คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : ADORATIO
ดอดจ์ แชลเลนเจอร์คันสีม่วงสภาพกลางเก่ากลางใหม่ที่พาพวกเขาโดยสารทางไกลมาได้อย่างราบรื่นดีตลอดสามชั่วโมง ปุบปับทันใดก็จะส่งเสียงร้องแปลกๆ ออกมา ก่อนที่จะจอดแน่นิ่ง ดับสนิทอยู่กลางถนนสายยาวที่เปล่าเปลี่ยวในช่วงเวลาเย็นย่ำ ไม่มีรถราสวนทางมาเลยสักคันนับตั้งแต่ลอดผ่านอุโมงค์ที่ลดเลี้ยวเคี้ยวคดเข้ามาชวนให้หวาดหวั่น ผนวกกับบรรยากาศมืดฟ้ามัวดินอย่างที่แน่ใจได้ว่าอีกไม่นานฝนคงจะตก ทั้งที่มันเป็นเหตุสุดวิสัย หรืออย่างน้อยๆ คานาซาชิ อิซเซย์ เจ้าของรถควบตำแหน่งโชเฟอร์จากในเมืองก็คิดแบบนั้น แต่ยูอาสะ นีนะกลับคิดว่าเรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้นตั้งแต่แรกถ้าเขาเชื่อเธอ จนในที่สุดก็ยั้งปากตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ กระแทกน้ำเสียงขุ่นข้องไม่ต่างจากฝีก้าวที่ตอกลงไปบนรองเท้าส้นสูงสองนิ้วซึ่งไม่ได้เตรียมการเอาไว้สำหรับวาระแบบนี้ว่า
“ฉันบอกแล้วว่าให้เช็กสภาพรถก่อนเดินทางมา นายก็ไม่ยอมฟัง ฉันบอกให้ติดเครื่องไม้เครื่องมือเผื่อมาด้วย นายก็หาว่าฉันพล่ามมากอยู่ได้ แล้วเป็นไง พอเกิดเหตุสุดวิสัยอย่างที่นายว่าเข้าจริงๆ เราถึงไม่มีทางเลือกอะไรเลยนอกจากต้องมาลำบากลำบนกันอยู่นี่ไง เหอะ! จะเจอโรงแรมก่อนฝนกระหน่ำลงมาหรือเราจะถูกฟ้าผ่าตายกันก่อนก็ไม่รู้!”
“เลิกบ่นมากสักทีเหอะนีนะ” อิซเซย์ไม่ปิดบังความขุ่นเคืองผ่านสีหน้าและถ้อยเสียงที่อาจไม่ได้แผดดัง แต่ความเยือกเย็นนั้นก็มากพอที่จะสื่อเจตนารมณ์ “อย่าทำเป็นไม่รู้ว่าฉันไม่ได้อยากให้เธอมาด้วยเลยสักนิด ถ้าคิโยกะไม่ขอไว้ ให้ตายยังไงฉันก็คงไม่เอาคุณหนูที่ดีแต่คร่ำครวญอย่างเธอติดมาเป็นภาระด้วยแบบนี้หรอก”
ให้นีนะได้โต้กลับไป หากด้วยความเดือดดาลทั้งในสีหน้าและถ้อยเสียงที่ราวกับจะลุกเป็นไฟว่า “อย่างกับว่าฉันอยากมากับคุณชายที่เอาตัวเองเป็นใหญ่อย่างนายนักล่ะ! แทนที่ตอนนี้ฉันจะได้ไปสนุกกับพวกของไทโช คนที่นายชอบดูถูกนักหนาว่าไม่มีอะไรดีเท่าเลยนั่นไง แต่อย่างน้อยเขาก็ฉลาดพอที่จะฟังฉันพล่ามมาก ไม่ดึงคนอื่นไปซวยด้วยเพราะความมั่นอกมั่นใจแบบผิดๆ ของตัวเองก็แล้วกัน!”
“คงสนุกมากเลยถ้าไปตั้งแคมป์แล้วเจอฝนตก อ้อ หรือว่าเธออยากให้เกิดเรื่องแบบนั้นกับหมอนั่นอยู่แล้วล่ะ” นีนะยิ้มเยาะให้กับคำถากถางของอิซเซย์ที่ก็หาได้ทำให้เธอระคาย “แต่โชคร้ายหน่อยนะที่นายคงไม่มีโอกาสนั้น เพราะฉันจะไม่มีวันปล่อยให้นายมากับคิโยกะสองต่อสองเพื่อหาทางรวบหัวรวบหางง่ายๆ แน่”
“เฮ้ย! พูดให้มันดีๆ หน่อย!”
