ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO]What is missing one? (laychen)

    ลำดับตอนที่ #4 : ☂- fourth talk

    • อัปเดตล่าสุด 20 ก.พ. 57


    Minor!

     


     




    .Fourth talk.

     

    *ปล. ชื่อตัวละครในเรื่องนี้คือการสมมติเท่านั้นนะคะ :)*






     

     

       ปลายนิ้วเรียวหมุนวนเป็นวงกลมที่ขมับทั้งสองข้าง เขาสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเสยผมสีช็อกโกแล็ตที่ปรกหน้าปรกตา
    อยู่ออก เปลือกตาทั้งคู่ที่เคยปิดลงเพียงเพราะต้องการพักผ่อนก็เปิดขึ้นใหม่อีกครั้งพลางมองฝ่ายตรงข้ามด้วยสีหน้าเบื่อ
    หน่ายเต็มที


      เด็กจื่อเทาในชุดลำลองกางเกงยีนสีเข้มกับเชิ้ตธรรมดาสีฟ้าอ่อนกำลังส่งรอยยิ้มพร้อมแววตาขอโทษขอโพยเขาไปในทีเมื่อ
    พบว่าแผนที่ได้ร่วมกันวางเอาไว้ตั้งแต่ระหว่างการเดินทางกลับพังล้มไม่เป็นท่า และถ้าหากก้มหัวน้อมคำนบเพื่อขอโทษเขา
    ได้แล้วนั้น อี้ชิงมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเจ้าเด็กนี่ไม่มีทางปฏิเสธที่จะทำมันอย่างแน่นอน

     


     “โถ่.. อี้ชิงอย่าถือสาน้องเลยนะลูก”


      ชายหนุ่มวัยยี่สิบสี่ปีรู้สึกได้ถึงอาการกระตุกที่คิ้วข้างขวาเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำทักของผู้เป็นมารดาฝ่ายตรงข้าม แม้จะผ่าน
    การรับมือกับหญิงสาวในวัยกลางคนมามากมายแค่ไหน เขาเองก็ขอยอมรับเลยว่าการรับมือและฝ่าฟันกับมารดาของเขาและ
    ฮวังจื่อเทาคือป้อมปราการที่ยากที่สุด เพราะไม่ว่าเขาจะทำสีหน้าอย่างไร ดวงตามองใคร หรือจิตใจล่องลอยไปไหนต่อไหน
    แต่เมื่อมีจื่อเทายืนอยู่ตรงหน้า เหล่าคุณนายทั้งคู่ก็ดูเหมือนจะจับคู่เขากับเจ้าเด็กโข่งไปเสียหมด


     เแม้กระทั่งเขาเพียงแค่มองหน้าอีกฝ่ายตอนนี้ เหล่าบรรดาคุณหญิงก็แทบจะกราบกรานให้ฮวังจื่อเทามาขอโทษเขาพร้อม
    เลี้ยงข้าวสักมื้อในความผิดโทษฐานที่ปล่อยให้เขารอนาน ในใจของคนเป็นมารดาผู้หวังอยากจะให้ลูกชายได้ดิบได้ดีก็นึก
    ทึกทักกันเองเสียแต่ว่าตัวเขาจะโกรธจนไม่ยอมเอ่ยปากคุยกับน้องดีๆ ทั้งที่ในความจริงแล้วนั้น ตัวเขาเองควรจะเป็นฝ่ายที่
    สมควรโดนโกรธมากกว่าฮวังจื่อเทาเสียอีก

     


      “อี้ชิง.. เราไม่ควรไปโกรธน้องขนาดนั้นนะคะ”


      น้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมฝ่ามือเล็กที่กุมมือของเขาไว้หลวมๆทำให้เขาต้องหันไปมอง หญิงสาววัยกลางคนในชุดเดรสสีเปลือก
    มังคุดกำลังส่งยิ้มให้เขา ใบหน้าที่เริ่มจะขึ้นริ้วรอยตามกาลเวลานั่นยังคงสวยงามที่สุดในความคิดของจางอี้ชิงเสมอ ถึง
    แม้ว่าริมฝีปากสีแดงเคลือบด้วยลิปสติกนั่นจะยกยิ้มหวาน แต่ดวงตาเรียวนั่นก็ไม่ได้อ่อนโยนตามน้ำเสียงหรือรอยยิ้มเลย ซ้ำ
    ร้ายยังเป็นแววตาเชิงบังคับตัวเขาไปในกลายๆเสียอีกด้วย

     


      “ผมไม่ได้โกรธจื่อเทาครับคุณแม่”


      คนมีศักดิ์เป็นลูกเอ่ยแก้ไขข้อกังขาของเขากับมารดาทันที ก่อนที่อี้ชิงจะหันไปยิ้มกว้างให้คุณน้าฮวังเจียวซินผู้นำมือทาบ
    ระดับอกพลางทำสีหน้ากังวลด้วยกลัวว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเจ้าอารมณ์ของตนจะไปทำอะไรในทางไม่ดีให้ได้เสียชื่อ
    เสียงวงศ์ตระกูลอีก

