คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : การแก้แค้นของเจ้าหญิง: The Avenge of the Princess
***Chapter 4 The Avenge of the Princess: การแก้แค้นของเจ้าหญิง***
ทางด้านสกาฎี องค์หญิงแห่งนอร์นไฮม์นั้น นางได้มายืนป่าวประกาศท้าสู้ตัวต่อตัวกับโลกิมาเป็นเวลานานแล้ว แต่กลับไม่มีวี่แววการปรากฏตัวของราชาแห่งแอสการ์ดหรือแม้กระทั่งคนที่เขาส่งมาเลย แต่ถึงกระนั้นธิดาแห่งกษัตริย์ธีอาซีผู้เพิ่งสูญเสียพระบิดาไปด้วยน้ำมือของโลกิแห่งแอสการ์ดนั้นก็ยังคงยืนรอคอยการตอบรับคำท้าจากอีกฝ่ายอยู่ท่ามกลางสายลมหนาวที่พัดกระหน่ำ จนกระทั่งนางกำนัลผู้เป็นห่วงองค์หญิงของนางมากกว่าอะไรทั้งหมดพูดขึ้น
“องค์หญิง ข้าว่าท่านเสด็จกลับเถอะเพคะ จนป่านนี้แล้วทางแอสการ์ดคงไม่ตอบรับคำท้าของท่านแล้ว” เอลล่า นางกำนัลของสกาฎีพูดขึ้น ท่ามกลางสายลมหนาวที่พัดกระหน่ำ แต่ถึงกระนั้นดูเหมือนว่าองค์หญิงแห่งนอร์นไฮม์จะไม่สนใจคำพูดของนางกำนัลคนสนิทของนางเลยแม้แต่น้อย
“ข้าบอกแล้วไง เอลล่า ว่าข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้นจนกว่าข้าจะแก้แค้นให้ท่านพ่อได้ หรือไม่ก็จนกว่าข้าจะสิ้นชีพเท่านั้น” นางหันไปพูดกับนางกำนัลด้วยท่าทีเข็มแข็งก่อนจะเงยหน้าขึ้นบนฟ้าที่เต็มไปด้วยเสียงหวีดหวิวของลมพายุ
“ว่าไงล่ะราชาแห่งแอสการ์ด ทำไมไม่ปรากฎตัวเสียที หรือว่าท่านกลัวที่จะสู้กับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างข้า แต่ถ้าท่านเป็นลูกผู้ชายอย่างแท้จริงท่านก็คงไม่หวาดกลัวที่จะมาสู้กับข้ากระมัง” นางป่าวประกาศร้องท้าทายราชาแห่งแอสการ์ดต่อ แม้ในใจจะคิดว่าสิ่งที่นางได้รับก็คงไม่มีอะไรนอกจากความเงียบงันและเสียงลมหวีดหวิวที่พัดตอบกลับมาเหมือนกับก่อนหน้านี้ แต่ในครั้งนี้นางกลับคิดผิด เพราะเมื่อองค์หญิงแห่งนอร์นไฮม์เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบนอีกครั้งนางก็ได้ยินเสียงกึกก้องราวกับฟ้าคำรามพร้อมกับแสงสว่างเจิดจ้าที่สาดส่องครอบคลุมร่างของนาง และก่อนที่สกาฎีจะได้ทันตั้งตัวลำแสงดังกล่าวก็ดูดร่างของนางจากพื้นดินที่ยืนอยู่ไปยังจุดหมายปลายทางที่ไกลเกินกว่านางจะจินตนาการได้เสียแล้ว
เมื่อรู้สึกตัวอีกทีองค์หญิงสกาฎีก็พบว่านางกำลังยืนอยู่ในห้องโถงที่ประดับประดาด้วยผนังสีทองที่มีลวยลายสวยงาม เบื้องหน้าของนางเป็นร่างของชายผู้หนึ่งที่สวมชุดเกราะสีทองซึ่งเป็นสีเดียวกับผนังห้อง เขามองมาทางนางจากแท่นสูงด้วยท่าทีเรียบเฉย และในขณะที่นางกำลังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง และเป็นเพราะการที่สกาฎีมองสำรวจไปรอบกายด้วยเพื่อต้องการหาคำตอบนั้นเองทำให้สายตาของหญิงสาวไปสะดุดกับอีกร่างหนึ่ง เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูงผู้มีผมสีดำ ดวงตาสีฟ้าอมเขียวรวมทั้งผิวขาวซีดของเขารับกับเครื่องแต่งกายสีเขียวและทองที่เขาสวมใส่อยู่อย่างประหลาด รวมทั้งท่าทีของเขานั้นที่แลดูเย่อหยิ่งและถือตัวนั้นก็รับกับหมวกรูปทรงแปลกตาที่เขาสวมอยู่ไม่น้อยทีเดียว
แม้นางจะไม่รู้จักเขามาก่อนแต่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์รวมทั้งสายตาของเขาใช้มองมาทางนางนั้นทำให้สกาฎีรู้ในทันทีว่านางไม่ควรจะไว้ใจชายผู้นี้ แต่ก่อนที่องค์หญิงแห่งนอร์นไฮม์จะได้มีโอกาสเอ่ยปากถามไถ่ว่าในตอนนี้นางกำลังอยู่ที่ไหนนั้นสายตาของนางก็ไปสะดุดเข้ากับคฑาในมือของชายหนุ่มผมดำตรงหน้าเสียก่อน มันเป็นคฑาสีทองด้ามยาวที่มีลักษณะเฉพาะ และที่สำคัญนางเคยเห็นมันมาก่อน ในหนังสือที่ท่านพ่อมักอ่านให้นางฟังประจำตอนที่นางยังเป็นเด็ก เกี่ยวกับผู้คุ้มครองอาณาจักรทั้งเก้า คฑาอันนี้คือคฑาของเทพบิดาผู้ปกครองแอสการ์ดและเป็นผู้คุ้มครองอาณาจักรทั้งเก้า มันคือคฑาของโอดินซึ่งบัดนี้ตกอยู่ในมือของผู้ปกครองแอสการ์ดคนใหม่ซึ่งก็คือโลกิ ผู้ที่สังหารบิดาของนางนั่นเอง!