“ทีตัวเองพูดหมาๆ กับคนอื่นก่อนล่ะ!”
แต่ก่อนที่สงครามน้ำลายจะบานปลายไปมากกว่านี้และลงเอยด้วยการลงไม้ลงมือ ถึงใช่ว่าอาราเสะ คิโยกะจะเคยเห็นพวกเขาไปถึงขั้นนั้นกับตาตัวเองกันจริงๆ ก็ตาม แต่หล่อนที่ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างเพื่อนสนิททั้งสองฝั่งก็จะรีบยกมือขึ้นเบรกแล้วตะโกนห้ามทัพว่า “อิซเซย์! นีนะ! ทั้งสองคนเลิกทะเลาะกันได้แล้วเถอะนะ! ถือว่าฉันขอล่ะ!” ทันทีที่ชื่อของตนจะถูกหยิบยกมาเป็นส่วนหนึ่งของหัวข้อในวงสนทนาที่คิโยกะพยายามเลี่ยงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว...เหมือนอย่างที่เป็นมาตลอด
“เรารีบไปกันก่อนที่ฝนจะตกดีกว่า ถ้าจำไม่ผิดในหนังสือนำเที่ยวบอกว่าโรงแรมอาดอร์ที่เราจองไว้อยู่สุดถนนนี้แหละ”
“ทั้งฉลาดและรอบคอบ สมกับเป็นคิโยกะคนเก่ง” นีนะเอ่ยปากชมด้วยรอยยิ้มกว้าง
แม้ว่าเธออาจเพิ่งรู้จักกับคิโยกะได้แค่หนึ่งปี ไหนจะฐานะ รูปลักษณ์ และนิสัยที่แตกต่างกันจนแทบจะเป็นคนละขั้ว แต่รูมเมตที่แชร์ค่าใช้จ่ายในบ้านเช่าละแวกแคมปัสหลังเดียวกันก็รู้ใจกันมากพอที่จะแชร์เรื่องราวต่างๆ ในชีวิตให้แก่กัน และเพราะอย่างนั้น นีนะถึงได้ไม่อยากให้เพื่อนสนิทที่ทั้งน่ารักและนิสัยดีอย่างคิโยกะเข้าใกล้ผู้ชายเวรตะไลพรรค์นี้ ในเมื่อครอบครัวยูอาสะของเธอกับคานาซาชิของเขาเกี่ยวดองเป็นหุ้นส่วนธุรกิจอสังหากันอย่างเหนียวแน่นมาตั้งแต่ลูกคนเดียวของทั้งสองตระกูลยังไม่ลืมตาดูโลกเสียด้วยซ้ำไป ไฉนเธอจะไม่รู้เช่นเห็นชาติผู้ชายที่เที่ยวหักอกผู้หญิงไปทั่วหลังจากที่คบหากันจนเบื่อแล้ว
นีนะตัดสินใจชวนคิโยกะคุยไปเรื่อยเปื่อย หนึ่งในนั้นคือเรื่องเทศกาลดนตรีในเมืองริมทะเลแห่งนี้อันเป็นจุดหมายปลายทางของพวกเขาในช่วงสุดสัปดาห์...หรือก็คืออีกสองวันข้างหน้า เพื่อไม่ให้ตัวเองกลับไปพาลใส่ชายหนุ่มที่ผ่อนฝีเท้าตามหลังหญิงสาวทั้งสองไปเงียบๆ อย่างที่เธอก็ต้องการให้เป็นเช่นนั้น
อาจเพราะว่ามันคือเนินต่ำนีนะจึงไม่รู้สึกถึงมันในทีแรก แต่ครั้นเดินสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ลมก็เริ่มพัดมารุนแรงจนเธอต้องคอยเอามือรวบผมที่ปล่อยยาวสยายซึ่งตีกระแทกเข้าหน้าอยู่ได้ไม่หยุดหย่อน บทสนทนาของหญิงสาวทั้งสองเงียบลงไปเพราะไม่มีใครอยากตะแบงแข่งกับเสียงลมหวีดหวิด มากขนาดที่ทำให้นีนะเองเนือยหน่ายเสียจนไม่มีแก่ใจจะหันไปหาเรื่องอิซเซย์ซึ่งได้ทีเข้าไปเกาะแกะประคองแขนของคิโยกะอย่างกับว่าหล่อนเกิดง่อยเปลี้ยขึ้นมา ได้แต่เดินฉับไปตามเส้นทางเลียบถนนซึ่งตัดผ่านป่าตลอดสองข้างทางก่อนความหนาแน่นจะเบาบางลงไป