     


     “คุณน้าเจียวซินไม่ต้องห่วงนะครับ ผมไม่ได้โกรธจื่อเทาจริงๆครับ”


      คุณนายแห่งตระกูลฮวังยิ้มออกทันทีเมื่อได้รับคำยืนยันจากเจ้าตัว มือที่เริ่มจะมีร่องรอยของความเหี่ยวย่นแทบจะถลาเข้าไป
    กุมมือของเด็กหนุ่มแต่ก็ถูกห้ามไว้ได้ทันเสียก่อน ใบหน้าบึ้งตึงพลางส่ายไปมาเป็นเชิงเตือนของลูกชายคนเดียวทำเธอต้อง
    ยอมก้าวเท้าถอยออกมาเพราะเกรงว่าจะไปทำกริยาไม่งามต่อหน้าตระกูลสูง

     


     “พอได้ยินอี้ชิงพูดแบบนั้น น้าก็ชื่นใจจ้ะ..”


      ดวงตาของคุณนายฮวังแทบจะปกปิดความปลื้มปิติได้ไม่มิด แววตาสุกใสในดวงตาของเธอฉายออกมาเป็นภาพของ
    คุณนายจางและลูกชาย เพราะเป้าหมายในครั้งนี้ของเธอใช่เพียงแค่แนะนำคู่ครองชีวิตที่เลิศเลอให้กับลูกชายที่ไม่เอาไหนอ
    ย่างจื่อเทาเพียงเท่านั้น แต่กลับมีความอยากได้ความมั่งมี ลาภยศ ชื่อเสียง และความสุขสบายภายในอนาคตที่สดใสอยู่
    ภายใต้เป้าหมายเหล่านั้นด้วย


      การมีครอบครัวประกอบธุรกิจขนาดใหญ่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ในทุกการลงทุนล้วนแล้วแต่ต้องการความประสบผลสำเร็จทั้งนั้น
    การมีชื่อเสียงของตระกูลจางในกลุ่มประเทศตะวันออกเป็นที่เลืองลือและโจษจันกันมากมาย ไม่ได้มีเพียงเธอเท่านั้นที่อยาก
    ได้สายเลือดของตระกูลจางมาเกี่ยวดองแต่ยังรวมไปถึงเหล่าหญิงชายมากมายนับพันที่แทบจะถวายตัวให้ทันทีเมื่อลูกชาย
    ของตระกูลนี่เอ่ยปากร้องขอ หากทว่าไม่เคยมีสักครั้งที่จางอี้ชิงจะกระทำการเช่นนั้น เพราะถูกเลี้ยงอุ้มชูมาอย่างดี มารยาท
    และสมบัติผู้ดีจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งที่คุณนายจางเคร่งครัด


      นับว่าเป็นโชคดีของฮวังเจียวซินคนนี้ที่ได้มีโอกาสรู้จักและฝากเนื้อฝากตัวกับตระกูลจางตั้งแต่ต้น ความสัมพันธ์ของเธอ
    และเพื่อนสาวผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือญาติของตระกูลนี้มีส่วนช่วยทำให้อะไรๆง่ายกว่าที่ควร เธอยังคงจำความรู้สึกในวันนั้นได้
    เป็นอย่างดีเมื่อเพื่อนสนิทเอ่ยชวนให้ร่วมเชื้อสายสืบทอดวงตระกูลด้วยเพราะความหล่อเหลาและสมบูรณ์แบบของลูกชาย
    เธอเป็นที่ต้องตาต้องใจของคุณนายจางเข้า เหตุนี้เธอต้องขอบคุณเพื่อนสนิทผู้นั้นและฮวังจื่อเทา ลูกชายเพียงคนเดียวที่
    ยอมประพฤติตามใจเธอแทบทุกอย่างเว้นเสียแต่ในเรื่องที่ไม่ควรบางเรื่อง และยอมตกลงที่จะเป็นคู่หมั้นคู่หมายของจางอี้ชิง
    ในวันที่เธอขอร้อง

     


      “ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว..ผมขอตัวก่อนนะครับ”


      จางอี้ชิงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพร้อมค้อมตัวโค้งลงลาเตรียมพร้อมจะเดินขึ้นชั้นบนของบ้านเพื่อพักผ่อนจากการเหนื่อยล้า
    มาตลอดทั้งวัน แต่แล้วก็ต้องหยุดฝีเท้าเมื่อผู้เป็นมารดาคว้าเข้าที่แขนของเขาไว้ทัน


      “น้องเขาก็อุตส่าห์มาส่งเราทั้งที ไปเปลี่ยนชุดแล้วลงมาทานข้าวกันนะคะลูก”


