ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คันปากอยากเล่า

    ลำดับตอนที่ #4 : คันปากอยากเล่า : ผ่าวัยเกรียน

    • อัปเดตล่าสุด 15 พ.ย. 57


    คันปากอยากเล่า : ผ่าวัยเกรียน


    ~เถลิงประเทศชาติไทยทวี มีชัย ชโย~…
     
    8.01 AM
     
    ผมก้มมองนาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์ เป็นเวลาปกติที่ผมมาถึงโรงเรียนและ…..
     
    สายตรวจม.ต้นประจำโรงเรียนเชิดคิ้วที่กันมาแบบคมกริบเดินตรงดิ่งมาหาผม “พี่คะขึ้นแถวใหม่เลยค่ะ” ผมเขยิบออกห่างจากแถวเหล่าผู้มาสายขโยงใหญ่ที่มาก่อน 8 โมงเช้า ซึ่งบางคนมาก่อนผมเพียงแค่ “1 นาที” บางทีมันก็น่าเจ็บใจ-*-...
     
    เมื่อคนมาเยอะมากพอ ผมก็ถูกลากเข้าปราการด่านแรกโต๊ะสมุดบันทึกผู้มาสาย “พี่คะ!! เซ็นชื่อด้วยค่ะ” น้องสายตรวจผู้ทรงอำนาจรูปร่างป้อมอีกคนเอ่ยเสียงแข็ง ตัวผมก็เดินไปต่อแถว ม.6 อย่างเบื่อหน่าย ‘นี่กูเป็นพี่มึงนะ พูดดีๆกับกูหน่อยก็ได้’ เพื่อนๆม.6ทุกคนที่เป็นขาประจำแถวสายพูดเป็นเสียงเดียวกันเมื่อหลุดพ้นจากแถวสายแห่งนี้ แต่ตอนนี้อย่าพูดมากเสียดีกว่า เดี๋ยวท่านหัวหน้าแก๊งเด็กเค้าจะมาโวยเอา…. เท่าที่จำได้อาจารย์เคยประกาศไว้ว่า ถ้ามาสายครบ 9 ครั้งจะโดนเรียนผู้ปกครอง ซึ่ง...ผมปาไป 13 ครั้ง และโดนเรียกผู้ปกครองมาแล้วเรียบร้อย….มันไม่ใช่เรื่องดีเลยจริงๆ ทว่าความรู้สึกของผมกลับตรงข้ามกับความคิด ผมรู้สึกว่าการทำตัวถูกระเบียบมาตลอด 5 ปี(ยกเว้นเรื่องมาสาย) เป็นอะไรที่น่าเบื่อไปในพริบตา เมื่อผมเริ่มย่างก้าวเข้าสู่ชีวิตโคตรเละเทะในช่วง ม.6 ความรู้สึกว่านี่แหละชีวิตม.ปลายก็บังเกิด แต่ผมว่ามันยังน้อยไปถ้าเทียบกับคนอื่นล่ะนะ
     
    หลังจากนั้นผมก็โดนจับแยกไปอยู่สนามหญ้าหลังห้องปกครอง เรียงเป็นแถวหน้ากระดาน 15 คน แล้วขึ้นแถวใหม่ ไม่นานผู้ร่วมขบวนการของผมก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จาก 15 เป็น 30...45...สุดท้ายก็เป็นร้อยคนที่มาหลัง 8.00 น.
     
     
    ผมก็เป็นหนึ่งในขาประจำของแถวสาย ถ้าโชคดีหน่อยผมจะโดนจับไปอยู่ในแถวสายก่อน 8 โมงเช้า หรือถ้าวันไหนมีกิจกรรมวันสำคัญต่างๆ ผมก็รอดตัวแถมได้เข้าโดมไปทำกิจกรรมกับคนอื่นอีกด้วย(ที่จริงผมไม่ได้อยากเข้าไปหรอก แต่ถ้าได้เข้าไปก็แปลว่าผมไม่ต้องเซ็นชื่อในบัญชีหนังหมานั่น) 
     
    ผมคิดว่าการกระทำทุกๆอย่างมันมีเหตุผลในตัวของมัน การที่ผมมาโรงเรียนสายก็เช่นกัน...
     
