คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่สี่
ตอนที่สี่
เช้าวันรุ่งขึ้น สายลมอุ่นของฤดูใบไม้ผลิที่พัดพาเอากลิ่นหอมหวานของมวลดอกไม้ให้ผ่านเข้ามาทางบานหน้าต่าง ก็ตรงเข้าไล้ยังพระปรางค์ขาวนวลอย่างแผ่วเบา ราวกับฝ่ามืออันอ่อนโยนของใครบางคนที่หวังจะปลุกให้วรองค์แบบบางนั้นตื่นขึ้นจากนิทรา
“อือ...” เสียงหวานนั้นครางในลำคอแผ่วๆ ก่อนที่ผู้เป็นเจ้าของจะค่อยๆ ยันตัวขึ้นช้าๆ...ใบหน้าของเธอซีดขาวอย่างคนเพิ่งตื่นนอน เส้นผมสีบลอนซ์ทองที่เคยถูกถักเป็นเปียไว้อย่างเรียบร้อยแผ่กระจายเต็มแผ่นหลัง จนแม้แต่ผมหน้าม้าก็ยังปรกลงมาจนระอยู่บริเวณหัวคิ้ว ส่งผลให้ใบหน้างามที่มีเค้าทรงอำนาจนั้นแลดูอ่อนเยาว์ลง
เอลซ่ายกมือขึ้นเสยผมก่อนที่จะกะพริบตาถี่ๆ เพื่อขับไล่ความง่วงงุน...ริมฝีปากที่แดงด้วยเลือดฝาดจางๆ เนื่องจากยังไม่ได้แต่งแต้มด้วยสีจากเครื่องสำอางนั้นเผยออกจากกันน้อยๆ
วันนี้แล้วสินะ...
ราชินีทรงดำริในพระทัย ก่อนที่จะปรายพระเนตรไปยังฉลองพระองค์สีสวยที่อยู่ตรงปลายพระแท่น...ชุดแบบพื้นเมืองสีกรมท่าปักด้วยดินทองและเส้นด้ายเป็นลายดอกไม้หลากสี ซึ่งสวมทับกับเสื้อตัวในสีขาวสะอาดแขนพองยาวที่ดูท่าทางจะใส่สบาย และใกล้ๆ กันนั้นก็ยังมีเข็มขัดเงินฝังอัญมณีเม็ดเล็กกับเครื่องประดับอีกสองสามชิ้นซึ่งถูกวางเรียงไว้อย่างเสร็จสรรพ ราวกับจะพยายามอำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่จะสวมใส่ให้มากที่สุด
อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ยอมให้ฉันแต่งตัวเอง...
หญิงสาวก้าวขาลงจากเตียงก่อนที่จะตรงไปยังอ่างแก้วเจียระไนซึ่งบรรจุน้ำใสๆ ไว้เต็ม
น้ำเปล่าผสมหัวน้ำหอม...สำหรับราชินีใช้สรงในตอนเช้า
เอลซ่าคลี่ยิ้มบางๆ อย่างพอใจเมื่อกลิ่นที่ได้จากน้ำนั้นเป็นของดอกไม้ที่เธอโปรด...จากนั้นวรองค์ก็เคลื่อนตรงไปยังด้านหลังของฉากไม้สีขาวแกะสลักเป็นลายลูกไม้น่ารักที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้อง เธอค่อยๆ รูดเอาชุดนอนสีน้ำเงินตัวยาวที่สวมอยู่ลงช้าๆ จนเผยให้เห็นหัวไหล่นวลเนียนทั้งสองข้างซึ่งขาวสะอาดไม่ต่างอะไรกับหิมะตกใหม่...
“นี่เหรอ ชุดที่ท่านจะใส่วันนี้”
เสียงห้าวที่ดังขึ้นนั้นทำให้เอลซ่าสะดุ้งสุดตัว หญิงสาวรีบรวบชุดของตัวเองขึ้นพร้อมกับตวัดสายตาไปยังผู้พูดซึ่งอยู่ไม่ห่างเธอมากนัก...
ถึงจะยืนอยู่หลังฉากไม้ แต่ความจริงที่ว่าเธอยังแต่งตัว ‘ไม่ใคร่จะเรียบร้อย’ ก็ทำให้ใบหน้างามนั้นขึ้นสี
“แจ็ค!”
“อืม...ก็สวยดี แต่แบ๊วไปหน่อยสำหรับท่านนะข้าว่า”
ท่าทางที่เขายืนชมชุดอย่างสบายๆ โดยไม่สนใจบรรยากาศรอบข้างนั้น ทำให้ผู้เป็นเจ้าของห้องชักจะเดือดๆ
“แจ็ค ฟรอสท์!” สุรเสียงที่เอ่ยนามของเด็กหนุ่มนั้นดังก้องอย่างกึ่งตวาด ทำให้ใบหน้าซีดๆ แต่สุดแสนจะกวนประสาทนั่นหันมามองหญิงสาวทันทีพร้อมรอยยิ้มกวนๆ
“จุ๊ๆ อย่าเพิ่งดุว่าข้าไม่เคาะประตูก่อนเข้าห้องนะ ไม่เชื่อท่านลองดูหน้าต่างโน่น”
แจ็คพูดพร้อมกับบุ้ยใบ้ไปทางกระจกหน้าต่างบานใหญ่ ซึ่งปรากฏเป็นรอยเกล็ดน้ำแข็งที่แผ่กระจายออกเป็นลวดลายคล้ายกับใบเฟิร์น...แต่เกล็ดน้ำแข็งกลางฤดูใบไม้ผลิก็ยังไม่น่าประหลาดใจเท่ากับการที่ใบเฟิร์นสีใสพวกนั้นตวัดวาดเป็นตัวอักษร...
ก๊อก! ก๊อก!
เอลซ่าขมวดคิ้วเข้าหากันเป็นปมแน่น...นี่ถ้าเป็นเวลาปกติเธอคงจะเห็นมันเป็นเรื่องน่าขัน แต่เวลานี้...ต่อให้นึกอยากหัวเราะแค่ไหนเธอก็คงจะหัวเราะไม่ออก
“ออกไปเดี๋ยวนี้!”
“เอ๊ะ...แต่ข้าเพิ่งมาถึงเองนะ”
“ฉันบอกให้ออกต้องออก!”
แทบจะทันทีที่สิ้นประโยค ลมเย็นปนเกล็ดหิมะขาวพร่างพรายก็ตรงเข้าปะทะกับร่างของเด็กหนุ่มโดยแรง พร้อมกับพัดเอาร่างผอมๆ และไม้เท้าคู่ใจให้ลอยคว้างออกนอกหน้าต่างไปตามคำสั่งของผู้เป็นเจ้าของมนตรา
“เหวอ!” เสียงห้าวนั้นร้องลั่นในขณะที่ร่างหมุนติ้วอยู่กลางอากาศอย่างไม่อาจควบคุมได้ สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงแค่ปล่อยให้สายลมมหาประลัยนั่นพาม้วนลงสู่พื้นเบื้องล่างอย่างไร้ความปรานี
พลั่ก!
“โอ๊ย!”
แจ็ค ฟรอสท์ ค่อยๆ ยันตัวขึ้นจากพื้นอย่างยากเย็น ก่อนที่จะยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังที่กระแทกลงกับพื้นเต็มเปา...โชคยังดีที่ด้านล่างนี่ปูด้วยหญ้าจึงพอช่วยลดแรงกระแทกลงได้บ้าง
“เจ็บชะมัด...นี่กะฆ่ากันเลยรึไงนะ?”
