คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #33 : เชื่อมั่นในคำสัญญา
*****หลังจากกินข้าวกลางวันกับคุณลุงคุณป้าเสร็จเราก็เตรียมตัวเดินทางกลับกรุงเทพ
ก่อนกลับคุณลุงกับคุณป้าอวยพรจิ่งหยูวกับฉันอย่างกับคู่รักเพิ่งแต่งงานใหม่ๆ
ทำเอาฉันทำหน้าไม่ถูกเลยส่วนอีกคนนี่ซิออกอาการพอใจยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับคำอวยพรของคุณลุงคุณป้า
ระหว่างทางขับรถกลับกรุงเทพเขาไม่ยอมพูดอะไรกับฉันเลยสงสัยเขายังคงโกรธฉันเรื่องที่พี่คชาโทรมาหาฉันอยู่
ฉันจึงต้องเป็นฝ่ายพูดกับเขาก่อน
“คุณหิวน้ำหรือเปล่า”
เป็นคำพูดง้อที่เชยที่สุด ก็ฉันไม่รู้จะพูดอะไรกับเขานี่
แต่คนถูกง้อก็ยังทำเป็นเฉยไม่สนใจคำพูดของฉันสักนิดแถมยังเร่งเสียงวิทยุกลบเสียงฉันอีก
ง้อยากจริงนะพ่อคุณ (ฉันนึกในใจ) แต่ฉันก็ยังไม่หมดความพยายามเพียงเท่านี้
“กินลูกอมไหมคุณ” ไม่มีเสียงตอบใดๆจากเขา
สงสัยจะโกรธจริงๆ
ฉันจึงใช้ไม้สุดท้ายแกะลูกอมออกจากซองแล้วยื่นทำท่าจะป้อนใส่ปากเขา
ได้ผลจิ่งหยูวหันมามองแล้วใช้ปากงับลูกอมจากมือฉันพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ ที่เป็นสัญญาณแสดงให้รู้ว่าเขาพอใจก่อนจะหันไปขับรถต่อ
(มาดไม่มีว่อกแว่กเลยเล่นตัวชะมัด) เราใช้เวลาไม่นานก็ขับรถมาถึงกรุงเทพ
เขาขับรถเข้าไปจอดที่ชั้นจอดแล้วจึงเดินมาลิฟท์เพื่อขึ้นห้องพัก ขนาดอยู่บนลิฟท์กันสองคนเขายังไม่ยอมพูดกับฉันสักคำเดียว
จนประตูลิฟท์เปิดเขาก็เดินนำหน้าฉันไปเพื่อจะเข้าห้องพักหน้าตาเฉยไม่สนใจฉันเลยสักนิด
ปล่อยให้ฉันเดินตามอยู่อย่างนั้น ฉันจึงตัดสินใจถามเขาตรงๆ
เพราะขี้เกียจจะง้อเขาแล้ว
“คุณยังโกรธฉันอยู่อีกเหรอ”
สิ้นเสียงของฉันเขาหยุดเดินแล้วหันมามองที่ฉันก่อนจะเดินกลับหยุดยืนอยู่ตรงหน้าฉัน
“คุณอยากให้ผมหายโกรธคุณใช่ไหม”
จิ่งหยูวมองหน้าฉันสายเจ้าเล่ห์คู่นั้นเหมือนกำลังต้องการอะไรบางอย่าง ฉันได้แต่พยักหน้าตอบรับทั้งที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาต้องการที่จะให้ทำให้เขาหายโกรธนั้นมันคืออะไร
แต่ตอนนี้เริ่มใจคอไม่ค่อยดีซะแล้ว
ก็คนที่ยื่นข้อเสนอตอนนี้ก้มหน้าลงมาใกล้ฉันจนจนหน้าของเราอยู่ห่างกันไม่กี่เซ็น
“แล้วคุณจะให้ฉันทำอะไร”
