ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : กูจะไม่แดกเหล้าอีกแล้ว!!!
กูจะไม่แดกเหล้าอีกแล้ว!!!
ถ้าคุณไม่เคยกินเหล้า คุณก็จะไม่มีวันเข้าใจหัวอกของคนกินเหล้า และถ้าคุณกินเหล้าแล้วไม่เคยเมา คุณก็จะไม่เคยรับรู้ความรู้สึกของคำ ๆ นี้ คำที่ผมเชื่อว่าทุกคนที่เคยเมาจะต้องเคยผุดคำ ๆ นี้ไว้ในใจ “กูจะไม่แดกเหล้าอีกแล้ว”
    สำหรับคนกินเหล้า เมื่อเหล้าแก้วแรกเข้าปากก็เป็นธรรมดาบ้างที่จะรู้สึกขม แล้วก็สะดุ้งตัวสั่นนิดหน่อย แต่เมื่อกินไปเรื่อย ๆ แล้วความขมก็เริ่มเปลี่ยนเป็นความหวานกลมกล่อมยากที่จะหาน้ำวิเศษจากหนใดมาเทียบเคียงได้    
    หลังจากผมกินเหล้าผมเป๊ปซี่ได้ระยะหนึ่ง ผมก็เริ่มรู้สึกว่ารสชาติของเหล้ามันหวานเกินไป และสีดำ ๆ ในแก้วมันดูอ่อนเบบี้เกินไป ผมเริ่มคิดได้ว่าการกินเหล้าผสมเป๊ปซี่นั้นมันโชว์ความอ่อนด้อยประสบการณ์ในการกินเหล้าของเรา เพราะผมเริ่มได้เรียนรู้ว่าคนที่เริ่มกินเหล้าใหม่ ๆ มันเริ่มจากการผสมเป๊ปซี่ ส่วนผมกินมาได้สักระยะแล้ว เลเวลของผมต้องพัฒนาขึ้นตามอายุแก้วที่ยกกระดกเข้าปาก แต่ผมก็ยังไม่ได้คิดเปลี่ยนส่วนผสมในแก้วอย่างกระทันหัน จนกระทั่งเห็นน้องหน้าละอ่อนคนหนึ่งกำลังนั่งรินเหล้ผสมเป๊ปซี่ จึงย้อนกลับมาดูแก้วตัวเองว่าเราควรเปลี่ยนตัวเองไปสู่สิ่งที่ดีกว่าได้แล้ว
    เหล้าแก้วแรกของผมที่ผสมโซดาน้ำเริ่มต้นจากในคืนที่เป๊ปซี่หมดไปจากวง เพื่อน ๆ ผมบางคนกินเหล้าผสมโซดาน้ำล่วงหน้ามาก่อนหลายช่วงตัวแล้ว ผมคิดว่าคงไม่เสียหายอะไรที่จะเปลี่ยนจากเป๊ปซี่มาเป็นโซดาน้ำอีกทั้งเพื่อนผมยังบอกว่า ถ้ากินผสมโซดาน้ำจะเมาช้ากว่ากินผสมเป๊ปซี่ เพราะว่าความหวานจากเป๊ปซี่จะทำให้เหล้าซึมเข้ากระแสเลือดและดูดซึมได้ดีกว่า และเมาเร็วกว่า ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าทฤษฏีดีของมันจะมั่วหรือเปล่า แต่จะมั่วหรือไม่มั่วผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรแล้ว เพราะโซดาน้ำแก้วแรกได้ถูกผสมและเทลงลำคอไปแล้ว
    สัตว์!!! ขมฉิบหาย ผมสบถในใจเมื่อราดเหล้าลงคอ หลับตาปี้ทำท่าเกือบจะอ๊วกออกมา เพื่อนทั้งวงพากันหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ได้ด้วยอาการกลัวเสียหน้าอายเพื่อน ผมจึงกลั้นหายใจ ทำใจดีสู้เสือยกกระดกฝืนกินจนหมดแล้วในรวดเดียว พอหมดก็ชูแก้วขึ้นสูง ๆ แล้วกระแทกลงโต๊ะพอมีเสียง ประกาศศักดาให้เพื่อน ๆ เป็นอันให้รู้กันว่าหมดแล้วโว้ย!!!
