คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : (A Love Like) Time Travel
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเกิด ‘ความรู้สึกแบบนั้น’ แต่ซาโต้ โชริ — เจ้าชายที่เกิดมาพร้อมกับความสมบูรณ์แบบทั้งหน้าตา ฐานะ ชาติตระกูล พ่วงมาด้วยความหยิ่งยโสโอหัง พูดจาดีๆ กับใครเขาไม่ยักจะเป็น แถมยังเอาแต่ใจตัวเองเป็นที่หนึ่ง — ก็ได้หวนรำลึกถึง ‘ความรู้สึกแบบนั้น’ ในวัยยี่สิบแปดปี หลังจากได้กลับมาพบกับนิชิคุระ นาริกะ — ปุถุชนคนธรรมดาที่ได้กลายมาเป็นซินเดอเรลล่าในสายตาของเขาเพียงชั่วข้ามคืน — อีกครั้งหนึ่ง
“ตายแล้ว! นั่นโชริเหรอ! ตัวจริงเสียงจริงเลยป่ะเนี่ย! ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอนาย!”
“อย่างกับฉันอยากเจอเธอนักนี่ ยัยโง่!”
และเมื่อเธอเปล่งเสียงหัวเราะออกมากับคำยอกย้อนทันควันนั้น ก่อนยกแก้วเครื่องดื่มสีชมพูอ่อนขึ้นแตะขอบปากสีแดงเชอรี่ ขณะที่มือเรียวบางอีกข้างก็ทัดเรือนผมสีดำยาวเหยียดตรงเข้ากับใบหูด้วยรอยยิ้มและท่วงท่าที่ไม่แตกต่างไปจากครั้งหนึ่งที่เขาได้เคยรู้จักเลยแม้แต่นิดเดียว ก็จะทำให้โชริประหวัดไปถึงประโยคในเนื้อเพลงหนึ่งที่เคยฟังขึ้นมาได้
‘ความรักที่เหมือนกับการย้อนเวลา ความรู้สึกในห้วงเวลานั้นที่เอ่อท้นขึ้นมา’
บางที...นั่นอาจเป็นสิ่งที่โชริกำลังรู้สึกอยู่ในตอนนี้ก็ได้
❤
ซาโต้ โชริ จำต้องย้ายมาร่ำเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนที่แคลิฟอร์เนีย (หรือที่เขาจะเรียกว่าถูกส่งมาดัดสันดาน) ด้วยเหตุผลที่ว่าหลังจากเรียนจบไฮสคูลด้วยเกรดที่ย่ำแย่สุดกู่แล้วเขาก็ไม่ยอมทำอะไรสักอย่างนอกจากเที่ยวเตร่ไปวันๆ ก่อนจะถูกสาวที่ควงด้วยเล่นๆ พยายามผูกมัดอย่างจริงจังด้วยเรื่องลูกในท้องที่โชคดีว่าไม่ใช่ลูกของเขา แต่ข่าวที่ชวนให้อับอายขายขี้หน้าไปทั่วแวดวงสังคมก็มากพอให้พ่อกับแม่ประกาศิตส่งเขามาอยู่ที่เมืองนอก พร้อมคำขาดที่ว่าถ้าเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยระดับแนวหน้าภายในระยะเวลามากสุดหกปี ก็อย่าหวังว่าจะได้รับช่วงต่อบริหารธุรกิจอสังหาฯของครอบครัวที่พ่อขอยอมขายทิ้งไปเลยดีกว่าต้องเห็นมันพังทลายด้วยน้ำมือของไอ้ลูกชายไม่เอาไหน และด้วยเหตุฉะนี้เอง เด็กหนุ่มหัวดีมาก...ติดแค่ขี้เกียจมากกว่าเลยจำต้องยกเครื่องพฤติกรรมของตัวเองเพื่อรักษามรดกราคามหาศาลนี้ไว้ต่อไป
เป็นที่นี่เองที่โชริจะได้รู้จักกับหญิงสาวที่มีชื่อว่านิชิคุระ นาริกะ ในงานเลี้ยงรวมพลชุมชนชาวญี่ปุ่นที่มีอยู่มากมายแต่ก็ดันไม่ค่อยจะคบหาสมาคมกับใครแม้แต่กับพวกเดียวกันเองในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งมัตสึชิมะ โซ เพื่อนร่วมบ้านตากอากาศให้เช่าราคาแพงระยับชักชวนไปทำความรู้จักกลุ่มเพื่อนใหม่ๆ
และนั่นก็คือตอนที่เขาเกิด ‘ความรู้สึกแบบนั้น’ ขึ้นมาเป็นครั้งแรก
มันปะทุขึ้นมาเหมือนกับดอกไม้ไฟที่แตกตัวอยู่ข้างในอก นับตั้งแต่วินาทีที่ได้สบประสานดวงตากลมโตกับเธอที่มาช้ากว่าคนอื่นๆ ทั้งที่เป็นคนแปลกหน้าต่อกัน แต่เธอก็ผงกหัวให้แสดงความเป็นมิตร ก่อนริมฝีปากที่แต้มแต่งด้วยสีแดงเชอรี่จะวาดโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่โชริได้แต่คิดว่าน่ารักเป็นบ้า!