และในขณะที่เขากำลังพยายามใช้ไม้เท้าคู่ใจช่วยยันร่างให้ลุกขึ้นอยู่นั่นเอง เสียงใสๆ ที่สุดแสนจะคุ้นเคยก็ทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้น
“ดอกไม้...ใช่ๆ ไปประดับตรงลานเต้นรำเลยจ้ะ เอาล่ะ...อาหารทุกอย่างพร้อมนะ โอเค...ไหนมาดูซิ อีกสิบห้านาที! เรามีเวลาก่อนเปิดประตูอีกสิบห้านาทีนะจ๊ะทุกคน!”
ภาพของเด็กสาวผมสีน้ำตาลบลอนซ์ในชุดพื้นเมืองสีน้ำเงินสด ซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการเตรียมงานเสียจนกระโปรงที่สวมอยู่สะบัดพลิ้วราวกับกลีบดอกไม้ ทำให้เด็กหนุ่มที่กำลังมองอยู่ยิ้มขำๆ
“เหนื่อนหน่อยนะอันนา...เห็นแบบนี้แล้วนึกไม่ถึงเลยแฮะว่าเป็นคนเดียวกันกับเจ้าหญิงอันนาที่เคยวิ่งวุ่นอยู่ในวังน่ะ”
เด็กสาวผู้ไม่มีท่าทีว่าจะมองเห็นบุรุษที่ยืนอยู่ข้างกายเลยสักนิดแย้มรอยยิ้มอย่างร่าเริง ก่อนที่จะยกแขนขึ้นเช็ดเหงื่อที่ผุดพราวขึ้นตรงหน้าผาก
“เฮ้อ...เหนื่อยจัง ป่านนี้เอลซ่าจะแต่งตัวเสร็จหรือยังนะ?” อันนารำพึงกับตัวเองเบาๆ ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งทำหน้ามุ่ย
“พี่สาวเจ้าน่ะเหรอ? ยังหรอก...นางเพิ่งจะพัดข้าร่วงลงมาเนี่ย! ถึงจะไม่ใช่มนุษย์แต่ข้าก็รู้สึกเจ็บได้นะ”
ถ้าใครมองเห็นก็คงจะคิดว่าเพี้ยนที่สุด แต่ถึงอย่างนั้น แจ็ค ฟรอสท์ ก็ยังชอบที่จะพบปะและพูดคุยกับผู้คนซึ่งไม่ได้มีทีท่าว่าจะรับรู้ได้ถึงตัวตนของเขาเลยสักนิด อันที่จริง...ในสายตาของคนเหล่านั้น เขาก็คงไม่ได้แตกต่างอะไรกับอากาศธาตุนักหรอก แต่อย่างน้อยที่สุด...การที่ได้คอยเฝ้าดูและจินตนาการไปว่าได้พูดคุยกับพวกเขาอย่างสนุกสนานนั้น ก็พอที่จะช่วยลดทอนความว่างเปล่าในจิตใจลงไปได้บ้าง
ทันใดนั้นเอง อันนาก็เผยรอยยิ้มซุกซนขี้เล่น ก่อนที่เจ้าหญิงแห่งแอเรนเดลล์จะทรงวิ่งตื๋อไปยังโต๊ะจัดเลี้ยงซึ่งมีขนมหวานมากมายวางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด
แจ็ค ฟรอสท์ เลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่งก่อนที่จะเรียกสายลมอ่อนๆ ให้ช่วยส่งตัวเขาไล่ตามเธอไปอย่างนุ่มนวล แล้วภาพที่ปรากฏให้เห็นตรงหน้านั้นก็ทำให้ริมฝีปากของเด็กหนุ่มผุดขึ้นเป็นรอยยิ้ม...
เด็กสาวหน้าตาน่ารักที่สุดแสนจะร่าเริงคนนั้น กำลังเพลิดเพลินกับการแอบหยิบช็อกโกแลตรูปร่างต่างๆ เข้าปากจนเต็มกระพุ้งแก้ม ไม่ได้แตกต่างอะไรกับที่อันนาน้อยเคยทำเลยสักนิด
“ก็...อย่างน้อยก็ตรงนี้ของเจ้าล่ะนะที่ไม่เคยเปลี่ยน”
เด็กหนุ่มหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะยื่นหน้าเข้าไปจนใกล้เจ้าขนมสีน้ำตาลแก่จนเกือบดำนั้น
“เจ้าพวกนี้มันอร่อยถึงขนาดนั้นเลยเหรอ?”
หลังจากกินช็อกโกแลตไปสองสามคำ เด็กสาวก็ยกนาฬิกาพกที่เหน็บเอาไว้กับผ้าผูกเอวสีแดงเลือดนกขึ้นมาเปิดดู
เจ้าหญิงอันนาเลิกพระขนงขึ้นข้างหนึ่ง...เวลาเปิดงานใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว
สถานที่เรียบร้อย ทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องมีก็ถูกเตรียมเอาไว้อย่างพรั่งพร้อมที่สุด
แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามเถอะ วรองค์แบบบางนั้นก็ยังอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้
อีก 5 นาทีแล้วนะ! อีกแค่ 5 นาที...เทศกาลฉลองฤดูใบไม้ผลิก็จะเริ่มขึ้นแล้ว!
“หือ...ใกล้เวลางานแล้วนี่” แจ็คพูดเรื่อยๆ พร้อมกับชะโงกหน้าไปมองนาฬิกาในมือของเด็กสาว
“ตื่นเต้นล่ะสินะ”
ตอนนี้ผิวแก้มทั้งสองข้างของนางเป็นสีแดงเรื่อ แถมดวงตาสีฟ้าที่เคยสว่างสดใสเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็แลดูจะกระจ่างยิ่งกว่าปกติ จนราวกับว่าเจ้าตัวจะแอบไปเก็บดวงดาวมาซ่อนเอาไว้ภายใน
และทันทีที่เข็มวินาทียาวๆ บนหน้าปัดขยับเป็นเสียงดัง ติ๊ก
สุรเสียงใสแจ๋วของเจ้าหญิงแห่งแอเรนเดลล์ก็กังวานขึ้น
“เปิดประตูวัง!”
เพียงเท่านั้น...เสียงโซ่เหนี่ยวประตูและกลไกภายในอันประกอบไปด้วยฟันเฟืองน้อยใหญ่ก็ส่งเสียงลั่นครืด ลากเอาประตูบานใหญ่หนาหนักให้ค่อยๆ ขยับ...
ประตูแห่งพระราชวังเปิดออกแล้ว!