ประสบการณ์ครั้งแรกในการกินเหล้าผสมโซดาน้ำมันเริ่มต้นด้วยความขมขื่น แต่พอกินไปเรื่อย ๆ มันก็เปลี่ยนจากขมขื่นเป็นความหวานลิ้นราบรื่น ความสนุกเริ่มทะลักเข้ามาจากคำพูดทุกคำที่หลุดออกจากปากเมื่อผมเทเหล้า โซดาน้ำใส่กระแสเลือดจนตัวชา ผมและเพื่อน ๆ ต่างสรรหาเรื่องไร้สาระ และสรรสาระมาคุยกันอย่างสนุกสนาน ส่วนแก้วข้างหน้าก็ไม่เคยว่างเว้นจากน้ำสีเหลืองอำพัน รินกันชงกันไม่ให้ขาด เป๊ปซี่ดูเหมือนจะไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับผมอีกต่อไปแล้ว   
    แม้คืนนั้นจะดูราบรื่นไปได้ด้วยดี แต่ผมกลับหารู้ไม่ว่าไอ้ส่วนผสมที่ผมเปลี่ยนนั้นมันทำให้ผมกินเหล้าเยอะขึ้นกว่าเดิมอีกเท่าตัว เมื่อเหล้าสูบฉีดเข้ากระแสเลือดอย่างเต็มที่ผมก็เริ่มรู้สึกว่าหัวมันเริ่มหนัก ๆ มึน ๆ พิกลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คงเพราะไม่เคยเลยที่ผมจะกินเหล้าเยอะขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมกินเหล้าเยอะกว่าลิมิตที่ร่างกายจะทนรับได้
    ผมเริ่มเดินไปห้องน้ำบ่อยครั้ง บางครั้งเดินไปนาน ๆ เพื่อที่จะได้พักได้เดินสูดอากาศนอกวงบ้าง พอเข้าห้องน้ำก็ควักน้ำล้างหน้าพอให้เรียกสติกลับคืนมาบ้าง แต่มันกลับไม่สามารถช่วยอะไรได้เลยสักนิดเพราะเมื่อเดินกลับมาที่วง เพื่อน ๆ ผู้หวังดีทั้งหลายของผมก็ชนเอาชนเอาเหมือนคิดว่าผมกระหายน้ำสุดขีด ยิ่งชนก็ยิ่งเมา ยิ่งเมาก็ยิ่งต้องเดินเข้าห้องน้ำกลบเกลื่อนบ่อย ๆ จนหลัง ๆ ที่เดินเข้าห้องน้ำ ผมแทบจำไม่ได้เลยว่า ผมเดินเป็นเลขหนึ่งหรือเลขแปด
    พอเริ่มรู้สึกตัวว่าไม่ไหวจริง ๆ โลกมันหมุนเคว้งเหมือนจะถล่มลงมา ไอ้พวกข้าวปลาสารอาหารที่กินมาตั้งแต่บ่ายในกระเพาะมันก็เริ่มจะขยับขยายตัวขย่อยตัวออกมาทางปาก ไอ้ครั้นจะอ้วกออกมาก็กลัวจะเสียหน้าอายเพื่อน ๆ  ทำได้แต่เอาน้ำลูบหน้าบ้วนปากไปเรื่อย และสงสัยเพื่อนคงจะเห็นผมเดินเข้าห้องน้ำบ่อยและนานเกินปกติล่ะมั้ง มันเดินมาตามสองคนแล้วหิ้วปีกผมออกจากห้องน้ำเลย ไอ้ผมก็นึกว่ามันจะหวังดีพาผมกลับบ้านนอน ที่ไหนได้ มันกลับจับผมไปนั่งที่โต๊ะผสมเหล้าโซดาน้ำ วางเตรียมไว้ตรงหน้าเป็นอย่างดี พอทุกคนพร้อมก็ยกแก้วสูง ๆ ขึ้นชน ซึ่งผมก็มีความจำเป็นต้องชนกับมันด้วย ไม่รู้ทำไมทั้ง ๆ ที่แม้แค่ยกแก้วก็แทบจะไม่ไหวแล้ว
    จนในท้ายที่สุดเมื่อความอดทนขาดสบั้นไปพร้อมสติที่แทบจะขาดรอน ๆ กระเพาะมันขย่อนสารอาหารที่เทลงไปออกมาในทางที่ไม่ควรจะเป็น สิ่งปฏิกูลทั้งหลายที่สมควรบดย่อยออกทางทวาร มันกลับฝืนกฎธรรมชาติพ่นออกทางปาก    