      รอยยิ้มเคลือบลิปสติกถูกส่งมาพร้อมความรู้สึกยะเยือกไปถึงข้างในทำให้อี้ชิงต้องจำใจยอมตกลงอย่างง่ายดาย วันนี้เขา
    เหนื่อยมามากพอแล้ว แรงคงไม่เหลือมากพอ และคงไม่พร้อมที่จะต่อกรอะไรกับคุณแม่จางซือจิ้นได้อีก ชายหนุ่มในชุดเสื้อ
    ยืดสีขาวและกางเกงวอร์มพยักหน้าตกลงก่อนจะเดินขึ้นชั้นบนของบ้านเพื่อตรงไปยังห้องนอนส่วนตัวที่อยู่ขวามือของบันได


     


      เสื้อยืดตัวบางสีขาวถูกเลิกขึ้นถอดออกจากลำตัว จางอี้ชิงก้มมองเนื้อผ้านุ่มในมือที่ยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆของเจ้าของอยู่ถึงแม้
    จะผ่านการใช้เวลาอยู่ในรถที่มีแต่น้ำหอมปรับอากาศอยู่แล้วก็ตาม ฝ่ามือข้างขวาลูบรอยบุ๋มที่ข้างแก้มขึ้นลงอย่างคนไร้สติ
    เมื่อพบว่าริมฝีปากสีเชอร์รี่สดยกยิ้มขึ้นโดยที่ไม่ทันได้รู้ตัว


      เมื่อยิ้มกับตัวเองได้สักพัก มือขาวที่เตรียมจะหย่อนเสื้อตัวนั้นลงบนตะกร้าที่ถูกเตรียมไว้เพื่อรอการซักก็ชะงักกลางคัน เขา
    เคี้ยวริมฝีปากเพื่อพินิจอะไรอยู่เพียงนิดหน่อยก็เปลี่ยนเป้าหมายเป็นการวางพาดกับเก้าอี้ที่อยู่แถวนั้นแทนเมื่อเขาตัดสินใจ
    เลือกที่จะทำความสะอาดเสื้อตัวนี้ด้วยตัวของเขาเองแทนที่จะเป็นเครื่องซักผ้าที่ทั้งประหยัดเวลา และไม่เปลืองพลังงาน

     


      คุณชายจางในชุดเสื้อไหมพรมสีน้ำตาลอ่อนและกางเกงขายาวสีเทาเข้มก้าวเดินลงบันไดแต่ละขั้นช่างเป็นภาพที่งดงาม
    สำหรับฮวังเจียวซินยิ่งนัก ภาพวาดของชายหนุ่มในฝันยามสมัยเมื่อยังเป็นสาวราวกับถูกฉายซ้ำ เธอไม่อาจสามารถปฏิเสธได้
    เลยว่าคุณชายน้อยแห่งตระกูลจางมีเสน่ห์เหลือร้ายมากเพียงใด แค่เพียงมองใบหน้าขาวใสและรอยยิ้มที่มาพร้อมกับรอยบุ๋ม
    ที่แก้มข้างขวานั้น ฮวังเจียวซินก็เหมือนกับตกหลุมรักครั้งแรกอีกหน


      หากทว่าความมีศีลธรรมยังคงมีอิทธิพลในการครอบครองจิตใจของเธอได้มากพอ เธอจึงเลือกที่จะตัดสินใจเก็บจางอี้ชิงไว้
    ในฐานะลูกเขยของตระกูล เป็นสมบัติที่สามารถมองได้ด้วยตาแต่ไม่อาจสัมผัสได้ด้วยจิตใจ แม้มันจะเป็นสิ่งที่เธอรู้อยู่
    เต็มอกว่าไม่ควรเพราะในเมื่อเธอก็มีคุณชายฮวังอยู่ในศักดิ์ของสามีอยู่แล้ว แต่เพราะความหลงใหลและราคะที่ยังคงไม่หมด
    ไปจากจิตใจ เธอเองก็ไม่สามารถยับยั้งจิตใจได้อีกแล้ว


      บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปอย่างราบรื่น มีเพียงการพูดคุยกันเล็กน้อยเท่านั้นตามมารยาท และฮวังเจียวซินเองก็อาศัย
    โอกาสในเวลานี้ศึกษาอาหารโปรดของคนในตระกูลจางเพราะหวังว่าจะเป็นของกำนัลเล็กๆน้อยๆในคราที่ต้องพบกันอีกต่อ
    ไป

     

     


     “อี้ชิง มาคุยกันกับคุณแม่ก่อนนะลูก”


