คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #35 : Special Chapter Nitts And Mizel
* เนื้อเรื่องนี้เป็นเนื้อเรื่องในอดีตของเซนที่ตอนนั้นยังมีชื่อว่า ไนทท์ โยฮาร่า โรวว์ ใครที่ไม่อยากโดนสปอยเนื้อเรื่องความสัมพันธ์ก่อนที่เนื้อเรื่องหลักจะกล่าวถึงแนะนำให้ปิดตอนนี้ทิ้งซะ ด้วยความหวังดีจาก ชินะ
“ทำไหมลินน่าต้องไปอยู่กับคนแบบนั้นด้วยนะ”
เสียงของเด็กชายกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนคนขอไปทีแต่คำพูดนั้นไปคนละทาง กำลังเดินไปที่ห้องสมุดอยู่ ผู้คนมากมายเดินผ่านไปผ่านมาแต่สีผมที่แปลกกว่าชาวบ้านและส่วนสูงที่เตี๋ยกว่าคนอื่นนั้นทำให้คนอื่นมาด้วยความแปลก เด็กชายที่เดินมาถึงห้องสมุดแล้วนั้นพอเข้าไปไม่แปลกจเลยว่าทำไหมห้องสมุดมีแต่เด็กของเรเวนคลอเต็มห้องสมุด แต่เด็กชายไม่สนใจเดินตรงไปหาหนังสือที่ตนเองสนใจแล้วหาที่นั่งที่คนไม่เยอะ
เด็กชายนั่งอ่านเป็นเวลานานและหนังสือที่กองอยู่บนโต๊ะก็ไม่ใช่น้อยๆ ถึงคนจะมองยังไงเด็กชายก็ไม่สนจะเรียกว่าไม่ได้รับรู้ถึงสายตาที่ส่งมาจะดีกว่าจนอยู่ๆมีอะไรบ้างอย่างให้เด็กชายหันไปมองที่หน้าประตูห้องสมุดพร้อมกับคนที่เข้ามาดันเป็นเด็กชายผู้มีเรือนผมสีบรอนแดงดูยังไงก็ไม่ใช่เลือดบริสุทธิ์แน่แท้และเสื้อผ้าที่ใส่นั้นเป็นของบ้านสลิธีรินอีกด้วยแต่ด้วยอะไรไม่ทราบเพราะโต๊ะที่เด็กชายนั่งนั้นดันวางเพราะตัวของเด็กชายนั่งคนเดียว ตัวอื่นๆนั้นเต็มนั้นทำให้เด็กบ้านสลิธีรินนั้นต้องมานั่งกับเด็กชาย
นั้นทำให้บรรยากาศรอบๆโต๊ะของเด็กชายนั้นเงียบยิ่งกว่าป่าช้าและพอเด็กชายมองดีก็ทำให้นึกออกมาชายคนมานั่งโต๊ะเดียวกันนั้นเป็นรุ่นพี่ของตัวเองรู้สึกจะอยู่ปีสามละมั่ง เด็กชายที่เลิกอ่านหนังสือก็ได้แต่มองหน้าอีกฝ่ายจนทำให้อีกคนที่ตั้งตาอ่านหนังสือนั้นหยุดลงแล้วสบตากับเด็กชาย
“มีอะไร”
เสียงที่เย็นชานั้นทำให้เด็กชายที่ดูรู้ว่าอีกฝ่ายรู้แล้วตนมองนั้นได้แต่ยิ้มออกมาแต่ในใจนั้นเกิดอาการกลัวกับน้ำเสียงที่เย็นชาเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วเด็กชายตั้งสินใจที่จะพูดกับคนตรงหน้า
“ป่าวเหรอ แค่แปลกนะ..”
“แปลก?”
อีกฝ่ายทำท่าทางสงสัยในคำพูดของเด็กชายนั้นทำให้เด็กชายหัวเราะในลำคอแต่ดูเหือนอีกฝ่ายจะรู้ว่าเด็กชายหัวเราะ ใบหน้าที่เหมือนกับนักเลงนั้นและสายตาที่ส่งมานั้นทำให้เด็กชายหยุดหัวเราะและสบสายตาให้
“ใช่ นี้ขอเสียมารยาทจะได้ไหม”
“.....”
