียงเห็นหน้าสวยคมด้านข้างของคนขับคันนี้ โดยข้างกายเขา...ยังมีพี่ขวัญพิสุทธิ์เป็นตุ๊กตาหน้ารถเช่นเดิม ซึ่งเป็นภาพชินตา เวลาเห็นเขาสองคนอยู่ด้วยกันตั้งแต่เรียนสตรีปายมองบลังค์ รักปายลิงโลดถึงกับหลุดเรียกว่า “พี่ตะวัน!”   

    พรพระพายจึงมองตามหลังหญิงขับจากัวร์เปิดประทุนที่แล่นฉิวไปตามถนนลาดยางข้างหน้าด้วยความฉงน ทว่าพอเธอเหลือบมองทางซ้าย พลันลูกหมาจรจัดได้คาบขนมปังที่แม่ค้าทำตกพื้น วิ่งทะเล่อทะล่าออกมากลางถนน พรพระพายร้องลั่นดังเฮ้ย!!! พร้อมเหยียบเบรกดังเอี๊ยดดด…!!!

    ถึงกระนั้นเสียงหวีดร้องของรักปายยังคงลั่นตามมาดังกรี๊ดดด...!!!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×