      คนเป็นมารดาเอ่ยทักท้วงทันทีเมื่อเห็นว่าลูกชายของตนกำลังจะเดินขึ้นไปชั้นบนอีกครั้ง แม้ว่าเธอจะเห็นอกเห็นใจลูกชาย
    เมื่อเห็นสีหน้าอีกฝ่ายแสดงถึงความอิดโรยมากแค่ไหน แต่เธอเองก็จำต้องเคลียร์เรื่องที่ค้างคาอยู่นี่ให้จบกันไปเสียที ความ
    หนักอกหนักใจที่เธอกำลังแบกรับอยู่จะได้ลดน้อยลงไปบ้าง

     


     “ผมว่า..เราควรจะยกเลิกเรื่องงานหมั้นนะครับ”


     ฮวังเจียวซินทาบฝ่ามือลงกับอกทันทีเมื่อได้ยินเสียงของจางอี้ชิงเอ่ยทักขึ้นมาท่ามกลางความเงียบงัน ดวงตาเรียวภายใต้
    เครื่องสำอางหนาไม่สามารถปกปิดความตกใจได้มิด ทั้งที่ในวันนี้เธอเตรียมจัดการวางแผนมาเรียบร้อยถึงงานมงคลที่กำลัง
    จะเกิดขึ้นระหว่างสองตระกูลแล้วแท้ๆ .. แต่ทำไม ทำไมจางอี้ชิงถึงได้กล้าพูดอะไรแบบนี้
    !


     “ทะ..ทำไมล่ะจ้ะ? น้าว่าแต่ก่อนพวกหนูก็ไม่ได้คัดค้านอะไรนี่หน่า”


     ต่อให้ตกใจมากแค่ไหน แต่เจียวซินจำต้องรักษาความเป็นน้าสาวผู้สวยสดและใจเย็นต่อทุกสถานการณ์เพื่อให้คนในตระกูล
    จางประทับใจ เธอจำเป็นต้องรักษาระดับเสียงไว้ไม่ให้สั่นเกินกว่าที่ควรจะเป็น


     “เพราะในตอนนั้นผมว่าน้องจื่อเทายังคงเด็กเกินไปครับ น้องคงยังตัดสินใจไม่ถูก”


      จางอี้ชิงตอบเสียงราบเรียบตามมารยาท ชายหนุ่มส่งสายตาเป็นเชิงรู้กันให้กับเด็กหนุ่มที่นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นมาตั้งแต่ทาน
    อาหารเสร็จ ถึงแม้ว่าตัวของเขาเองจะรู้จักกับจื่อเทามาไม่มากก็จริง แต่ก็พอรู้อยู่ว่าเจ้าเด็กนี่อึดอัดใจมากแค่ไหน มิหนำซ้ำ
    อนาคตทั้งชีวิตของเจ้าเด็กนี่จะต้องมาฝากเอาไว้กับเขาซึ่งเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่ถึงสองปีด้วย ถ้าหากจางอี้ชิงจะต้องมีชีวิต
    อย่างเจ้าเด็กจื่อเทา เขาคิดว่าเขาคงได้อายุสั้นกว่าอายุขัยจริงๆเสียอีก

     


     “แต่ว่าตอนนี้น้องก็ไม่ได้คัดค้านหรือขอยกเลิกอะไรเลยนะจ้ะ”


     ฮวังเจียวซินแทบจะก้มหัวลงไหว้กราบจางอี้ชิงเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มเกิดการคัดค้านในข้อตกลงที่เธอกำลังจะได้เป็นผู้ได้
    ประโยชน์อย่างแท้จริง รอยยิ้มหวานปนความหวาดกลัวถูกวาดขึ้นบนใบหน้าหล่อน ในภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มจะซบเซาเช่นนี้
    หากจะต้องเสียหมากในเกมส์หลักไปอีกตัวคงไม่ดีต่อตัวเธอและครอบครัวเป็นแน่แท้

     


      “นั่นเพราะน้องไม่ได้มีสิทธิ์พูดมากกว่าครับ”


     ชายหนุ่มในชุดเสื้อไหมพรมพูดชี้จุด จื่อเทาที่นั่งนิ่งอดทนฟังทุกประโยคสนทนาระหว่างคุณแม่ของเขากับพี่อี้ชิงแล้วก็ได้แต่
    หวั่นวิตก เหงื่อเม็ดเล็กเริ่มผุดขึ้นตามไรผมและมือของเขาก็เริ่มจะชื้นเหงื่อขึ้นแล้วด้วย เขากับอี้ชิงได้ตกลงกันเป็นมั่นเป็น
    เหมาะแล้วว่าจะขอปฏิเสธงานหมั้นครั้งนี้ เนื่องเพราะพี่อี้ชิงไม่พร้อมที่จะผูกมัดและตัวเขาเองก็ไม่ได้รักอี้ชิงอย่างที่ฝ่าย
    มารดาเข้าใจด้วย