    ผมอ้วกออกมาพร้อมกับสติที่ขาดหายไปในวินาทีนั้น คิดได้แค่เพียงจะเป็นอย่างไรก็ช่างแม่งมัน แค่นี้กูก็จะตายแล้ว จะมามัวอายอะไรกับอ้วกแค่กองสองกอง จะมาเอาอะไรกับคนเมา ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ที่เหลือก็สุดแท้แต่บาปกรรมที่ทำลงไป แต่รู้สึกว่าคืนนั้นบาปกรรมของผมจะเยอะเป็นพิเศษ เพราะนึกว่าแค่อ้วกที่สองทีมันก็หาย แล้วคงกินต่อได้ ที่ไหนได้ พออ้วกไปจนหมดกระเพาะเหมือนโลกทั้งใบกำลังบดขยี้หัวผมจนร้าวแหลก ผมรู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนใกล้ตาย ไม่มีแรงทำอะไรทั้งสิ้น ไม่มีแรงพอที่จะยกแขนขาหรือว่าลุกขึ้นเดินสักก้าว แม้เปลือกตาที่จะขยับกระพยิบมองไปรอบ ๆ ยังไม่มีแรงเลยสักนิด แม้หายใจยังลำบากเลย
    ไม่คิดเลยว่าการกินเหล้าจนเมาเกินลิมิตมันจะทรมานอย่างนี้ ช่วงเวลานั้นในหัวผมกลับย้ำคิดไปถึงว่า ทุกอย่างนี้เป็นเพราะเหล้า ได้แต่โทษตัวเองต่าง ๆ นานา ว่าไม่น่าจะกินเยอะขนาดนี้เลย ไม่น่าเห้าขนาดนี้เลย จนถึงความคิดสุดท้ายที่ย้ำวน อย่างไม่มีวันจบจนกระทั้งผมหมดสติไป ผมบอกกับตัวเองซ้ำ ๆ เป็นร้อย ๆ รอบในอารามเมาว่า “กูจะไม่กินเหล้าอีกต่อไปแล้ว ๆ” ผมสัญญาไว้กับตัวเองอย่างนี้จริง ๆ
เมื่อสติขาดหายไปในภวังค์ ผมรู้สึกถึงความทรมานที่ล่องลอยในความมืดใต้เปลือกตาได้เป็นอย่างดี มันเป็นเวลาที่ยาวนานเหมือนนิจนิรันดร์ เป็นความทรมานอย่างไม่มีวันสิ้นสุด จนกระทั้งหลายชั่วโมงผ่านไป ผ่านไป จนกระทั่งผมมีแรงพอที่ขยับร่างกายเปิดเปลือกตาอีกครั้งหนึ่ง เวลาทำให้เหล้าซาลงไปจากกระแสเลือดพอให้ผมมีแรงลุกขึ้นสู้อีกครั้ง
พอเริ่มหายเมาหัวผมมันปวดตุบ ๆ เหมือนคนเอาค้อนปอนด์มาทุบที่ขมับตลอดเวลา คำสัญญาที่ให้ไว้กับความทรมานของตัวเองยังคงวิ่งวนเวียนไม่รู้จบ “กูจะไม่กินเหล้าต่อไปแล้ว ๆ” ผมรู้สึกและคิดเช่นนั้นจริง ๆ     หลังจากเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงหลังจากตื่น หลายกิจกรรมที่ผมปฏิบัติกับตัวเองเพื่อให้ความทรมานนั้นจางหายไป กินข้าว อาบน้ำ เติมเกลือแร่ให้กับร่างกาย จนร่างกายผมกลับคืนสู่สภาพปกติ ผมเริ่มรู้สึกว่าชีวิตตัวเองมีค่ามากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว ผมกลับมาแข็งแรงอีกครั้งทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ บอกกับตัวเองว่าถ้ามีเพื่อนมาชวนกินเหล้าอีกผมจะไล่ตะเพิดกลับบ้านไปให้ผม เพราะเหตุการณ์เมื่อคืนยังคงวนเวียนอยู่ในหัว เพราะความรู้สึกทรมานมันยังฝังอยู่ในความทรงจำ เพราะคำสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเองยังคงดังก้องอยู่หูตลอดเวลา
ค่ำคืนมาเยือนอีกครั้ง ผมนั่งละเลียดเป๊ปซี่อย่างรู้คุณค่าของความหวานของมัน   
“เฮ้ยเมื่อคืนเป็นไงบ้างวะ เมาอ้วกแตกเลยนะมึง” เพื่อนโทรมาถาม
“เออ ก็เมาสิวะ”
“ไหวเปล่าคืนนี้”
“ไหวห่าอะไร เพิ่งหายเมา กูไม่แดกแล้วเหล้า เมาแล้วแม่งทรมานฉิบหาย”
“ก็แดกซะเยอะ ใครบังคับให้มึงแดกล่ะ”
“....เออ เรื่องของกู แต่ยังไงคืนนี้ คืนไหน ๆ กูก็ไม่แดกแล้ว เลิกแดกเหล้าเป็นการถาวร”
“จริงอ่ะ”
“จริงสิวะ ไอ้ห่านิ ไม่ต้องมาชวนกูเลย จะไปชวนใครก็ไป”
“หรอ กูก็หวังดีเห็นว่าวันนี้มีหญิงสองสามคน เขาชวนไปกินเหล้า ก็นึกว่ามึงจะสนใจบ้าง”
“.......”
