ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    I am the Angel of Death 'S' ฉันคือยมทูตS

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 3 ฉันคือยมทูต S? (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 3 ธ.ค. 56


    บทที่ 3

                ฉันชื่อวาเนสซ่า คลาวด์ เป็นยมทูต โค้ดเนม S ตายตอนอายุ 13 ปี ปัจจุบันอาศัยอยู่กับครอบครัว ครอบครัวของฉันมีสมาชิก 4 คน คุณพ่อ คุณแม่ ฉัน และน้องสาว

                พ่อทำงานบริษัท

                แม่เป็นแม่บ้าน อยู่บ้านคอยดูแลพวกเรา

                และ น้องสาวของฉัน ซาเนีย คลาวด์ ปัจจุบันอายุ 12 ปี ม.1 โรงเรียนเดียวกันกับฉัน

                ครอบครัวของฉันอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ ในเมือง Weland แห่งนี้ เมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย มีรถไฟวิ่งไปรอบเมือง มีตึก อาคาร ห้างสรรพสินค้า ฯลฯ ถึงจะมีกิจการต่างๆ เข้ามาในเมืองนี้มากมาย แต่ก็ยังคงสภาพแวดล้อมธรรมชาติ ป่าไม้ ภูเขา แม่น้ำลำธาร ทะเลสาบ ไร่นา และอาชีพเกษตรกรเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม

                พ่อเคยเล่าให้ฟังว่า เมืองนี้ถ้าเทียบกับเมืองอื่นแล้วล้าสมัยกว่ามาก โรงเรียนในเมืองอื่นมีการเพิ่มเวทมนตร์เข้าไปเป็นหนึ่งในวิชาบังคับ มีตำรวจที่ใช้เวทมนตร์ได้ มีหน่วยงานที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อดูแลคนที่มีเวทมนตร์โดยเฉพาะ เวทมนตร์ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของคนเมืองนั้น ในขณะที่เมืองของเราไม่มีเวทย์มนต์ไม่มีจอมเวทย์ เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตช้ากว่าซับซ้อนน้อยกว่าเมืองอื่นเยอะ สู้เมืองอื่นไม่ได้สักอย่าง แต่ฉันก็รักเมืองนี้

              กริ๊ง! กริ๊ง!

    นาฬิกาปลุกร้องเตือนให้ฉันตื่นจากการนอน ฉันกดหยุดนาฬิกาอย่างขอบใจมันเป็นอย่างมาก ถ้าไม่มีมัน ป่านนี้ฉันคงนอนไม่ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกเป็นแน่ ถ้าถามว่าทำไมล่ะก็ เพราะว่าฉันตายแล้วยังไงล่ะ ไม่มีความรู้สึกง่วงหรืออยากนอน ถ้านอนหลับแล้วก็ตื่นเองไม่ได้ ต้องใช้เสียงนาฬิกาปลุกเป็นตัวบอกเวลาให้ฉันตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตต่อ

    ฉันอาบน้ำแปรงฟันแต่งชุดนักเรียน แล้วเดินลงบันไดจากชั้นสอง ลงมาทานอาหารฝีมือแม่พร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว วันนี้เป็นข้าวผัดไข่ดาว เมื่อก่อนตอนยังมีชีวิตฉันเกลียดไข่ดาวเข้าไส้ ยิ่งตอนเยิ้มๆ แหยะๆ ไข่แดงไม่สุกยังเป็นไข่มะตูมอยู่ล่ะก็ อย่าหวังว่าฉันจะกิน

    แต่ตอนนี้ฉันไม่รู้รสชาติอาหารอีกแล้ว ไม่มีคำว่าอร่อยหรือคำว่าไม่อร่อย มีแค่ว่าจะทิ้งก็เสียดาย ยังไงรสชาติข้าวผัดกับไข่ดาวก็เหมือนกันอยู่แล้ว กินๆ เข้าไปเถอะ

                “นี่พี่วาเนสซ่ากินไข่ดาว?” วาเนียถามเสียงหลง

                “พี่กินไข่ดาว ทำไมเหรอ”

