ลำดับตอนที่ #39
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #39 : #Sp.01 เรื่องราวต่อจากนั้น [ครึ่งแรก]
ตอนพิเศษ เรื่องราวต่อจากนั้น... [1]
“ผมดีใจที่ได้เข้าศึกษาในที่แห่งนี้ ที่ซึ่งมีเกียรติ์และศักดิ์ศรี ที่ๆซึ่งเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของผม ถ้าหาก..... ”
เสียงร่ายยาวของไอ้ป้องดังขึ้นจากด้านหน้าผมก่อนผมจะยืนสัปหงกไปเรื่อยๆ
อ่า...แอร์ในหอประชุมเย็นจริงๆด้วยแหะ แล้วไอ้อู๋จะสกิดอะไรหนักหนาวะ คนจะ(ยืน)หลับจะนอน
“นาย ก้องเกียรติ์ ออกไปพูดเดี่ยวนี้!!!”
ผมสะดุ้งตัวพรวดก่อนจะก้าวออกมาข้างหน้าตามคำสั่ง ชิบ...มิสอร่ามศรี...มาตั้งแต่ตอนไหนวะ พอหันไปมองหน้าเพื่อนสนิทตัวเองไอ้อู๋ขยับปากอ่านได้ว่า ‘กูปลุกมึงแล้ว ไอ้สัส’ ผมแอบชูนิ้วกลางเมื่อเห็นรอยยิ้มขบขันจากมัน ไอ้เวร นี้จงใจแกล้งกูสินะ
“พูดสุทรพจย์จบให้เพื่อนๆฟังเดี่ยวนี้ !!!”
มิสอร่ามศรีสั่ง ก่อนจะผายมือให้ผมเดินไป แน่ล่ะว่าผมทำอะไรไมได้หรอกนอกจากจะเดินไปตามคำสั่งที่ว่า ไอ้ป้องเองแค่ขมวดคิ้วนิดหน่อยตอนที่เห็นผมเดินมา ก่อนมันจะยิ้มขำให้อีกคน..... ดูสิครับขนาดแฟนยังยิ้มขำผมอ๊ะ
“เออ....”
ผมพูดค้างก่อนจะกวาดตามองเพื่อนๆร่วมสายชั้นสี่ร้อยกว่าคน หลายๆคนเองผมก็รู้จัก บางคนแม้ไม่ได้เรียกห้องเดี่ยวกันแต่ก็เคยเดินสวนกัน ทุกๆคนอาจจะจำกันได้ไม่หมดแต่ก็รู้ว่าพวกเราเป็นพื่อนกัน
“ก่อนอื่น..ขอบอกก่อนว่าผมด้นสดเพราะโดนผลักมา...โอเคนะ”
คำพูดของผมเรียกเสียงหัวเราะให้เหล่าทโมนในห้องประชุมได้ไม่น้อย มิสอร่ามศรีค้อนขวับมาให้ผม ส่วนไอ้ป้องแอบหยิกต้นแขนผมเบาๆหลังไมค์โทษฐานที่เล่นกระทั้งวันจบการศึกษา
อ่า...ฟังไม่ผิดหรอกครับ
ผมกับมัน(รวมทั้งไอ้พวกทโมนทั้งหลาย)ทุกคนเรียนจบกันด้วยจริงๆแหะ.....
“ผมก็...ไม่รู้จะพูดยังไงดี.....”
ผมว่าต่อ ก่อนจะกวาดตาไปรอบๆห้องประชุม
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา ที่นี้เป็นเหมือนบ้าน เหมือนที่ๆหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกสุขใจทุกครั้งที่ได้อยู่ ผมได้เจอเพื่อน ไอ้เจออาจารย์ที่ดี ไอ้รับสิ่งที่ดีๆมากมายจากการศึกษาตลอดระยะเวลาหกปีที่ผ่านมา.....”
“ยิ่งผมโดนบังคับ...โอเค สมยอมเป็นเลขาธิการสภานักเรียนผมถึงได้รู้ว่าแฟนผมทำงานหนักมากขนาดไหน..โอ๊ย ป้องหยิกเกียร์ทำไมเนี้ย....โทษนะครับถึงไหนแล้วนะ...อ้อ”
ไอ้ป้องคาดโทษผมไว้ ก่อนมันจะฟังผมพูดต่อ
“ขอบคุณครับ......”