ฉันเอ่ยปากถามทั้งๆที่เรากำลังจ้องตากันอยู่อย่างนั้น บอกตรงๆ ตอนนี้ใจฉันเต้นไม่เป็นจังหวะลุ้นว่าเขาจะให้ฉันทำอะไร
เขาไม่ตอบอะไรแต่กลับค่อยๆขยับใบหน้าเข้ามาใกล้เข้ามาอีกจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆที่มากระทบแก้มใสของฉัน
และนั่นมันก็ทำให้ฉันต้องหลับตาปี๋นึกว่าเขาจะจูบฉันจริงๆ
แต่เขาเพียงแค่กระซิบข้างหูฉันเบาๆ
“เอาเป็นว่าผมติดเอาไว้ก่อนแล้วกันนึกได้แล้วผมจะบอก”
พูดจบจิ่งหยูวก็เดินหันกลังกลับเข้าห้องไปปล่อยให้ฉันยื่นตาค้างอยู่อย่างนั้นก่อนจะถอนหายใจโล่งอกที่เขาไม่ทำอะไรอย่างที่ฉันคิดไว้
หลังจากแยกกับจิ่งหยูวฉันก็เข้าห้องมาพักผ่อนและเตรียมตัวจะเข้าห้องน้ำไปชำระล้างร่างกาย
แต่เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมาจนฉันต้องเดินไปหยิบมากดรับสาย
“ฤทัยวันพุธนี้บริษัทจะจัดแถลงข่าวก่อนจิ่งหยูวเดินทางกลับนะ
เดี๋ยวพี่จะส่งบทสัมภาษณ์ไปให้เพื่อเขาจะได้เตรียมตัวตอบคำถาม
รวมถึงฤทัยด้วยนะเพราะต้องโดนสัมภาษณ์แน่นอน
เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะให้คนส่งบทสัมภาษณ์ไปให้จะได้เตรียมตัวกัน”
พูดจบพี่คชาก็กดวางสายทันที คำพูดของพี่คชาทำให้ยืนหน้าซีดถอดสีทันทีและมันก็ทำให้ฉันนึกขึ้นมาได้ว่าใกล้วันที่เขาจะกลับแล้ว
วันนั้นใกล้จะมาถึงแล้ว วันที่เขาต้องไปวันที่เราจะไม่ได้เจอกันอีก
อยู่ดีๆน้ำตาของฉันมันก็เริ่มไหลรินออกมาไม่ขาดสาย มันเจ็บไปที่หัวใจเหมือนมีใครกำลังเอามีดมากรีด
แต่นั่นมันก็คือความจริงที่ฉันต้องยอมรับมันให้ได้ถึงแม้มันจะเจ็บปวดมากสักแค่ไหน ก็ตาม
เช้าวันนี้ฉันกับจิ่งหยูวมานั่งเล่นกันอยู่ที่ห้องพักผ่อน
แต่วันนี้หน้าตาฉันดูเศร้าจนจิ่งหยูวสังเกตุได้ตั้งแต่นั่งกินข้าวอยู่ที่ห้องอาหารแล้ว
เขาจึงเดินเข้ามานั่งใกล้ๆฉัน
“วันนี้คุณเป็นอะไรหรือเปล่าดูหน้าไม่ค่อยดีเลย”
“เปล่านี่ ฉันไม่ได้เป็นอะไร
เออเมื่อคืนพี่คชาโทรมาทางบริษัทจะจัดแถลงข่าววันพุธหน้าเดี๋ยววันนี้จะส่งบทสัทภาษณ์มาให้คุณกับฉัน
เพื่อเตรียมตอบคำถาม”
ฉันพยายามหลบตาเขาระหว่างที่พูดกันเพราะกลัวว่าเขาจะเห็นน้ำตาที่มันกำลังกลั้นไว้ไม่อยู่แต่จิ่งหยูวก็เห็นน้ำตาของฉันจนได้ ฉันพยายามเช็ดน้ำตาเพื่อไม่ให้เขาได้เห็นว่าฉันกำลังร้องไห้อยู่