      เมื่อต้นเดือนที่เขาและพี่อี้ชิงได้นัดคุยเพื่อตกลงกันอย่างลับๆว่าจะทำอย่างไรก็ได้ให้งานหมั้นครั้งนี้ยืดยาวออกไปให้ได้นาน
    ที่สุด หรือถ้าดีกว่านั้นให้งานบ้าๆพรรค์นี้ยกเลิกไปเลยได้ด้วยก็ดี จื่อเทาที่ไม่สามารถต่อกรได้กับผู้เป็นมารดาอย่างอี้ชิงก็ได้แต่
    ยินดีที่จะพูดตามบทที่เตี๊ยมกันไว้ หากทว่าเด็กหนุ่มไม่คิดว่าวันที่ต้องพูดจะมาถึงเร็วขนาดนี้ และยิ่งเป็นวันหลังจากที่เขาเพิ่ง
    ทำผิดจนคุณแม่อาละวาดไปสดๆร้อนๆ แค่คิดว่าถ้าวันนี้เผลอพูดอะไรไปขัดใจท่านเข้า เขาแทบจะรับรู้ได้เลยทันทีว่าเมื่อ
    กลับบ้านไปต้องพบเจอกับอะไรบ้างและคงต้องเลวร้ายยิ่งกว่าบทลงโทษเมื่อวานอีกแน่ๆ

     


     “หมายความว่ายังไงกันจ้ะ? ..”


     


     “คุณน้าลองถามน้องดูสิครับ ผมว่าน้องจะต้องตอบได้ดีกว่าผมแน่ๆ ใช่ไหมจื่อเทา?”


      คุณชายแห่งตระกูลจางพยักเพยิดหน้าไปทางเด็กหนุ่มเพื่อเป็นการบอกให้พูดถึงสิ่งที่ได้ตกลงกันไว้ เขาอาศัยช่วงจังหวะที่
    คุณนายฮวังเผลอหันไปคาดคั้นความจริงจากลูกชายขยับปากให้กำลังใจเด็กนั่นเบาๆว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไร และมันจะต้อง
    โอเค


     เด็กหนุ่มในวัยยี่สิบปีมองมารดาสลับกับว่าที่คู่หมั้นหมายของตนเป็นระยะ ลมหายใจของเขาถี่และรัวขึ้นจากความกดดันที่
    ได้รับ สายตาของมารดาในยามนี้ช่างน่ากลัวยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น เขายอมรับว่าในตอนแรกเขาแทบจะโพล่งปากออกไปว่ามัน
    ไม่ใช่อย่างที่อี้ชิงคิด แต่เมื่อลองคิดทบทวนกับตัวเองแล้วว่าตลอดทั้งชีวิตเขาจะต้องไปผูกไว้กับคนที่ไม่เคยรักและไม่ใช่
    เจ้าของหัวใจ ความกล้าที่หดหายไปตั้งแต่เริ่มบทสนทนาก็ดูเหมือนจะกลับเข้ามาสร้างความกล้าให้เขามากขึ้น

     


     “จริงหรือเปล่าคะ น้องจื่อเทา?”

     
     ความกดดันเพิ่มขึ้นทวีคูณเมื่อคนที่เอ่ยถามประโยคนั้นเป็นคุณนายแห่งตระกูลจาง ในครั้งแรกที่เห็นใบหน้าของคุณหญิง
    จางซือจิ้นท่านนี้ เขาเองก็รู้ตัวโดยทันทีว่าไม่ควรอย่างยิ่งที่จะขัดใจ



     “จะ...จริงครับ”


     เด็กหนุ่มมีสีหน้าเหยเกทันทีเมื่อรู้สึกเจ็บจี้ดที่ฝ่ามือข้างขวาเมื่อปลายเล็บของผู้เป็นมารดานั่นกดลงกับผิวเนื้อเขาอย่างบีบคั้น
    ราวกับต้องการให้หยุดกระทำสิ่งใดๆที่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูลไปมากกว่านี้ เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกได้ถึงความอุ่นชื้นที่รื้น
    ขึ้นเต็มหน่วยตา เขาพยายามหลับตาหยีทันทีเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต


     แต่ดูเหมือนเขาคงจะสบประมาทคุณชายจางมากเกินไปหน่อยจึงไม่ทันได้คิดว่าอีกฝ่ายจะมองเห็นภาพทุกฉาก อี้ชิงที่นั่งอยู่
    ฝั่งตรงข้ามเบือนหน้าหนีไปทางผู้เป็นมารดาก่อนจะพยายามพูดเกลี้ยกล่อมเป็นรอบที่สอง


     


     “คุณแม่ครับ .. ผมว่าเราเลื่อนไปคุยวันอื่นกันก่อนดีไหมครับ? นี่ก็ดึกมากแล้ว”

     


      “แถมดูสีหน้าน้องจื่อเทาก็ดูเพลียๆด้วย ไว้เราพร้อมกันทั้งสองฝ่ายกว่านี้ดีไหมครับ?”