    สาเหตุที่ผมมาสายมีหลายอย่าง ซึ่งเหตุผลอย่างแรกคือ ผมไม่อยากเข้าแถวในโดม เพราะผมไม่ชอบพิธีกรรมในโดมสักเท่าไหร่ นอกจากเสียงเพื่อนๆพี่ๆน้องๆคุยดังน่าเบื่อ กับเสียงอาจารย์ที่ตะเบ็งแข่งกับนักเรียนอันเป็นที่รักแล้ว การให้คนขี้เบื่ออย่างผมไปนั่งจุ้มปุ๊กฟังอาจารย์พูดแต่เรื่องอะไรไม่รู้ซ้ำไปซ้ำมาเป็นชั่วโมงมันก็ไม่ใช่นิสัยของผมอีกนั่นแหละ
     
    เหตุผลข้อที่สอง พูดกันตรงๆผมขี้เกียจตื่นเช้า เพราะไม่อยากมาทันเข้าแถวตอนเช้า(วนกลับไปข้อแรก)
     
    เหตุผลข้อสุดท้าย ผมรู้สึกว่าการโดนจับนั่งตากแห้งอยู่กลางสนามหญ้า ว่างๆก็ถอนหญ้าเล่นมันสบายกว่าการเข้าโดมไปเข้าแถวนั่งตัวตรงหลังตรงเป็นพระอิฐพระปูนเป็นไหนๆ อีกหนึ่งสาเหตุที่ผมต้องนั่งถอนหญ้าเป็นผลมฃาจากกฎของแถวสายที่อาจารย์ได้บอก(วันละข้อ)ไว้ว่า...
    ห้ามเล่นโทรศัพท์(ขนาดหยิบมาดูนาฬิกาแล้วเก็บก็ไม่ได้) 
    ห้ามทำการบ้านเพราะพวกที่เข้าแถวในโดนก็ทำไมได้เหมือนกันอย่าเอาเปรียบเพื่อน(อันนี้ผมเข้าใจ) 
    ห้ามอ่านหนังสือไม่ว่าจะหนังสือเรียนหรือหนังสืออ่านเล่นก็ตาม 
    ห้ามกินอาหาร
    ห้ามคุย(แต่ชวนสายตรวจคุยได้...เอ๊ะยังไง)
    สรุปแล้วนอกจากนั่งหายใจทิ้งก็มีแค่ถอนหญ้าเล่นเนี่ยแหละที่พอทำได้(นอกจากนี้หญ้าที่สนามบอลส่วนที่พวกผมนั่ง ไม่เคยโตทันพวกผมถอนเล่นหรอก พวกผมแบ่งเบางานของลุงนักการที่โรงเรียนได้นะขอบอก) 
     
    กิจกรรมของผู้มาสายอย่างผมยังไม่จบง่ายๆแค่นั้น พวกผมต้องเจอความระทึกใจต่างๆนานาสารพัดในแถวสายแห่งนี้ และนอกจากจะต้องตากแดดแล้ว อีกกิจกรรมสุดคลาสสิกก็คือการลุกนั่ง อาจารย์บอกว่า”เป็นการทำโทษสำหรับคนที่มาสาย” ผมก็ต้องรับกรรมในสิ่งตัวเองตัดสินใจต่อไป ถ้ามาก่อน 8 โมง ผมก็จะโดนทำโทษแบบเล็กๆน้อยสัก 20-40 ครั้ง ถ้ามาสายเกิด 8 โมงผมก็จะโดนท่านอาจารย์เล่นสนุกด้วยอย่างเต็มที่ ตั้ง 50-90 ครั้ง แล้วแต่อารมณ์และความกวนตีนของเด็กในแถว ดังนั้นช่วงมัธยมน้ำหนักของผมจึงค่อนข้างคงที่เพราะโดนจับตากแดด กับโดนทำโทษทุกวี่ทุกวันนี่แหละ (หากใครอยากลดความอ้วนก็ลองทำแบบผมก็ได้นะ) นอกจากน้ำหนักคงที่แล้วขายังแข็งแรงอีกต่างหาก ผมรู้สึกถึงเรื่องนี้ทันทีเมื่อเข้ารับน้องที่มหาวิทยาลัยแล้วโดนพี่ว้ากทำโทษ(โดยการลุกนั่ง) ในขณะที่เพื่อนๆล้มกันระเนระนาด ผมยังคงยืนอยู่ได้  ต้องขอขอบคุณอาจารย์ปกครองจริงๆที่มองกาลไกลลงโทษผมด้วยวิธีนี้ วันไหนอาจารย์อยากลงโทษหนักหน่อยก็อาจจะโดนไม้หวายฟาดก้นบ้างเป็นครั้งคราว แต่ด้วยระดับความสามารถระดับพรีเมียมที่สั่งสมประสบการณ์มา 4 ปีเต็ม(ม.1ไม่เคยมาสาย) ผมจึงไม่สะดุ้งสะเทือนกับการลงโทษของอาจารย์ในทุกรูปแบบสักเท่าไรนัก
     