“ขอบคุณเพลินจิตวิทยา บ้านที่ทำให้ผมได้พบกับเพื่อน.....ขอบคุณมิสและบราเดอร์ทุกท่านที่เหนื่อยกับไอ้พวกทโมนอย่างพวกผม ขอบคุณคุณพ่อและคุณแม่ที่คอยเป็นกำลังใจให้มาตลอดจนถึงตอนนี้ ผมเองก็ยังงงๆเลยว่าตัวเองจบการศึกษาได้ยังไง ฮ่าๆ...โอ๊ย ป้องบอกว่ากอย่าหยิก”
ประโยคหลังผมลดเสียงพูดกับมัน ไอ้ป้องตวัดตามองผมอีกครั้งก่อนหน้ามันจะแปลความหมายได้ว่า ‘เลิกเล่น’
“โอเค...สุดท้ายนี้ผมอยากจะฝากเอาไว้”
“ไม่ว่าเราทุกคนจะเป็นยังไง ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นแบบไหน เราทุกคนยังเป็นเพื่อนกัน....ผมสีญญาว่าถ้ามีโอกาสจะมาออกแบบภายในให้กับรุ่นน้องๆแน่นอน ฮ่าๆ ถ้าผมติดมหาลัยที่สมัครนะน่ะ”
เสียงโห่ฮาดังขึ้นจากด้านล่างอีกครั้ง ผมกับพวกคณะกรรมนักเรียนชุดนี้ทั้งหมดโค้งตัวพร้อมกัน ก่อนจะเอ่ยคำว่า ‘ขอบคุณ’ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพูดอะไรอีกดีเพราะทุกอย่างเราทุกคนล้วนรับรู้กันด้วยใจแล้วนั้นเอง พวกเพื่อนผมทั้งหมดช่วยกันร้องเพลงมาร์ชของโรงเรียนเพลินจิตวิทยา ก่อนต่างคนจะต่างแยกย้ายกันไปให้เหล่ามิสและบราเดอร์ผูกข้อมือให้เป็นของขวัญวันจากลา
“จบจนได้เนาะ.....”
ผมพูดขึ้นเรียบๆหลังเราทั้งคู่ไปให้เซนเซผูกข้อมือให้เสร็จแล้ว
“แต่กว่าจะจบได้...เล่นเอาเหงื่อตกเลย...”
จริงอย่างที่ไอ้ป้องมันว่า ตลอดเวลาหนึ่งปีที่มันเป็นประธานนักเรียน มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายจริงๆ ทั้งตอนที่สาขาสองถูกไฟไหม้จนต้องมาเรียนกับพวกผมสักพักใหญ่ๆ หรือกระทั้งการที่โรงเรียนยกพวกตีกัน แน่นอนว่าพวกมือปราบยังทำงานได้ดีเสมอต้นเสมอปลาย ผมเองก็สอบติดรับตรงไปได้ด้วยดี ส่วนไอ้ป้อง....
....มีจดหมายเชิญเข้ามหาวิทยาลัย พร้อมทุนการศึกษาเรียนฟรีสี่ปี
ให้ตายเหอะ โคตรลำเอียง....
“ไม่ดีเลยวะ แบบนี้แปลว่าช่วงที่ต้องไปเรียนกูกับมึงก็ต้องห่างกันอ๊ะดิ”
ผมว่า เพราะตัวเองดันทะลึ่งติดจังหวัดที่เป็นบ้านเกิดของไอ้ป้องมัน...ครับ ผมติดมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่เชียงใหม่นี้ล่ะครับ ส่วนไอ้ป้องมันดันได้ทุนจากม.แห่งหนึ่งที่จังหวัดปทุมธานี เล่นเอาผมเซ็งเลย จะย้ายไปก็ดันไม่มีสาขาที่ผมต้องการจะเรียนอีก ไอ้ป้องเองก็ติดสัญญาค่ายเพลงทำให้ต้องเรียนที่นั้น
“เป็นไร ทำหน้าเศร้าอีกแหละ...กรุงเทพ-เชียงใหม่ ไม่ได้ไกลขนาดนั้นสักหน่อย บินแปปๆก็ถึง”
มันว่าพลางดึงมือผมเอาไว้
“ไม่ไกล...แต่กลัวคนใกล้ทำให้ใจเปลี่ยน”
“ไม่ไหว”
“.......”