     


      คนเป็นลูกเอ่ยถามเชิงเว้าวอน ฝ่ายผู้เป็นมารดาเมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางแปลกๆของลูกชายก็ได้แต่พยักหน้าตกลง ถึง
    แม้ว่าเมื่อสักครู่เธอยืนยันที่จะอยากเคลียร์ให้เรื่องพวกนี้จบ แต่เมื่อเห็นลักษณะการแสดงออกของคุณนายฮวังแล้วก็คงต้อง
    พับแผนความคิดนี้ไว้ก่อน เธอคงต้องรอให้ลูกชายและคุณนายฮวังได้คุยตกลงกันจนมั่นใจได้ว่าไม่มีปัญหาอะไร เพราะเธอ
    คงไม่มีเวลามากพอที่จะต้องเสียไปกับการทะเลาะเบาะแวงในเรื่องรายละเอียดเล็กๆที่จะพาลไปทำให้งานใหญ่เสียได้เช่นนี้
    ล่ะกระมัง

     


     “งั้นคุณนายฮวังค่ะ เราเลื่อนการคุยเรื่องนี้ไปสักสองอาทิตย์หน้าดีไหมคะ? เพราะช่วงนี้ดูท่าทางแต่ละฝ่ายคงยังไม่พร้อม
    เอาไว้ถ้าเราคุยตกลงกันแต่ละฝ่ายให้เรียบร้อยแล้วค่อยมาตกลงกันอีกทีดีไหมคะ?”


       จางซือจิ้นพยายามประนีประนอมโดยถึงที่สุดพลางส่งรอยยิ้มหวานหยดที่สุดไปให้ เธอพอจะเรียนรู้หลักจิตวิทยามาบ้าง
    พอจะรู้ว่าควรเอ่ยด้วยท่าทางแบบไหนคนอารมณ์อ่อนไหวอย่างเจียวซินจะเข้าใจ  หญิงสาวหันไปพยักหน้าให้สาวรับใช้ที่รอ
    รับคำสั่ง

     


     “....งั้นเราเลื่อนไปเป็นสองอาทิตย์หน้าก็ได้ค่ะ ดิฉันว่างพอดี หวังว่าเราจะได้พบกันเร็วๆนี้นะคะ”


     ฮวังเจียวซินพยายามกัดฟันกรอดอดทนอดกลั้นไม่ให้เข้าพุ่งไปทำร้ายลูกชายตัวดีในครานี้ได้อย่างฉิวเฉียด เธอยอมรับว่าเมื่อ
    ตอนที่เจ้าเด็กนั่นพยักหน้ายอมรับ ความโกรธเคืองก็พุ่งปะทุเข้าเต็มอก แม้รู้ดีว่ามันไม่สมควรแต่เธอก็อดไม่ได้เสียจริงๆ ฮวัง
    จื่อเทาไม่เคยทำอะไรทุกใจเธอสักอย่าง มันน่าโมโหเสียจริงๆ

     


     จางอี้ชิงที่ยืนส่งแขกตรงหน้าประตูบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้วก็รีบถอนหายเฮือกราวกับเพิ่งยกภูเขาออกจากอก ฝ่ายคุณนายผู้
    ปั้นหน้าราวกับนางพญามาร่วมชั่วโมงก็หันหน้ามาบีบจมูกลูกชายตัวแสบของเธออย่างเอ็นดู เธอค่อนข้างยอมรับเหมือนกัน
    ว่าอึดอัดมิใช่น้อยที่ต้องปั้นหน้าเป็นคุณหญิงผู้แสนจะเคร่งขรึมทั้งๆที่ในใจเธอก็ไม่ต่างอะไรกับหญิงสาวธรรมดาเท่านั้น ยิ่ง
    ยามที่เห็นแววตาขุ่นเคืองของคุณนายฮวังผู้หยิ่งทะนง ภาพพจน์ที่ถูกซุกซ่อนไว้ภายใต้ใบหน้าเปื้อนลิปสติกเคลือบนั่นก็ยิ่ง
    หวาดกลัวเข้าไปขึ้นทุกขณะ

     


     “คุณแม่น่ากลัวจังเลยนะครับ ผมนี่แอบขนลุกไม่ได้อ่ะ”

     


     “ก็เราดันทำตัวน่าตีนี่ฮึ ไปแอบซนที่ไหนมาอีกล่ะถึงต้องถ่อให้ฮวังจื่อเทาไปรับขนาดนั้นน่ะ”

     


     จางอี้ชิงคว้าหมับเข้าที่เอวของคนเป็นมารดาพร้อมซุกใบหน้าออดอ้อน การกระทำราวกับเด็กน้อยแบบนี้สามารถเรียกรอยยิ้ม
    จากอีกฝ่ายได้ในทันที

     


     “ปล่าวเลยนะครับ~ แค่ไปอยู่กับอะไรๆที่ทำให้สบายใจขึ้นมา”

     


    “อย่าคิดว่าแม่ไม่รู้นะ .. ลูกไม่เคยมีเสื้อตัวนั้นด้วยซ้ำ กางเกงวอร์มนั่นก็ไม่มีฮึ มาอยู่เกาหลีแค่ไม่กี่ปีทำตัวแบบนี้แล้วหรอ”

     


     “โถ่ แม่ครับ..”