    “นี่พี่ไข้ขึ้นรึเปล่าเนี่ย” เธอพูดพลางพยายามจะจับหน้าผากฉัน

    “ไข้อะไรกัน พี่ไม่มีหรอก” ฉันรีบปัดมือน้องสาวก่อนที่มือของเธอจะสัมผัสหน้าผากของฉัน

    อย่างฉันน่ะหรือจะตัวร้อน จะมีก็แต่ตัวเย็นเฉียบก็เท่านั้นแหละ ตัวร้อนไข้ขึ้นน่ะ ไม่มีทาง คนตายก็ต้องตัวเย็นเฉียบกันทั้งนั้นแหละ ก็หัวใจหยุดเต้นไปตั้งนานแล้วนี่นา จริงอยู่ว่าฉันสามารถปรับอุณหภูมิร่างกาย อัตราการเต้นของหัวใจ อัตราการเต้นของชีพจรได้ตามใจชอบ แต่ว่าฉันขี้เกียจมาปรับอะไรตอนนี้นี่นา ไว้ไปเจอคนเยอะๆ ก่อนค่อยปรับ ถ้าปรับตลอดเวลาก็เปลืองพลังงานแย่สิ

                “พี่ก็แค่อยากกินบ้างเป็นครั้งคราวน่ะแหละ” ฉันบอกน้อง

                “เหรอ” เธอพูดแล้วกลับไปกินอาหารของตัวเองต่อ ส่วนพ่อกับแม่มองฉันกับน้องเถียงกันยิ้มๆ

                หลังจากกินอาหารเสร็จ แม่เดินมาส่งพ่อ ฉัน และน้องที่หน้าบ้าน พ่อขับรถเก๋งคันดึกดำบรรพ์เก่ากึก แยกชิ้นส่วนขายเป็นเศษเหล็กต้องได้ราคาดีกว่าขายทอดตลาดแน่นอน เวลามันเคลื่อนนะมีเสียงแกรกๆ กึกๆ ด้วย

    ฉันกับน้องเคยบอกพ่อให้ซื้อคันใหม่ได้แล้ว พ่อตอบกลับมาว่า ไม่มีเงินรอโบนัสก่อน ทุกที โบนัสครั้งก่อนนู้นก็เอามาซ่อมบ้าน ครั้งนี้ก็เอามารักษาฉัน คงต้องรอครั้งหน้าแล้วล่ะนะ แต่ฉันเชื่อว่าคงไม่ได้หรอกรถคันใหม่น่ะ ขนาดฉันตายแล้วเกิดใหม่ยังไม่ได้เลย

                ฉันกับน้องรักชีวิตจึงเลือกที่จะเดินไปโรงเรียนดีกว่านั่งเศษเหล็กไปโรงเรียน ส่วนพ่อก็ขับรถคันนั้นไปทำงาน

    ระหว่างทางก็พบกับเพื่อนๆ ของน้อง เอมม่า มีน่า และแคลร์ ที่เดินไปโรงเรียนเหมือนกัน พวกเราเดินผ่านบ้าน ตึก อาคาร ต้นไม้ สะพานข้ามแม่น้ำ สนามเด็กเล่น สวนสาธารณะ ตึก อาคาร บ้าน

    แล้วก็มาถึงโรงเรียนมัธยมเลิร์นเนส โรงเรียนมัธยมที่ดีที่สุดในเมืองนี้และเป็นสถานที่ที่ฉันตายตอนที่ฉันมาเข้าค่ายพัฒนาศักยภาพทางวิทยาศาสตร์ที่นี่ ห้องแล็บที่ใช้ทำการทดลองถูกปีศาจเผา ฉันที่กลับมาช่วยเพื่อนจึงพลอยโดนเผาไปด้วย ส่วนอาจารย์กลับไปเอาของที่ห้องพักเลยรอดตายอย่างเฉียดฉิว ฉันจึงมีทั้งความทรงที่ดีและไม่ดีเกี่ยวกับโรงเรียนนี้

    ฉันเรียนชั้น ม.2/3 ห้องเดียวกับเพื่อนสนิทของฉัน เอมิลี่ ฟาทินสัน

    บ้านของเอมิลี่อยู่ห่างจากโรงเรียน 5 สถานีรถไฟ เธอเล่าว่าตอนแรกพ่อแม่จะให้เธอเรียนโรงเรียนมัธยมใกล้บ้านแต่เพราะเธอได้ทุนเรียนฟรีของที่นี่ ก็เลยเปลี่ยนใจมาเข้าโรงเรียนนี้แทน