ไร้คำตอบจากอีกฝ่ายนั้นทำให้เด็กชายยิ้มออกมาเพราะถ้าไร้คำตอบสำหรับเด็กชายแล้วนั้นถึงว่าเป็นคำตอบที่ว่า “ได้” นั้นเอง
“อยู่คนเดียวเหงาหรือป่าว?”
เด็กชายนำคางของตนมาไว้ที่มือด้านซ้ายของตนและมองดูสีหน้าที่ตกใจกับคำถาม เพราะตัวของเด็กชายนั้นเป็นคนที่ชอบสังเกตุสีหน้าของคนอื่นเป็นอย่างมากนั้นก็พอทำให้เด็กชายเหมือนอ่านใจคนได้จากทางสีหน้าถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่แสดงออกมา
“ทำไหมถึงถามคำถามนั้น?”
“นั้นสินะ.. แค่สีหน้าของคุณมันดูโดดเดียวละมั่งแทนการที่เด็กบ้านสลิธีรินมาคนเดียวด้วยนั้นเป็นเรื่องประหลาด”
“นายนี้ประหลาดดีนะ มาถามคนอย่างบ้านสลิธีริน”
อีกฝ่ายกล่าวออกมาพร้อมกับมองไปที่เด็กชายแทนยิ่งประหลาดใจเพราะตอนแรกคิดว่าเด็กชายนั้นเป็นเด็กบ้านเรเวนคลอเพราะกองหนังสือที่อ่านนั้นมหาสารแต่เด็กชายดันเป็นคนที่อยู่บ้านฮัพเฟิลพัฟซะงั้น
“งั้นเหรอครับ แต่จะยังไม่ตอบคำถามนี้ก็ได้นะเพราะดูเหมือนว่าจะหมดเวลาซะแล้ว”
เด็กชายกล่าวออกมาพร้อมกับเตรียมตัวลุกออกจากโต๊ะและกำลังจะเก็บกองหนังสือตรงหน้าของตัวเองแต่นั้นทำให้อีกฝ่ายกล่าวถามออกมา
“นายชื่ออะไร ฉันชื่อมิเซล มิโอ เรนนิโค ปีสาม”
“ผมไนทท์ โยฮาร่า โรวว์ ปีหนึ่ง”
การแนะนำชื่อของตัวเองนั้นเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆของไนทท์และมิเซลที่ทำให้ทั้งสองการเป็นเพื่อนสนิทข้ามชั้นปีไปเลยก็ว่าได้ถึงแม้ว่าในตอนแรกทั้งสองจะเป็นแค่คนคุยกันเท่านั้นแต่เหมือนเวลาผ่านไปก็ทำให้ทั้งสองจากคนแปลกหน้ามาเป็นเพื่อนสนิท
เวลาผ่านไปทั้งไนทท์และมิเซลต่างได้มาเจอกันและได้นั่งโต๊ะที่เดียวกันเหมือนกับโชคชะตาที่ทำให้ไนทท์และมิเซลต้องมาพบกัน
“งั้นรุ่นพี่คำถามที่ผมถามไป เมื่อไรรุ่นพี่จะตอบผมละ?”
ไนทท์กล่าวออกมาเพราะการเจอมิเซลนั้นเป็นเวลาตั้งสามเดือนแล้วเพราะดูเหมือนว่าทุกครั้งที่ไนทท์นั่งตรงไหนเหมือนว่าโต๊ะจะเต็มทุกคนั้งและมิเซลจะต้องมานั่งกับไนทท์ แต่เมื่อไรที่มิเซลมาก่อนไนทท์พอไนทท์เข้ามาโต๊ะก็จะเต็มและนั้นต้องทำให้ไนทท์มานั่งกับมิเซลอีกด้วย
“....”
ไร้เสียงจากมิเซลนั้นทำให้ไนทท์ถอยหายใจกับคำถามที่ตัวเองนั้นอย่างจะได้จากอีกฝ่ายแต่สีหน้าของมิเซลนั้นทำให้ไนทท์ยิ้มออกมานิดหน่อย เพราะดูเหมือนว่าตัวของมิเซลจะเปิดใจให้กับไนทท์บ้างแล้ว
นั้นทำให้ไนทท์เลิกที่จะถามมิเซลและหันมาอ่านหนังสือต่อแต่ไม่รู้เลยว่าตัวของมิเซลนั้นแอบใช้สายตามองไนทท์อยู่ตลอดและยังรู้สึกแปลกใจที่ตัวของไนทท์นั้นอ่านหนังสือของปีสี่เพราะมิเซลรู้ว่าไนทท์เด็กที่นั่งฝั่งตรงข้ามตนนั้นอยู่ปีหนึ่งและพอรู้มาบ้างว่าเลือดบริสุทธิ์นั้นจะได้เรื่องรู้เนื้อหาของปีหนึ่งและปีสองแล้วแต่พอมาเห็นไนทท์มาอ่านหนังสือปีสี่เลยรู้สึกแปลกใจหน่อยๆ
“ไนทท์อยู่นี้เองเหรอ?”