“เปลี่ยนไม่ไหวหรอก .... รักมากขนาดนี้”
มันว่าก่อนจะส่งรอยยิ้มซื่อๆให้ผม
“พูดงี้ไม่อยากนอนใช่ไหม ?”
“จะไม่รักก็แบบนี้แหละ หื่นตลอดกาล”
“พูดเล่นนะ คืนนี้ต้องไปกินเลี้ยงจบไม่ใช่เหรอ ?”
“เออวะ”
ไอ้ป้องทำหน้าเหมือนเพิ่งคิดได้ นี้หมายความว่ามึงไมได้ดูเอกสารที่กูส่งไปให้เซ็นเลยสินะ แต่ถ้าผมเป็นมันผมเองก็คงได้แต่เซ็นเพราะมันเยอะจริงๆทำให้อดนึกไม่ได้ว่าไอ้พี่กาเซียร์มันทำได้ยังไงถึงจบออกไปพร้อมเกรดสวยๆแบบนั้น ก็ขนาดไอ้ป้องเกรดยังลดเลยอ๊ะครับ!!! (ส่วนผมแค่สามกว่าๆก็คางเหลืองแล้วครับT T )
“เกียร์”
“ห๊ะ ?”
“ไปตึกห้าชั้นสองกัน...”
มันพูดจบก็ไม่รอฟังคำตอบหรอกครับ เดินลิ่วไปนู้น จะทำยังไงล่ะครับก็ตามไปสิ ผมกับไอ้ป้องเดินลัดเลาะสนามยงยุทธก่อนจะเดินมาถึงอาคารห้า จริงๆผมรู้อยู่แล้วล่ะว่ามันอยากขึ้นมาบนนี้ทำไม
“ไม่น่าเชื่อเลยเนาะ....เรื่องของพวกเราเนี้ย.....”
มันเริ่มพูดขึ้นก่อน
“อื้ม...ก็จริงๆนั้นแหละ ไม่คิดเหมือนกัน....ว่าจะรักได้ขนาดนี้”
“ไปเชียงใหม่จะเป็นยังไงบ้างเนี้ย.....”
“ก็จะรักเหมือนเดิมนั้นแหละ...”
ไม่ใช่แค่ผมหรอกที่หวง...มันเองก็ห่วงผมเหมือนกันนั้นแหละ
“ถ้าเรามีเวลาหนึ่งวันเราจะได้เจอกัน ถ้าเรามีเวลาหนึ่งชั่วโมงเราจะได้สไกด์คุยกัน ถ้าเรามีเวลาหนึ่งนาทีเราจะโทร.หากัน สัญญานะ......”