    เอมิลี่เป็นเพื่อนที่ดีมาก เราคุยกันถูกคอตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน วันนี้ก่อนเข้าเรียน ฉันกับเธอเอาการบ้านที่ทำเสร็จแล้วมาตรวจคำตอบกัน เมื่อมีเวลาเหลือเอมิลี่เล่าข่าวในหนังสือพิมพ์ให้ฉันฟัง พาดหัวข่าว

    หลังเผาแล็บเด็กหญิงผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว กลับเข้าเรียนต่อที่เดิมแล้ว

    ข่าวนี้มีเนื้อหาต่อว่า จากเหตุการณ์ห้องทดลองของโรงเรียนมัธยมเลิร์นเนสไฟไหม้ ในขณะที่มีนักเรียนในค่ายพัฒนาศักยภาพทางวิทยาศาสตร์กำลังทำการทดลองอยู่ ทำให้มีนักเรียนเสียชีวิต 12 ราย ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย ได้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษา หลังจากเธอฟื้นได้สูญเสียความทรงจำในช่วงเกิดเหตุไป เหตุการณ์นั้นจึงไม่มีใครเป็นพยานได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตำรวจได้สรุปคดีว่าเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร ตอนนี้โรงเรียนมัธยมเลิร์นเนสได้เปิดการเรียนการสอนตามปกติแล้ว นักเรียนผู้ได้รับบาดเจ็บก็ได้รับการรักษาจนหายดีขณะนี้ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนนี้ต่อเช่นกัน

    นี่มันก็ผ่านเหตุการณ์นั้นมาตั้งนานแล้วนะ นักข่าวก็ยังจะเล่นข่าวนี้อีก ใจจริงฉันก็อยากจะบอกความจริงของเหตุการณ์นี้กับเอมิลี่ แต่ฉันทำไม่ได้ นายหญิงบอกว่า ห้ามบอกมนุษย์คนอื่นเรื่องนี้เลยยกเว้น Partner Partner คืออะไรกันนะ เดี๋ยวต้องถา,ดูให้ได้

    “วาเนสซ่า วันเสาร์นี้ว่างปะ” เอมิลี่ถาม

    “ก็ว่างนะ ทำไมเหรอ”

    “รายงานไง รายงานวิทย์ไง”

    “อ๋อ! จริงสิต้องส่งสัปดาห์หน้าแล้วนี่”

    “ก็ใช่น่ะสิ อาจารย์สั่งแค่พวกเรา 2 คนที่ได้ท็อปห้อง ให้ทำรายงานเรื่องที่ต้องเรียนกับอุปกรณ์นำเสนอ ขี้โกงที่สุดเลย”

    “เอาเถอะน่า”

    กริ๊งงง!

    “ออดดังแล้ว งั้นชั้นกลับที่ก่อนนะ เดี๋ยวค่อยคุยกันตอนพักกลางวัน” ฉันตัดบท เดินกลับที่นั่งของตนเอง ในที่สุดหลังสี่คาบที่แสนน่าเบื่อจบสิ้น ก็ถึงเวลาพักกลางวันที่โรงอาหารฉันกับเอมิลี่เดินไปหยิบถาดอาหารมานั่ง

    “แต่ละคาบมีแต่แนะนำตัว แจกโครงการสอนแล้วก็ปล่อยคาบฟรี วิชาที่สอนก็มีแต่วิชาเลขที่สั่งการบ้านถล่มนักเรียนให้ตายกันไปข้าง” เอมิลี่พูดพลางเขี่ยราดหน้าในถาด

    “เอาน่า นี่มันก็พึ่งจะเปิดเทอมวันที่ 2 เองนะ ที่จะเป็นแบบนี้ก็มีแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้นแหละ ทนหน่อยแล้วกันนะ” ฉันตักราดหน้าเข้าปาก สีส้มของแครอททำให้ราดหน้าของฉันลดความน่ากินลงเยอะ แต่เมื่อเข้าปากไปแล้วแล้วมันก็ไร้รสชาติเหมือนๆ กัน

