ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( e x o ) ▷ a g a i n { hunhan }

    ลำดับตอนที่ #3 : 02 ▷ s e c o n d t i m e a g a i n : 30 %

    • อัปเดตล่าสุด 23 ส.ค. 56



    S E C O N D T I M E A G A I N

























    สวัสดีผมชื่อ โอ เซฮุน :) ”

     

     

     

    พี่พูดภาษาบ้าๆนี่ไม่ได้เลยนายช่วยสอนพี่เถอะนะ ”

     

     

     

    เสี่ยวลู่ อยากไปเที่ยวไหม ? ”

     

     

     

     

     










     

     

     

     

    - - - - - a g a i n - - - - -

     

     


     

     

     

     










     

     

     

     

     

                   ผมค่อยๆลากกระเป๋าเดินทางใบโตเข้ามาภายในอาคาร บ้าน ตึกแถว หรืออะไรซักอย่างที่บ้านเลขที่และถนนของมันถูกระบุไว้ในแผ่นกระดาษที่ผมได้มาจากเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิ

     


     

     

     

                   ผมยิ้มให้กับหญิงชราหน้าตาใจดีที่นั่งมองผมผ่านแว่นตากลมๆอยู่ข้างหลังเคาท์เตอร์ เธอดูเหมือนจะเป็นชาวจีนถ้าให้ผมเดานะ ผมเดินเข้าไปหาเธอก่อนที่จะหยิบเอกสารที่ทางโครงการยื่นมาให้ผมตอนที่อยู่สนามบินให้กับเธอ เธออ่านเอกสารคร่าวๆก่อนจะเงยหน้ามาถามผมด้วยภาษาจีนว่าผมเป็นคนจีนใช่ไหม ผมก็ได้แต่ตอบเขาไปด้วยภาษาจีนแบบงูๆปลาๆว่าป๊ากับม๊าผมมีเชื้อสายจีนแต่ว่าอยู่กินที่เกาหลี

     

     


     

     

     

     

                   หญิงชราหน้าตาใจดีที่ผมมารู้เอาเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วว่าเธอชื่อมาเรียพูดคุยกับผมด้วยภาษาจีนอีกสองสามประโยคที่ผมพอจะแปลได้ว่า ผมต้องพักร่วมกับชาวเกาหลีอีกคนที่มาอยู่ก่อนหน้าหลายปีแล้ว(อันนี้ผมก็พอรู้มาและก็เตรียมใจมาแล้วแหละครับ) ก่อนที่เธอจะเดินไปหากุญแจห้องจากล็อกเกอร์ด้านหลังแล้วนำกับมาวางให้ผม เธอบอกกับผมว่าห้องของผมอยู่ชั้นสองริมสุดด้านขวามือ ให้ผมขึ้นบรรไดไปเพราะที่นี่ไม่มีลิฟ ผมตอบขอบคุณก่อนจะหันหลังกลับไปหอบสัมภาระต่างเดินไปตามทาง

     

     


     

     

     

     

     

    Herzlich Willkommen”

     

     

     


     

     

     

     

     

     

     

                   ผมหันกลับไปยิ้มรับคำแปลกๆที่ผมไม่แน่ใจว่ามันแปลว่าอะไรจากหญิงชรา แต่ผมพอจะเดาๆได้ว่าน่าจะแปลประมาณว่ายินดีต้อนรับละมั้ง

     

     

     


     

     

     

     










     

     

     

     

    - - - - - - - - - -

     

     


     

     

     

     










     

     

     

     

                    การลาก แบก เข็น ยก วัตถุขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักเกือบๆสามสิบกิโลขึ้นบรรไดไม่ใช่เรื่องง่าย ผมเข้าใจประโยคนี้อย่างสุดซึ้งก็วันนี้แหละครับ กว่าผมจะหอบเอาไอ้กระเป๋าทั้งหลายแหล่นี่ขึ้นมายังชั้นสองได้นี่ผมต้องเล่นท่ายากไปกี่ท่าแล้วก็ไม่รู้ ทั้งตะแคงข้าง เอียงขึ้น ดึงดัน โอ๊ย เยอะครับ