ไม่นานนักพวกเขาก็เดินมาจนถึงสุดถนนและได้พบกับโรงแรมอิฐแบบยุโรปที่ดูเก่าแก่จากสถาปัตยกรรมล้าสมัยตั้งอยู่ที่ขอบหน้าผาอย่างที่คิโยกะว่าไว้ในที่สุด แว่วเสียงคลื่นกระทบโขดหินกระเซ็นกระซ่านในจังหวะเดียวกับสายฝนที่สาดกระหน่ำลงมาพร้อมกับเสียงฟ้าผ่าที่ทำให้คนขวัญอ่อนอย่างคิโยกะหวีดร้องออกมาด้วยความตกใจ แต่ครั้งนี้นีนะจะยอมยกประโยชน์ให้จำเลย เพราะไม่มีอะไรที่เธอต้องการมากไปกว่าการได้เข้าไปพักผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อยในโรงแรมที่ดูอุ่นสบายจากแสงไฟที่ลอดหน้าต่างออกมา เธอกึ่งเดินกึ่งวิ่งผ่านประตูรั้วเหล็กที่เปิดอ้าไว้ ไม่ได้สนใจแผ่นป้ายสีดำสลักตัวอักษรสีทองลอกล่อนจนบางส่วนกลายเป็นสีเงินหม่นหมองข้างกำแพงที่เขียนว่า
‘โรงแรมอาดอร์ ดำเนินกิจการโดยนาสุ โฮซาโตะ’
คั่นด้วยรูปดาวสามดวงบ่งบอกมาตรฐานของมัน
ดวงไฟสีส้มนวลตาส่องสะท้อนเข้ากันดีกับผนังและของตกแต่งส่วนใหญ่ที่ทำมาจากเนื้อไม้แข็งสีน้ำตาลเข้ม ถึงแม้ว่าจะให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนกระท่อมไม้ตากอากาศที่พ่อแม่ชอบพาเธอไปตอนที่ยังเล็ก หากก็ปฏิเสธไม่ได้ถึงความล้าสมัยไม่ต่างจากโครงสร้างภายนอก อย่างไรก็ดี ทั้งหมดเหล่านี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ทำให้นีนะประทับใจ หลังได้เห็นมันจากรูปในหนังสือนำเที่ยวที่คิโยกะซึ่งเป็นคนเตรียมการจัดหาสถานที่พักเอามาให้ดูด้วยความชื่นชอบในบรรยากาศจนอยากมาสัมผัสเช่นเดียวกัน
ไม่มีใครอยู่ที่แผนกต้อนรับเลยเมื่อพวกเขาเข้ามาข้างใน อิซเซย์พาคิโยกะไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาสีครีมซีดตัวใหญ่ ปลดกระเป๋าเป้สะพายหลัง หยิบผ้าขนหนูผืนเล็กมาช่วยซับเส้นผมและเนื้อตัวให้ ปล่อยให้นีนะเดินไปกดกระดิ่งเรียกพนักงานที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ ไม่กี่อึดใจ ประตูบานเล็กของห้องพักพนักงานที่อยู่ข้างๆ ก็เปิดออก
“คุณนีนะใช่ไหมครับ?”
นีนะผงะงันไปเมื่อได้ยินชื่อต้นจากคนแปลกหน้า ถึงเขาจะเป็นผู้ชายหน้าตาดีมากที่ดูดีมากในชุดสูทสีดำทับเชิ้ตสีขาวตัวใน ทั้งยังแสดงความเป็นมิตรมากจากรอยยิ้มที่ส่งมา แต่หญิงสาวรักสันโดษซึ่งไม่ชอบให้ใครมาตีสนิทด้วยก็จะเน้นย้ำนามสกุลของตัวเองด้วยน้ำเสียงห้วนกระด้างเช่นเดียวกับเค้าหน้าและท่าที หากอีกฝ่ายก็ดูจะจะไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรจากรอยยิ้มที่ยังคงระบายอยู่อย่างนั้น
“พวกคุณคงมางานเทศกาลดนตรีในเมืองกันสินะครับ”
“ค่ะ ที่จริงเรากะว่าจะไปตั้งแคมป์...”