และเมื่อเห็นเช่นนั้นความโกรธเกรี้ยวรวมทั้งความปรารถนาที่จะแก้แค้นก็เข้ามาเกาะกุมจิตใจของสกาฎี ในวินาทีต่อมาองค์หญิงก็ยกดาบในมือขึ้นและพุ่งไปยังชายหนุ่มที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า!
…………………………………………………………………..
แม้จะรู้ดีว่าคมดาบนั้นพุ่งมาเพื่อปลิดชีพเขาก็ตาม แต่โลกิก็ไม่มีท่าทีหวั่นไหวหรือตกใจแต่อย่างใด เพราะทันทีที่องค์หญิงแห่งนอร์นไฮม์พุ่งดาบมาใส่เขา ราชาแห่งแอสการ์ดใช้เวทย์มนต์ทำให้ร่างของเขาจางหายไปจากจุดที่เขายืนอยู่เมื่อครู่ ส่งผลให้องค์หญิงนอร์นไฮม์ที่พุ่งเข้าโจมตีเขาเมื่อครู่นั้นเสียหลักจนล้มลงไปกองกับพื้น และถึงแม้ว่านางจะมีท่าทีงงงวยอยู่ไม่น้อยกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เมื่อสกาฎีเห็นโลกิปรากฎตัวขึ้นบริเวณด้านหลังของนางห่างจากแท่นไบฟรอสท์ไปไม่ไกลนัก เจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์ก็ลุกขึ้นพร้อมกับพุ่งดาบใส่เขา แต่ราชาแห่งแอสการ์ดก็ไม่อาจยอมให้นางเข้ามาทำร้ายเขาได้เมื่อเขายกคฑาของเทพบิดาขึ้นก่อนจะใช้มันปลดอาวุธจากมือของหญิงสาว และในวินาทีต่อมาลำแสงจากคฑาในมือของโลกิที่พุ่งไปยังดาบของฝ่ายตรงข้ามก็ส่งผลให้มันกระเด็นออกไปอีกทิศทางหนึ่ง
แต่ถึงอย่างไรก็ตามการโจมตีนั้นมีเจตนาเพียงเพื่อปลดอาวุธฝ่ายตรงข้ามเท่านั้นทำให้หญิงสาวไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด และเมื่อองค์หญิงแห่งนอร์นไฮม์พบว่านางไม่อาจทำอันตรายโลกิได้เนื่องจากอาวุธของนางได้หลุดจากมือไปแล้ว สกาฎีก็มองราชาแห่งแอสการ์ดที่เป็นศัตรูของนางด้วยสายตาเคียดแค้น
“ท่านขี้โกงนี่ที่ใช้คฑาของเทพบิดาในการประลองแบบนี้!” นางกล่าว ก่อนจะยืนขึ้นประจันหน้าเขา ขณะที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาหานางด้วยท่าทีสบาย ๆ ดวงตาสีเขียวของโลกิมองสำรวจหญิงสาวอย่างสนอกสนใจก่อนที่เขาจะตอบออกมา
“ใครบอกกันว่าข้าจะประลองกับเจ้า ข้าแค่นำตัวเจ้ามาที่นี่ก็เท่านั้นเอง” เขาพูดด้วยท่าทีเจ้าเล่ห์ ขณะที่เจ้าหญิงผู้เพิ่งรู้ตัวว่านางเสียรู้ราชาแห่งแอสการ์ดเข้าเสียแล้วได้แต่พูดออกมาอย่างโกรธแค้นว่า
“ท่าน!”