เสียงดนตรีเป็นจังหวะคึกคักของเพลงพื้นเมืองเริ่มบรรเลงขึ้น กลีบดอกไม้หลากหลายสีสันถูกโปรยลงสู่พื้น ทั้งจากทางหน้าต่างของบ้านเรือนและร้านรวง ไม้เว้นแม้แต่จากกำแพงของพระราชวัง
กลิ่นหอมของดอกไม้กรุ่นกำจาย รอยยิ้มและเสียงหัวเราะสามารถหาได้จากทั่วทุกที่ ชุดกระโปรงสีสดที่แผ่วพลิ้วบนกายของหญิงสาว และผ้าผูกเอวสีสดบนกายของบุรุษ ภาพทุกภาพที่ปรากฏสู่สายตาล้วนแล้วแต่ทำให้จิตใจคึกคักพองโตจนอยากจะออกไปเต้นรำ
นี่ล่ะ! ฤดูกาลแห่งการเกิดใหม่
นี่ล่ะ! เทศกาลที่สดใสที่สุดในรอบปี
ผู้คนมากหน้าหลายตาค่อยๆ หลั่งไหลเข้าสู่ลานหน้าปราสาททีละนิดๆ จนดูละลานตาไปหมด...เด็กสาวผู้เป็นเจ้าของผมสีน้ำตาลบลอนซ์ซึ่งยัดนี้ถูกรวบเอาไว้เป็นหางม้าและประดับด้วยดอกลิลลี่แห่งหุบเขาแย้มริมฝีปากเป็นรอยยิ้มกว้าง ก่อนที่เธอจะเคลื่อนตัวเข้าหาฝูงชนอย่างร่าเริงเรียกเอาเสียงทักทายอย่างคุ้นเคยให้ดังมาจากทั่วทุกทิศ
ก็ใครบ้างล่ะที่จะไม่รู้จักเจ้าหญิงอันนาแห่งแอเรนเดลล์?
แทบทุกวัน...วรองค์แบบบางอย่างสาวแรกรุ่นนั้นจะเที่ยวออกซอกซอนไปทั่วทุกที่ นับตั้งแต่เขตที่เจริญที่สุดจวบจนสุดบริเวณถิ่นฐานกันดารที่แทบจะไม่มีอะไรเลย เธอรู้...เรื่องที่ช่างทำขนมปังกำลังป่วยหนัก เรื่องที่ลูกสาวร้านขายรองเท้าเป็นเด็กเฉลียวฉลาดแต่ไม่มีเงินทุนจะเรียนหนังสือ หรือแม้กระทั่งจำนวนปลาที่ชาวประมงสามารถตกได้ในแต่ละวัน...เธอพบปะกับผู้คนหลากหลายเพื่อพูดคุยและพยายามให้ความช่วยเหลือพวกเขา
นี่ล่ะ...คือสิ่งที่เจ้าหญิงอันนาทรงเป็น
แจ็ค ฟรอสท์ มองหญิงสาวเบื้องหน้าพร้อมแย้มรอยยิ้มออกมาบางๆ
“เอ้า...อย่ามัวแต่คุยเพลินเจ้าหญิง ใกล้ถึงเวลาสำคัญแล้วนะ” เด็กหนุ่มพูดขึ้นพร้อมกับยกไม้เท้าในมือขึ้นเรียกให้สายลมเบาๆ พัดไปยังนาฬิกาพกที่ห้อยอยู่ติดเอวของหญิงสาวให้กระทบเข้ากับสายโซ่สีเงินยวงเป็นเสียงดัง กรุ๊ง กริ๊ง
“หือ?” อันนาเลื่อนมือมาสัมผัสที่ตัวเรือนของนาฬิกาทันทีที่รู้สึกได้ถึงแรงขยับเขยื้อนน้อยๆ นั้น ก่อนที่เด็กสาวจะยกมันขึ้นมาเปิดออกดูด้วยความเคยชิน
“ป่านนี้แล้วหรือเนี่ย!”
เข็มนาฬิกาที่กำลังเดินอยู่ในมือบอกชัด...เวลาเปิดฟลอร์เต้นรำใกล้จะมาถึงเต็มที
“เราไปเชิญราชินีเท้าไฟลงมาจากหอคอยงาช้างกันเถอะ” เด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเรือนผมสีขาวพูดกลั้วหัวเราะ...ซึ่งก็แน่นอนว่าคงไม่มีใครที่จะได้ยินเสียงห้าวๆ นั้นหรอก นอกเสียจากราชินีผู้กำลังนั่งคอยอยู่บนหอคอยงาช้างนั่นล่ะ!
และในทันทีที่ร่างบางเริ่มออกย่างไปด้นหน้า ร่างผอมๆ ในผ้าคลุมสีน้ำตาลก็ลอยละล่องตามไปติดๆ พร้อมกับไม้เท้าที่อยู่ในมือ
ได้เวลาแล้ว!
หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของเรือนผมสีบลอนซ์สูดลมหายใจเข้าเสียจนเต็มปอด...เธอมองภาพของตนเองภายในกระจกพร้อมกับแย้มรอยยิ้มอย่างนึกขัน...
วันนี้เอลซ่าอยู่ในชุดกระโปรงสีกรมท่า ที่จะพลิ้วบานราวกับดอกลำโพงยามที่หมุนตัวเต้นรำอันเป็นรูปแบบของชุดสตรีพื้นเมืองของแอเรนเดลล์ ส่วนเสื้อตัวในนั้นก็เป็นเสื้อแขนยาวพองๆ ที่ปักด้วยด้ายสีทองเด่นเป็นลวดลายอยู่ตรงปกคอตั้ง และตรงสุดปลายข้อมือ
ดูเด็กไปหน่อยหรือเปล่านะ?
ยังไม่ทันที่จะสิ้นความคิด ก็พอดีกับที่เสียงเคาะประตูอย่างสุภาพดังขึ้น
“ฉันเองเอลซ่า ได้เวลาแล้วนะ”
“เข้ามาข้างในก่อนสิอันนา พี่ไม่ได้ลงกลอน” เธอส่งเสียงตอบกลับไปเรียบๆ ก่อนที่ประตูสีขาวบานใหญ่จะค่อยๆ เปิดออกตามคำเชิญ เผยให้เห็นร่างของสตรีอีกนางที่มีเค้าหน้าคล้ายกันกับเธอ
“ไง...” สุรเสียงใสเอ่ยทักผู้มีศักดิ์เป็นน้องพร้อมรอยยิ้มบางๆ
“ไง...ว้าว เอลซ่า พี่ดู...”
“เป็นไงจ๊ะ?”
“น่ารักดีนะ”
“น่ารักหรือ?” พระขนงโก่งนั้นเลิกขึ้นนิดๆ
“ใช่...แบบว่า ดูเด็กลงน่ะ”
ดูเด็กเกินไปจริงๆ เสียด้วยสิ...
“ข้าก็บอกแล้วว่ามันแบ๊วไปหน่อยสำหรับท่าน” เสียงห้าวๆ อีกเสียงที่แทรกขึ้นมากลางคันนั้นทำให้พระเนตรวาวระยับตวัดไปยังต้นเสียงทันที
แจ็ค!
หญิงสาวรีบถอนสายตากลับก่อนจะแสร้งทำเป็นไม่สนใจไม่ว่าจะเป็นดวงตาสีฟ้ากระจ่างตาหรือรอยยิ้มกวนๆ นั่น แล้วหันกลับไปหาน้องสาวของเธอตามเดิม
“ไปกันเถอะอันนา ได้เวลาแล้วนี่ใช่ไหม?”