“ไม่เป็นไร กูไปชวนคนอื่นก็ได้”
“เฮ้ย ๆๆๆ เดี๋ยวก่อนหญิงไหนวะ”
“อ้าว มึงอยากจะรู้ไปทำไมวะ ก็ไม่อยากแดกไม่ใช่หรอ”
“ก็...เอ่อ”
“เออ ไม่เป็นไร มึงนอนพักผ่อนไปเหอะ ... พรุ่งนี้อย่างลืมตื่นเช้า ๆ ไปทำบุญด้วยแล้วกัน”
“ไอ้ห่านิกวนตีนแล้วมึง เออ ๆๆๆ  มึงรอกูแป๊บนึงเดี๋ยวกูแต่งตัวก่อน ที่ไหนกี่โมงวะ”
เป๊ปซี่หมดขวดพอดี แต่คืนนี้ของผมกำลังเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง พับเก็บคำว่า “กูจะไม่กินเหล้าอีกต่อไปแล้ว” เก็บใส่กระเป๋าไป บอกกับตัวเองเบา ๆ ว่า จิบสักแก้วสองแก้วคงไม่เมามากเท่าไรหรอก   
   
ถ้าคุณไม่เคยกินเหล้า คุณก็จะไม่มีวันเข้าใจหัวอกของคนกินเหล้า และถ้าคุณกินเหล้าแล้วไม่เคยเมา คุณก็จะไม่เคยรับรู้ความรู้สึกของคำ ๆ นี้ คำที่ผมเชื่อว่าทุกคนที่เคยเมาจะต้องเคยผุดคำ ๆ นี้ไว้ในใจ “กูจะไม่แดกเหล้าอีกแล้ว”
    สำหรับคนกินเหล้า เมื่อเหล้าแก้วแรกเข้าปากก็เป็นธรรมดาบ้างที่จะรู้สึกขม แล้วก็สะดุ้งตัวสั่นนิดหน่อย แต่เมื่อกินไปเรื่อย ๆ แล้วความขมก็เริ่มเปลี่ยนเป็นความหวานกลมกล่อมยากที่จะหาน้ำวิเศษจากหนใดมาเทียบเคียงได้    
    หลังจากผมกินเหล้าผมเป๊ปซี่ได้ระยะหนึ่ง ผมก็เริ่มรู้สึกว่ารสชาติของเหล้ามันหวานเกินไป และสีดำ ๆ ในแก้วมันดูอ่อนเบบี้เกินไป ผมเริ่มคิดได้ว่าการกินเหล้าผสมเป๊ปซี่นั้นมันโชว์ความอ่อนด้อยประสบการณ์ในการกินเหล้าของเรา เพราะผมเริ่มได้เรียนรู้ว่าคนที่เริ่มกินเหล้าใหม่ ๆ มันเริ่มจากการผสมเป๊ปซี่ ส่วนผมกินมาได้สักระยะแล้ว เลเวลของผมต้องพัฒนาขึ้นตามอายุแก้วที่ยกกระดกเข้าปาก แต่ผมก็ยังไม่ได้คิดเปลี่ยนส่วนผสมในแก้วอย่างกระทันหัน จนกระทั่งเห็นน้องหน้าละอ่อนคนหนึ่งกำลังนั่งรินเหล้ผสมเป๊ปซี่ จึงย้อนกลับมาดูแก้วตัวเองว่าเราควรเปลี่ยนตัวเองไปสู่สิ่งที่ดีกว่าได้แล้ว
    เหล้าแก้วแรกของผมที่ผสมโซดาน้ำเริ่มต้นจากในคืนที่เป๊ปซี่หมดไปจากวง เพื่อน ๆ ผมบางคนกินเหล้าผสมโซดาน้ำล่วงหน้ามาก่อนหลายช่วงตัวแล้ว ผมคิดว่าคงไม่เสียหายอะไรที่จะเปลี่ยนจากเป๊ปซี่มาเป็นโซดาน้ำอีกทั้งเพื่อนผมยังบอกว่า ถ้ากินผสมโซดาน้ำจะเมาช้ากว่ากินผสมเป๊ปซี่ เพราะว่าความหวานจากเป๊ปซี่จะทำให้เหล้าซึมเข้ากระแสเลือดและดูดซึมได้ดีกว่า และเมาเร็วกว่า ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าทฤษฏีดีของมันจะมั่วหรือเปล่า แต่จะมั่วหรือไม่มั่วผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรแล้ว เพราะโซดาน้ำแก้วแรกได้ถูกผสมและเทลงลำคอไปแล้ว