“อย่าเพิ่งโมโหไปเลยองค์หญิง ข้านำตัวเจ้ามาที่นี่เพื่อต้องการจะเจรจายุติเรื่องระหว่างสองอาณาจักรเท่านั้น” โลกิกล่าวขณะที่เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าสกาฎีพลางมองสำรวจนาง
ร่างตรงหน้าของเขานั้นเป็นหญิงสาวผู้มีใบหน้ารูปไข่เรียวสวย ล้อมกรอบไปด้วยผมสีบลอนด์เกือบขาวที่ยาวสยายถึงเอว และแม้ว่ารูปร่างของนางจะบอบบางจนดูไม่เข้ากับชุดเกราะเทอะทะที่นางสวมอยู่นี้ก็ตาม แต่ดวงตาสีฟ้าของนางกลับดูเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวราวกับว่ามันสามารถแสดงความปรารถนาที่จะแก้แค้นเขาออกมาให้เขารับรู้ได้
หลังจากสำรวจร่างตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง โลกิก็อดที่จะยอมรับไม่ได้ว่าเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์คนนี้นั้นเป็นหญิงที่งดงามไม่น้อย แม้ว่าในตอนนี้นางจะกำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อก็ตาม แต่ไม่ทันที่เขาจะได้มองสำรวจนางให้ละเอียดไปมากกว่านี้ เสียงขององค์หญิงสกาฎีก็ดังขึ้น
“ไม่มีอะไรจะต้องเจรจากันอีกแล้ว ในเมื่อท่านสังหารบิดาของข้า! สำหรับท่านกับข้ามีเพียงการสู้รบกันเท่านั้น!” นางบอกอย่างเด็ดเดี่ยว ขณะที่ราชาแห่งแอสการ์ดยิ้มให้กับความดื้อรั้นของนาง
“อะไรที่ทำให้เจ้าคิดว่าข้าจะประลองกับเจ้ากัน” เขาถาม และเพราะคำถามนี้ที่ทำให้นางนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมา
“ท่านจะประลองกับข้าเพราะท่านไม่อยากเสียศักดิ์ศรี เพราะท่านไม่ต้องการจะถูกประณามว่าไม่กล้าประลองแม้กระทั่งกับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างข้า” นางตอบ แต่โลกิกลับยิ้มราวกับเขารู้สึกขบขันในคำตอบของนาง
“แล้วเจ้าไม่คิดหรือว่าถ้าข้าประลองกับเจ้าแล้วข้าชนะขึ้นมาก็จะกลายเป็นว่าข้ารังแกผู้หญิงน่ะสิ” เขาย้อน แต่หญิงสาวตรงหน้าก็ไม่ต้องเสียเวลาคิดนานเท่าไหร่นักก่อนที่นางจะตอบออกมา
“แต่ถ้าท่านไม่ประลองผู้อื่นก็จะประนามว่าท่านกลัวผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างข้า” นางตอบ และโลกิก็ยิ้มกว้างให้นาง
“ถ้าข้ารักศักดิ์ศรีของข้าถึงเพียงนั้น และไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าข้ามีปัญหาในการประลองกับเจ้า สู้ข้าฆ่าเจ้าปิดปากเสียไม่ดีกว่าหรือ ทีนี้ก็จะไม่มีใครรู้เรื่องที่เจ้ามาท้าข้าประลองแล้ว มันง่ายออกจริงไหม โดยเฉพาะการสังหารเจ้าในตอนที่เจ้าไม่มีอาวุธป้องกันตัวแบบนี้ด้วย” เขาพูดพลางมองนางด้วยดวงตาสีฟ้าอมเขียวที่ฉายแววเจ้าเล่ห์ ขณะที่อีกฝ่ายตาโตเพราะคำพูดของเขา
“ท่านไม่ทำเช่นนั้นหรอก” สกาฎีเถียงออกมา แต่โลกิกลับมองนางด้วยสายตากรุ้มกริ่มก่อนจะพูดต่อ
“ทำไมข้าจะทำไม่ได้ล่ะ ในเมื่อเจ้ามาอยู่ในกำมือข้าแล้วตอนนี้ หรือไม่ข้าอาจจะจับเจ้าไปขังที่คุกใต้ดิน และขังเจ้าไว้ที่นั่นจนเจ้าไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันโทษฐานที่เจ้าก่อกบฏต่อข้าก็เป็นได้ ซึ่งเท่าที่ข้าดูเจ้าก็มีความผิดจริง” เขาพูดอย่างไม่ยี่หระ ขณะที่เจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์นั้นเริ่มหน้าซีด นางเพิ่งรู้ตัวในตอนนี้เองว่านางเสียเปรียบฝ่ายตรงข้ามมากแค่ไหน แต่ถึงกระนั้นนางก็จะไม่มีวันยอมให้โลกิล่วงรู้เป็นอันขาดว่าเขามีอำนาจเหนือนาง นางไม่มีทางยอมให้เขารู้เป็นอันขาดว่านางเกรงกลัวเขา ดังนั้นองค์หญิงแห่งนอร์นไฮม์จึงพูดออกไป