“ใช่เลย! ไม่สิ...เชิญเสด็จเพคะฝ่าพระบาท” เมื่อจบประโยคนั้น ผู้มีศักดิ์เป็นเจ้าหญิงก็ค้อมตัวลงถอนสายบัวอย่างงดงาม ก่อนที่จะยื่นท่อนพระกรส่งมาให้อีกฝ่าย ซึ่งเอื้อมพระหัตถ์มาแตะเบาๆ ราวกับที่ทรงปฏิบัติต่อผู้ที่เป็นขุนนาง
“ขอบใจจ้ะ...พี่หวังว่าเราจะไปกันทันเวลานะ”
“เดี๋ยวก่อนเอลซ่า!” เสียงที่ดังแทรกขึ้นมาทำให้ปลายพระบาทที่กำลังจะย่างออกนั้นชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนที่พระเนตรสีฟ้าใสจะปรายมายังผู้พูดน้อยๆ อย่างพยายามไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต
“ท่านลืมของสำคัญนะ”
ทันทีที่สิ้นประโยคนั้น มือเย็นเฉียบของใครบางคนก็ค่อยบรรจงวางมงกุฎดอกไม้องค์น้อยถวายให้บนพระเกศาสีอ่อนที่ถูกถักเป็นเปียพันรอบเพียงครึ่งพระเศียรนั้นแผ่วเบา
เด็กหนุ่มคลี่ริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มอ่อนโยน
“สุขสันต์วันแห่งการเกิดใหม่องค์ราชินี...ไว้เจอกันข้างล่างนะ”
ฉับพลันนั้นเอง ร่างผอมๆ นั้นก็ล่องลอยลับสายตาไปพร้อมๆ กับสายลมหนาวที่ยังคงทิ้งละไอเย็นบางๆ ให้สัมผัสได้...พระหัตถ์ขาวราวงาช้างนั้นเอื้อมไปแตะที่มงกุฎอย่างลืมองค์
“เอลซ่า...พี่ตื่นเต้นหรือ?”
“เปล่าจ้ะ ทำไมเธอภามอย่างนั้น”
“ก็...ฉันเห็นพี่หน้าแดงๆ” อันนาตอบพร้อมกับขมวดคิ้วนิดๆ แต่ไม่ทันไรก็คลายออก “ช่างเถอะ...ฉันเชื่อว่าพี่ต้องทำได้ดีแน่”
ริมพระโอษฐ์บางเม้มเข้าหากันนิดหนึ่ง...เมื่ออยู่ๆ ภาพรอยยิ้มอันอ่อนโยนจากคนที่มักกวนประสาทอยู่เสมอผุดขึ้นมาในห้วงความคิด...
หญิงสาวรีบผลักเอาภาพนั้นออกจากความคิดฉับไว ผลัก...แม้แต่ความรู้สึกเย็นนิดๆ ที่ยังเหมือนจะติดอยู่ตรงปลายพระเกศานั้นออกไปด้วย
ยังมีงานต้องทำ!
ริมพระโอษฐ์สีสดแย้มออกเป็นรอยสรวลกว้าง ก่อนที่วรองค์แบบบางจะยืดตรงขึ้นอย่างงามสง่าสมฐานะ
สายเลือดขัตติยะมักเป็นเช่นนี้...ไม่ว่าจะอยู่ในเสื้อผ้าหรือเครื่องแต่งกายแบบใดก็ยังคงทรงไว้ด้วยศักดิ์ ตำแหน่งราชินีนั้น...เกิดด้วยหน้าที่ และคงอยู่ด้วยหน้าที่!
ดวงเนตรสีฟ้าทอประกายคมกล้าเยือกเย็น จนราวกับจะแผ่ละไอเย็นวาบให้ทุกพื้นหินที่เธอย่างผ่าน ให้เสาทุกต้นที่คงเป็นเส้นตรง และให้รูปทุกรูปที่แขวนเรียงรายนั้นได้ซึมซับ...รับรู้
ราชินีแห่งเหมันตฤดูเสด็จแล้ว!
ลานหน้าปราสาทคลาคล่ำไปด้วยผู้คน
วรองค์โปร่งบางในภูษาสีกรมท่านั้นถอนพระปัสสาสะน้อยๆ
ได้เวลาแล้ว…
ราชินีหิมะประสานพระหัตถ์ไว้ด้านหน้า ก่อนที่จะเสด็จออกจากตัวปราสาทอย่างแช่มช้า...อาการที่พระศอตั้งตรงประกอบกับสายพระเนตรที่เยือกเย็นสุขุมทำให้วรองค์แบบบางนั้นแลดูสง่างามอย่างนางพญา
ผู้คนที่รายล้อมอยู่รอบบริเวณต่างพากันยอบตัวลงทำความเคารพทันทีราวนัดกันไว้...ริมโอษฐ์สีสดนั้นแย้มออกเป็นรอยพระสรวลบางก่อนที่จะเสด็จไปจนถึงใจกลางของลานเต้นรำ
เสียงดนตรีที่เงียบหายไปเริ่มบรรเลงขึ้นอีกครั้ง...จังหวะที่ครื้นเครงสนุกสนานของเพลงพื้นเมืองทำให้บรรยากาศรอบข้างสดใสขึ้นทันที เอลซ่าค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงแผ่วเบา...ปล่อยให้ร่างกายทุกส่วนขยับไปตามจังหวะของดนตรี
น่าแปลกที่เธอไม่รู้สึกตื่นเต้นเลยสักนิด ราวกับว่าเคยคุ้นกับมันมาแสนยาวนาน...
แล้วภาพของใครคนหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในพระทัย...ใครคนนั้น ที่ดูเหมือนจะเริ่มเข้ามารบกวนอยู่ในห้วงความคิดอย่างยากที่จะสลัดออก
เธอยังคงจำได้ ทั้งละไอเย็นจางๆ และรอยยิ้มอ่อนละมุนราวสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิที่ปัดเป่าความเอาหนาวเย็นทั้งหมดให้หายไปในพริบตา...
เหอะ...ดูเอาเถอะ ใครจะไปคิดกันว่าคนที่สอนเธอเต้นรำต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ จะเป็นภูติแห่งฤดูหนาวเชียวนะ!
ริมฝีปากสีชมพูขยับเป็นรอยยิ้มกว้างขึ้นเมื่อถึงจังหวะที่ต้องหมุนตัว กระโปรงยาวสีกรมท่าพลิ้วบานเผยให้เห็นลายปักสีทองที่กระทบเข้ากับแสงแดดเป็นประกายระยับ
มนตราแห่งฤดูใบไม้ผลิกำลังร่ายรำ...ฤดูหนาวจบสิ้นแล้ว
พระเนตรสีใสเต็มเปี่ยมไปด้วยแววแห่งความอ่อนโยนปรานี รอยพระสรวลหวานเรื่อยถูกส่งประทานให้กับทุกคนที่มาร่วมงาน จนไม่มีสายตาคู่ใดเลยที่จะสามารถละออกจากภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าได้
ความอบอุ่นอ่อนหวานแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ ก่อนที่กลีบดอกไม้หลากสีจะถูกโปรยลงมาพร้อมกันจากระเบียงด้านหน้าของพระราชวัง...ช่วยขับให้บรรยากาศยิ่งแลดูงดงามราวภาพฝัน
และทันทีที่เสียงดนตรีหยุดลง เสียงปรบมืออย่างชื่นชมก็ดังก้อง พร้อมๆ กับวรองค์บางที่ยอบตัวลงตอบรับอย่างงดงามที่สุด...
แต่ทันใดนั้นเอง! แสงแดดที่เคยเปล่งประกายสดใสก็กลับสลดแสงลงอย่างฉับพลัน...เสียงฟ้าร้องครืนครั่นอย่างไม่น่าเป็นไปได้เข้ามาแทนที่ พร้อมๆ กับแสงสว่างวาบที่แลบปลาบแทรกผ่านกลีบเมฆลงสู่พื้นดินเป็นเสียงดังสนั่น!
ดวงตาทุกคู่ต่างพากันจ้องมองปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยแววตาตื่นตระหนกระคนสงสัย....