     


     “แล้วไอ่ที่ว่าสบายใจขึ้นมากนั่นหน่ะ .. สบายใจขนาดไหนกันรึ?”

     

     

     

     

     

     

      จางอี้ชิงในชุดนักศึกษาเดินทอดน่องเอื่อยไปตามริมถนน หูฟังทั้งสองข้างที่กำลังบรรเลงเพลงเกลากีตาร์เบาๆสามารถช่วย
    ลดเสียงคุยจ้อกแจ้กวุ่นวายรอบข้างกายได้มาก ทำนองจังหวะลื่นหูถูกคลอฮัมไปตามเพลง ชายหนุ่มเดินไปเรื่อยจนหยุดอยู่ที่
    หน้าร้านกาแฟใหญ่แสนคุ้นตา หากเป็นแต่ก่อนเขาเองก็คงไม่รีรอที่จะรีบผลักประตูกระจกเหล่านี้เพื่อเข้าไปสัมผัสกับกลิ่น
    หอมของเมล็ดกาแฟในแต่ละวัน


     วันนี้อะไรๆก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไป เมื่อสายตาเขาเลือกที่จะเชนมองไปยังฝั่งตรงข้าม สถานที่ที่เขาเพิ่งจะเคยเข้าไปสัมผัส
    เป็นครั้งแรกเมื่อวันก่อน แล้วเขาก็เพิ่งพบว่าตัวเองเป้นรอบที่สามแล้วว่าเผลอยิ้มโดยไม่ได้ตั้งใจ

     




     เขาเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เจอกับคิมจงแดครั้งแรก ไม่คิดเหมือนกันว่าเด็กคนนั้นจะมีอิทธิพลอะไรขนาดนี้

     

     





     สมุดสีสันสนใสภายใต้รูปแบบอาณาจักรล้านปีถูกเปิดไปมาด้วยความสนอกสนใจของพนักงานเรียงสมุด คิมจงแดที่เลือก
    ใช้ชีวิตยามช่วงบ่ายอุ่นๆแบบนี้กับการ์ตูนความรู้ก็เพิ่งค้นพบว่าเป็นไอเดียที่ไม่เลวเลยทีเดียว เขาเพิ่งรู้สึกสนใจเรื่องของเจ้า
    ไดโนเสาร์ก็เมื่อตอนที่ได้มีโอกาสเปิดโทรทัศน์ชมรายการสารคดีหลังจากที่คุณจางออกจากบ้านได้ไม่นาน โดยปกติแล้วเขา
    จะเป็นคนที่เข้านอนแต่หัวค่ำและตื่นขึ้นมาทำความสะอาดบ้านในช่วงเช้า แต่เมื่อวานที่เพิ่งได้ต้อนรับแขกหลังจากที่ไม่ได้ทำ
    มาเนิ่นนาน เขาเองก็เพิ่งจะได้สัมผัสกับคำว่านอนไม่หลับจริงๆก็คราวนี้


     เขาเริ่มพอจะเบาใจเรื่องของคุณจางไปบ้างแล้วในตอนเช้าที่เข้ามาทำงาน เมื่อพบกับรอยยิ้มกว้างของเพื่อนสนิทอย่างบยอน
    แบคฮยอนที่ส่งมาให้พร้อมคำทักทายที่พาชุ่มชื้นหัวใจดวงน้อยๆนี้เหลือเกิน

     


     “เหมือนจะมีคนรู้จักของฉันมีเจ้าหนังสือเล่มนี้พอดี ไว้ฉันจะลองไปขอยืมให้นะ”


     วันนี้คิมจงแดก็เลยจะดูมีความสุขยิ่งกว่าทุกวัน

     




      แรงสะกิดที่หัวไหล่เบาๆทำให้เด็กน้อยผู้กำลังโลดแล่นอยู่ในจินตนาการกับสัตว์ยุคดึกดำบรรพ์ต้องเงยขึ้นมาจากตัวหนังสือ
    อย่างช่วยไม่ได้ รอยยิ้มเบาๆที่เกิดขึ้นยามอ่านหนังสือก็กลายเป้นยิ้มที่กว้างมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่าคนที่รบกวนตนในเวลาพัก
    ผ่อนเช่นนี้คือใคร ริมฝีปากหยักยกยิ้มจนตาหยีก่อนจะโบกมือทักทายเป็นการรักษามารยาท

     


     สวัสดีครับคุณจาง (^____^)/~’

     

     “สวัสดีจงแด พอดีวันนี้ฉันว่างเลยมาหาหนังสืออ่านหน่ะ พอจะมีหนังสืออะไรแนะนำหรือเปล่า?”