    สัตว์!!! ขมฉิบหาย ผมสบถในใจเมื่อราดเหล้าลงคอ หลับตาปี้ทำท่าเกือบจะอ๊วกออกมา เพื่อนทั้งวงพากันหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ได้ด้วยอาการกลัวเสียหน้าอายเพื่อน ผมจึงกลั้นหายใจ ทำใจดีสู้เสือยกกระดกฝืนกินจนหมดแล้วในรวดเดียว พอหมดก็ชูแก้วขึ้นสูง ๆ แล้วกระแทกลงโต๊ะพอมีเสียง ประกาศศักดาให้เพื่อน ๆ เป็นอันให้รู้กันว่าหมดแล้วโว้ย!!!
ประสบการณ์ครั้งแรกในการกินเหล้าผสมโซดาน้ำมันเริ่มต้นด้วยความขมขื่น แต่พอกินไปเรื่อย ๆ มันก็เปลี่ยนจากขมขื่นเป็นความหวานลิ้นราบรื่น ความสนุกเริ่มทะลักเข้ามาจากคำพูดทุกคำที่หลุดออกจากปากเมื่อผมเทเหล้า โซดาน้ำใส่กระแสเลือดจนตัวชา ผมและเพื่อน ๆ ต่างสรรหาเรื่องไร้สาระ และสรรสาระมาคุยกันอย่างสนุกสนาน ส่วนแก้วข้างหน้าก็ไม่เคยว่างเว้นจากน้ำสีเหลืองอำพัน รินกันชงกันไม่ให้ขาด เป๊ปซี่ดูเหมือนจะไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับผมอีกต่อไปแล้ว   
    แม้คืนนั้นจะดูราบรื่นไปได้ด้วยดี แต่ผมกลับหารู้ไม่ว่าไอ้ส่วนผสมที่ผมเปลี่ยนนั้นมันทำให้ผมกินเหล้าเยอะขึ้นกว่าเดิมอีกเท่าตัว เมื่อเหล้าสูบฉีดเข้ากระแสเลือดอย่างเต็มที่ผมก็เริ่มรู้สึกว่าหัวมันเริ่มหนัก ๆ มึน ๆ พิกลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คงเพราะไม่เคยเลยที่ผมจะกินเหล้าเยอะขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมกินเหล้าเยอะกว่าลิมิตที่ร่างกายจะทนรับได้
    ผมเริ่มเดินไปห้องน้ำบ่อยครั้ง บางครั้งเดินไปนาน ๆ เพื่อที่จะได้พักได้เดินสูดอากาศนอกวงบ้าง พอเข้าห้องน้ำก็ควักน้ำล้างหน้าพอให้เรียกสติกลับคืนมาบ้าง แต่มันกลับไม่สามารถช่วยอะไรได้เลยสักนิดเพราะเมื่อเดินกลับมาที่วง เพื่อน ๆ ผู้หวังดีทั้งหลายของผมก็ชนเอาชนเอาเหมือนคิดว่าผมกระหายน้ำสุดขีด ยิ่งชนก็ยิ่งเมา ยิ่งเมาก็ยิ่งต้องเดินเข้าห้องน้ำกลบเกลื่อนบ่อย ๆ จนหลัง ๆ ที่เดินเข้าห้องน้ำ ผมแทบจำไม่ได้เลยว่า ผมเดินเป็นเลขหนึ่งหรือเลขแปด