นิ้วก้อยยาวถูกส่งมาให้กับผม ก่อนมันจะคลี่ยิ้มออกมา ผมยิ้มตอบรับก่อนจะยืนนิ้วก้อยไปเกี่ยวไว้
“ตลอดไป.... เกียร์สัญญาว่าจะตั้งใจเรียน แล้วจะรีบสร้างบ้านไวๆ”
ผมกอดอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นแค่การจากลาช่วงสั้นๆ เรายังไปมาหากันได้เสมอทุกครั้งที่คิดถึงกัน แต่เพราะความไกลไม่ใช่รึยังไงที่ทำให้ใครหลายคนเลิกราจากกัน ผมไม่อยากเลิกกับไอ้ป้องและไม่เคยแม้แต่จะคิด แน่นอนว่ามันเองก็คงคิดแบบเดี่ยวกับผมนั้นแหละ แต่เราทั้งคู่เองก็โตมากพอที่จะแยกแยะความรู้สึกส่วนตัวและหน้าที่ออกไปได้ จริงอยู่ที่ว่าเรื่องครั้งนี้มันไม่ได้หนักหนาอะไรนัก เราแค่แยกย้ายกันไปเรียน
แต่ถ้าวันใดวันหนึ่ง เรื่องที่ทำให้เราแยกกัน ถ้าหากว่ามัน...เป็นความฝันของใครคนหนึ่ง
......ผมไม่รู้เลยจริงๆว่าจะต้องทำยังไงต่อไป
หลังจากวันนั้นผมกับไอ้ป้องใช้ช่วงระยะเวลาสามเดือนที่เหลืออยู่ในกรุงเทพฯทำสิ่งที่อยากจะทำด้วยกัน ผมพามันออกงานสเกตบอร์ดถี่ขึ้นมาก มันเองก็พาผมไปนู้นไปนี้บ่อยๆ เราทั้งคู่ยังไปเยี่ยมน้องร่าเริงเป็นประจำ และทุกๆครั้งที่ไปก็จะเจอพี่หมอที่มาเยี่ยมเหมือนๆกัน
พี่หมอบอกผมกับไอ้ป้องว่า พี่เขาไม่ได้เลือกที่จะจมกับอดีต
เขาแค่เลือกที่จะไม่ลืม.....
วันเวลาผ่านไปเหมือนสายน้ำ ระยะเวลาสามเดือนของเราหมดลงไป ผมนั่งมองพวงกุญแจรูปปลาตัวโตๆที่ใครคนหนึ่งซื้อให้เป็นเครื่องรางบนรถไฟ วิวสองข้างทางไม่ได้ชวนให้ผมรู้สึกอยากมองเท่าไหร่เลย จริงอยู่ที่เชียงใหม่อากาศมันก็ดี แต่มันจะดีกว่านั้นถ้าหากมีคนๆนั้นข้างๆกัน
ให้ตายเหอะ ผมติดมันมากจริงๆนั้นแหละ
แล้วปานี้มันจะเป็นยังไงนะ ? มันจะคิดถึงผมแบบที่ผมคิดถึงมันรึเปล่า ? แล้วที่มหาวิทยาลัยของมันจะมีการรับน้องแบบไหน ไอ้ป้องจะเข้ากับคนที่คณะนั้นได้ไหม ? มันจะยังมีเพื่อนที่คอยให้คำปรึกษามันใช่ไหมนะ ?
ผมครุ่นคิดไปเรื่อยๆ วิวสองข้างทางก็ค่อยๆเปลี่ยนไป รู้สึกตัวอีกที่มือถือก็สั่นเป็นสัญญาณว่ามีใครส่งไลน์มา ผมหยิบขึ้นมาปลดล็อคหน้าจอก่อนจะสไลด์ดูข้อความที่ส่งมา
‘ปกป้อง : วันนี้รับน้องหนุกมาก’
ไอ้ป้องส่งข้อความสั้นๆ พร้อมรูปมันในชุดนิสิตชายที่โดนมันจุก รอบๆตาโดนเขียนด้วยลิปสติกสีแดง รวมๆแล้วทั้งหน้าใช้คำว่าเละก็คงยังไม่พอแบล็กกราวด้านหลังคือเพื่อนผู้ชายสามสี่คน ผมหลุดขำทันทีที่เห็นภาพดังกล่าวก่อนจะยิ้มร่าตอบกลับมันไป
‘ไว้ถึงเชียงใหม่แล้วจะส่งรูปให้ดูอีกรอบ’
ผมกดส่งภาพตัวเองจุ๊บพวงกุญแจรูปปลาส่งกลับไปให้มัน ข้อความของผมขึ้นว่า ‘seen’ เป็นว่าอีกฝ่ายได้อ่านข้อความของผมเรียบร้อยแล้ว มันกดส่งสติกเกอร์ยกนิ้วโป้งข้างหนึ่งขึ้น ก่อนจะเงียบหายไป ผมยิ้มให้กับตัวเองหน่อยๆ
จริงสินะ.....ไอ้ป้องเองก็ไม่ใช่เด็กๆแล้ว มันเองก็มีเพื่อนเยอะแยะ
นับว่าเราทั้งคู่ เปลี่ยนแปลงขึ้นจากเดิมมากจริงๆ.....