    หลังจากโดนลงโทษมาอย่างหนักหน่วงก็ถึงเวลาที่ผมจะได้นั่งถอนหญ้าอย่างสบายใจกลางแสงแดดอันร้อนระอุ แต่เรื่องระทึกของผมมันยังไม่จบแค่นั้น 
     
    ชีวิตเด็กมาสายอย่างผมมันน่าแปลกอยู่อย่างหนึ่ง อะไรที่พวกมาเช้าไม่เคยได้ทำ ผมได้ทำมันทุกอย่าง เช่น เก็บขยะรอบโรงเรียน นอกโรงเรียน ใต้สแตนเชียร์ บางครั้งถึงขั้นต้องขุดขยะในดินสมัยกรุงศรีฯแตกหมาดๆมาทิ้งให้อาจารย์ดู หรืออีกเรื่องที่ผมเจ็บใจสุดๆคือ พวกมาเช้าจะไม่ถูกตรวจการแต่งกายเลย จะแต่งผิดระเบียบแค่ไหนก็สุดแท้แต่ความสามารถ พออาจารย์เข้าประชุมก็มานั่งถกกันว่าทำไมเเด็กแต่งตัวไม่เรียบร้อย บลาๆ(- -;) แต่คนมาสายอย่าผมต้องสายอย่างมีคุณภาพครับ ท่านอาจารย์สุดหล่อ(แกอายุน้อยที่สุดในหมวด ให้ตำแหน่งสุดหล่อแกไปเถอะ)ถึงกับแสกนเครื่องแต่งกายทุกระเบียดนิ้ว ปกติผมก็แต่งตัวถูกระเบียบทุกอย่างละนะเลยไม่ค่อยเดือดร้อน แต่มีอยู่วันหนึ่งไม่รู้นึกคึกอะไรขึ้นมา แกมาตรวจต่างหูผม ปกติที่โรงเรียนจะอนุโลมให้ใส่ก้านพลาสติกใสไม่มีสีได้ แต่ผมหาไซต์ที่ผมใส่แบบไม่มีสีไม่ได้ เลยหาแบบที่ผิดระเบียบน้อยยยย...ที่สุด ตัวเลือกสุดท้ายที่ผมมีคือใส่ก้านใสแต่มีสีฟ้าอ่อนๆ(อ่อนมากๆๆ แทบมองไม่เห็นสี) จนแล้วจนรอดก็ถูกแกยึดไป...ผมได้แต่คิดปลอบตัวเองในใจว่าบางทีอาจารย์คงอยากลองใส่บ้างเลยยึดไปดูเป็นคอลเลคชั่น….
     
    วันนี้ก็คงเป็นอีกวันที่ผมต้องถูกตรวจอะไรสักอย่างเพราะอาจารย์สุดหล่อเดินออกมาจากห้องปกครองเหมือนมีอะไรจะพูด
    “เดี๋ยววันนี้จะมีสายตรวจไปค้นกระเป๋า ขอให้ทุกคนให้ความร่วมมือนะครับ ถ้าใครนำอาวุธสงครามมาที่โรงเรียน  ให้ออกมารายงานตัวก่อน อย่าให้สายตรวจไปค้นเจอเอง เดี๋ยวจะโดนหนัก” อาจารย์สุดหล่อพูด
     
    'ใครมันจะเอาอาวุธสงครามมาโรงเรียนวะ' ผมคิดในใจขณะนั่งมองหน้าอาจารย์สุดหล่อเด็ก(ม.ต้น)รัก เด็ก(ม.ต้น)หลง
     
    “พี่คะ ขอตรวจกระเป๋าหน่อยค่ะ” น้องคิ้วคมปรายตามองผมที่นั่งถอนหญ้าเล่นอย่างสบายอารมณ์
     