     


     

     

     

     

     

                    ผมถอนหายใจเบาๆก่อนจะลากของทั้งหมดมาจนสุดทางเดิน ผมสับสนนิดหน่อยว่าห้องทางขวามือนี่ขวามือของผมหรือขวามือของคุณป้ามาเรียกันแน่ แต่ก่อนที่ผมจะสับสนไปมากกว่านั้นผมก็นึกขึ้นได้ว่าผมมีกุญแจห้องอยู่ผมจึงหยิบมันขึ้นมาดู

     

     


     

     

     

     

     

    2019

     

     


     

     

     

     

     

                   อ่า ห้องนี้นี่เอง

     

     


     

     

     

     

     

    'ก๊อก ก๊อก'

     

     


     

     

     

     

     

                    ผมเคาะประตูอย่างพอเป็นมารยาท เผื่อว่าเพื่อนร่วมห้องของผมจะกำลังแก้ผ้าอยู่หรือไม่ก็อาจถอนขนรักแร้อยู่ แต่ทว่าก็ไม่มีเสียงตอบรับจากในห้อง ผมค่อยๆแนบหูตัวเองลงกับประตูไม้สีขาวแอบฟังความเคลื่อนไหวในห้อง แต่ก็ไม่มีเสียงใดๆเกิดขึ้นอีกเช่นกัน ผมเลยค่อยๆเสียบลูกกุญแจปลดล็อกก่อนจะแง้มประตูออกมานิดนึง เอ๊ะ!แล้วนี่ผมจะทำลับๆล่อๆเป็นขโมยทำไมวะ นี่มันห้องผมนี่หว่า

     

     


     

     

     

     

     

                   คิดได้อย่างนั้นผมเลยค่อยๆยืดตัวทำตัวปกติแล้วเปิดประตูห้องออกจนสุด ผมมองเข้าไปด้านในด้วยความรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้พบกับห้องที่ผมจะใช้ซุกหัวนอนต่อจากนี้ โถงทางเดินเล็กๆที่ด้านหนึ่งวางไว้ด้วยชั้นวางรองเท้า ส่วนผนังอีกด้านถูกแปะไว้ด้วยที่แขวนเสื้อโค้ท ผมเกือบจะคิดว่ารูมเมทของผมจะเป็นคนเจ้าระเบียบสุดๆแล้ว ถ้าไม่ติดที่ว่าหน้าชั้นวางรองเท้านั้นเต็มไปด้วยรองเท้าผ้าใบหลากสีนอนระแกะระกะอยู่ ...... เกือบคิดไปแล้วจริงๆ ;/

     

     


     

     

     

     

     

                   ผมแขวนเสื้อโค้ทสีคาราเมลของผมไว้กับตะขอที่ว่างอยู่ด้านขวาขอเสื้อโค้ทสีเขียวขี้ม้าที่ถูกแขวนไว้ก่อนหน้า ก่อนจะขดๆผ้าพันคอเป็นก้อนกลมๆแล้วแขวนทับไว้บนเสื้อโค้ทของตนเอง ผมใช้เท้าเขี่ยวรองเท้าที่วางกองๆอยู่ไปอีกด้านนึงแล้วจึงถอดรองเท้าของผมไว้ข้างๆอย่างเป็นระเบียบ อย่างน้อยผมก็ภูมิใจเล็กๆแหละที่เป็นระเบียบกว่าเจ้าของห้องอีกคน

     

     


     

     

     

     

     