อย่างไรก็ดี นิสัยเสียๆ ที่ติดตัวคนเรามานานกว่ายี่สิบปีย่อมไม่ใช่สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ แค่เพราะการย้ายมาเจอกลุ่มสังคมใหม่ๆ อยู่ที่อีกซีกโลกหนึ่ง โชริเลยอดยั้งปากตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ในตอนที่โซพาไปนั่งร่วมวงกับกลุ่มเด็กนักศึกษาเหมือนกันแล้วได้รู้ว่านาริกะเป็นเด็กนักเรียนทุนขึ้นปีที่สอง เช่าบ้านเฉพาะผู้หญิงที่อยู่รวมกันตั้งห้าหกคนเพื่อจะได้ประหยัดเงิน ตอนนี้ทำงานพิเศษอยู่ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นเพื่อนำมาช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายอีกแรงหนึ่ง เธอเล่ามันออกมาโดยไม่ได้นึกอับอายต่อโชคชะตาที่มีไม่เท่ากับคนส่วนใหญ่ในที่นี้ จนเมื่อเขาเริ่มต้นหัวเราะออกมา โดยไม่รู้ตัวเลยว่ามันฟังคล้ายกับการขบขัน และสิ่งที่เธอโต้กลับมาพร้อมกับคำพูดเยาะหยันเหมือนริมฝีปากที่เหยียดโค้งขึ้นอย่างไม่ปิดบังก็คือประโยคที่ว่า “ดีแล้วที่เด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกของคุณซาโต้จริงๆ เพราะถ้าถูกพ่อสันดานเสียเลี้ยงดูมาก็คงลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นน่าดู” จนทุกคนในที่นั้นซึ่งฐานะล้วนด้อยกว่าทายาทตระกูลซาโต้ทั้งหมดต่างได้แต่พากันอ้าปากค้างด้วยความอึ้ง อาจยกเว้นก็แต่โซที่ขำจนจะตาย ทว่าโชริที่ไม่เคยเจอะเจอผู้หญิงที่กล้าพูดจาหรือแสดงท่าทีแบบนั้นมาก่อนกลับคิดว่ามันเจ๋งเป็นบ้า! และทำให้หัวใจของเขาเต้นตึกตักเป็นบ้าด้วย!
แต่ไม่มีทางที่คนถือทิฐิและปากหนักอย่างโชริจะพูดขอโทษใคร แม้ว่าจะทำให้นาริกะพาลเกลียดขี้หน้าเขาไปเลยจนไม่อยากแม้แต่จะเหลือบแลมอง เพราะเรียนกันคนละมหาวิทยาลัยอยู่แล้วเลยเป็นเรื่องง่ายสำหรับเธอที่จะทำแบบนั้น แต่ก็แน่นอนว่าไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องยากสำหรับโชริในการแวะเวียนไปร้านอาหารในดาวน์ทาวน์ที่เธอทำงานอยู่และจ่ายทิปแพงกว่าค่าอาหารอย่างหนัก! เพื่อที่จะโดนด่าว่าเป็นลูกเศรษฐีที่เอาเงินมาใช้ทำอะไรโง่ๆ (“เหอะ! ฉันฉลาดมากพอจะเข้ามหา’ลัยที่คนโง่อย่างเธอไม่มีปัญญาเข้าได้ด้วยซ้ำ!”) แต่ก็ดีที่ความโง่ของเขาทำให้เธอมีกิน และเมื่อได้รับคำขอโทษเป็นเงินที่มากเกินพอ นาริกะที่ถือคติเงินคือโคตรพ่อโคตรแม่พระเจ้าเลยยอมยกโทษให้ง่ายๆ แบบนั้นเอง
แต่ก็อีกที่คนอย่างโชริย่อมไม่มีทางที่จะเสียหน้าสารภาพรักกับใครก่อน ถึงการได้พบหน้าและต่อปากต่อคำทุกครั้งจะทำให้เขาเพลิดเพลินได้ยิ่งกว่าสิ่งบันเทิงเริงใจใดๆ ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาดำเนินไปแบบนั้นอยู่ได้ราวสองสามเดือน กระทั่งตอนบ่ายวันหนึ่งที่เขาได้เห็นนาริกะไปไปเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้ไอ้หนุ่มหน้าตี๋ที่ไหนก็ไม่รู้ จนโชริที่มั่นใจเลยว่าเธอก็ชอบเขาเหมือนกันโดยไม่ใช่แค่การหลงตัวเองแน่นอนจะเสียความมั่นใจอย่างแรง! เหมือนกับโดนไอ้รถกระป๋องเห่ยๆ นั่นพุ่งเข้าชน แม้ว่าอาจไม่ถึงกับตาย แต่ก็ทำให้คนอย่างเขาเสียศูนย์ได้มากพอดู!