“ถือว่าเป็นโชคดีนะครับ ถ้าเจอสภาพอากาศแบบนี้คงแย่น่าดู” เขาเงยหน้าขึ้นจากสมุดตรงหน้าแล้วหันไปหยิบกุญแจห้องพักในตู้ด้านหลังมาให้ นีนะสังเกตเห็นพวงกุญแจมากมายที่เรียงรายอยู่ แต่ก็ไม่มีแก่ใจอยากถามไถ่เพราะเขากำลังทำให้ความตงิดแปรเปลี่ยนไปเป็นความหงุดหงิด ทั้งจากการถูกขัดจังหวะอย่างไร้มารยาท ไหนจะคำพูดที่แสดงเจตนาเดียวกับที่อิซเซย์ค่อนแขวะเธออยู่ก่อนแล้ว นีนะจึงเพียงยื่นมือออกไปหยิบกุญแจทั้งสามดอกที่เขาวางไว้บนโต๊ะมาถือโดยไม่ปริปาก
“ขอบคุณมากเลยนะคะ!” แต่เป็นคิโยกะที่ลุกมาอยู่ข้างเธอแล้วต่างหาก
“ถ้ายังไงคืนนี้ลงมาร่วมรับประทานอาหารค่ำด้วยกันสิครับ ตอนนี้โรงแรมเรามีแขกแค่ไม่กี่คน จะได้มาสนุกด้วยกัน”
แน่นอนที่คิโยกะย่อมต้องตอบรับคำชักชวนนั้นด้วยความกระตือรือร้น ขณะที่นีนะซึ่งอาจไม่ชอบใจชายผู้นี้มากนักก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะเข้าไปขัด เพราะถึงอย่างไรพวกเธอก็ต้องลงมาหาอะไรกินหลังจากมื้อสุดท้ายที่ผ่านพ้นไปแล้วเกือบสี่ชั่วโมงก่อนอยู่ดี
และแม้ว่าเขาจะเผื่อแผ่รอยยิ้มที่ไม่จางหายจากบนใบหน้าเลยมาให้เธอด้วยในตอนที่บอกว่า “แล้วพบกันคืนนี้เวลาสองทุ่มนะครับ” แต่ก็มีแค่คิโยกะเท่านั้นที่กระทำแบบเดียวกันกลับคืนไป
∞
แขกทั้งสามได้ห้องพักที่อยู่บนชั้นสามเหมือนกันหมด คิโยกะกับนีนะได้ห้องเดี่ยวอยู่ที่ปีกตึกด้านขวา ส่วนอิซเซย์ถูกแยกไปอยู่ที่ปีกตึกด้านซ้ายตามคำกำชับกับพนักงานโรงแรมอย่างหนักแน่นตั้งแต่ตอนที่นีนะโทร.มาจอง คงเป็นเพราะความเหนื่อยอ่อนที่สั่งสมมาจากการเดินเท้านานนับชั่วโมงเป็นทุนเดิม แต่ละคนจึงเพียงบอกลากันสั้นๆ แล้วต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อนในห้องของตัวเอง ก่อนถึงเวลามื้ออาหารตอนสองทุ่มในอีกสามชั่วโมงข้างหน้า
คิโยกะได้ห้อง 308 ตรงกันข้ามกับนีนะที่อยู่ห้อง 309 ตอนแรกเธอก็ยังรู้สึกอุ่นใจที่อย่างน้อยๆ ก็ยังได้พักอยู่ใกล้กับเพื่อนสนิท แต่พอต้องเดินไปตามโถงทางเดินแคบๆ กับแสงสีส้มจากโคมไฟติดผนังทรงตะเกียง ไหนจะภาพถ่ายขยายติดกรอบของบุคคลที่เคยมีตัวตนอยู่จริง — ซึ่งคิโยกะเชื่อว่าเป็นแขกเหรื่อในแวดวงชั้นสูงรวมถึงเหล่านักแสดงประจำโรงแรมในสมัยก่อน — ระรายทางก็ดูน่าหวาดหวั่น แฃะทำให้ขนที่หลังคอของเธอลุกชันแม้แค่เพียงการเหลือบแลมอง