    พอเริ่มรู้สึกตัวว่าไม่ไหวจริง ๆ โลกมันหมุนเคว้งเหมือนจะถล่มลงมา ไอ้พวกข้าวปลาสารอาหารที่กินมาตั้งแต่บ่ายในกระเพาะมันก็เริ่มจะขยับขยายตัวขย่อยตัวออกมาทางปาก ไอ้ครั้นจะอ้วกออกมาก็กลัวจะเสียหน้าอายเพื่อน ๆ  ทำได้แต่เอาน้ำลูบหน้าบ้วนปากไปเรื่อย และสงสัยเพื่อนคงจะเห็นผมเดินเข้าห้องน้ำบ่อยและนานเกินปกติล่ะมั้ง มันเดินมาตามสองคนแล้วหิ้วปีกผมออกจากห้องน้ำเลย ไอ้ผมก็นึกว่ามันจะหวังดีพาผมกลับบ้านนอน ที่ไหนได้ มันกลับจับผมไปนั่งที่โต๊ะผสมเหล้าโซดาน้ำ วางเตรียมไว้ตรงหน้าเป็นอย่างดี พอทุกคนพร้อมก็ยกแก้วสูง ๆ ขึ้นชน ซึ่งผมก็มีความจำเป็นต้องชนกับมันด้วย ไม่รู้ทำไมทั้ง ๆ ที่แม้แค่ยกแก้วก็แทบจะไม่ไหวแล้ว
    จนในท้ายที่สุดเมื่อความอดทนขาดสบั้นไปพร้อมสติที่แทบจะขาดรอน ๆ กระเพาะมันขย่อนสารอาหารที่เทลงไปออกมาในทางที่ไม่ควรจะเป็น สิ่งปฏิกูลทั้งหลายที่สมควรบดย่อยออกทางทวาร มันกลับฝืนกฎธรรมชาติพ่นออกทางปาก    
    ผมอ้วกออกมาพร้อมกับสติที่ขาดหายไปในวินาทีนั้น คิดได้แค่เพียงจะเป็นอย่างไรก็ช่างแม่งมัน แค่นี้กูก็จะตายแล้ว จะมามัวอายอะไรกับอ้วกแค่กองสองกอง จะมาเอาอะไรกับคนเมา ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ที่เหลือก็สุดแท้แต่บาปกรรมที่ทำลงไป แต่รู้สึกว่าคืนนั้นบาปกรรมของผมจะเยอะเป็นพิเศษ เพราะนึกว่าแค่อ้วกที่สองทีมันก็หาย แล้วคงกินต่อได้ ที่ไหนได้ พออ้วกไปจนหมดกระเพาะเหมือนโลกทั้งใบกำลังบดขยี้หัวผมจนร้าวแหลก ผมรู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนใกล้ตาย ไม่มีแรงทำอะไรทั้งสิ้น ไม่มีแรงพอที่จะยกแขนขาหรือว่าลุกขึ้นเดินสักก้าว แม้เปลือกตาที่จะขยับกระพยิบมองไปรอบ ๆ ยังไม่มีแรงเลยสักนิด แม้หายใจยังลำบากเลย
    ไม่คิดเลยว่าการกินเหล้าจนเมาเกินลิมิตมันจะทรมานอย่างนี้ ช่วงเวลานั้นในหัวผมกลับย้ำคิดไปถึงว่า ทุกอย่างนี้เป็นเพราะเหล้า ได้แต่โทษตัวเองต่าง ๆ นานา ว่าไม่น่าจะกินเยอะขนาดนี้เลย ไม่น่าเห้าขนาดนี้เลย จนถึงความคิดสุดท้ายที่ย้ำวน อย่างไม่มีวันจบจนกระทั้งผมหมดสติไป ผมบอกกับตัวเองซ้ำ ๆ เป็นร้อย ๆ รอบในอารามเมาว่า “กูจะไม่กินเหล้าอีกต่อไปแล้ว ๆ” ผมสัญญาไว้กับตัวเองอย่างนี้จริง ๆ
เมื่อสติขาดหายไปในภวังค์ ผมรู้สึกถึงความทรมานที่ล่องลอยในความมืดใต้เปลือกตาได้เป็นอย่างดี มันเป็นเวลาที่ยาวนานเหมือนนิจนิรันดร์ เป็นความทรมานอย่างไม่มีวันสิ้นสุด จนกระทั้งหลายชั่วโมงผ่านไป ผ่านไป จนกระทั่งผมมีแรงพอที่ขยับร่างกายเปิดเปลือกตาอีกครั้งหนึ่ง เวลาทำให้เหล้าซาลงไปจากกระแสเลือดพอให้ผมมีแรงลุกขึ้นสู้อีกครั้ง