“ผมสัญญาผมจะกลับมา ผมสัญญา”
จิ่งหยูวดึงฉันเข้าไปกอดไว้แน่นเหมือนเป็นการตอกย้ำให้ฉันเชื่อมั่นในตัวเขา
ฉันโอบกอดเขากลับพร้อมเสียงสะอื้นและน้ำตาที่มันไหลรินมาไม่ขาดสายเรากอดกันอยู่อย่างนั้นสักพัก
จนพี่ชีวินและนารีเดินเข้ามาเห็นพอดี
ฉันเหลือบไปเห็นพี่ชีวินกับนารีที่กำลังยืนตะลึงตาค้างมองเราอย่างไม่เชื่อสายตา
ฉันจึงรีบผละออกจากจิ่งหยูวและรีบเช็ดน้ำตาทันที
ก่อนจะเดินเข้าไปหาพี่ชีวินและนารี
“พี่ชีวินกับนารีมาทำอะไรหรือคะ”
“พอดีบริษัทให้เอาบทสัมภาษณ์มาให้พี่กับนารีก็เลยอาสาเอามาให้”
พี่ชีวินพูดกับฉันและมองหน้าฉันด้วยใบหน้าที่ดูเศร้าหมองเพราะภาพที่พี่ชีวินกับนารีเห็นมันก็ฟ้องอยู่แล้วว่าเรื่องฉันกับจิ่งหยูวเป็นเรื่องจริง
“ฤทัยไม่เป็นอะไรนะ”
นารีเดินเข้ากอดฉันด้วยความเป็นห่วง
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอกไม่ต้องห่วงนะนารี”
ฉันกอดนารีกลับปากก็บอกว่าไม่เป็นไรแต่ไอ้เจ้าน้ำตาตัวดีนี่ซิมันไม่เชื่อฟังเอาซะเลยไหลออกมาจนเปียกเสื้อของนารีจนชุ่ม
จิ่งหยูวมองฉันกับนารีอยู่สักพักก่อนที่เขาจะขอตัวออกจากห้องไปเพื่อจะให้ฉันได้อยู่ตามลำพังกับพวกเพื่อนๆ
“ผมขอตัวออกไปอ่านบทสัมภาษณ์ก่อนแล้วกันนะ”
พูดจบจิ่งหยูวก็ขอบทสัมภาษณ์กับพี่ชีวินแล้วเดินออกไปจากห้องไป
“ตกลงเรื่องของฤทัยกับจิ่งหยูว....เป็นเรื่อง...จริงใช่ไหมครับ”
พี่ชีวินถามฉันด้วยน้ำเสียงติดๆขัดๆ และแววตาที่ส่องประกายของความผิดหวัง
ฉันไม่รู้จะตอบพี่ชีวินยังไงได้แต่ยืนร้องไห้พยักหน้า
“แล้วฤทัยจะทำยังไงต่อไป” นารีถามฉันด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล
“ไม่รู้ ฉันไม่รู้จริงๆ
ฉันไม่รู้ต้องทำยังไงต่อไป แต่ฉันขอร้องพี่ชีวินกับนารีเรื่องของฤทัยกับจิ่งหยูวขอให้มันเป็นความลับจะต้องไม่มีใครรู้เรื่องนี้
ฤทัยขอร้องนะค่ะ” นารีโผเข้ากอดฉันอีกครั้งเพราะตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมานารีไม่เคยเห็นฉันร้องไห้และดูเศร้ามากขนาดนี้
แต่สิ่งที่เธอทำได้ตอนนี้ก็เพียงกอดฉันไว้และเอามือลูบหลังเบาๆ
เพื่อเป็นการปลอบประโลมฉัน เราสามคนยืนคุยกันสักพักพี่ชีวินกับนารีก็ของตัวกลับ
ความคิดเห็น