“ข้าอาจจะก่อกบฎต่อท่านจริง แต่ที่ข้าทำได้เพราะต้องการแก้แค้นให้ท่านพ่อของข้า และสาเหตุที่ท่านพ่อของข้า รวมถึงนอร์นไฮม์ของเราก่อกบฎขึ้นก็เพราะเราไม่ยอมรับการครองบัลลังค์ของท่าน เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านจะมาบังคับเอาความจงรักภักดีจากเราได้อย่างไร ในเมื่อท่านพ่อของข้า ตัวข้า รวมทั้งประชาชนนอร์นไฮม์ไม่มีมันให้ท่าน และในเมื่อข้ามาที่นี่เพื่อแก้แค้นแทนพ่อ ทำไมท่านจึงไม่มาประลองกับข้าให้มันจบ ๆ ไปเสียล่ะ” นางกล่าวโดยพยายามควบคุมอารมณ์รวมทั้งน้ำเสียงของนางไม่ให้แสดงออกถึงความหวาดกลัวต่อสิ่งที่นางกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ ขณะที่อีกฝ่ายนั้นกลับมีท่าทีสบาย ๆ ราวกับพวกเขากำลังคุยกันเรื่องลมฟ้าอากาศกันอยู่
“ข้าบอกแล้วไงว่าข้าจะไม่เปลืองแรงไปประลองกับเจ้า แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะข้าก็สงสัยเหมือนกันว่าเจ้าคิดหรือเปล่าว่าถ้าเจ้าแพ้ขึ้นมา จะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า” เขาถามพลางมองลึกเข้าไปในดวงตาสีฟ้าของหญิงสาว ขณะที่สกาฎีหายใจกระตุกราวกับนางไม่เคยคิดมาก่อนถึงผลของการพ่ายแพ้ให้แก่ราชาแห่งแอสการ์ด แต่ถึงกระนั้นองค์หญิงแห่งนอร์นไฮม์ก็สามารถเรียกสติของนางกลับมาได้อย่างรวดเร็วพอ ๆ กับที่นางค้นพบคำตอบของคำถามที่เพิ่งถูกถามออกมาได้ว่า ถ้าหากนางพ่ายแพ้ในการประลองกับโลกิจริง ผลลัพธ์ของมันก็คือความตายเป็นแน่ ไม่ต่างจากที่พ่อของนางต้องเผชิญมาก่อนหน้านี้ และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเจ้าหญิงก็เชิดหน้าขึ้นด้วยท่าทีมั่นใจก่อนจะเอ่ยออกไป
“ถ้าข้าแพ้ท่านสามารถจัดการข้าได้ตามใจท่านปรารถนา ข้าจะไม่ปริปากขอความเมตตาจากท่านเลยแม้แต่น้อย และข้าก็รู้ดีว่าถ้าหากท่านชนะท่านก็คงไม่ปล่อยให้ข้ามีชีวิตรอดเป็นแน่ สิ่งที่ข้าต้องเผชิญก็มีเพียงความตายเท่านั้น แต่ความตายก็เป็นสิ่งเดียวที่ท่านต้องเผชิญเช่นกัน หากท่านพ่ายแพ้ให้แก่ข้า” นางกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวแม้ว่าโอกาสในการชนะการประลองของนางกับโลกิจะริบหรี่ยิ่งกว่าแสงเทียนที่ถูกตั้งทิ้งไว้ท่ามกลางสายลมหนาวก็ตาม แต่นางก็ยังมีท่าทีเด็ดเดี่ยวและมั่นคงในสิ่งที่นางได้ตัดสินใจลงไปราวกับว่านางพร้อมที่สละสิ้นทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตของนางเพียงเพื่อโอกาสในการแก้แค้นให้บิดาเท่านั้น และเพราะท่าทีมั่นใจรวมทั้งแววตาที่แสดงถึงความเด็ดเดี่ยวของหญิงสาวนั้นเองที่ทำให้โลกิเกิดสนใจนางขึ้นมา บางทีนางอาจจะน่าสนใจพอที่เขาจะลองเจรจากับนางต่อเพื่อยืดเวลาชีวิตของนางต่อไปอีกเสียหน่อยก็ได้
และเมื่อคิดได้เช่นนั้นโลกิเคลื่อนกายเข้ามาใกล้หญิงสาวมากขึ้น เขามองลึกเข้าไปในดวงตาสีฟ้าที่มองเขากลับมาอย่างไม่ไว้วางใจก่อนจะพูดขึ้นว่า