ผมพิงผนังรถไฟก่อนจะค่อยๆหลับตาลงไป หวนคิดถึงหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่ทำให้เรามีเราในวันนี้ สี่ปีกับอนาคตที่กำลังจะสร้างมันขึ้นมา ผมปรารถนาให้มันเป็นไปได้ดั่งใจเหลือเกิน.....
___________________________________________________________________________
“และนี้คือกองทัพคาราวานแฟนคลับที่มาคอยคิวซื่อบัตรคอนเสิร์ตนะค่ะ เดียวเราเข้าไปถามพวกเขากันดีกว่าว่ามาจากที่ไหนกันบ้าง”
นักข่าวสาวในทีวีพูดขึ้นก่อนจะยื่นไมค์ไปให้เหล่าแฟนคลับที่กำลังจดจ่ออยู่กับการเข้าแถวพูดออกอากาศ
“มาจากที่ไหนกันบ้างค่ะ ?”
“น่านค่ะแล้วก็เพื่อนอีกสองคนมาจากแพร่ นั่งๆรถกันมาค่ะ”
สาวน้อยคนนั้นตอบยิ้มๆ ก่อนจะพากันบิดเขินอายเมื่อกล้องฉายไปที่เสื้อของหล่อนซึ่งเป็นรูปของศิลปินชื่อดังเจ้าของบัตรคอนเสิร์ตในวันนี้
“เป็นแฟนคลับ ‘อามัว’ มานานรึยังค่ะเนี้ย ?”
หล่อนพูดต่อก่อนจะยื่นไมค์ให้อีกครั้งหนึ่ง เด็กสาวทั้งกลุ่มบิดไปบิดมาก่อนจะตอบด้วยท่าที่เหนียมอาย
“นานแล้วค่ะพี่ ตั้งแต่สมัยที่อามัวยังไม่เปิดเผยตัวตนค่ะ จนถึงตอนนี้ก็เกือบๆห้าหกปีแล้วที่ติดตามผลงานมา พี่เขาน่ารักค่ะ แล้วก็...ยังโสด”
คำพูดนั้นเรียกเสียงกรี๊ดได้จากทั้งกลุ่มพ้องเพื่อนและคนที่อยู่ใกล้เคียง นักข่าวสาวอมยิ้มก่อนจะถามต่อ
“ถ้าบอกถึงอามัวได้ถึงอย่างจะบอกว่าอะไรค่ะ ?”
หล่อนทำท่านึก ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงกระดี๊กระด๊า..จนผมเริ่มหมั้นไส้
“อยากจะบอกพี่อามัวว่า หนูไปคอนฯพี่ทุกครั้งเลย ก็ถ้าไม่มีปัญหาอะไร....หนูขอเป็นแฟนคลับวีไอพีได้ไห....”
‘พรึ่บ’
ยังไม่ทันได้พูดจบประโยคผมก็กดรีโมทในมือให้ดับลงก่อนจะยกขามาพาดไว้กับโต๊ะแก้วที่ไว้วางของด้านหน้า ให้ตายเหอะ รู้สึกไม่สบอารมณ์ชะมัด....
ยังโสด...
ใช่ ....นั้นคือสถานะไอ้ป้อง ‘ของผม’ที่คนอื่นรับรู้ แน่ล่ะ ก็ศิลปินที่มีแฟนแล้วกับศิลปินที่ยังไม่มีแฟน ดีกรีความนิยมมันต่างกันคนละเรื่องนิครับ ผมเองก็โตมากพอแล้วที่จะเป็นผู้ใหญ่รับฟังเหตุผลจากไอ้ป้องมัน ซึ่งหลายๆครั้งมันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ แต่ผมไม่ชอบที่ใครเข้ามาเกาะแกะกับมัน ยิ่งหลังมันเข้ามหาวิทยาลัย ทั้งเสือสิงกระทิงแรดแทบจะวิ่งถลาเข้าใส่มัน จำได้ว่ามีครั้งหนึ่งที่ผมไปเยี่ยมไอ้ป้องที่หอ ผมต้องช่วยมันจากการจะโดนผู้หญิงข่มขืนด้วยซ้ำ ดีว่าสิ่งที่เราเคยพูดกันว่าช่วยทำให้อุ่นใจเราทั้งคู่
ถ้าเรามีเวลาหนึ่งวันเราจะได้เจอกัน
ถ้าเรามีเวลาหนึ่งชั่วโมงเราจะได้สไกด์คุยกัน
ถ้าเรามีเวลาหนึ่งนาทีเราจะโทร.หากัน
เราทั้งคู่ทำตามสิ่งที่ได้พูดไว้จริงๆ
เพราะงั้น....ความสัมพันธ์ของผมกับไอ้ป้องเลยเป็นเหมือนเดิมเสมอ......