เสียงของผู้หญิงที่กำลังเรียกชื่อของไนทท์นั้นทำให้ตัวของไนทท์ที่กำลังอ่านหนังสืออย่างตั้งใจนั้นหันหน้าขึ้นมาด้วยรอยยิ้มและนั้นทำให้มิเซลเห็นมาทั้งสองหน้าเหมือนกันมาแต่คงเว้นไว้อย่างหนึ่งคือส่วนสูงของเด็กหญิงและไนทท์เพราะตัวของไนทท์นั้นเตี๋ยกว่าเด็กหญิงมาก
“ลินน่า? เธอไม่ได้อยู่กับหมอนั้นเหรอ?”
“เซฟ เขาไปทำธุระกับเพื่อนนะพอดีเห็นว่านี้มันเย็นแล้วเลยจะมารับนายด้วยไนทท์”
“งั้นเหรอ ลินน่าไปรอข้างนอกแปปนะเดียวผมขอเก็บหนังสือพวกนี้ก่อน”
ลินน่าที่ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าแล้วเดินออกมาไปนั้นทำให้เหลือแค่ไนทท์และมิเซล ไนทท์ที่กำลังเก็บหนังสืออยู่นั้นได้แต่เก็บเพราะมิเซลนั้นเงียบมากจนหนังสือที่อยู่ในแขนของไนทท์กำลังตกมิเซลที่เห็นแบบนั้นก็เดินเข้าไปช่วย
“เดียวช่วย อีกอย่างเด็กคนนั้นรออยู่นิ”
“ขอบคุณครับ”
ไนทท์กล่าวออกมาแต่ในใจนั้นรู้แล้วว่ามิเซลเข้าใจผิดว่าลินน่าเป็นแฟนของไนทท์แต่หารู้ไม่ว่าตัวของไนทท์กับลินน่าเป็นแฝดกัน แต่เพราะการที่มิเซลเห็นไนทท์รีบเก็บหนังสือก็คงไม่แปลกถึงแม้ในตอนแรกจะสงสัยว่าเป็นแฝดกันหรือป่าวก็ตาม
แต่เวลาก็ยังผ่านไปไม่ว่าจะหลายวัน หลายเดือนจนเป็นปี สิ่งเดียวคือการที่ไนทท์และมิเซลเป็นได้แค่คนคุยกันเท่านั้นถึงแม้ว่าทั้งสองจะเจอกันที่ห้องสมุดเหมือนเคยแต่ทุกอย่างก็เหมือนเดิมเพราะต่างฝ่ายต่างก็ไม่ค่อยเข้าหากันเท่าไร ให้ความเป็นส่วนตัวกันมาก
จนเมื่อถึงเวลาที่ไนทท์ขึ้นปีสองและมิเซลขึ้นปีสี่นั้นเองคงจะเรียกว่ามันเป็นความบังเอิญอีกก็ว่าได้เพราะไนทท์ที่ของตัวมานั่งคนเดียวและดุเหมือนคนที่ขอเข้ามานั่งด้วยจะเป็นใครไปไม่ได้คือ มิเซล รุ่นพี่บ้านสลิธีริน แต่การที่ไนทท์คนเดียวนั้นหลังจากที่มิเซลขอนั่งด้วยแล้วนั้นทำให้ตัวขอไนทท์ยิ้มหัวเราะออกมา
“ฮ่าๆๆ โชคซะตาอีกแล้วสินะครับ?”
“โชคชะตา?”
มิเซลกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่สงสัยกับคำว่าโชคชะตาที่ไนทท์กล่าวออกมาถึงแม้ว่าตัวเองจะรู้สึกแปลกประหลาดเพราะไม่ว่าอะไรก็จะเจอไนทท์อยู่คนเดียวเสมอ
“ครับ โชคซะตาที่ทำให้เรามาเจอกัน”
ไนทท์ยิ้มให้แล้วหยิบตระกร้าขนมที่ตัวเองนั่งกินอยู่ยื่นไปให้กับมิเซลด้วยรอยยิ้ม ตอนแรกตัวของมิเซลนั้นไม่คิดจะหยิบมันออกมาแต่พอไนทท์พูดออกมานั้นทำให้ตัวของมิเซลนั้นหยิบ
“ไม่ต้องห่วงเหรอครับ ผมไม่ใส่ยาพิษลงไปเหรอ อีกอย่างถ้าผมใส่ผมคงตายไปแล้วละ”
หลังจากนั้นก็ไร้เสียงพูดคุยกันเช่นเคย ในห้องนั้นมีแต่ความเงียบถึงแม้ว่าไนทท์จะพูดเกี่ยวกับโชคชะตาไว้ก็ตามแต่ตัวของมิเซลพยายามจะไม่คิดอะไรสิ่งเดียวที่ตัวของมิเซลคิดคือ พยายามที่จะเรียนให้จบแล้วกลับไปช่วยครอบครัวทำงาน
หลังจากที่รถไฟได้มาถึงฮอกวอตส์นั้นตัวของไนทท์และมิเซลก็แยกย้ายกันเพราะนี้เป็นเวลาที่จะได้ตอนรับักเรียนปีหนึ่งที่กำลังจะมาเรียนอยู่ที่นี้ แม้จะเป็นแบบนั้นแต่ตัวของไนทท์ก็ไม่ได้สนใจมันมากนักแต่สายตายังคงจับจ้องไปมองมิเซลที่นั่งอยู่โต๊ะสลิธีรินอยู่ด้วยรอยยิ้ม ถึงแม้ว่าตัวของมิเซลจะรับรู้ถึงรอยยิ้มที่ไนทท์ส่งข้ามบ้านมาก็ตาม
“ไนทท์ นายจะไปยุ่งกับรุ่นพี่คนนั้นมากไปหรือป่าว?”
เสียงของลินน่านั้นทำให้ไนทท์หันกับมามองเธอที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับตนด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะกล่าวคำพูดหนึ่งออกมา
“เพราะมีความรู้สึกที่คล้ายกับผมตอนอยู่บ้านไงละลินน่า ผมถึงเข้าไปหาเขา รู้สึกโดดเดียว ไม่มีใครต้องการ มาทำอะไรที่นี้...”
สิ้นเสียงของไนทท์ลินน่าก็เอาไก่มาไว้ที่ปากของไนทท์ทันทีนั้นทำให้ไนทท์กินจากช้อนของลินน่าทันที
“อย่าพูดแบบนี้สิไนทท์ นายยังมีฉันอยู่นะ”
“รู้อยู่แล้วนะ ลินน่า”
จนเวลาก็ยังผ่านไปทั้งไนทท์กับมิเซลก็ไม่ได้เจอกันเพราะนักเรียนเหล่าปีสี่นั้นต้องมาจัดสถานที่เกี่ยวกับงานเต้นรำแห่งดวงดาวที่ดันมาตรงกับปีนี้พอดีนั้นทำให้ทั้งสองแทบไม่ได้เจอกันเลย
จนมาถึงค่ำคืนของงานเต้นรำแห่งดวงดาวตัวของไนทท์ได้ออกมาจากกลุ่มลินน่าเพียงเพราะไม่อยากไปทำลายความสุขของพี่สาวฝาแฝดถึงแม้ว่าในใจจะไม่ยอมรับคนที่จะอยู่กับลินน่าก็ตามแต่ไนทท์ก็เดินออกมาเจอกันมิเซลที่ยังไงก็ยังอยู่ตัวคนเดียวเหมือนเดิมไม่เหมือนกับทอม ริดเดิลที่เป็นเลือดผสมแต่มีความโดดเด่นเป็นของตนเอง
“ยืนอยู่คนเดียวไม่เหงาเหรอครับ รุ่นพี่?”
“นายอีกแล้วเหรอ..”