“เจ้าเข้าใจผิดเสียแล้วล่ะองค์หญิง มีหลายสิ่งที่เลวร้ายมากกว่าความตายยิ่งนัก” เขาพูดพร้อมกับเดินห่างออกจากนาง โลกิก้าวขึ้นไปบนแท่นควบคุมไบฟรอสท์หลังจากที่ไฮม์ดัลหลีกทางให้เขา ราชาแห่งแอสการ์ดยืนอยู่เบื้องหน้าแท่นควบคุมโดยที่สายตาของเขามองเลยองค์หญิงแห่งนอร์นไฮม์ไปยังพิภพเบื้องล่างที่ไม่มีอะไรไปมากกว่าจักรวาลและดวงดาวนับพันในสายตาของผู้อื่นที่ไม่ใช่นายทวารอย่างไฮม์ดัลก่อนจะพูดขึ้น
“และสิ่งหนึ่งที่น่าจะเลวร้ายมากกว่าความตายสำหรับเจ้า ก็น่าจะเป็นความตายของประชาชนนอร์นไฮม์ของเจ้า!” โลกิพูดพร้อมกับจับดาบของไฮม์ดัลที่ปักอยู่ที่แท่นไบฟรอสท์ ส่งผลให้มีกระแสไฟฟ้าซึ่งส่องแสงสว่างเจิดจ้าไปทั่วห้องโถง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ลงมือเปิดสะพานไบฟรอสท์แต่อย่างใด
“ท่านหมายความว่ายังไง” สกาฎีกล่าวด้วยสีหน้าที่ผสมปนเปไประหว่างความสงสัยและความตื่นตระหนกขณะที่โลกิยิ้มให้นาง
“ข้าหมายความว่าข้าสามารถทำลายนอร์นไฮม์ที่เจ้ารักได้โดยไม่ต้องเปลืองแรงเลยโดยใช้สะพานไบฟรอสท์นี่ ข้าบอกเจ้าตามตรงเลยแล้วกัน ว่าที่จริงแล้วข้าคิดจะให้มันกำจัดพวกเจ้าตั้งแต่ตอนแรกแล้วด้วยซ้ำ เพียงแต่มันง่ายดายเกินไปเท่านั้น ดังนั้นข้าจึงส่งกองทัพของข้าลงไปกำราบพวกเจ้าแทน” เขาพูดพร้อมกับจ้องมองร่างเล็กของหญิงสาวตรงหน้า “ข้าสังหารประชาชนของเจ้า รวมทั้งพ่อของเจ้าในโทษฐานที่พวกเจ้าบังอาจก่อการบกฎขึ้นต่อข้าผู้เป็นราชาปกครองอาณาจักรทั้งเก้า และในตอนนี้ข้าก็กำลังจะลงโทษเจ้าที่บังอาจมาท้าประลองกับข้าด้วยการทำลายอาณาจักรของเจ้า!” เขาพูดพร้อมกับกุมดาบในมือ เตรียมพร้อมที่จะกดมันลงกับแท่นเพื่อทำการเปิดสะพานไบฟรอสท์ในทันที แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำเช่นนั้นร่างเล็กของสกาฎีก็เข้าปรี่เข้ามาตรงหน้าแท่นควบคุม นางร้องห้ามเขาอย่างที่เขาคาดเอาไว้
“ไม่! ท่านทำแบบนั้นไม่ได้!” นางละล่ำละลักด้วยใบหน้าขาวซีด ดวงตาของนางแสดงถึงความตกใจจนเกือบจะเรียกได้ว่าตื่นตระหนก แต่ที่มากไปกว่านั้นมันดูราวกับนางกำลังวิงวอนขอความเมตตาจากเขาอยู่
“ทำไมข้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้ล่ะ องค์หญิง ในเมื่อข้ามีสิทธิทุกอย่างที่จะจำกัดอาณาจักรที่บังอาจก่อบกฎต่อข้า ข้าสามารถจะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของเจ้าได้ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ และหลังจากที่ข้าทำเช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะเป็นชาวนอร์นไฮม์คนสุดท้ายที่เหลืออยู่ในอาณาจักรทั้งเก้า อ้อ จริง ๆ ข้าต้องพูดว่าแปดสินะ หลังจากที่ข้าทำลายอาณาจักรของเจ้าไปแล้ว” เขาพูดขณะที่โน้มร่าวลงมาส่งยิ้มให้หญิงสาวที่บัดนี้กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าเขา ขณะที่สกาฎีตั้งท่าจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่โลกิก็ขัดขึ้นก่อน