      ท่าทางน่ารักๆของคนตรงหน้าส่งผลให้หัวใจของคุณชายจางเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ อี้ชิงที่รู้สึกเห่อที่ใบหน้าขึ้นมานิดๆไม่รู้
    จะวางมือที่ไหนก็ได้แต่เกาท้ายทอยแก้เก้อ เขาพยายามเอ่ยอ้างเหตุผลที่แลดูจะเหมาะสมที่สุดพลางทำสีหน้าให้เข้ากับ
    อารมณ์ ไหนๆจะโกหกทั้งทีเขาเองก็คงต้องขอเนียนๆหน่อยล่ะกัน..

     


     จงแดรีบทำตาโตทันทีเมื่อนึกข่าวสำคัญอะไรขึ้นได้ มือเล็กนั่นคว้านหาอะไรบางอย่างจากในกระเป๋าอย่างคนลุกลี้ลุกลน มือ
    ของเขาดูเหมืนจะพันกันจนยุ่งไปหมดทั้งๆที่ก็เพียงแค่ไขว้กันอยู่เท่านั้น ฝ่ายคนอายุมากกว่าที่มัวแต่เขินก็ต้องงงงันเมื่อเห็น
    ท่าทีร้อนรนของอีกฝ่าย ก่อนจะร้องอ๋าขึ้นเบาๆเมื่อเห็นว่าจงแดกำลังหยิบสมุดเล่มเล็กนั่นออกมาจากกระเป๋า

     



     แบคฮยอนบอกว่าเขาพอจะหาหนังสือเจอหิมะที่อมยิ้มได้แล้วนะครับ ^O^’

     

      กระดาษแผ่นนั้นถูกหันมาทางอี้ชิง คนที่เพิ่งเรียนรู้การอ่านภาษาเกาหลีได้เพียงไม่มากก็พยายามไล่อ่านทีละตัวก่อนจะยิ้ม
    กว้างเมื่อเข้าใจประโยคที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อได้อย่างครบถ้วน

     


     “ขอบคุณมากๆเลยนะ จริงๆฉันก็ไม่อยากรบกวนจงแดขนาดนี้หรอก”

     


      จงแดส่ายหัวพลางโบกมือไม้ปัดไปมาเชิงงบอกว่ามันไม่เป็นไร เด็กหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีครีมกับกางเกงสแล็คสีกำผินหน้าไป
    ทางชั้นวางหนังสืออีกครั้ง ริมฝีปากนุ่มถูกเคี้ยวอย่างคนใช้ความคิด เขากำลังพาจรณาอยู่ว่าคนอย่างคุณจางนั้นเหมาะกับ
    หนังสือประเภทไหนมากที่สุด รายชื่อหนังือนวนิยายที่พอจะใช้ภาษาเข้าใจง่ายก็พากันเรียงลำดับในหัวของเขาเยอะเสียจนไล่
    ดูตามทีละชื่อภายในหนึ่งวันก็ยังคงไม่หมด

     





     “จงแด..”

     


      เสียงเรียกชื่อเบาๆทำให้คนที่กำลังจะคว้ามือไปยหบินวนิยายสดใสที่ขึ้นอันดับหนังสือขายดีไปเมื่อต้นปีออกมาหยุดชะงัก
    จงแดหันไปมองหน้าอี้ชิงราวกับต้องการจะถามว่ามีอะไรหรือเปล่าครับ

     




    “คือว่า.. ถ้านายเจอหนังสือเล่มนั้นแล้วหน่ะ..”

     





    “...”

     





    “เอ่อคือหมายถึง .. เจอหิมะที่อมยิ้ม.. คือว่าถ้านายเจอแล้ว”

     

     





    “แล้วถ้าฉันก็ได้มันมาแล้ว ... ฉันจะยังมาหานายได้อยู่ใช่ไหม?”

     

     




     

     

     




    ตู้มมมมมมมมมม /โยนรางตัวเองลงน้ำเน่าแถวนี้
    โอ่ยคือพรุ่งนี้สอบแล้วค่ะ แต่นางก็ยังกระจิตกระใจมาอัพ กลัวว่าทุกคนจะคิดถึง(?)
    แอบคิดว่าคุณนายฮวังร้ายนะคะ .. แต่ก็พบว่ายังมีอะไรอีกเยอะ~
    สงสารจือเทาเบาๆ แต่เชื่อว่าอีกไม่นานจื่อเทาจะพบกับความสุขแน่นอนค่ะ<3!
    ขอโทษที่ไม่ได้มาอัพนานเลยนะคะ ขอโทษจริงๆ แล้วก็ขอโทษที่ภาษาอาจจะแปร่งๆไป
    แต่ว่ายังไงก็คิดถึงทุกคนที่สุดเลยนะฮะ ชุ้บ <3

    #wims1





     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×