                   เจ้ากระเป๋าเดินทางสีครีมใบโตของผมกับสัมภาระอื่นๆถูกกองไว้ถัดจากรองเท้าของผมมานิดหน่อย ผมค่อยๆเดินสำรวจห้องๆนี้ ถัดจากโถงทางเดินผมก็มาเจอกับห้องนั่งเล่นสีน้ำตาลอ่อน ผนังรอบได้ถูกแปะด้วยวอลเปเปอร์ลายไม้ช่วยให้ห้องๆนี้ดูอบอุ่นขึ้นมามากเลยทีเดียว โซฟาสีน้ำตาลเข้มถูกพาดไว้ด้วยกางเกงยีนส์สีซีดและเสื้อยืดเก่าๆตัวนึง

     

     


     

     

     

     

     

                   เสียงน้ำกระทบพื้นกระเบื้องที่ดังแว่วๆมาให้ผมได้ยิน ผมจึงคิดไว้ว่าเพื่อนร่วมชะตากรรมของผมคงจะกำลังอาบน้ำอยู่แน่ๆ ด้วยความที่ผมเป็นคนมีมารยาทมากๆ(คิดว่าแบบนั้นนะ) ผมจึงหยุดการสำรวจห้องใหม่นี้ไว้แล้วหย่อนตูดลงบนโซฟาแสนนุ่มอีกตัวเพื่อรอให้เจ้าของห้องอีกคนออกมาเสียก่อน

     

     


     

     

     

     

     

                    ผมกวาดตาไปทั่วห้อง จริงๆแล้วห้องนี้มันดูใหญ่มากกว่าที่มองจากข้างนอกเสียอีก มันใหญ่พอๆกับคอนโดหรูๆในย่านกังนัมที่เกาหลีเลยด้วยซ้ำ เจ้าของห้องก็แลดูมีรสนิยมดีนะผมชอบตัวเลขอลูมิเนียมที่สนิมเกาะแขวนอย่างไม่มีระเบียบที่ฝังขวาของผนังห้อง แถมยังมีกระจกรูปทรงแปลกๆอันเบ้อเรอห้อยอยู่อีก ตู้ไม้ถูกวางไว้ชิดผนังสองสามตู้ ผมไม่รู้หรอกว่าข้างในมันอะไรน่ะ แต่ด้านบนของมันถูกวางไว้ด้วยแจกันที่เต็มไปด้วยดอกไม้แห้ง แทนที่มันจะทำให้ดูสกปรกผมกลับคิดว่ามันดูโรแมนติกเสียมากกว่า

     

     


     

     

     

     

     

                   ผมพลิกตัวมามองกำแพงด้านหลังของโซฟา มันถูกแขวนไว้ด้วยกรอบรูปเปล่าๆนับสิบ บ้างก็ถูกนำมาวางซ้อนกัน ให้ตายซิ่ ทำไมคนแต่งห้องนี้เข้าถึงได้มีอารมณ์ศิลปินขนาดนี้กันนะ .. แต่ก็ปฏิเศษไม่ได้ว่าบรรยากาศอาร์ตๆของห้องนี้ทำผมอดใจเต้นไม่ได้ที่จะได้เจอกับเจ้าของห้องอีกคน

     

     


     

     

     

     

     

    แกร๊ก..

     

     


     

     

     

     

     

                    ยังไม่ทันที่ผมจะเก็บรายละเอียดของชั้นวางของเตี้ยๆใต้จอแอลอีดีขนาด 32 นิ้วด้านหน้า เสียงของกลอนประตูก็ดังขึ้น ผมรีบเด้งตัวลุกจากเก้าอี้ราวกับกำลังทำผิดมหันอยู่เสียอย่างนั้น มือของผมกำลังสั่นน้อยๆ ผมวางตัวไมถูกไม่รู้ว่าควรเอ่ยอะไรออกไปหรือควรจะรอให้เขาเดินออกมาจากที่ไหนซักที่ในห้องนี้ก่อน แต่ผมว่าอย่างหลังแลดูจะมีพิรุสไปนะบางที

     

     

     


     

     

     

     

     

    H .. Hello ”

     

     