    "อืม" ผมตอบรับน้องอย่างว่าง่าย'เออ ดีเน๊อะ ห้ามคนอื่นไม่ให้แต่งหน้า แต่เด็กตัวเองแต่งได้ซะงั้น' บางครั้งมันก็เป็นการเมืองเล็กๆในโรงเรียน ผมเห็นมันจนเบื่อแล้วล่ะ
     
    น้องสายตรวจก้มหน้าก้มตาค้นกระเป๋านักเรียนรกๆของผมอย่างขะมักเขม้น ส่วนตัวผมก็นั่งถอนหญ้าอยู่ข้างๆน้องไม่ห่างไปไหน แลดูอบอุ่นนะครับ แต่ถ้าผมลุกไปไหนสุดหล่อเขาเล่นผมตายแน่ๆ เพราะฉะนั้นนิ่งๆไว้จะดีกว่า
     
    แกร๊ก!
     
    ผมหยุดกิจกรรมยามว่าของคนมาสายไว้แค่นั้น เมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นเคยจากอุปกรณ์คู่ใจของผม
     
    "พี่คะ พี่เอาคัตเตอร์มาทำอะไร?"น้องสายตรวจถาม คำถามที่ต้องการคำตอบ แต่หน้าและน้ำเสียงคนถามนี่ช่างหาเรื่องเหลือเกิน
     
    'การที่กูพกคัตเตอร์มาโรงเรียนนี่มันผิดมามั้ยเนี่ย กูเอามาเสียบพุงเพื่อนในห้องมั้ง ถาม_ง่ๆ' ผมไม่รู้ว่าควรจะสงสัย หรือสงสารน้องสายตรวจคนนี้ดี คัตเตอร์ก็มีไว้ตัดกระดาษ เหลาสี เหลาดินสอไงครับน้อง เอ่อ... หรือเด็กสมัยนี่เขาไม่เคยใช้กัน ผมล่ะเบื่อเด็กสมัยใหม่จริงๆ
     
    "พี่คะ" น้องเร่งผมให้ตอบ สุดหล่อเองก็กำลังง่วนอยู่กับการค้นกระเป๋านักเรียนอยู่แถวๆนั้นเช่นกัน ถ้าน้องตะโกนเรียกอาจารย์มาก็คงจะเป็นเรื่องยาวราวรามเกียรติ์แน่นอน
     
    "น้องครับ" ผมมองหน้าน้องนิ่งๆ
     
    "คะ"
     
    "คนปกติเค้าใช้คัตเตอร์ทำอะไรพี่ก็เอามาใช้แบบนั้นแหละครับ"ผมพูดจบประโยคแบบยิ้มๆ หน้าน้องสายตรวจคิ้วสะพานแขวนก็มีเครื่องหมายเควสชั่นมาร์คแปะขึ้นมาบนหน้าทันที "ใช้คัตเตอร์ตัดกระดาษทำไม่เป็นหรอครับ" ผมเริ่มเริ่มเสียงแข็งบ้าง
     
    "โอเคค่ะ" เธอโยกคอเล็กน้อยพร้อมชำเลืองมองด้วยสายตาจิกกัดอย่างขัดใจ คงเพราะผมทำให้เธอเสียเวลาพอในการค้นกระเป๋าคนอื่นไปสัก...1-2นาที แหม...ขยันปฏิบัติงานกันเหลือเกินนะครับคุณน้อง - -;
     
    หลังจากนั้นผมก็นั่งคลี่ยอดหญ้าเล่นอย่างมีความสุข..... . . ได้ไม่ทันไร
     
    "อ้าวเห้ย! มีคนขโมยมีดทำกับข้าวแม่มาเหลาดินสอที่โรงเรียนเว้ย" อาจารย์ปกครองตัวเล็ก แอบมีพุงและมีอายุคนหนึ่งยืนชูมีดสปาร์ต้าความยาวรวมด้ามจับไม่น้อยกว่า 1 ฟุต ให้อาจารย์สุดหล่อดู 
     
    นักเรียนโดยรอบหัวเราะร่วน 'คัตเตอร์เหลาดินสอมึงใหญ่กว่ากูอีกนะ ฮ่าๆๆๆ' ผมเองก็ขำคำพูดอาจารย์กับนักเรียนหน้าโจรตัวสูงเก้งก้าง ยืนบิดซ้ายบิดขวาแก้เขินอยู่ข้างอาจารย์ 'มีบิดแก้เขินด้วยเว้ย ฮ่าๆๆๆๆพกของเถื่อนมาซะเปล่า ทำไมนิสัยมันคนละขั้วแบบนี้เนี่ย - -;' 
     