“ก็บอกไปแล้วนิครับว่าเป็นโชคซะตาที่ทำให้เรามาเจอกัน”
ไนทท์กล่าวออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูสว่างเป็นอย่างมากสำหรับมิเซลแต่เสียงของศาสตราจารย์ดิพพิตนั้นทำให้คำพูดที่มิเซลจะกล่าวออกมานั้นไม่มี
“ขอต้อนรับสู่งานเต้นรำแห่งดวงดาว ในค่ำคืนนี้จะมีความสนุกสนานและตราตรึงใจ ขอเปิดงานเลี้ยงและเชิญดวงดาวของเราออกมาเต้นรำเพื่อเปิดงาน”
สิ้นเสียงเสียงปรบมือก็ดังขึ้นรวมมั้งไนทท์และมิเซลก็ร่วมกันปรบมือเด็กหนุ่มและเด็กสาวก็ออกมาด้วยการควงแขนยืนอยู่หน้าฟลอร์เต้นรำแล้วดนตรีก็เริ่มบรรเลง จนคู่อยู่ลงมาเต้นรำ
“พวกเขาเหมาะสมกันดีนะครับ”
“ใคร?”
“รุ่นพี่เทียร่า อลามานเทียร์ บ้านเรเวนคลอและเพื่อนร่วมบ้านของรุ่นพี่ รุ่นพี่ทอม ริดเดิล”
ไนทท์กล่าวออกมาเพราะทั้งสองเต้นได้มีเสน่ห์เป็นอย่างมากนั้นทำให้มิเซลที่อยู่ข้างๆไนทท์พยักหน้าตามถึงแม้ว่าจะเป็นเพื่อนในปีเดียวกันแต่ตัวของมิเซลก็ไม่ค่อยสนใจสิ่งรอบข้างเท่าไรนัก
“งั้นนายไม่ไปเต้นรำกับคู่ละ”
“ผมไม่มีคู่เหรอ อีกอย่างการมองลินน่าผู้เป็นแฝดเต้นกับคนอื่นยังจะดีกว่าไปเต้นรำเอง”
ไนทท์กล่าวออกมาพร้อมกับยังคงจ้องมองไปยังลินน่าแฝดของตนเองที่กำลังเต้นรำกับเซฟา ไคล์ ร็อกเอล เด็กจากบ้านกริฟฟินดอร์ที่สำหรับไนทท์แล้วไม่ถูดด้วยมากที่สุด
“แต่คุณอยู่คนเดียวไม่เหงาหรือไง?”
“การอยู่คนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ อีกอย่างตระกูลโรวว์เป็นตระกูลทำนาย นายคงทำนายอะไรได้เลยมาหาฉันใช่หรือป่าว?”
คำถามที่มิเซลกล่าวออกมานั้นทำให้ไนทท์มีสีหน้าที่ตกใจนิดหน่อยก่อนจะหัวเราะในลำคอเหมือนชอบใจ
“ไม่ต้องห่วงเหรอรุ่นพี่ ถึงผมจะเป็นคนในตระกูลโรวว์แต่ก็ไม่มีพลังแห่งการทำนายเหรอครับ..”
“ไม่มี?”
“ก็ผมนะ เป็นเด็กต้องสาปนิ”
สิ้นเสียงของไนทท์ที่บรรยากาศเริ่มจะเงียบสลบนั้น ตัวของไนทท์ก็ตบหน้าตัวเองเบาพร้อมกับหันมายิ้มให้กับมิเซลพร้อมกับเดินออกมาไปเอาเครื่องดื่มมาให้กับมิเซลอีกตังหาก
“ขอให้วันนี้มีแต่ความสนุกนะครับรุ่นพี่”
“...เช่นกัน.”
ถึงแม้มิเซลจะตอบเสียงเบาแต่ตัวของไนทท์ก็ได้ยินก็ยิ้มออกมาก่อนที่งานเลี้ยงจะเลิกลากันไปนั้นทำให้ความสัมพันธ์ของไนทท์และมิเซลเพิ่มขึ้นมาอีก
จนอยู่ๆวันหนึ่งก็มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นและก็เหมือนเดินคือไนทท์ดันมาเจอมิเซลเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือกำลังมีน้ำแข็งแผ่ขยายไปทั่วทางเดิน
“โชคชะตาพามาเจอกันอีกครั้งนะครับรุ่นพี่”
“เวลาแบบนี้ยังจะพูดไม่อีกนะ”
มิเซลกล่าวออกมาพร้อมกับยังวิ่งหนีจากน้ำแข็งที่กำลังขยายตัวตามมาติดๆและนั้นทำให้มิเซลตัดสิ้นใจอุ้มไนทท์ไปด้วยเพราะรุ่นน้องที่ไม่รู้อะไรที่ชอบทำให้เจอนั้นวิ่งช้าเป็นอย่างมาก แทนนั้นยิ่งทำให้มิเซลแปลกใจอีกว่าตัวของไนทท์ที่โดนอุ้มอยู่นั้นเบามาก เหมือนน้ำหนักผู้หญิงเลย
“แต่ไม่คิดเลยนะครับว่าจะเป็นไปตามคำทำนายที่ลินน่ากล่าวไว้ช่วงเปิดเทมอ”
“คำทำนาย?”