    “แล้วเรื่องรายงานล่ะ” ฉันถามขึ้น

    “เออ! วันเสาร์นี้ฉันว่างมาทำรายงานที่บ้านฉันนะ” เธอชวน

    “ก็ดีนะ เดี๋ยวฉันขอพ่อกับแม่แล้วค่อยบอกพรุ่งนี้นะ ส่วนเรื่องข้อมูลเธอไปหาที่ห้องสมุดก่อนเลยละกัน” ฉันบอก

    “แล้วเธอล่ะ”

    “ฉันจะทำการบ้านน่ะ ช่วงนี้มีธุระตอนเย็นบ่อย”

    “เหรอ อืม”

    “งั้นฉันไปก่อนนะ” ฉันลุกขึ้นจะยกถาดไปเก็บ

    “หมดแล้วเหรอ” เธอมองถาดอาหารที่ว่างเปล่าเหลือแต่คราบน้ำมัน งงๆ

    “อืม” หลังจากเก็บถาดฉันเดินขึ้นห้องไปจะปั่นการบ้านเลขต่อ

    เหลืออีกแค่ 5 ข้อกับเวลาที่เหลืออีก 5 นาที จะเสร็จทันรึเปล่าเนี่ย!!

    แต่แล้วกลิ่นปีศาจฉุนๆ ก็กลับมาอีก ทำไมต้องมาในเวลายุ่งๆ แบบนี้ด้วยนะ ฉันแอบเปลี่ยนร่างในที่ลับตาคน แล้วรีบวิ่งไปทางต้นกลิ่นทันที กลิ่นลอยมาจากบ้านหลังหนึ่งหลังโรงเรียน ฉันเดินทะลุกำแพงบ้านเข้าไป มีเสียงโอดครวญร้องไห้ของบรรดาญาติที่นั่งล้อมรอยคุณตาคนหนึ่ง คุณตานอนหายใจรวยรินใกล้หมดลม ปีศาจรูปร่างหน้าตาส่วนสูงเหมือนมนุษย์ทุกประการยกเว้นตาสีแดง ยืนกอดอกจ้องคุณตารอให้วิญญาณออกจากร่าง

    “5”

    “4”

    “3”

    เสียงนับถอยหลังดังขึ้นมาในหัวของฉัน ถ้านับถึง 0 เมื่อไหร่ วิญญาณของคุณจะออกจากร่างเมื่อนั้น คุณตาก็จะตายลง

    “2”

    ปีศาจคลายแขนออกเตรียมจับวิญญาณ

    “1”

    ทำไงดีล่ะ จะผนึกวิญญาณของคุณตาก่อนหรือจะผนึกปีศาจก่อนดี หมดเวลาคิดแล้ว

    “0”

    ดวงไฟสีขาวนวลค่อยๆ ผุดขึ้นมาจากร่างของชายชราพร้อมกับลมหายใจที่ค่อยๆ หมดลง เสียงร้องไห้ของบรรดาญาติดังระงมไปทั่วบ้าน ปีศาจไม่รอช้าคว้าดวงไฟดวงนั้นยัดเข้าปากกลืนลงท้องภายในพริบตา มันเลียริมฝีปากไปมาบ่งบอกถึงความอร่อยอย่างน่าสยดสยอง

     ช่างเป็นบุญตาอะไรเช่นนี้ที่ทำให้ฉันมาเห็นภาพตรงหน้า ปีศาจขยายร่างขึ้นจ้องมองมาทางฉัน มันคงรับรู้อันตรายจากตัวฉันได้ จึงเตรียมตัวหนี แต่ว่านะ ฉันไม่ปล่อยมันไปง่ายๆ หรอก ปืนพกปรากฏขึ้นในมือขวาของฉัน เล็ง แล้วลูกกระสุนก็พุ่งออกจากลำปืนตรงเข้าทำลาย Core ของปีศาจตนนั้นทันที

    “เพล้ง!” เสียง Core แตก ปีศาจสลายไปเหลือเพียงดวงวิญญาณ 2 ดวงลอยไปมา ฉันกางสมุดยมทูต