ไม่ใช่แค่แฟนแต่มันคือคนรัก คนที่พร้อมจะอยู่ด้วยกันไปอีกนานแสนนาน พ่อกับแม่เองก็ยินยอมตั้งแต่ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นในครั้งนั้น จะว่าไปแล้วก็คิดถึงไอ้พวกนั้นแหะต่างคนต่างแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง ถึงจะไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอกันเหมือนตอนเรียนโรงเรียนเดียวกัน แต่ทั้งผม ไอ้เฟรม และไอ้อู๋ ร่วมทั้งเพื่อนๆของไอ้ป้องก็ยังนัดเจอกันบ่อยๆ จะมีก็แต่สีเทียนที่ไม่ค่อยได้เจอ
ผมคิดว่านั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องของสีเทียนนะ....
เรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นของทุกคู่ใช่ว่าจะลงเอยเสมอไป สุดท้ายแล้วหนมปังก็ตัดสินใจยุติเรื่องราวทุกอย่างด้วยการหนีไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นและตัดการติดต่อสื่อสารทุกอย่างกับสีเทียน ผมเหมือนเห็นตัวเองตอนช่วงที่ไอ้ป้องหายไปจากสีเทียน สิ่งที่เหมือนกันมากที่สุดคือหมอนั้นยังรอ ....
รอสักวันที่หนมปังจะให้อภัย....และกลับมาคืนดีกันอีกครั้งหนึ่ง
คล้ายๆเหมือนเพลงที่ผมเคยเขียนให้ไอ้ป้อง เรื่องราวชีวิตยังคงเดินต่อไปจริงๆ ตอนนี้ทั้งผมและไอ้ป้องเองก็อายุขึ้นหลักสองกันมานานแล้ว(ผมยังไม่แก่นะครับแค่โตขึ้นเฉยๆ....) เราทั้งคู่จบมหาวิทยาลัยในปีการศึกษาเดียวกัน ก่อนไอ้ป้องจะโหมงานสร้างอนาคตเต็มตัว
และผมเอง....ที่ก็ทำงานมาได้นานแล้ว
หลังจากจบด้านการออกแบบภายในหรือมัณฑนากร ผมเริ่มต้นจากศูนย์ด้วยการเข้าทำงานกับบริษัทเก่าของพ่อ ออกแบบห้องประชุม ห้องรับรองจากความคิดสร้างสรรค์หลายๆแบบ สำหรับตัวผมเองแล้วก็ต้องยอมรับว่าการทำอาชีพมัณฑนากรเป็นงานที่สนุก ท้าทาย และได้สร้างสรรค์สิ่งสวยงาม ทำให้คนมีความสุข แต่งานที่สนุกของผมเองก็ไม่ได้เป็นงานที่สบาย ไม่ได้นั่งขีดเขียนออกแบบอยู่กับโต๊ะเหมือนที่หลายคนเข้าใจ แถมยังต้องเสี่ยงต่อการโดนช่างหนีงาน โดนลูกค้าเบี้ยว ไม่จ่ายเงิน และอันตรายต่างๆ ที่สามารถเกิดขึ้นได้เวลาลงพื้นที่หน้างาน สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้ที่ร่ำเรียนมาทางด้านการออกแบบและตกแต่งภายในผันตัวเองจากการทำอาชีพมัณฑนากรไปประกอบอาชีพอื่นก็มีมาก แต่ก็มีเพื่อนร่วมอาชีพอีกมากมายที่ยังทำงานกันด้วยใจรัก และสิ่งสำคัญที่จะทำให้งานดำเนินลุล่วงตามเป้าหมายก็คือความซื่อสัตย์ อดทน และคิดถึงใจเขาใจเรา นั้นเป็นสิ่งที่ผมยึดถือเสมอมา
ไอ้ป้องเองก็ทำงานหนักไม่ต่างจากผมเลย นักร้องแบบมันต้องเดินสายโปรโมทอยู่แทบจะตลอดเวลา เวลากินเวลานอนไม่เคยมีหรอกครับ มีแค่ทำงานเสร็จก็ได้นอน ทำไม่เสร็จก็อดนอน
แต่ถึงจะยุ่งขนาดไหน มันก็มันจะหาเวลามาหาผมอยู่เสมอๆ
เหมือนวันนี้....