คิโยกะไม่ใช่พวกที่ไม่กลัวอะไรเลยเหมือนอย่างนีนะที่พอเปิดประตูเข้าห้องปุ๊บหล่อนก็คงจะทิ้งตัวลงนอนปั๊บ หาได้สนใจทั้งต่อบรรยากาศหรือฝนฟ้าอากาศภายนอก ตรงกันข้ามกับคิโยกะที่คิดว่าการพักโรงแรมเก่าแก่แม้ว่าจะดูสวยมากแค่ไหนคนเดียวเป็นเรื่องที่ออกจะน่ากลัว กระนั้นเธอก็ไม่กล้าขัดคำพูดเจ้ากี้เจ้าการของหล่อนที่ว่า “ห้องพักที่นี่เล็กนิดเดียวเอง ขนาดว่าเป็นห้องใหญ่ก็ยังดูแออัดอยู่ดี ในเมื่อเราตั้งใจจองโรงแรมเพื่อพักผ่อนก็ต้องได้พักผ่อนกันให้เต็มที่สิ จริงไหม? เอาเป็นว่าเราแยกกันนอนแบบนี้แหละดีแล้ว ฉันจะจองห้องให้เราสองคนได้พักอยู่ใกล้ๆ กัน ที่คิโยกะต้องทำก็แค่ล็อกห้องให้ดีๆ อย่าใจอ่อนยอมเปิดโอกาสสองต่อสองให้อิซเซย์ก็พอ หรือถ้าเกิดมีเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็มาเคาะเรียกฉันหรือไม่ก็ตะโกนดังๆ ได้ทุกเมื่อเลยนะ”
แต่คิโยกะก็ไม่ได้ทำอะไรที่ว่ามาเลยสักอย่างเดียว หลังจากนั่งครุ่นคิดอยู่บนเก้าอี้ไม้ตรงสุดมุมทางเดิน เยื้องประตูห้องพักของตนเองที่ไม่แม้แต่จะไขกุญแจเข้าไปอยู่ครู่ขณะ ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจว่าจะลงไปขอเปลี่ยนห้องที่แผนกต้อนรับ ถึงรู้ว่านีนะจะต้องไม่พอใจนักเพราะปีกตึกนี้มีห้องพักแค่สองห้อง เช่นนั้นก็ย่อมแปลว่าเธอต้องย้ายไปอยู่ร่วมปีกตึกเดียวกับอิซเซย์ที่เจ้าหล่อนพยายามกีดกันเป็นนักหนา แต่ความกลัวที่จับต้องไม่ได้นี้มีมากกว่าที่เธอมีต่อเพื่อนสนิท...คนที่สุดท้ายก็จะใจอ่อนยอมให้เสมอ
คิโยกะถึงกับพรูลมหายใจออกมาเต็มแรงด้วยความโล่งอก เมื่อก้าวขาออกจากลิฟต์แล้วได้พบกับพนักงานต้อนรับคนเดิมกำลังก้มหน้าง่วนอยู่ที่ฟรอนต์ ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นตามเสียงฝีเท้าที่เธอก้าวเร็วๆ จนเกือบจะเป็นวิ่งไปหา ส่งรอยยิ้มคืนกลับมาให้เฉกเช่นกัน
“ฉันอยากขอเปลี่ยนห้องพักค่ะ”
“ห้องเดิมมีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ?”
ให้เธอได้สั่นหัวรัวเร็ว “ไม่เลยค่ะ! ไม่เลย!” พร้อมกับมือข้างหนึ่งที่ยกขึ้นโบกปัดไปมาเป็นการเสริมรับ “ฉันก็แค่ไม่รู้มาก่อนว่าปีกตึกนั้นจะมีแค่สองห้อง มันดูออกจะ...วังเวงน่ะค่ะ”
“โรงแรมเก่าแบบนี้ย่อมดูน่ากลัวเป็นธรรมดา เรื่องนั้นผมเข้าใจครับ”
“เปล่าค่ะ! ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น!” ทั้งที่อีกฝ่ายก็เอ่ยกลั้วไปกับเสียงหัวเราะอย่างไม่ถือสา ขณะหันขวับไปหยิบกุญแจห้องใหม่มาให้ หากแต่หญิงสาวที่กลัวถูกเข้าใจเจตนาผิดเป็นอื่นก็จะรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน “มันเป็นความกลัวของฉันเองค่ะ ฉันเป็นคนขวัญอ่อน อะไรนิดอะไรหน่อยก็กลัวไปหมด ไม่เหมือนกับนีนะที่แทบไม่เคยกลัวอะไรเลยค่ะ!”