     


     

     

     

     

     

    เห้ย !!!!!!! ”

     

     


     

     

     

     

     

                   ผมได้ยินเสียงแหบๆตะโกนออกมาจากทางด้านซ้ายมือ เสียงลงส้นเท้าหนักๆเหมือนว่ากำลังวิ่งไปมาอยู่ด้านหลังกำแพงฝั่งซ้ายมือ ให้ตายสิ่ เขาจะนึกว่าผมเป็นขโมยรึ่เปล่านะ ว่าแต่ขโมยบ้านไหนมันจะมาเซย์ฮัลโหลกับเจ้าของบ้านวะ = =”

     

     


     

     

     

     

     

    Wer bist du ?!!!!”

     

     


     

     

     

     

     

                    ร่างโปร่งของคนๆนึงกระโจนออกมาจากทางเดิน ในมือเขาถือไม้เบสบอลอันยาวไว้พร้อมตั้งท่าจะฟาดกับทุกสิ่งที่เข้าไปใกล้ ภาษาแปลกๆที่เขาพ่นออกมาทำเอาผมตึ้บไปประมาณสองวินาที ผมคงกำลังมองเขาด้วยอาการตกใจอย่างสุดขีดละมั้ง(ถ้าคุณมาเห็นผมตอนนี้นะ) .. ก็ถ้าคุณเห็นเขาในสภาพนี้คุณก็คงต้องตกใจเหมือนผมนั่นแหละ

     

     


     

     

     

     

     

                   ส่วนสูงประมาณร้อยแปดสิบสามของเขากับร่างกายผอมๆนั่น เขาใส่เพียงบ็อกเซอร์สีฟ้าหม่นๆแค่ตัวเดียว หน้าทองแบบราบกับแผงอกขาวมีน้ำเกาะอยู่นิดหน่อย ไหปลาร้าได้รูปนั่นขยับไปมาตามจังหวะการหายใจของเขา ริมฝีปากสีชมพูเล็กๆกำลังเม้มเข้าหากันราวกับกำลังใช้ความคิด จมูกโด่งรับกับดวงตาคมประดุจลูกหมาป่าของเขาจ้องมาที่ผมอย่างระแวง คิ้วของเข้าขมวดกันแน่นจนแทบจะกลายเป็นปม ผมซอยสั้นสีบรอนซ์อ่อนของเขาลู่ลงมาตามใบหน้าเรียวนั้น ......

     

     


     

     

     

     

     

                   ไอ้เ หี้ย.. ทำไมมันหล่อจังครับ TT____TT

     

     


     

     

     

     

     

    I don't sure if you are my roommate ?”

     

     


     

     

     

     

     

    Korean ?”

     

     


     

     

     

     

     

    Yes, yes !!!”

     

     


     

     

     

     

     

                   ท่าทางของผมตอนที่ตอบเขามันมันคงตลกมากสิ่นะ เขาถึงได้ยิ้มขำแบบนั้น เขาค่อยๆลดไม้ลงเบสบอลลงข้างตัวก่อนที่ริมฝีปากนั้นจะฉีกยิ้มกว้าง

     

     

     


     

     

     

     

     

    คุณคงเป็น ลู่หาน สิ่นะครับ”

     

     


     

     

     

     

     

    Ye.. เอ้ย ใช่ๆๆๆ”

     

     


     

     

     

     

     

     

     

     


     

     

     

     

     

     

     

    สวัสดีครับผมชื่อ โอ เซฮุน ;) ”

     

     


     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     










     

     

     

     

    - - - - - - - - - - -

     


     

     

     

     










     

     

     

     

    ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ พอดีผมดูเวลาผิดน่ะ แหะๆ”

     


     

     

     

     

     