    “ผนึก” ชื่อของดวงวิญญาณทั้งสองปรากฏขึ้นในหน้าสมุดบรรทัดต่อจากนายคนเมื่อวาน เป็นอันเสร็จงาน ฉันรีบวิ่งกลับเข้าโรงเรียน

    ทันทีที่ฉันเปลี่ยนกลับร่างมนุษย์ ฉันหันไปมองนาฬิกาข้อมือ 12.35 แย่ล่ะ นี่เลยเวลาเรียนไปตั้ง 5 นาที ฉันรีบวิ่งขึ้นห้องเรียนด้วยความเร็วมนุษย์ให้เร็วที่สุด

    “เหวอ” ฉันก้าวขึ้นบันไดพลาด พูดง่ายๆ คือ ฉันตกบันได

    “ตุ้บ!

    “ตุ้บ!

    “ตุ้บ!

    “ตุ้บ!” 4 ขั้น เวรซ้ำซ้อนจริงๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงฟกช้ำดำเขียวไปทั้งตัวแน่ แต่โชคดีตอนนี้เป็นยมทูต ร่างกายแข็งแรงทนทานไม่มีแผลไม่เจ็บเลยสักนิด ฉันลุกขึ้นรีบวิ่งต่อไปที่ห้องเรียนทันที เมื่อฉันเปิดประตูห้อง

    “ปึง!!” เพื่อนๆ หันมามองฉันเป็นสายตาเดียว

    “ขออนุญาตเข้าห้องค่ะ” ฉันพูด

    “หือ เธอชื่ออะไร” อาจารย์หันมาถามน้ำเสียงเตรียมเชือด

    “วาเนสซ่าค่ะ” ฉันพยายามทำตัวให้ปกติที่สุด ไม่หอบ ไม่เหนื่อย ไม่มีเหงื่อหรือคราบเหงื่อหลงเหลือแม้แต่หยดเดียว

    “เข้าเรียนสายตั้งแต่คาบแรก ใช้ไม่ได้ รู้ไหมว่านี่มันกี่โมงกี่ยามกันแล้ว”

    “เที่ยงสี่สิบค่ะ”

    “แล้วเวลาเข้าเรียนคาบนี้คือกี่โมง”

    “เที่ยงครึ่งค่ะ”

    “รู้แล้วทำไมไม่มาให้ตรงเวลา”

    “ขอโทษค่ะ”

    “หึ คราวนี้จะยกโทษให้แต่ถ้ามีคราวต่อไปอีก เธอไม่ต้องเข้าเรียน คนอื่นก็ด้วย” เธอพูดพร้อมกับส่งสายตาพิฆาตให้กับนักเรียนทั้งห้อง

    “เข้าใจรึเปล่า”

    “เข้าใจแล้วค่ะ/ครับ” ทั้งห้องขานรับ

    “ดี เธอไปนั่งที่ได้” อาจารย์หันมาหาฉัน

    “ขอบคุณค่ะ” ฉันไหว้แล้วเดินกลับที่นั่ง อาจารย์เริ่มสาธยายโครงการสอนของแกต่อ

    เฮ้อ! รอดตัว การเข้าเรียนสายเป็นอย่างนี้นี่เอง เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย หวังว่าคงจะไม่มีคราวต่อไปอีกนะ

    พอจบคาบซึ่งจบเกินเวลากินคาบต่อไปเกือบครึ่งคาบ อาจารย์ที่สอนคาบต่อมาถึงกับต้องสปีดสอนกลัวสอนไม่ทัน

    “เฮ้อ!” ฉันถอนหายใจใหญ่เมื่อหมดคาบ

    2 คาบสุดท้ายที่ฉันจะต้องเรียนต่อไปเป็นวิชาการงาน ทำอาหาร อาจารย์แจกโครงการสอน แบ่งกลุ่มอธิบายสิ่งที่ต้องเรียนและสิ่งที่จะต้องเตรียมมาในสัปดาห์หน้า ฉันยังคิดอยู่เลยว่าฉันไม่สามารถรับรู้รสอาหารแบบนี้ฉันจะทำอาหารได้ยังไง

    “กริ๊ง!