    หลังจากที่สุดหล่อตรวจกระเป๋าแถวที่ตัวเองรับผิดชอบเสร็จแล้ว เขาก็จ้ำอ้าวอย่างไว้มาดตามเข้าไปในห้องปกครอง และแล้วความสงบสุขก็กลับคืนมาสู่พวกเราชาวแถวสายอีกครั้ง....
     
    เมื่อพิธีการหน้าเสาธงเสร็จสิ้น พวกผมที่โดนตากแห้งอยู่บนสนามหญ้าก็เฉาได้ที่ ไม่นานสุดหล่อก็ออกมาปล่อยพวกผมให้เดินขึ้นชั้นเรียน โดยมีข้อแม้ว่า "เดินเป็นแถวให้เรียบร้อยนะครับ ถ้าใครแตกแถวออกมา ผมจะให้กลับมาเดินใหม่" ผมก็เข้าใจทุกคำพูดของอาจารย์เป็นอย่างดี แต่ถ้าลองเงยหน้าขึ้นมองพวกนักเรียนผู้อยู่ในระเบียบวินัยของโรงเรียนเป็นอย่างดี มาไม่สาย ได้เข้าแถวที่อาจารย์ทักท่านชื่นชมนัก ชื่นชมหนาตรงหน้าแล้วมันปวดใจ เพราะนักเรียนผู้มีวินัยของอาจารย์เขาเดินขึ้นห้องอย่างกับเดินถนนคนเดินคน มีเดินขายตรง(ขายขนมปัง,ปาท่องโก๋+น้ำเต้าหู้,แซนวิช) บางคนเดินทำการบ้าน บ้างเดินแต่งตัว ผูกโบว์ คุยบีบี 'เออ.. กูจะเดินเป็นแถวฝ่าถนนคนเดินไปยังไงวะ'
     
    "เดินไปตรงแยกสหกรณ์เลี้ยวเข้าโรงอาหาร แล้วค่อยแยกไปเข้าห้องเรียน"
     
    'แนะ! มีกำหนดทางเดิน' ซึ่งทางเดินมันไม่ใช่ใกล้ๆเลย มันไกลอยู่พอสมควรเลยแหละ แต่ทำไงได้ ขัดขืนให้ตายยังไงก็ต้องทำ ไม่อย่างนั้นโดนไม้ ที่แสบมากกว่านั้น คือสุดหล่อวิ่งตามมาดูด้วยว่าแตกแถวหรือเปล่า และไม่ต้องห่วงว่าพวกที่อยู่ในสนามจะหนีเพราะอาจารย์ปกครองออกมายืนล้อมไว้หมดแล้ว(อย่างกับตำรวจจับโจร) สุดท้ายพวกผมก็ต้องใช้สกิลหน้าด้านเดินตัดหน้าร้านขายตรง คนเล่นบีบี คนจู๋จี๋กับแฟนเพื่อให้แถวมันตรงโดนใจท่านอาจารย์ และแยกย้ายขึ้นห้องไปเล่าประสบการณ์แถวสายสุดระทึกที่พวกเข้าแถวในโดมไม่มีวันเข้าใจให้เพื่อนๆฟัง...
     
    ผมคิดว่าวันนั้นเป็นอีกหนึ่งวันที่ผมมีความสุขที่ได้อยู่ในสนามหญ้า กับเพื่อนๆที่มาสายด้วยกัน ได้เห็นอะไรแปลกๆของอาจารย์ห้องปกครองโรงเรียนผม และการที่ผมมาสายผมรู้เสมอว่าไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่นัก(แต่ก็ยังทำ) แล้วคุณล่ะมีช่วงเวลาดีๆในชีวิตมัธยมที่คิดถึงทีไรก็ต้องยิ้มออกมารึเปล่า...
     
    ================================================
     
    งานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของ จุลสารวรรณศิลป์  โดย ชมรม Literature ARTS NTU 
     
    ติดตามผมงานของพวกเราได้ที่ https://www.facebook.com/LiteratureArt.NTU?fref=ts
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×