“และเมื่อถึงตอนนั้น ตอนที่เจ้าได้กลายมาเป็นชาวนอร์นไฮม์คนสุดท้ายที่เหลืออยู่ในจักรวาลนี้แล้ว บางที ข้าอาจจะใจดีไว้ชีวิตเจ้าก็ได้” โลกิพูดพร้อมกับส่งรอยยิ้มโหดเหี้ยมมาให้นาง สายตาที่ราชาแห่งแอสการ์ดมองเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์นั้นทำให้นางรู้สึกราวกับนางเป็นเพียงลูกไก่ในกำมือที่เขาสามารถบีบให้ตายคามือของเขาได้อย่างง่ายดายก็ไม่ปาน และถึงแม้ว่านางจะรู้สึกเจ็บใจที่นางเสียเปรียบชายตรงหน้ารวมทั้งแม้ว่านางจะแค้นเคืองเขามากเพียงใดก็ตาม แต่สกาฎีก็ทำได้แค่เก็บความเคียดแค้นนั้นไว้ในใจพร้อม ๆ กับที่มือเล็กของนางกำแน่นจนเล็บของหญิงสาวจิกเข้าไปในอุ้งมือของนางเอง เมื่อเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์เงยหน้าขึ้นมองราชาแห่งแอสการ์ดผู้เป็นศัตรูคู่แค้นของนางก่อนจะพูดออกมา
“ท่านจะไม่ทำลายอาณาจักรของข้าหรอก เพราะนั่นเป็นการกระทำที่เสียเกียรติ และราชาแห่งแอสการ์ดอย่างท่านก็คงมีเกียรติหลงเหลืออยู่บ้างจริงไหม” นางโต้ตอบอย่างเฉลียวฉลาด แถมคำพูดของนางยังเป็นการพูดกระทบกระแทกฝ่ายตรงข้ามอย่างเห็นได้ชัด แต่โลกิกลับยิ้มพรายให้กับความพยายามของหญิงสาวตรงหน้า แน่นอนว่าราชาแห่งแอสการ์ดไม่หลงกลต่อคำพูดของนางพอ ๆ กับที่เขารู้ดีว่าถ้อยคำกระทบกระแทกของไม่สามารถทำอะไรเขาได้เมื่อเขาพูดขึ้นอีกครั้ง
“เจ้าคิดผิดแล้วองค์หญิงที่คิดว่าข้าสนใจเรื่องเกียรติขนาดนั้น” เขาพูดอย่างไม่ยี่หระ แต่มือของเขายังคงกุมดาบที่ปักอยู่ที่แท่นควบคุมไบฟรอสท์อยู่ “และข้าก็ลองคิดดูแล้วว่าการทำลายอาณาจักรของเจ้าก็ไม่เป็นการกระทำที่เสียเกียรติเท่าไหร่หรอก ถ้าหากมันเป็นการทำลายอาณาจักรที่คิดแข้งข้อต่อข้าก่อน อีกอย่างหลังจากที่ข้าฆ่าล่างเผ่าพันธุ์ของเจ้าแล้วก็คงไม่เหลือชาวนอร์นไฮม์คนไหนนอกจากเจ้าที่จะมาประณามข้าในเรื่องนี้ได้หรอก จริงไหม” เขาพูดอย่างยียวนราวกับว่าสิ่งที่ทั้งสองกำลังพูดกันนั้นไม่ได้เกี่ยวกับความเป็นความตายของนอร์นไฮม์และผู้คนจำนวนนับล้านเลย
“แต่อาณาจักรทั้งเก้าต้องประณามท่านแน่……” สกาฎีพยายามพูด หากแต่นางกลับถูกขัดด้วยคำพูดของชายผู้กุมชะตากรรมของนอร์นไฮม์ไว้ในมือ
“เมื่อถึงตอนนั้น แม้ว่าอาณาจักรที่เหลือจะมีแค่แปดจะประณามข้าก็ตาม แต่ข้าก็สามารถกำจัดศัตรูที่อาจหาญมาต่อกรกับข้าได้ ศัตรูที่มีความผิดโทษฐานก่อการบกฎต่อข้าก่อน และด้วยเหตุนี้ข้าคิดว่าข้าคงไม่ถูกอาณาจักรที่เหลือประณามมากเท่าไหร่หรอกจริงไหม” โลกิกล่าว และเมื่อมาถึงตรงนี้สกาฎีก็ไม่อาจจะหาเหตุผลใดมาโต้เถียงกับราชาแห่งแอสการ์ดได้อีกแล้ว เมื่อเขาพูดถูกทุกอย่าง ว่าเขามีอำนาจที่จะทำลายล้างอาณาจักรของนางได้อย่างง่ายดาย โดยที่นางไม่มีทางแม้แต่จะขัดขืนหรือต่อกรกับเขา นางรวมทั้งประชาชนชาวนอร์นไฮม์ของนางนั้นไม่ต่างจากมดตัวเล็ก ๆ ที่เขาจะเหยียบให้จมดินเมื่อไหร่ก็ได้
และเมื่อมาถึงตอนนั้น เจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์ก็เพิ่งรู้ตัวว่านางโง่เขลาเบาปัญญาเพียงใดที่คิดจะมาท้าประลองกับราชาแห่งแอสการ์ดอย่างเขา เพราะนอกจากนางจะไม่มีทางต่อกรของเขาได้แล้ว การกระทำของนางยังนำเอาหายนะมาสู่ประชาชนของนางผ่านโทสะของโลกิที่บัดนี้เตรียมจะทำลายอาณาจักรของนางอีกด้วย!
และเมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อรู้ดีว่านางไม่มีกำลังอะไรไปขัดขืนหรือแม้กระทั่งปกป้องอาณาจักรของนางจากการลงทัณฑ์ของราชากุมชะตากรรมของอาณาจักรทั้งเก้าไว้ในมือได้ ก็มีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่นางจะสามารถทำได้เพื่อรักษาอาณาจักรของนางรวมทั้งประชาชนชาวนอร์นไฮม์ไว้ได้ และเมื่อคิดได้เช่นนั้นองค์หญิงสกาฎีจึงเงยหน้าขึ้นมองชายผู้กุมชะตากรรมของนางและนอร์นไฮม์ไว้ในมือก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า
“ท่านทำเช่นนั้นไม่ได้…….ท่านทำลายนอร์นไฮม์ไม่ได้……..ได้โปรด” นางพูดออกมาในที่สุด แม้ว่ามันจะเสียเกียรติสำหรับนางมากก็ตามที่นางจะต้องมาขอร้องชายผู้สังหารบิดาของนางแบบนี้ แต่ถึงกระนั้นสกาฎีก็ไม่มีทางเลือกอื่นที่จะปกป้องอาณาจักรของนางจากการทำลายล้างของโลกินอกจากร้องขอความเมตตาจากเขาเท่านั้น ขณะที่อีกฝ่ายยิ้มให้กับการกระทำของเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์ก่อนจะพูดขึ้น
“ข้าบอกแล้วไง องค์หญิง ว่าข้าสามารถทำลายนอร์นไฮม์ของเจ้าได้ง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ”
“ข้าหมายถึงท่านทำเช่นนั้นไม่ได้ ได้โปรด! ข้าขอร้องท่าน ได้โปรดอย่าทำลายอาณาจักรของข้า!” นางพูดออกมา ดวงตาสีฟ้าที่ก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น บัดนี้คลอเอ่อไปด้วยน้ำตา และเมื่อเห็นเช่นนั้นโลกิก็กลับยิ่งรู้สึกพอใจกับการกระทำของตนมากขึ้น
“นี่ข้าหูฝาดไปหรือเปล่า เจ้ากำลังขอร้องข้าอยู่อย่างนั้นหรือ ไหนเจ้าเคยบอกไว้ว่าเจ้าจะไม่ร้องขอความเมตตาจากข้ายังไงล่ะ เจ้าหญิง” เขาพูดยียวน หากแต่สกาฎีนั้นไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะโกรธเคืองรวมทั้งโต้เถียงเขาออกไปได้ ในสถานการณ์ที่ชะตากรรมของอาณาจักรของนางอยู่ในกำมือของเขาแบบนี้
“ท่านสามารถทำอะไรกับข้าก็ได้…….” นางพูดออกมาราวกับนางไม่ต้องเสียหยุดคิดเลย “โทษฐานที่ข้าล่วงเกินท่าน แต่ได้โปรดปล่อยประชาชนของข้าไป” นางพูดราวกับนางไม่อาทรในชีวิตของนางอีกต่อไปแล้ว และเป็นเพราะคำพูดนั้นของนางนั่นเองที่ทำให้โลกิปล่อยมือจากดาบที่อยู่บนแท่นควบคุมไบฟรอสท์ ราชาแห่งแอสการ์ดเดินลงจากแท่นควบคุมอย่างเชื่องช้า ขณะที่สายตาของเขายังคงจับจ้องหญิงสาวตรงหน้าอย่างพิจารณาอยู่
“เจ้าบอกว่าข้าจะทำอย่างไรกับเจ้าก็ได้ เพียงแค่ข้าปล่อยประชาชนของเจ้าไปอย่างนั้นหรือ” โลกิทวนคำพูดของนาง ขณะที่สกาฎีที่กำลังเงยหน้ามองอีกฝ่ายที่เพิ่งมายืนอยู่ตรงหน้านางอยู่นั้นกลืนน้ำลายก่อนจะตอบออกมา
“ใช่ ท่านจะฆ่าจะแกงข้ายังไงก็ได้ ข้าขอเพียงแค่……..” นางกำลังจะพูดต่อ แต่โลกิก็กลับหยุดนางไว้เสียก่อน
“ชู่ว์” เขากล่าวก่อนจะขยับเข้ามาใกล้หญิงสาวมากขึ้น ดวงตาสีฟ้าอมเขียวของเขามองสำรวจนางอย่างใกล้ชิด ก่อนที่มือใหญ่ของเขาจะเลื่อนมาเชยคางของเธอไว้
“ข้ายังไม่ได้คิดจะฆ่าจะแกงเจ้าในตอนนี้หรอก เจ้าหญิง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลกว่าเดิม หากแต่สายตาของเขาที่ใช้มองหญิงสาวตรงหน้านั้นกลับดูไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย “เพียงแต่ข้าสงสัยว่าเจ้าจะยอมเสียสละแค่ไหน เพื่อประชาชนของเจ้ากัน” เขากล่าวพลางมองอย่างพินิจพิเคราะห์ ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามนั้นตอบออกมาแทบจะในทันที