“ครับ ก็อย่างที่รุ่นำี่รู้ว่าตระกูลโรวว์เป็นตระกูลทำนาย.. แต่คงยกเว้นผมไว้ละนะ”
ไนทท์กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสดใสแต่ตัวของมิเซลรู้ว่านี้ไม่ใช่น้ำเสียงที่เด็กชายที่ตนอุ้มนั้นกล่าวออกมาแน่นอน เพราะในตระกูลและครอบครัวมีพลังทำนายแต่ตนไม่มีทำให้รู้สึกเป็นตัวประหลาด ก็เหมือนกับมิเซลเองที่ครอบครัว คุณพ่อ คุณแม่ไม่มีเวทย์มนตร์แต่ตัวเองดันมี นั้นก็ทำให้ตนเองมีความรู้สึกเป็นคนแปลกและประหลาดจากสังคมรอบข้างไปแล้ว
“ลินน่าบอกว่าจะมีการเกิดน้ำแข็งที่ปกคลุมที่นี่นะครับ”
“งั้นเราก็ต้องทำสักอย่าง”
“ไม่ต้องครับ”
“ไม่ต้อง?”
มิเซลกล่าวออกมาพร้อมกับสงสัยในคำพูดของไนทท์ที่ตัวเองอุ้มอยู่แต่ถ้ายังวิ่งอยู่อย่างนี้อีกไม่นานตัวของมิเซลต้องเหนื่อยก่อนเป็นอย่างแน่
“ครับ เพราะยังไงเดียวก็คงมีคนมาช่วยอยู่แล้วละ”
“คนมาช่วยเหรอ?”
“ครับ ถึงตระกูลโรวว์จะมีพลังในการทำนายแต่การไม่สามารถเข้าไปยุ่งวุ่นวายได้นะครับ รุ่นพี่”
ไนทท์กล่าวออกมาพร้อมกับกอดคอจากด้านหน้าของมิเซลแน่นมากเพราะน้ำแข็งกำลังไล่ตามมาแล้วแต่มิเซลกับหยุดพร้อมกับร่ายเวทย์ไฟ
“ถ้าวิ่งต่อฉันว่าคงหนีไม่ทัน นายก็ร่ายเวทย์ไฟด้วยซะ”
“ครับๆ รุ่นพี่”
ทั้งสองร่ายเวทย์ไปคนละทางเพื่อที่จะทำให้น้ำแข็งละลายไปบ้างเพราะท่าวิ่งต่อแน่นอนว่ามิเซลได้เหรื่อยตายแน่นอนจนอยู่ก็มีไฟจากที่ไหนไม่รู้ทำให้น้ำแข็งละลายและพอหันไปดูก็เห็นมังกร
“มังกรละ”
“นี้คือสิ่งที่นายบอกว่าจะมีคนมาช่วยใช่ไหม?”
“หึ ครับรุ่นพี่ น้ำแข็งละลายแล้วเรามานั่งพักกันดีกว่าว่าไหมครับ”
ไนทท์กล่าวออกมาเหมือนทุกอย่างจะจบแล้วนั้นทำให้มิเซลที่ได้ยินถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดังก่อนจะไปขยี้ผมของไนทท์เล่นด้วยท่าทางร่าเริ่ง
“ฮ่าๆๆ นายนี้เป็นคนแปลกประหลาดดีนะไนทท์”
“รุ่นพี่หัวเราะแล้วนะครับ”
ไนทท์ยิ้มออกมาก่อนจะมองท้องฟ้าที่ดูสวยงามกับมิเซลที่มองมันเช่นกัน ทำให้ทั้งสองเริ่มที่จะเป็นเพื่อนกันจริงๆและไม่ใช่แค่คนรู้จักและคนคุยกันเท่านั้นจากรุ่นพี่การเป็นเพื่อนที่เชื่อใจกันได้
ความคิดเห็น