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
และก่อนที่ใครสักคนจะทันส่งเสียงร้องหรือวิ่งหนี...บรรยากาศรอบข้างก็มืดมิดลงฉับพลัน ก่อนที่ผิวกายของทุกคนจะสัมผัสได้ถึงละไอเย็นเยือกแฝงแววมุ่งร้าย ซึ่งพุ่งปราดราวกับจะชำแรกผ่านเข้าไปถึงในกระดูก
ฝันหวานแห่งฤดูใบไม้ผลิถูกฉีกทึ้งจนขาดกระจายด้วยพายุหิมะที่โหมกระหน่ำอย่างผิดธรรมชาติที่สุด!
“เอลซ่า!” เสียงใสร้องเรียกผู้เป็นพี่สาวดังก้อง ก่อนที่ร่างในชุดพื้นเมืองสีน้ำเงินจะถลาเข้ามาคว้าแขนของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น
“เอลซ่า...พี่ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ไม่! แล้วเธอล่ะ”
“ฉันไม่เป็นไร...” อันนาพูดเสียงดัง แต่ก็ยังไม่เท่าเสียงของสายลมแรงที่พัดอู้อยู่ตรงข้างหู “นี่มันอะไรกัน?”
“พี่ก็ไม่รู้...” เอลซ่ากระซิบเสียงแผ่ว...พร้อมกับมองไปยังภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าด้วยดวงตาเบิกกว้าง
และก่อนที่ขวัญซึ่งหนีหายจะทันได้กลับคืนสู่องค์...ละไอเย็นวาบก็พุ่งปราดเข้าจับกับพื้นหินสีอ่อนของลานเต้นรำจนกลายเป็นผลึกน้ำแข็งขนาดใหญ่ไปในพริบตา พร้อมๆ กับลมหนาวอีกระลอกที่พัดโหมเข้ามาจนรอบด้านมัวซัวไปหมด
“เป็นไปไม่ได้...” ราชินีหิมะทอดพระเนตรยังพื้นหินใต้พระบาทที่บัดนี้กลายเป็นลานน้ำแข็งด้วยดวงเนตรที่เผยแววแห่งความสับสนเด่นชัด
เธอรู้จักมันดี!
ทั้งละไอเย็นเยียบ ทั้งเกล็ดน้ำแข็ง ทั้งหิมะที่โปรยปรายลงมาอย่างผิดฤดูกาล...
พลังเหมันต์!
และท่ามกลางม่านหมอกที่แสนจะมืดมนพร้อมกับเสียงอึงอลราวกับจะทำให้แก้วหูแตกออกเป็นเสี่ยงๆ นั้น...เสียงหัวเราะแหลมเล็กของสตรีนางหนึ่งก็ดังก้องขึ้น!
มันเป็นเสียงที่ฟังดูเกรี้ยวกราดสะใจ มากกว่าจะเป็นเสียงที่แสดงออกถึงความรื่นรมย์ จนเอลซ่าขนลุกซู่...
ท่ามกลางม่านสีเทาหม่นของพายุหิมะ ปรากฏให้เห็นร่างของสตรีนางหนึ่งชัดขึ้นทุกทีๆ
ราชินีแห่งแอเรนเดลล์ตรึงแน่นอยู่กับที่ราวโดนสาป...ภาพฝันที่เคยหลงลืมไปแล้วหวนกลับคืนมาอีกครั้งราวกับหนังที่ถูกฉายซ้ำใหม่
ความฝันนั่น!
เป็นไปไม่ได้! สุรเสียงในดวงจิตกรีดร้องลั่น แม้ว่าภายนอกนั้นจะพยายามฝืนกดให้เยือกเย็นสักแค่ไหน...ทั้งหมดนี่มันเป็นแค่ความฝัน...แค่ความฝัน!
ฉับพลันนั้นเอง...เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดผวาก็ดังก้องขึ้น เรียกให้พระเนตรทั้งสองคู่ต่างตวัดไปจับยังที่มาของเสียงนั้นแทบจะทันที และภาพที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้านั้น ก็ทำให้สองราชนิกูลแทบจะลืมไปว่าตนยังคงมีลมหายใจ....
สตรีนางหนึ่งในชุดพื้นเมืองสีแดงสด...คงจะเป็นสตรีคนเดียวกันกับที่เคยหัวเราะ เคยเต้นรำ และเคยส่งรอยยิ้มอ่อนหวาน...
แต่เพียงชั่ววินาทีที่หัตถ์เรียวยาวขาวซีดนั้นตวัด ร่างแบบบางที่เคยประกอบขึ้นด้วยเลือดเนื้อก็กลับกลายเป็นก้อนน้ำแข็งกระด้างซึ่งสีหน้าและท่าทางบ่งบอกถึงความหวาดกลัวถึงขีดสุด!
“ไม่!!” เอลซ่าร้อง พร้อมๆ กับร่างที่ทรุดลงสู่พื้นหินด้านล่างราวกับว่าขาทั้งสองข้างจะสูญสิ้นเรี่ยวแรงทั้งหมดไปแล้ว
“เอลซ่า!”
มือทั้งสองของผู้เป็นน้องรีบคว้าหัวไหล่ของพี่สาวเอาไว้ฉับพลัน ก่อนที่ร่างนั้นจะกระแทกลงกับพื้นน้ำแข็งเย็นเฉียบ...แล้วพยายามเขย่าเพื่อเรียกสติของอีกฝ่าย
“ใจเย็นๆ ก่อนสิ น้ำแข็งแค่นี้ แค่ตวัดมือสักทีสองทีพี่ก็ละลายได้หมดแล้วไม่ใช่หรือ”
“ไม่...ไม่ อันนา เธอไม่เข้าใจ ผู้หญิงคนนั้นน่ะ...”
ยังไม่ทันที่จะสิ้นประโยค เกลียวพายุหิมะก็พุ่งตรงเข้าปะทะร่างของเจ้าหญิงแห่งแอเรนเดลล์เต็มแรง จนวรองค์แบบบางนั้นผงะหงายไปชนเข้ากับเสาห้อยโคมระย้าที่ตั้งเด่นอยู่กลางลานเต้นรำอย่างไม่อาจควบคุมได้
“โอ๊ย!” ความเจ็บแปลบที่แล่นขึ้นมาจากกลางแผ่นหลัง ทำให้อันนาทำไม่ได้แม้แต่จะพยุงตัวให้ลุกขึ้น
“อันนา!” เอลซ่ารีบปราดไปยังผู้เป็นน้องสาวทันที แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้เข้าใกล้เพื่อประคองร่างน้อยนั้นให้ยืนขึ้น เสียงกระทบกันของเกล็ดน้ำแข็งที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นใกล้ๆ ก็ทำให้พระเนตรสีใสนั้นต้องตวัดกลับไปมอง...
ความเย็นเยียบพุ่งเข้ากะกุมในดวงจิต...
เบื้องหน้าของเธอ คือสตรีผู้เป็นเจ้าของเรือนผมสีขาวตัดกับภูษาสีดำสนิท...ดวงตาที่กำลังจับจ้องตรงมานั้นเป็นสีขาวเลื่อมแววเงินอย่างประหลาดเปล่งประกายทรงอำนาจ พร้อมๆ กับริมฝีปากซีดเขียวที่แสยะออกเป็นรอยยิ้มชวนขนลุก
“ในที่สุดเราก็ได้พบกัน! ธิดาแห่งซอนย่า”
เอลซ่ากลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น เธอกำมือทั้งสองเข้าหากันแน่นราวกับพยายามจะหาที่ยึดเหนี่ยว...ก่อนที่สุรเสียงใสนั้นจะประกาศก้อง
“เธอเป็นใคร?”