    ในที่สุดการเรียนในวันนี้ก็จบลงพร้อมกับกลิ่นปีศาจที่โชยเข้ามาแตะจมูกฉัน

    อีกแล้วเหรอ

    ฉันเก็บกระเป๋าและยกเก้าอี้เสร็จในพริบตา แล้วรีบวิ่งไปจัดการกับปีศาจทันที ที่สวนสาธารณะ ปีศาจสูงเสียดฟ้า แขนขางอกออกตามตัวยิ่งกว่าตาสัปปะรด

    “กรี๊ดดด!!!” เสียงกรีดร้องของผู้คนในสวนสาธารณะวิ่งหนีตายกันอย่างอลหม่าน ทั้งๆ ที่ปีศาจไม่มีทีท่าว่าจะขยับตัวเลยสักนิด ไม่ว่าปีศาจจะทำหรือไม่ทำร้ายมนุษย์คนใดเลยก็ตาม ฉันที่เป็นยมทูตก็ต้องผนึกวิญญาณ นำพาพวกมันไปในที่ที่สมควรจะอยู่

    คราวนี้ฉันไม่ใช้ร่างยมทูต ฉันเสกปืนขึ้นมา ตัวมันสูงขนาดนั้น Core ของมันก็อยู่สูงตามไปด้วย ปืนพกถ้าจะเอาไม่อยู่ ต้องเป็นปืนสไนเปอร์ ฉันไม่จำเป็นต้องใช้กล้องเล็ง ตาของยมทูตสามารถมองเห็นได้ไกลเป็นกิโล ฉันยกปืนขึ้นเล็งแล้วก็ลั่นไกปืน

    “ปัง!” กระสุนถูกยิงออกไป ตรงกับตำแหน่ง Core ของมันพอดี มันควรจะเสร็จไปแล้ว แต่ทว่า...

    “ฟึ่บ!” ปีศาจใช้แขนรุ่มร่ามของมันปัดกระสุนทิ้งอย่างง่ายดาย

    “เวร”

    “ปัง ปัง ปัง!!” ฉันลองยิงอีก แต่ไม่ว่าจะยิงเท่าไรก็ถูกปีศาจปัดทิ้งออกไปหมด

    ถ้าจะกำจัดแขนรุ่มร่ามนั่นคงต้องใช้เวลาอีกนาน ว่าแล้วฉันเปลี่ยนปืนกลับเป็นปืนพก 2 มือ ของถนัดของฉันแทน ฉันกระโดดด้วยพลังของยมทูต ครั้งเดียวสูงเท่า Core ของมันที่อยู่สูงกว่าพื้นมากกว่าตึก 7 ชั้น ฉันยิงกระสุนออกไป 2 นัด ซ้อนแทบจะพร้อมกัน กระสุนนัดแรกโดนมันปัดทิ้ง กระสุนนัดถัดมาทันทีที่โดนแขนของปีศาจมันระเบิดทำลายทั้งแขนปีศาจ ตัวปีศาจ รวมทั้ง Core ของมันด้วย โชคดีที่ฉันลงพื้นก่อนมันจะระเบิดเลยรอดไป ปีศาจระฟ้าตัวนั้นแหลกสลายเป็นผุยผง ดวงวิญญาณลอยออกมา 7 ดวง

    “ผนึก” แล้วทุกอย่างก็จบลง เฮ้อ ไอ้ปีศาจตัวนี้นี่ดื้อจริงๆ ทำเอาพลังงานของฉันหดลงไปเกือบครึ่ง

    “เฮ!! ปีศาจหายไปแล้ว” เสียงร้องตะโกนอย่างดีใจของชาวบ้านนับสิบที่เห็นและอยู่ร่วมในเหตุการณ์

    นี่คงเป็นครั้งแรกที่ฉันได้ใช้เวทมนตร์สินะ เวทย์ลบความทรงจำ

    “ด้วยนามแห่งยมทูต ขอวิงวอนต่อท่านจอมเทพ โปรดมอบแก่ข้าเพื่อใช้แก้ไขสิ่งบาปทั้งปวง เวทย์แห่งกาลเวลา เวทย์แห่งจิตใจ เวทย์แห่งการแก้ไข จงออกมาเวทย์ลบความทรงจำ” สิ้นคำอัญเชิญ เกิดแสงสว่างจ้าไปทั่วที่แห่งนั้น เมื่อแสงจางหายไปทุกคนกลับมาสู่สภาพเดิมก่อนที่ปีศาจจะปรากฏตัว