พอเริ่มหายเมาหัวผมมันปวดตุบ ๆ เหมือนคนเอาค้อนปอนด์มาทุบที่ขมับตลอดเวลา คำสัญญาที่ให้ไว้กับความทรมานของตัวเองยังคงวิ่งวนเวียนไม่รู้จบ “กูจะไม่กินเหล้าต่อไปแล้ว ๆ” ผมรู้สึกและคิดเช่นนั้นจริง ๆ     หลังจากเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงหลังจากตื่น หลายกิจกรรมที่ผมปฏิบัติกับตัวเองเพื่อให้ความทรมานนั้นจางหายไป กินข้าว อาบน้ำ เติมเกลือแร่ให้กับร่างกาย จนร่างกายผมกลับคืนสู่สภาพปกติ ผมเริ่มรู้สึกว่าชีวิตตัวเองมีค่ามากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว ผมกลับมาแข็งแรงอีกครั้งทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ บอกกับตัวเองว่าถ้ามีเพื่อนมาชวนกินเหล้าอีกผมจะไล่ตะเพิดกลับบ้านไปให้ผม เพราะเหตุการณ์เมื่อคืนยังคงวนเวียนอยู่ในหัว เพราะความรู้สึกทรมานมันยังฝังอยู่ในความทรงจำ เพราะคำสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเองยังคงดังก้องอยู่หูตลอดเวลา
ค่ำคืนมาเยือนอีกครั้ง ผมนั่งละเลียดเป๊ปซี่อย่างรู้คุณค่าของความหวานของมัน   
“เฮ้ยเมื่อคืนเป็นไงบ้างวะ เมาอ้วกแตกเลยนะมึง” เพื่อนโทรมาถาม
“เออ ก็เมาสิวะ”
“ไหวเปล่าคืนนี้”
“ไหวห่าอะไร เพิ่งหายเมา กูไม่แดกแล้วเหล้า เมาแล้วแม่งทรมานฉิบหาย”
“ก็แดกซะเยอะ ใครบังคับให้มึงแดกล่ะ”
“....เออ เรื่องของกู แต่ยังไงคืนนี้ คืนไหน ๆ กูก็ไม่แดกแล้ว เลิกแดกเหล้าเป็นการถาวร”
“จริงอ่ะ”
“จริงสิวะ ไอ้ห่านิ ไม่ต้องมาชวนกูเลย จะไปชวนใครก็ไป”
“หรอ กูก็หวังดีเห็นว่าวันนี้มีหญิงสองสามคน เขาชวนไปกินเหล้า ก็นึกว่ามึงจะสนใจบ้าง”
“.......”
“ไม่เป็นไร กูไปชวนคนอื่นก็ได้”
“เฮ้ย ๆๆๆ เดี๋ยวก่อนหญิงไหนวะ”
“อ้าว มึงอยากจะรู้ไปทำไมวะ ก็ไม่อยากแดกไม่ใช่หรอ”
“ก็...เอ่อ”
“เออ ไม่เป็นไร มึงนอนพักผ่อนไปเหอะ ... พรุ่งนี้อย่างลืมตื่นเช้า ๆ ไปทำบุญด้วยแล้วกัน”
“ไอ้ห่านิกวนตีนแล้วมึง เออ ๆๆๆ  มึงรอกูแป๊บนึงเดี๋ยวกูแต่งตัวก่อน ที่ไหนกี่โมงวะ”
เป๊ปซี่หมดขวดพอดี แต่คืนนี้ของผมกำลังเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง พับเก็บคำว่า “กูจะไม่กินเหล้าอีกต่อไปแล้ว” เก็บใส่กระเป๋าไป บอกกับตัวเองเบา ๆ ว่า จิบสักแก้วสองแก้วคงไม่เมามากเท่าไรหรอก   
   
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น