“ข้ายอมทำทุกอย่างเพื่อประชาชนของข้า ข้ายอมแม้กระทั่งสละชีวิตเพื่อพวกเขา ประชาชนนอร์นไฮม์ของข้าไม่มีความผิด ที่ผ่านมาพวกเขาเพียงแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น ได้โปรดละเว้นพวกเขา ท่านจะฆ่าจะแกงข้ายังไงก็ได้ ข้ายอมทุกอย่าง…..เพียงแค่ท่านไว้ชีวิตพวกเขาเท่านั้น” นางเริ่มพูดแต่ก็ถูกโลกิขัดขึ้นอีกครั้ง
“ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าข้าจะไม่ได้ฆ่าไม่แกงเจ้า…..ในตอนนี้” เขาลงน้ำหนักเสียงที่ท้ายประโยคก่อนจะพูดต่อ
“จากที่เจ้าพูดมา ถ้าหากข้ารับปากว่าจะไม่ทำลายอาณาจักรของเจ้า…….” เขาเว้นระยะราวกับเขาต้องใช้เวลาครุ่นคิดก่อนจะพูดออกมา “เจ้าก็จะยอมสละชีวิตของเจ้าให้ข้าอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงของเขาช่างฟังดูอันตรายยิ่งนัก และเพียงแค่ได้ยินคำพูดของฝ่ายตรงข้ามเท่านั้นมันก็พอจะทำให้เจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์ขนลุกเพราะความหวาดกลัวได้ แต่ถึงกระนั้นนางก็ไม่อาจจะล้มเลิกความตั้งใจที่จะช่วยเหลืออาณาจักรของนางไว้ลงง่าย ๆ เมื่อนางตอบออกมา
“ท่านคิดถูกแล้ว” โลกิยิ้มให้กับคำตอบนั้นก่อนจะถามต่อ
“แล้วถ้าข้าไม่ต้องการชีวิตของเจ้าล่ะ องค์หญิง เจ้าพร้อมที่จะสละสิ่งอื่นให้ข้าแทนได้ไหม” เขาพูดก่อนจะปล่อยมือที่กุมคางนางไว้และหันหลังกลับเพื่อเดินไปยังแท่นควบคุมไบฟรอสท์อีกครั้ง ทิ้งให้สกาฎีมองตามแผ่นหลังของเขาไปด้วยความสงสัย
“ท่านหมายความว่าอย่างไร” นางถามเมื่อโลกิหันกลับมาเผชิญหน้าเขาอีกครั้ง บัดนี้เขาได้กลับไปยืนอยู่บนแท่นควบคุมไบฟรอสท์ที่กุมชะตากรรมของอาณาจักรของนางเอาไว้ สายตาของเจ้าหญิงมองไปยังดาบที่ปักอยู่บนแท่นอย่างหวาดกลัวเมื่อนางเกรงกลัวว่าโลกิอาจจะกดดาบลงบนแท่นและเพื่อเปิดสะพานไบฟรอสท์ทำลายอาณาจักรของนางในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง
“ข้าต้องการจะรู้ว่าเจ้าพร้อมจะเสียสละแค่ไหนเพื่ออาณาจักรของเจ้า” เขาถาม
“ท่านก็รู้ว่าข้ายอมตายได้เพื่อประชาชนของข้า” องค์หญิงแห่งนอร์นไฮม์ตอบออกไป ดวงตาของนางที่มองราชาแห่งแอสการ์ดนั้นเต็มไปด้วยความสงสัย ขณะที่อีกฝ่ายนั้นกำลังมองนางอย่างประเมินพร้อม ๆ กับกำลังครุ่นคิดแผนการอยู่ในใจ
“แต่การฆ่าเจ้าก็ไม่ทำให้ข้าได้ประโยชน์อะไรจริงไหม แม้ว่ามันจะเป็นการจำกัดคนที่ต้องการชีวิตข้าไปอีกคนนึงก็ตาม” เขากล่าว และเมื่อเห็นว่าหญิงสาวขมวดคิ้วเพราะคำพูดของเขา โลกิจึงพูดต่อ
“การที่ข้าเอาชีวิตเจ้าไปไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรกับข้าเลย แต่ในทางตรงกันข้าม การที่เจ้ามอบชีวิตให้ข้านั้นดูน่าจะเป็นประโยชน์ต่อข้ารวมทั้งต่อแอสการ์ดมากกว่า” เขาพูดก่อนจะมองสกาฎีด้วยสายตาอันตรายซึ่งหญิงสาวไม่อาจจะอ่านเจตนาของเขาที่แฝงอยู่ในดวงตาคู่นั้นออกได้ และเมื่อเป็นเช่นนั้นหญิงสาวจึงถามออกไป
“ท่านต้องการอะไรจากข้ากันแน่” เพราะคำพูดนั้นของเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์เองที่ทำให้ราชาแห่งแอสการ์ดจ้องมองนางด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มฝุดขึ้นบนริมฝีปากบางของเขาก่อนที่เขาจะพูดออกมา
“สิ่งที่ข้าต้องการก็คืออาณาจักรของเจ้า คือการที่นอร์นไฮม์จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับแอสการ์ด และมันจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อเจ้าแต่งงานกับข้า”
************************************************************
ความคิดเห็น