“ข้าเป็นใคร?” อีกฝ่ายกล่าวทวนคำถาม ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะแสยะออกกว้างขึ้นพร้อมๆ กับเสียงหัวเราะเกรี้ยวกราดที่ราวกับจะชำแรกเข้าไปในทุกสรรพสิ่ง “ฟังเข้า! ฟังเข้าสิ...ฟังนาง!”
ปลายเท้าเปลือยเปล่านั้นค่อยย่างเข้ามาใกล้ ดวงตาสีขาวนั้นปรากฏให้เห็นจุดกึ่งกลางภายในที่กลายเป็นสีแดงฉาน
“ข้า! คือสโนว์ควีน...ราชินีน้อย และข้ามาที่นี่เพื่อทวงของของข้าคืน!”
ก่อนที่เอลซ่าจะทันได้ขยับตัว ลมหมุนเย็นเฉียบก็พัดพาร่างของเธอให้ลอยขึ้นจากพื้นดิน ตามมาด้วนเกล็ดน้ำแข็งสีขุ่นที่ก่อตัวเข้าหากันรวดเร็วกลายเป็นโซ่ตรวนขนาดใหญ่ที่พันธนาการข้อมือทั้งสองข้างของเธอเอาไว้กลางอากาศ
ดวงตาสีฟ้าใสเบิกกว้างด้วยความตระหนก...หญิงสาวพยายามที่จะขัดขืนอย่างสุดแรง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ทำให้ตรวนน้ำแข็งนั้นระคายเลยแม้แต่นิด
“อย่าดิ้นนักเลยสาวน้อย...เดี๋ยวข้อมือเจ้าก็ได้ช้ำหมดเท่านั้น” สโนว์ควีนเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ก่อนที่นางจะลากนิ้วมือเย็นเฉียบไปตามใบหน้าของเอลซ่าช้าๆ
“ใบหน้าของเจ้านี่...ช่างทำให้ข้านึกถึงเมื่อร้อยปีก่อนเสียจริง”
“ร้อยปีงั้นหรือ?”
“เหอะ!” ฉับพลันนั้นเอง หัตถ์ซีดขาวก็บีบเข้าที่พวงแก้มทั้งสองข้างของหญิงสาวเต็มแรง “ใช่! ร้อยปี! ร้อยปีที่ข้าต้องทนทรมานอยู่ในปราการน้ำแข็งโง่ๆ นั่น!”
เสียงแหลมนั้นเกรี้ยวกราดขึ้น พร้อมๆ กับเสียงของสายฟ้าที่ฟาดเปรี้ยงราวกับจะขานรับกัน
“แต่ทุกอย่างก็จะสิ้นสุดลงในวันนี้...” แล้วปลายนิ้วขาวเรียวก็วาดลงมาประทับที่กึ่งกลางพระนลาฏ “ถ้าหากจะโทษ ก็จงโทษบรรพบุรุษของเจ้าเสียเถอะยัยหนู”
ในวินาทีนั้นเอง ความเย็นยะเยียบก็พุ่งปราดออกจากปลายนิ้วขาวซีดแล้วแล่นพล่านไปทั่วร่างของหญิงสาวจนกายเธอสั่นสะท้าน เอลซ่ารู้สึกราวกับถูกเข็มแหลมนับพันๆ เล่มระดมจิ้มไปทั่วทั้งร่างจนสุรเสียง ที่เคยหวานอยู่เป็นนิจกรีดร้องออกมาอย่างเกินที่จะอดทนต่อไปได้!
ความหนาวเย็นที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนเข้าครอบงำไปทุกส่วน...ราชินีหิมะหรี่พระเนตรลงอย่างอ่อนระโหย สติสัมปชัญญะที่เคยมีถูกกลืนหายไปจนหมด ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะชาด้านไร้ความรู้สึกใดราวกับว่าเป็นร่างกายของคนอื่น...
“เอลซ่า!!”
เสียงนั้นเองที่รั้งพระสติสุดท้ายของราชินีแห่งแอเรนเดลล์เอาไว้
ริมพระโอษฐ์บางขยับนิดๆ ราวกับจะเอ่ยเรียกชื่อของผู้เป็นน้อง ก่อนที่หญิงสาวจะพยายามเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งทั้งสองข้างขึ้นอย่างยากเย็น...
ตอนนั้นเองที่สุรเสียงใสแจ๋วของเจ้าหญิงอันนาตวาดก้อง
“ปล่อยพี่สาวของฉันเดี๋ยวนี้นะ!”
ทันทีที่สิ้นประโยคนั้น ก้อนหิมะขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือก็ลอยหวือตรงเข้าสู่ใบหน้าของสโนว์ควีนอย่างพอดีที่สุดราวจับวาง! แต่ด้วยความเร็วที่เท่าเทียมกัน...กำแพงน้ำแข็งบางๆ ก็ก่อตัวขึ้นกลายเป็นโล่ที่ปกป้องร่างขาวซีดนั้นไว้แทบจะทันที ก่อนที่ดวงเนตรเลื่อมเงินเป็นประกายคู่นั้นจะตวัดมายังเด็กสาวผู้กำลังจ้องตอบกลับด้วยสายตาที่ไม่กลัวเกรง...ริมฝีปากสีซีดแสยะออกเป็นรอยยิ้มอีกครั้งก่อนที่จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็น
“เจ้าหญิงน้อย...ช่างกล้าหาญสมคำร่ำลือ”
“ฉันบอกให้ปล่อยเธอเดี๋ยวนี้!”
“แหม...อย่าเพิ่งใจร้อน...” ปลายเท้าเปลือยเปล่าคู่นั้นเหยียบย่างขึ้นกลางอากาศ ก่อนที่ร่างในภูษาสีดำสนิทจะเคลื่อนปราดมาอยู่ตรงเบื้องหน้าของเด็กสาวรวดเร็ว “อันที่จริงเจ้าควรที่จะขอบคุณข้ามากกว่านะ...ถ้าสิ้นพี่สาวเจ้า แล้วใครล่ะจะได้เป็นราชินี?”
เสียงพูดนั้นเจือด้วยเสียงหัวเราะนิดๆ ก่อนที่นางจะก้มลงกระซิบที่ข้างหูของเด็กสาว
“ก็เจ้าไง!”
“ฉันไม่เคยคิดเรื่องแบบนั้น!”
อีกฝ่ายยกไหล่ขึ้นนิดๆ อย่างจงใจยั่วโทสะ
“ก็ไม่ยากหากจะลองดู...บางทีเจ้าอาจนึกชอบก็ได้นะ”
แล้วเสียงหัวเราะสะใจก็กังวานก้องอีกครั้ง พร้อมกับเสียงของพายุที่หวีดหวิวราวเสียงกู่ร้องของปีศาจ!
ตุ้บ!
สรรพเสียงอันน่าสยดสยองถูกขัดเข้ากลางลำด้วยเสียงของกระสุนหิมะที่ปะทะเข้ากับใบหน้าซึ่งกำลังเงยหน้าหัวเราะอย่างสะใจนั้นเต็มแรง...