แล้วพวกเขาก็เหินห่างกันไปแบบนั้น...หรือหมายถึงโชริที่พาตัวเองเหินห่างไปเอง เขากลับไปควงสาวมากหน้าหลายตาอย่างที่เคยทำสมัยอยู่ที่บ้านเกิดเพื่อดามอกที่หักดังเป๊าะ การมุเรียนหนังสือกลายเป็นสิ่งที่เจ้าตัวมุ่งมั่นมากขึ้นกว่าเดิม เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ที่นี่จนครบกำหนดหกปีที่พ่อให้ไปเพื่ออะไร ยิ่งหลังจากที่นาริกะเคยเล่าว่าเธอจะปักหลักอยู่ที่นี่ต่อ...อาจตลอดชีวิตเลยด้วยซ้ำถ้าทำได้
โชริไม่พาตัวเองเข้าไปอยู่ในแวดวงเดียวกันกับเธอที่ก็ใช่ว่าจะอยู่ในวงโคจรเดียวกันกับเขาอยู่แล้ว แต่ในงานเลี้ยงส่งโซที่เรียนจบก่อนเขาไปหนึ่งปี โชริถึงได้กลับมาเจอกับใบหน้าของผู้หญิงที่อยากเห็นที่สุดอีกครั้ง เพียงประโยคทักทายของนาริกะที่ว่า”คิดถึงเป็นบ้าเลยโชริ! ไม่ได้เจอกันตั้งชาติหนึ่งแล้วมั้งเนี่ย!” ด้วยระยะห่างที่เคยเป็นมา ทั้งรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ หรือท่วงท่ายามที่เธอทัดเรือนผมสีดำยาวเหยียดตรงโดยไม่ตั้งใจนอกจากติดเป็นนิสัยก็ยังเป็นสิ่งที่โชริจดจำได้ขึ้นใจ เหมือนกับหน้าหล่อตี๋ของไอ้หนุ่มนั่นที่เธอควงมาด้วย ทั้งหมดเหล่านั้นช่างเป็นภาพที่ชวนแสลงใจ ทำลายกำแพงศักดิ์ศรีที่สูงเสียดฟ้าของเขาจนยับเยิน
โชริอยากจะคิดว่าหญิงสาวชาวบ้านแบบนั้นก็สมควรได้คบกับคนระดับเดียวกันแบบนั้น นั่นต่างหากคือเรื่องที่ถูกต้อง ใช่แล้ว! เจ้าชายแบบเขาจะต้องไปเสียดายอะไรกะอีแค่ผู้หญิงธรรมดาคนเดียว โชริได้แต่ปลุกปลอบตัวเองด้วยความคิดนั้นตลอดทั้งค่ำคืน
ในตอนที่เขาเริ่มเหนื่อยจากการวาดลวดลายอยู่กลางฟลอร์กับสาวๆ แล้วออกไปพักสูบบุหรี่อยู่ที่ระเบียง ใบหน้าของคนที่เขาตั้งใจหลบเลี่ยงพยายามไม่สอดส่ายสายตามองหาก็จะผ่านเข้ามา
“โซเรียนจบแล้ว ฉันเองก็เหมือนกัน คนหน้าเดิมๆ หายไปหมดแล้ว จากนี้นายคงเหงาแย่เลย”
“อย่าสำคัญตัวเท่าโซเลยน่า” โชริพยายามมองเมินนาริกะและแสดงสีหน้าคล้ายว่ารำอกรำคาญใจเสียเต็มประดา แต่เมื่อเธอเปล่งเสียงหัวเราะสดใสออกมา หัวใจของโชริก็คล้ายว่าจะยวบยาบลงไป
“พอเรียนจบแล้วฉันจะย้ายไปอยู่ที่ชิคาโกกับฮิดากะ คงจะคิดถึงแคลิฯน่าดูเลย แต่อย่างหนึ่งที่ฉันจะไม่คิดถึงก็คือลูกเศรษฐีนิสัยเสียอย่างนายนี่แหละ ซาโต้ โชริ!
โชริไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังรู้สึกอะไรอยู่ ตกใจที่ได้รู้ว่าเธอจะย้ายไปอยู่ที่เมืองอื่น ไม่พอใจที่ได้ยินชื่อคนรักของเธอกับหู หรือขุ่นเคืองที่ได้เข้าใจว่าตัวเองไม่ได้มีความสำคัญอะไร...ทั้งที่ก็รู้ดีอยู่เต็มอกนั่นแหละ!
“ฉันก็จะไม่คิดถึงเธอให้เปลืองสมองหรอก ยัยโง่!”
หากดูเหมือนนาริกะจะไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนั้นถึงเอาแต่หัวเราะรวนร่าออกมาอยู่ได้ แล้วโดยไม่รู้ตัว — เพราะโชริจะโทษว่าแอลกอฮอล์ทำให้คนเราขาดสติยับยั้งชั่งใจ — เขาก็กระชากแขนเธอที่ยืนเกาะราวระเบียงอยู่ใกล้ๆ เข้าหา เพื่อที่จะปิดปากเธอด้วยปากของตัวเอง
มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดไม่ต่างจากตอนที่ถูกไฟฟ้าช็อตแค่เขาแนบมันลงไป กระแสความตื่นเต้นแล่นพล่านไปทั่วร่างจนการได้แนบชิดกับเธอผ่านเสื้อผ้าที่กั้นกลางก็ทำให้เขาร้อนวูบวาบขึ้นมา ถ้าหากว่าได้สัมผัสเธอมากกว่านี้แล้วร่างกายจะละลายลงไปเลยหรือเปล่านะ? แต่ก่อนที่โชริจะได้รู้คำตอบนั้น นาริกะก็จะผลักอกเขาออกด้วยแรงทั้งหมดที่มี ใบหน้าขาวของเธอแดงก่ำในตอนที่ละล่ำละลักยกปลายนิ้วขึ้นชี้หน้าตะโกนใส่เขาว่า “นายดื่มมากไปแล้วโชริ! มากไปมากๆ เลย!” แล้วยกรองเท้าส้นเตี้ยขึ้นเตะขาเขาจนคนที่ไม่ทันได้ตั้งตัวถึงกับซวดเซ ไม่ทันแม้แต่จะอ้าปากร้องเรียกชื่อเธอที่รีบวิ่งหนีจากไป
โชริได้เข้าใจถึงความผิดพลาดในวินาทีนั้นเอง
โชริได้ตระหนักว่าสามปีเป็นช่วงเวลาที่เนิ่นนานมากแค่ไหนก็เมื่อได้กลับมาเยี่ยมเยือนแคลิฟอร์เนียหลังจากเรียนจบอีกครั้ง แม้ว่าทุกอย่างจะยังคงเหมือนเดิม แขกเหรื่อที่โซชักชวนมาสังสรรค์ด้วยกันในงานพบปะเพื่อนเก่าก็ยังมีแต่หน้าเดิมๆ ถึงจะไม่ได้พร้อมตากันทั้งหมดเมื่อต่างแยกย้ายกันไปตามเส้นทางของตัวเอง หรือบ้านตากอากาศที่โซเช่าไว้สำหรับการนี้ก็ยังเป็นหลังเดิม ทั้งหมดเหล่านั้นได้ช่วยเรียกเอาบรรยากาศเมื่อครั้งที่โชริได้เคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ให้หวนย้อนคืนมา ราวกับว่าไม่ได้มีสิ่งใดที่เปลี่ยนแปลงไปจากวันวานที่ทั้งหวานอม...มากกว่าคือขมกลืนเลย
โชริยังคงจดจำเรื่องราวในค่ำคืนนั้นกับนาริกะได้ไม่ต่างอะไรจากภาพแฟลชแบคที่เล่นวนซ้ำไปซ้ำมา เหตุการณ์ที่เขาไม่ได้เตรียมตัวส่วนเธอก็ไม่ได้เตรียมใจ และนั่นก็คือสิ่งสุดท้ายที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับเขาที่นี่ สิ่งที่โชริสำนึกเสียใจแต่ก็ไม่มีความตั้งใจที่จะทำอะไรเพื่อแก้ไขมัน เขาเตรียมใจรับความโกรธเกลียดขอเพียงได้พานพบอีกแค่เพียงครั้ง แต่กลับเป็นนาริกะเองต่างหากที่จะปรี่เข้ามาหาทันทีที่ได้เจอหน้า เอ่ยปากทักทายเขาด้วยรอยยิ้มกว้างราวกับเรื่องราวในค่ำคืนนั้นไม่เคยเกิดขึ้น
โชริควรจะดีใจที่สิ่งหนึ่งซึ่งยังคงเดิม — สิ่งที่เขาภาวนาให้เหมือนเดิมตลอดมา — ก็คือความสัมพันธ์กับนาริกะ หากโชริก็หยุดความคิดที่รบกวนจิตใจไม่ได้ว่าเป็นเพราะเขาไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไรเธอเลยเลือกที่จะไม่เก็บมันมาใส่ใจต่างหากหรือเปล่า?