“ทำไรอยู่ครับ...หื้ม.... ?”
เสียงนุ่มๆดังขึ้นข้างหูผม ก่อนแขนคู่หนึ่งจะกอดมาจากด้านหลัง
“เรื่อยเปื่อย...วันนี้คุณกลับบ้านไวจัง”
เพราะสรรพนามที่เปลี่ยนไปทำให้อีกฝ่ายจับสังเกตได้ ไอ้ป้องส่ายหัวน้อยๆคล้ายจะชินกับนิสัยของผมแล้วล่ะที่เป็นแบบนี้ มันเลือนตัวมาข้างหน้าก่อนจะนั่งซ้อนทับผมพร้อมกอดผมเอาไว้
“งอนอะไรป้องอีกเนี้ย”
“เปล่า”
“ให้ตาย....เรื่องน้องผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม ?”
“..........”
“เงียบแบบนี้แปลว่าใช่ ?”
“ก็...นิดหน่อย”
มันถอนกอดก่อนจะมองหน้าผม
“อะไรหว่า อยู่ด้วยกันมาเกือบๆจะขึ้นเลขสามหลักแล้ว ยังคิดว่าจะชอบคนอื่นได้อีกเหรอครับ ? หื้ม ?”
ไอ้ป้องพูดต่อ ก่อนสันจมูกจะกดลงบนแก้มของผม ตั้งแต่เรื่องงานวันเกิดเมื่อคราวก่อนนี้รู้สึกผมจะเสียเปรียบขึ้นเยอะแหะ
ก็วันนั้นผมเมานี้ครับแล้วใครจะไปคิดว่าคนที่อยู่ข้างล่างมาตลอดจะอยากอยู่ข้างบนบ้างแบบมัน....โอเค ผมจะไม่เล่าไปมากกว่านี้(บอกตรงๆว่าอายเข้าใจความรู้สึกมันตอนครั้งแรกชะมัด..!!!!) เอาเป็นว่าตอนนี้ทั้งผมและมันเสมอกันในทุกเรื่องนั้นแหละครับ
“เอาไว้ว่างๆจะเปิดตัวกับสื่อ”
มันพูดหยอก
“ให้มันจริงเถอะ”
“จริงๆครับ”
ไอ้ป้องพูด ก่อนจะเอาหัวทรงรากไทรถูหน้าอกผมไปมา ผมใช้สองมือขยี้เส้นหัวมันแรงๆจนโดนวงค้อนโตๆขวับเข้าให้ ก่อนเราทั้งคู่จะหัวเราะออกมาด้วยความสุข
โดยที่ผมก็ไม่รู้เลยว่า
ความสุข....มันมีสองด้านเสมอ....
อะไรที่ทำให้เราสุขได้
มันก็ทำให้เราทุกข์จนแทบขาดใจตายได้เช่นเดี่ยวกัน.....
TBC.
เรื่องราวทุกอย่าง มันยังไม่ได้จบลงมันกำลังเดินไปตามทางของมันครับ
สนใจสั่งจอง จิ้มๆ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43584.msg2812998#msg2812998
Ps. อัพเดทรายชื่อคนจองหนังสือและคนที่โอนเงินมาเรียบร้อยแล้วนะครับ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น