เด็กสาวผู้เป็นเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลบลอนซ์ขยับรอยยิ้มที่มุมปาก ส่งผลให้ใบหน้านั้นดูละม้ายผู้เป็นพี่สาวไม่มีผิด
“อุ๊บส์...ขอโทษทีนะ มือลื่น” เจ้าตัวพูดกลั้วหัวเราะ พร้อมกับเดาะบอลหิมะลูกถัดไปในมือ แต่ยังไม่ทันที่กระสุนหิมะลูกนั้นจะถูกปล่อยไปด้วยแรงของของผู้ถือ ละไอเย็นวาบแฝงแววมุ่งร้ายก็ปะทะเข้ามาเสียก่อน
“ช่างกล้านัก! ก็ได้เจ้าหญิง...ถ้าเจ้าอยากเล่น ข้าก็จะยอมเล่นเป็นเพื่อน!”
สิ้นเสียงนั้น เกล็ดน้ำแข็งที่จับตัวกันอยู่บนพื้นก็ลั่นเป็นเสียงเปรี๊ยะ ก่อนที่แท่งน้ำแข็งรูปหนามแหลมจะผุดขึ้น แล้วพุ่งเข้าใส่ร่างของเจ้าหญิงอันนาอย่างมุ่งหมายจะเอาชีวิต
เด็กสาวรีบยกแขนทั้งสองข้างขึ้นป้องกันตามสัญชาตญาณ แต่ก่อนที่หนามแหลมพวกนั้นจะทันได้สะกิดถึงพระวรกาย กำแพงน้ำแข็งขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเสมือนโล่ที่คอยปกป้องร่างแบบบางนั้นเอาไว้พอดิบพอดี!
“พี่หญิง...” อันนาเอ่ยเรียกผู้เป็นพี่สาวแผ่วเบา ก่อนที่ดวงตาสีฟ้าอมเขียวจะตวัดไปยังร่างที่ถูกพันธนาการเอาไว้กลางอากาศ
“อย่า...ยุ่งกับเธอ...”
ราชินีแห่งแอเรนเดลล์ขยับพระโอษฐ์ยากเย็น หากพระเนตรโชนกล้า
“ใช้ได้นี่....” ริมฝีปากสีซีดนั้นแสยะออก “ข้านึกว่าเจ้าจะไม่มีแรงแล้วเสียอีก”
สิ้นคำนั้น ร่างในชุดสีดำทมิฬก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ ก่อนที่จะคว้าใบหน้าของหญิงสาวให้เงยขึ้น
“เจ้าคงจะไม่รู้หรอก...ว่าข้ารู้สึกสะอิดสะเอียนแค่ไหน ที่พลังเหมันต์ต้องมาไหลเวียนอยู่ในกายของยัยเด็กมนุษย์อย่างเจ้า...มาสะสางธุระของเราให้จบๆ กันไปดีกว่า!”
แต่ก่อนที่ปลายนิ้วขาวซีดนั้นจะประทับลงมาบนหน้าผากนวลอีกครั้ง...ละไอเย็นก็พวยพุ่งออกจากฝ่ามือทั้งสองของหญิงสาว ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นลมหมุนรุนแรงตรงเข้ากระแทกกับโซ่ตรวนน้ำแข็งทั้งสองข้างจนแหลกกระจาย...
และทันทีทีที่พระหัตถ์คู่น้อยหลุดพ้นจากพันธนาการ มนตราบทใหม่ก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาจากนิทรา...พื้นน้ำแข็งที่ลาดอยู่ใต้ฝ่าเท้าลั่นครืนราวกับบริวารที่ตอบรับคำสั่ง ก่อนที่เกล็ดน้ำแข็งรูปหอกแหลมน่ากลัวจะผุดพุ่งขึ้นมาแล้วตรงเข้าใส่เป้าหมายเพื่อพิฆาตศัตรูของผู้เป็นนายอย่างฉับพลัน!
หมอกหิมะสีขุ่นปลิวคลุ้งไปทั่ว...เสียงหัวเราะแหลมเล็กดังเสียดแทงขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนที่ฝ่ามือซีดขาวจะยกขึ้นตวัด ก่อให้เกิดเป็นลมหมุนรุนแรงพุ่งตรงเข้าปะทะกับหอกน้ำแข็งที่เคลื่อนปราดเข้ามาใกล้จนแตกกระจายกลายเป็นเศษน้ำแข็งที่ร่วงลงสู่เบื้องล่าง
“ต้องอย่างนี้สิถึงจะเรียกว่าพลังเหมันต์!”
ดวงตาสีเงินยวงนั้นฉายประกายแห่งความสนุกสนานและโหดเหี้ยม ก่อนที่ผู้เป็นเจ้าของจะเรียกหอกน้ำแข็งสีเทาขุ่นให้ผุดพุ่งขึ้นมาจากทั่วทุกสารทิศ และตรงเข้าโจมตีราชินีแห่งแอเรนเดลล์พร้อมกัน!
ดวงตาสีฟ้าใสกวาดมองไปรอบกายด้วยสายตาที่ส่อประกายเกรี้ยวกราดอย่างพร้อมที่จะทำลายเต็มที่ ก่อนที่หัตถ์ขาวทั้งสองข้างจะตวัดวาดขึ้นพร้อมกัน เกิดเป็นสายลมปนเกล็ดหิมะที่โหมพัดอย่างบ้าคลั่งและตรงเข้าหักทำลายปลายหอกแหลมที่หมายจะทำร้ายนั้นในคราวเดียว
และในชั่ววินาทีนั้น...หัตถ์ข้างหนึ่งก็เรียกเอาเกล็ดหิมะให้มาหลอมรวมกันจนกลายเป็นดาบน้ำแข็งสีใส ซึ่งถูกกระชับแน่นโดยมือน้อยที่เคยจับแต่เพียงด้ามปากกา...แล้วตวัดวาดเข้าใส่ปลายหอกน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่พุ่งเข้ามาจากเบื้องหน้าจนหักสะบั้นไม่มีชิ้นดี!
“ไม่เลว...ไม่เลวจริงๆ” น้ำเสียงที่เอ่ยนั้นบ่งบอกความพึงพอใจเต็มที่ พร้อมๆ กับประกายในแววตาที่กระหายหาการต่อสู้ “สมแล้วที่เป็นผู้สืบทอดพลังแห่งข้า...นี่แหละตัวตนของเจ้าสาวน้อย ตัวตนที่เป็นปีศาจเหมือนกับข้า!”
เสียงฟ้าร้องครืนครั่นขึ้นอีกครั้ง พร้อมๆ กันกับหัตถ์ขาวนวลที่ตวัดวาดขึ้น เตรียมที่จะออกคำสั่งให้หิมะที่เป็นพรมขาวอยู่ด้านล่างหลอมรวมเข้าด้วยกันเป็นร่างของปีศาจหิมะขนาดใหญ่ เพื่อกลืนกินคนที่เธอหมายว่าเป็นศัตรูนั้นให้สิ้นซาก...
ภาพในความคิดแสนว่างเปล่าขาวโพลน...จะมีก็แต่ประกายกล้าแห่งความกลัวซึ่งผันเปลี่ยนเป็นความโกรธฉายชัดอยู่ในแววตา
แต่ก่อนที่มนต์บทนั้นจะส่งผลอย่างบริบูรณ์ ฝ่ามือขาวๆ ของใครบางคนก็เตรงเข้ามารั้งข้อมือข้างน้อยไว้จากทางด้านหลัง...