“ถ้าอย่างนั้นก็เอาเป็นห้อง 303 นะครับ อยู่ใกล้ลิฟต์แค่นิดเดียว เดินไปหามากันที่อีกปึกตึกได้สะดวก คุณนีนะคงไม่ว่าอะไร เพื่อนของผมพักอยู่ห้อง 304 ฝั่งตรงกันข้าม ส่วนห้อง 301 ที่อยู่สุดมุมก็เป็นของคุณคานาซาชิ หวังว่าคนเยอะๆ น่าจะพอช่วยทำให้คุณอาราเสะสบายใจขึ้นมาได้บ้าง”
เป็นเพราะใบหน้าที่มีรอยยิ้มแต้มแต่งแสดงความเป็นมิตรตลอดเวลา ไหนจะถ้อยเสียงทุ้มน่าฟังให้คิโยกะได้รู้สึกวางใจ เธอจึงอุ่นใจมากพอที่จะสนทนาพาทีกับเขา เอ่ยถามเรื่องที่ตงิดอยู่ในใจขึ้นมานับแต่แรกว่า
“คุณรู้จักนีนะมาก่อนเหรอคะถึงได้เรียกเธอด้วยชื่อต้น?”
“อาจเป็นแค่ผมฝ่ายเดียวก็ได้ครับ” เขาให้คำตอบที่ก็ไม่ได้กระจ่างแจ้งเอาเสียเลย แต่ก็เป็นอีกครั้งที่คิโยกะจะทึกทักแปลความหมายเอาเอง หากครั้งครานี้เป็นไปด้วยความกระตือรือร้น
“นีนะเป็นคนสวยมากเลยว่าไหมคะ! ถึงอาจจะดูขี้หงุดหงิดไปบ้างแต่ถ้าได้รู้จักกันแล้วก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ! ไม่ต้องคิดมากนะคะ!”
มีเพียงรอยยิ้มเป็นการตอบรับ
ครั้นลิฟต์โดยสารพาแขกกลับขึ้นไปพักผ่อนตามสบายแล้ว ใบหน้าของพนักงานต้อนรับที่มองส่งเธอพร้อมด้วยริมฝีปากที่ยกสูงขึ้นกว่าเดิมจากศีรษะที่ค้อมต่ำแทนคำขอบคุณก็จะเคลื่อนกลับมายังชายหญิงที่เดินพ้นบานประตูอันเป็นทางเชื่อมไปยังห้องอาหารและห้องสันทนาการซึ่งเปิดอ้าไว้ฟากหนึ่ง ขณะที่หญิงสาวจะเดินมาพิงบั้นท้ายลงกับขอบโต๊ะ พูดไปก็หัวเราะไป
“สวยเนี่ยนะ? ก็พูดมาได้”
“ไม่เอาน่า เคย์โตะ”
“ไม่เอาน่า พี่ยูโตะ” หากเจ้าหล่อนก็จะสวนย้อนกลับไปด้วยประโยคเดียวกัน “เชื่อสิว่าพี่หาได้ดีกว่านั้นตั้งเยอะ”
เป็นทีของชายหนุ่มผมแดงที่หยุดยืนกอดอกอยู่ริมประตูได้เอ่ยขึ้นบ้างว่า
“แต่น่าเสียดายที่ยูโตะหาน้องที่ดีกว่านี้ไม่ได้เพราะเลือกครอบครัวมาเกิดไม่ได้นะ”
ให้เคย์โตะได้เปลี่ยนไปถลึงตาใส่คนที่ไม่แม้แต่จะยักไหล่หรือยกยิ้มเพื่อแสดงความเหยียดหยัน ครั้นแล้วหล่อนก็จะกระแทกน้ำเสียงประชดประชันลงไปโดยไม่ปิดบังความโกรธเเลยว่า
“พี่เลือกเพื่อนผิดมาหนนึงแล้ว อย่าเกิดใจอ่อนกับแม่สาวสวยนั่นขึ้นมาล่ะ! พี่ก็รู้ว่าพวกนั้นทำอะไรไว้กับเรา! เรารอวันนี้กันมาตั้งนานแค่ไหน! ยังไงฉันก็จะไม่ยอมให้ใครมาทำเสียเรื่องแน่! ต่อให้คนๆ นั้นจะเป็นพี่หรือพี่ฮิดากะก็เถอะ!” เช่นเดียวกับฝีเท้าในบู๊ตคู่สีดำที่ตอกกระแทกตึงตังกลับไปยังทิศทางเดียวกับขามา ไม่สนใจชายหนุ่มอีกสองคนซึ่งหมางเมินต่อกิริยาของหล่อนอีก
“ตกลงฉันเลยต้องเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้แขกของนายเหรอ?”
“เธอไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้นี่”
“แต่พวกเธอเป็นเพื่อนสนิทกันนะ”
หากเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
_______________
ความคิดเห็น