                   เขาพูดอ้อมแอ้มก่อนจะยกมือเกาท้ายทอยแก้เขิน ตอนนี้ผมกับ โอเซฮุน ในสภาพแต่งตัวเรียบร้อยกำลังนั่งทำความรู้จักกันอยู่บนโซฟาสีน้ำตาลเข้มตัวเดิม เขาชงโกโก้อุ่นๆพร้อมกับจานบิสกิสจานเล็กมาวางไว้ตรงหน้าผม ปฏิเศษไม่ได้เลยว่าสำหรับคนที่เพิ่งผ่านการเดินทางอันแสนทรหดมาอย่างผมคอฟฟี่เบรคตรงหน้าดูเป็นเหมือนสวรรณ์ย่อมๆเลยก็ว่าได้

     

     


     

     

     

     

     

    ไม่เป็นไรหรอก เอ่อ.. เซฮุน อายุเท่าไหร่หรอ”

     

     


     

     

     

     

     

    เอ้อ ผมลืมแนะนำตัวอย่างเป็นทางการไปเลยสิ่นะ”

     

     


     

     

     

     

     

                   ผมได้แต่ยิ้มเบาๆตอบกลับเขาไป

     

     


     

     

     

     

     

    ผมชื่อ โอเซฮุน ตอนนี้อายุ17 แต่ปีนี้อายุ 18 ครับ ผมเรียนไฮสคูลปี13 อยู่ที่โรงเรียนใกล้ๆนี่เอง ผมอยู่ที่เยอรมันตั้งแต่อายุ10ขวบได้มั้ง แต่ผมเพิ่งย้ายมาอยู่บ้านนี้ได้สามปี แล้วพี่ละครับ แนะนำตัวให้ผมฟังหน่อยสิ่ ; )”

     

     


     

     

     

     

     

                    ผมอดเขินกับรอยยิ้มตรงหน้าไม่ได้ เวลาที่ปากเล็กๆนั่นยกยิ้มมันช่างหวานราวกับสายไหมเลยหละ งื้ออออ ถ้าทำได้ผมละอยากหยิบหมอนอิงมากัดที่สุดเลย

     

     

     


     

     

     

     

     

    อ่าจริงๆนายน่าจะได้อ่านประวัติพี่มาแล้วมั้ง”

     

     


     

     

     

     

     

    ...”

     

     


     

     

     

     

     

    พี่ชื่อลู่หาน ตอนนี้อายุ 19 แต่ก็กำลังจะ 20 แล้วแหละ .. เอ่ออ.. เพิ่งจะขึ้นปีสองคณะสถาปัตย์ที่เกาหลี แต่ก็ดันสอบทุนมาได้ก็เลยมาอยู่ตอนนี้”

     

     






     

     

                    ผมพยายามนึกสิ่งที่ผมควรจะพูด .. คือจริงๆผมก็เตรียมตัวมาแล้วนะว่าถ้าเจอกับผู้ร่วมอาศัยของผมน่ะผมจะต้องพูดอะไรมาก แต่การที่น้องเขานั่งเท้าคางจ้องหน้าผมพร้อมกับอมยิ้มเล็กๆ นั่นก็ทำให้บทที่ผมเตรียมมาระเหยไปกับอากาศเช่นกัน

     

     


     

     

     

     

     

    ลู่หาน.. ลู่หาน.. เสี่ยวลู่ !!! ฮ่าๆๆผมว่าผมเคยได้ยินคำนี้จากแม่ตอนผมยังเด็กๆอยู่เลย มันแปลว่าอะไรน้า... กวางน้อย !”

     

     


     

     

     

     

     

    ฮ่าๆ”

     

     


     

     

     

     

     

                   เห้ย ผมไม่คิดว่าคนหน้าตานิ่งๆแบบเขาจะติ๊งต๊องใช่ได้เลยนะ ดูสิ่ครับทุกคน เขาเอาแต่พึมพัมแล้วก็พูดเองเออเอง แถมยังขำคนเดียวด้วย โอ้โห......

     

     

      












    - - - - - - - - - -  30 % - - - - - - - - - - - 








    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×