“หยุดเถอะเอลซ่า...พอได้แล้ว” เสียงห้าวๆ อันแสนคุ้นเคยที่ดังขึ้นข้างหู ส่งผลให้ดวงตาที่กำลังคุกรุ่นคู่นั้นตวัดกลับไปมองทันที
“ปล่อยมือฉันเดี๋ยวนี้!”
“ข้าไม่ปล่อย!” เสียงที่โต้ตอบกลับมานั้นดุเดือดไม่แพ้กัน “ท่านอยากจะเป็นปีศาจอย่างที่นางว่าเอาไว้หรือไง!”
เอลซ่านิ่งขึงไปทั้งทีราวกับถูกน้ำเย็นเฉียบสาดเข้าใส่...หญิงสาวค่อยลดมือของตนลงและถอนมนตราที่เคยปลดปล่อยออกไปอย่างไร้สตินั้นกลับ...
“ฉัน...ฉันไม่...”
มือขาวรีบกระชับพระหัตถ์นวลที่มีอาการสั่นน้อยๆ นั้นแน่นราวกับจะพยายามถ่ายทอดพลังและกำลังใจทั้งหมดไปให้
“ไม่เป็นไรเอลซ่า...ไม่เป็นไร”
“แหม...นึกว่าใครที่ไหน ที่แท้ก็ แจ็ค ฟรอสท์ นี่เอง” เสียงที่เอ่ยเรียก ‘แจ็ค ฟรอสท์’ นั้นปนรอยหยันอย่างชัดเจน แต่ดูเหมือนว่าผู้เป็นเจ้าของนามจะไม่ได้ยี่หระอะไรนัก
“ไม่ได้พบกันตั้งนาน...แต่ยังมีงานอดิเรกโรคจิตเหมือนเคยเลยนะมาดาม...”
“เหอะ...” สโนว์ควีนมองเด็กหนุ่มท่าทางกวนๆ ตรงหน้าก่อนที่จะเผยรอยยิ้มหยัน “เจ้ามันก็ยังเป็นแค่ภูติกระจอกปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเหมือนเคยเช่นกัน”
แจ็คเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ก่อนจะยิ้มเผล่ด้วยท่าทางกวนประสาท
“ก็ยังดีกว่าคุณป้าปากเขียวอย่างท่านล่ะมั้ง?”
“เลิกยียวนเสียที!” เสียงของอีกฝ่ายตวาดก้องราวฟ้าผ่า “ส่งราชินีมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
แจ็คจุ๊ริมฝีปากสองสามครั้งพร้อมกับส่ายหน้า
“พูดอะไรอย่างนั้น นางไม่ใช้ตุ๊กตาซะหน่อยข้าถึงจะส่งให้ท่านได้น่ะ”
ดวงตาสีเงินนั้นเป็นประกายวาบขึ้นมาแว่บหนึ่ง ก่อนที่เสียงหัวเราะเล็กแหลมจะกรีดขึ้นอีกครั้ง
“นี่ข้าคงต้องหูฝาดไปแน่...ภูติกระจอกที่แม้แต่ทำให้มนุษย์มองเห็นก็ยังทำไม่ได้อย่างเจ้า เกิดนึกอยากจะทำตัวเป็นฮีโร่ขึ้นมาหรือยังไง น่าขันสิ้นดี!”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเข้าหาหันเป็นแน่นทันทีเมื่อได้ยินคำพูดที่ตั้งใจจะให้กระทบเข้ากับปมด้อยในจิตใจนั่น...
“ส่งนางมา แจ็ค ฟรอสท์! ไม่ฉลาดนักหรอกนะที่จะคิดเป็นปฏิปักษ์กับข้า”
“ก็ไม่ฉลาดเท่าไหร่เหมือนกันนะ ที่คิดจะยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น!” ทันทีที่สิ้นคำพูดนั้น ลมหนาวปนเกล็ดหิมะก็พุ่งออกจากปลายไม้เท้าของเด็กหนุ่ม ก่อนตรงเข้าปะทะกับโคมไฟระย้าที่ตั้งอยู่บนเสาสีดำขนาดใหญ่เต็มแรง จนตะเกียงน้ำมันขนาดใหญ่ที่ถูกตั้งไว้กับฐานบนสุดนั้นหกรดลงมายังร่างในชุดกระโปรงยาวสีดำเกิดเป็นเปลวเพลิงสว่างจ้าซึ่งทำให้หิมะที่อยู่ด้านล่างละลายหายไปสิ้น
เสียงแหลมเล็กของสโนว์ควีนกรีดร้องลั่น พายุหิมะที่เคยกระหน่ำไปทั่วบริเวณพลันหายไปหมด ก่อนที่เสียงหัวเราะอย่างเจ็บแค้นใจจะดังสวนขึ้นมาแทนที่
“แล้วเราจะได้เห็นดีกัน แจ็ค ฟรอสท์! ส่วนเจ้า...ธิดาแห่งซอนย่า เจ้าไม่มีทางที่จะหนีข้าพ้นไปได้...จงจำเอาไว้ให้ดี!” สิ้นประโยคนั้น ร่างขาวซีดในชุดสีดำทะมึนก็อันตรธานหายไปราวกับอากาศธาตุ เหลือเอาไว้เพียงเศษซากแห่งความเสียหาย และอากาศที่หนาวจับใจราวกับอยู่ในช่วงกลางฤดูหนาวที่ทรมานที่สุดในรอบปี
“นาง...นางไปแล้วหรือ?” เสียงของเอลซ่าสั่นพร่านิดๆ
“ฮื่อ...แต่คงไม่ถาวรหรอก ยัยป้านั่นน่ะหนังเหนียวอย่างกับอะไรดีเชียวล่ะ”
ริมฝีปากสีสดเผยเป็นรอยยิ้มเหนื่อยอ่อน ก่อนที่ร่างบางจะทรุดฮวบลงทันทีอย่างไร้สิ้นเรี่ยวแรง
“เอลซ่า!”
อ้อมแขนที่เจือด้วยไอเย็นจางๆ นั้นรีบกางออกรองรับร่างของหญิงสาวที่เกือบจะล้มลงไปกองอยู่กับพื้น
“ขอบใจ...” หญิงสาวพึมพำเบาๆ เรียกรอยยิ้มน้อยๆ ให้ผุดขึ้นบนใบหน้าของอีกฝ่าย
"ด้วยความยินดี แหม...นึกไม่ถึงเลยนะว่าข้าจะได้รับคำขอบคุณจากท่านแบบนี้"
นัยน์ตาสีฟ้าใสคู่นั้นตวัดขึ้นมองเด็กหนุ่มแว่บหนึ่ง ก่อนที่เสียงหวานจะกลับมาออกคำสั่งอย่างทรงอำนาจอีกครั้ง พร้อมๆ กับอาการรักษาระยะห่างอย่างไว้ตัว คงเหลือก็แต่เพียงมือน้อยที่ยังคงยึดท่อนแขนซีดๆ ข้างนั้นเอาไว้แน่นเพราะผู้เป็นเจ้าของชักจะทรงตัวไม่ค่อยอยู่
"พาฉันไปหาอันนาที"
แจ็ค ฟรอสท์ โคลงหัวนิดๆ ให้กับมาดราชินีของหญิงสาวตรงหน้า ก่อนที่จะออกเดินนำไปช้าๆ พร้อมๆ กับร่างบางซึ่งสัมผัสจากมือบอกชัดว่าต้องใช้ความพยายามมากเพียงใดเพื่อให้เดินได้เป็นปกติ
****
ความคิดเห็น