แต่ซาโต้ โชริในตอนนี้ก็ยังคงเป็นซาโต้ โชริคนเดิมกับตอนนั้น คนที่จะไม่มีวันยอมพูดอะไรที่ทำให้ตัวเองต้องอับอายออกไปเป็นอันขาด ตรงกันข้ามกับนาริกะที่แสดงสีหน้าเริงรื่นออกมาอย่างหญิงสาวผู้ซึ่งไม่มีอะไรจะปิดบัง เหมือนกับที่เธอก็ไม่ได้ปิดบังว่าเลิกรากับฮิดากะไปตั้งนานแล้วให้เขาได้แต่ร้องยะฮู้อยู่ในใจ
นาริกะเป็นฝ่ายเริ่มต้นชวนเขาสนทนาก่อนเมื่อลงมานั่งด้วยกันบนโซฟาในห้องรับแขกที่สุดมุมหนึ่ง
“ตอนนี้ฉันคงต้องเรียกนายว่ารองประธานซาโต้แล้วสินะ”
“แล้วฉันต้องเรียกเธอว่าผู้จัดการนิชิคุระด้วยไหม?” ทว่าสิ่งเดียวที่โชริเรียกมาได้ก็คือฝ่ามือที่เอื้อมมาผลักไหล่เขาจากคำล้อเลียนหน้าตายนั้นต่างหาก “ปากนะนายน่ะ! ตั้งแต่ฉันย้ายไปอยู่ชิคาโกฉันก็เลิกทำงานร้านอาหารแล้ว ตอนนี้ทำงานเป็นไกด์นำเที่ยวย่ะ มือหนึ่งของบริษัทด้วยเหอะ!”
ทั้งที่เครื่องปรับอากาศก็ฉ่ำเย็นดี ฝ่ามือของเธอก็ไม่ได้แตะสัมผัสโดนเนื้อหนังของเขาเลยด้วยซ้ำนอกจากผ่านเสื้อเชิ้ตตัวบางที่สวมใส่ หากโชริก็พลันรู้สึกร้อนวาบขึ้นมาอย่างในค่ำคืนนั้น จนเขาต้องทำทีเป็นมองเมินไปทางอื่น ขณะที่นาริกะก็ยังคงเจื้อยแจ้วต่อไปโดยไม่ได้รู้สึกตัวเลยสักนิดว่า
“แต่ฉันไม่คิดว่าจะได้เจอนายจริงๆ นะเนี่ยโชริ! ได้ข่าวว่านายยุ่งหัวหมุนเลยที่ญี่ปุ่น ฉันถึงได้ตกใจสุดๆ เลยตอนที่เห็นนายโผล่มาที่แคลิแบบนี้!”
“ฉันแค่แวะมาทำงานที่นี่แล้วบังเอิญเจอโซเฉยๆ”
“งั้นลองบังเอิญแวะมาทำงานที่ชิคาโกมั่งสิ ฉันจะได้ชวนนายไปเป็นลูกทัวร์บ้านผีสิงของฉันบ้าง!”
โชริพ่นลมหายใจออกมา พึมพำคำติดปากที่นาริกะคุ้นเคยดีอย่าง
“งี่เง่า”
“ก็ถ้านายฉลาดมากนักน...”
โชริรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวบนเบาะโซฟา ครั้นหันขวับกลับมาก็เกือบต้องผงะงันเข้าให้กับหญิงสาวที่ปุบปับก็ขยับจากสุดมุมตรงนั้นมานั่งประชิดอยู่ข้างกาย เสียงในหัวของเขาถึงกับหลุดตะโกนออกมาว่า “ใกล้เกินไปแล้ว! พระเจ้า!” ถึงเขาจะเคยได้ใกล้ชิด...ถึงขั้นแนบชิดกับเธอมาแล้ว แต่ตอนนั้นเป็นเพราะเขาดื่มเข้าไปมากพอถึงได้บ้าบิ่นพอจะทำเรื่องนั้นลงไป ไม่เหมือนกับตอนนี้ที่เขายังมีสติดีครบถ้วนจากเบียร์แค่ครึ่งขวด แน่นอนว่าเธอเองก็เหมือนกันจากแค่น้ำพันช์และน้ำอัดลม เช่นนั้นสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่นี้ก็ย่อมเกิดขึ้นด้วยความตั้งใจ และนั่นจะทำให้หัวใจของโชริเต้นรัวเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
และอาจเป็นครั้งแรกที่มันเต้นแรงมากอย่างกับจะระเบิดออกมาได้เลย ในตอนที่นาริกะกดไหล่ข้างหนึ่งของเขาไว้ จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้ามาจูบเขา ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็วมากเสียจนโชริไม่ทันแม้แต่จะได้หลับตา
“งั้นรู้หรือเปล่าว่าฉันทำไปทำไม?”
โชริได้แต่อึ้ง ทึ่ง ตะลึงงัน เขาขยับตัวไม่ได้ ควานคว้าหาคำพูดไม่ออก ได้แต่จ้องมองดูใบหน้าที่มีรอยยิ้มเผล่อยู่อย่างนั้น ไม่ใช่ด้วยเจตนาของการเย้ยหยัน แต่เป็นการยั่วล้อเพื่อเฝ้ารอดูว่าเขาจะไปได้ถึงไหนต่างหาก
หากเขายอมทิ้งศักดิ์ศรีไปในตอนนี้ เขาอาจต้องสูญเสียทุกอย่างไปในคืนนี้
“นายไม่อยากสานต่อเรื่องจากคืนนั้นเหรอ โชริ?” กระทั่งคำพูดที่บอกให้รู้ว่าแท้จริงแล้วเธอยังคงจดจำเรื่องราวในคืนนั้นได้
โชริไม่รั้งรอให้เธอทำอะไรอย่างอื่นอีก เมื่อเขาจะลุกพรวดพราดขึ้นแล้วฉวยข้อมือผอมบางนั้นไว้ ด้วยความปุบปับที่ใกล้เคียงกับการฉุดกระชากจนทำให้นาริกะต้องหลุดร้องด้วยความตกใจออกมา
แม้ว่าจะมีแสงสว่างส่องผ่านบานหน้าต่างกับผ้าม่านผืนหนาที่ถูกรูดปิดเข้ามาเพียงน้อยนิด แต่โชริก็รู้จักห้องที่ได้เคยใช้ซุกหัวนอนมาตลอดสี่ปีดี เขาไม่ต้องการการนำทางใดในตอนที่ปิดประตูห้อง ดันร่างของนาริกะผ่านข้อมือที่ยังไม่ยอมปล่อยจากให้แนบแผ่นหลังลงไปกับผนัง
“ฉันจะให้โอกาสเธออีกครั้ง”
“ฉันต่างหากที่เป็นคนให้โอกาสนายอีกครั้ง” นาริกะยิ้มออกมา
และเมื่อเธอปล่อยตัวเองออกจากการเกาะกุมที่หละหลวม เพื่อจะได้ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นคล้องรอบลำคอ โน้มใบหน้าของเขาลงมาใกล้ ด้วยริมฝีปากที่กดแนบลงไปอันสื่อถึงความต้องการที่มากกว่านั้น และเขาก็พร้อมมอบความปรารถนาทั้งหมดที่กักเก็บมาเนิ่นนานให้เธอเสียที โชริก็ไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีกแล้วถึงต่อให้เขาจะต้องสูญเสียทุกอย่างไป
เพราะมีแค่สิ่งเดียวเท่านั้นที่เขาอยากจะครอบครอง ไม่ใช่แค่ในค่ำคืนนี้ แต่จะเป็นตลอดไป
_______________
ความคิดเห็น