    หิว เหนื่อย เพลีย อัญเชิญเวทย์นี่มันใช้พลังเยอะจริงๆ คงได้เวลากลับนรกแล้วล่ะ ที่นั่นเป็นที่เดียวที่จะฟื้นฟูร่างกายของฉันได้ แต่ก่อนอื่นต้องกลับบ้าน ฉันใช้สปีดยมทูตถึงบ้านใน 3 วิ

    “แม่คะ หนูทานข้าวเย็นนอกบ้านมาแล้ว หนูขอขึ้นนอนเลยนะคะ” ฉันตะโกนบอกแม่แล้วเดินสปีดมนุษย์ขึ้นห้อง เผอิญสวนกับน้อง ฉันทักเธอนิดหน่อยเป็นมารยาท

    “ซาเนีย ขอโทษนะที่ให้เดินกลับคนเดียว”

    “ไม่เป็นไร ไม่ต้องเป็นห่วง เพื่อนหนูเค้าเดินกลับด้วย ไปงานเลี้ยงวันเกิดเพื่อนมาใช่ไหมล่ะ สนุกไหม”

    “เลี้ยงวันเกิด... อ๋อ! สนุก” ฉันพึ่งนึกขึ้นได้ ตอนที่ฉันเก็บกระเป๋า ฉันส่ง sms บอกน้องแล้วนี่นา ว่าจะไปเลี้ยงวันเกิดเพื่อน ให้กลับก่อนเลย

    “เดี๋ยวพอพี่เข้าห้องแล้ว ไม่ต้องเรียกนะ พี่เหนื่อยอยากนอน”

    “ค่ะ”

    ทันทีที่ฉันเข้าห้อง และตรวจสอบให้แน่ใจแล้วว่าล็อกประตูลงกลอนเรียบร้อย

    “ประตูมิติ” ฉันร้องเรียกพร้อมกับวาดมือขึ้นบนอากาศ ทันใดนั้น อุโมงค์สีดำก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าฉัน เมื่อฉันเดินเข้าไปในนั้น อุโมงค์ก็ปิดตัวลงและหายไปจากห้องของฉันบนโลกมนุษย์ และมาโผล่ในห้องของฉันในนรก

    “เหนื่อยชะมัดเลย” ฉันล้มตัวนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงอันแสนหนานุ่ม ไม่จำเป็นต้องหลับแค่นอนเล่นแบบนี้ไม่กี่นาที ร่างกายก็หายเหนื่อยหายหิดเป็นปลิดทิ้ง สบายตัวสุดๆ

    “แอ้ด” เสียงประตูห้องถูกเปิดโดยนายหญิง เจ้าแห่งนรก

    “ไง สบายดีไหม” คำถามแรกออกมาจากปากของเธอ

    “ก็ดีค่ะ” ฉันลุกขึ้นมานั่งคุยกับเธอ

    “เริ่มชินกับการเป็นยมทูตรึยัง”

    “ส่วนใหญ่ก็ชินแล้วค่ะ แต่ก็มีบางเรื่องที่ยังไม่ชิน”

    “เหรอ ค่อยๆ ปรับตัวไปเดี๋ยวก็ชินเอง วันนี้เจออะไรมาถึงได้มานอนแผ่หลาแบบนี้”

    “เจอปีศาจมาน่ะค่ะ มันดูดวิญญาณได้ 5-6 ดวง ตัวสูงเทียมเมฆ แล้วก็มีแขนขาหยึกหยึยยั้วเยี้ย ที่จะงอกออกมาอะไรนักหนาก็ไม่รู้ งอกออกมาทุกที่ที่งอกได้เลยรึไง” ฉันทำหน้าสะอิดสะเอียน ยิ่งพูดก็ยิ่งขนลุก หยึย!!

    นายหญิงอมยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถาม

    “แล้วมันจ้องเล่นงานใครล่ะ”

    “เอ่อ ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ ไม่เห็นมันขยับตัวเลย”

    “เหรอ” นายหญิงหยุดยิ้ม นิ่งคิดอะไรก็ไม่อาจรู้ได้

    “จะว่าไป ทำไมมันถึงปรากฏตัวในที่สาธารณะให้มนุษย์ทั่วไปเห็นล่ะ ปกติมันจะปรากฏตัวให้เหยื่อที่มันหมายตาไว้เห็นเท่านั้นไม่ใช่เหรอ” ฉันพูดในสิ่งที่เธอคิดสงสัยออกมา

    “ลองทายดูสิ ฉันคิดว่าสมองอย่างเธอคงเดาออกได้ไม่ยาก” นายหญิงพูด สีหน้าดูเครียดขึ้นเล็กน้อย แต่สำหรับคนอย่างนายหญิงแล้ว สีหน้าเครียดเล็กน้อยของเธอถือได้ว่า มันเป็นเรื่องที่ ‘เครียดมากๆเลยล่ะ

    “ไม่รู้สิคะ” ถึงฉันจะตอบออกไปอย่างนั้น แต่ในใจของฉันกลับไม่ใช่

    เธอกลัว กลัวในสิ่งที่เธอคิด กลัวว่ามันจะกลายเป็นความจริง

    “มันตั้งใจล่อเธอออกมา” นายหญิงโพล่งขึ้น

    “คะ?” แล้วฉันก็เดาไม่ผิด แต่ว่ามาถึงขนาดนี้ก็ต้องทำใจยอมรับชะตากรรมของฉันแล้วล่ะนะ

    “ปีศาจตัวที่เธอจัดการเป็นตัวล่อ ยังมีปีศาจอีกตนคอยสังเกตการณ์อยู่ พวกมันคงอยากรู้ว่ายมทูตที่อยู่บนโลกมนุษย์เป็นใคร มีทักษะการจัดการพวกมันยังไง พวกมันอยากรู้ข้อมูลของเธอ จะได้เตรียมการรับมือถูก” นายหญิงรัวเป็นชุด

    “เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนนะคะ ตอนที่หนูผนึกไอ้ปีศาจตนนั้นเสร็จ กลิ่นปีศาจก็หายไปหมดเลยนี่นา”

    “อีกตนมันหายตัวไปตอนที่เธอผนึกพอดี หรือไม่ก็มันมี Level สูงกว่าเธอ เธอเลยไม่ได้กลิ่นของมัน”

    โอ้ย!!! นี่มันบ้าอะไรกันอีกล่ะเนี่ย

    “ต่อไปเธอคงต้องระวังตัวให้มากขึ้น ไม่รู้ว่าพวกมันจะทำอะไรกันแน่” นายหญิงบอก

    “ค่ะ” ฉันรับคำ

    “นายหญิงคะ เรื่อง Partner คืออะไรเหรอคะ” ฉันไม่ลืมที่จะถามสิ่งที่สงสัยมาก อาจจะสงสัยที่สุดในตอนนี้ออกไป

    “Partner เหรอ.... อืม.... ยังไม่บอกดีกว่า ไว้ค่อยบอกทีหลัง“

    “ทำไมนายหญิงบอกตอนนี้ไม่ได้ล่ะคะ”

    “บอกไม่ได้ ฉันยังบอกตอนนี้ไม่ได้”

    “นายหญิง” ฉันพยายามส่งสายตาอ้อนวอน ทั้งๆ ที่ไม่เคยได้ผล

    นายหญิงส่ายหน้า ไม่ได้ผลจริงๆด้วย

    “อ้อ! จริงสิ ลืมบอกเธอไป ฉันได้สร้างยมทูตแบบเธออีกตนแล้วนะ เดี๋ยวคงได้เจอกัน แต่ตอนนี้เธอกลับไปบนโลกมนุษย์ก่อนดีกว่า นี่ก็ดึกมากแล้ว ถ้ามีใครหาเธอไม่เจอขึ้นมาจะเป็นเรื่องเอาได้” นายหญิงบอก

    “ค่ะ” แล้วฉันก็วาดมือขึ้นบนอากาศ สร้างประตูมิติเดินกลับเข้ามาในห้องนอนบนโลกมนุษย์ พลางก็คิดไป

    ...ยมทูตอีกตน จะเป็นยมทูตแบบไหนกันนะ..

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×