ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF EXO] :: Solitude :: (Kai x D.O)

    ลำดับตอนที่ #3 : [SF EXO] :: Solitude :: [KAI x D.O] Part 3

    • อัปเดตล่าสุด 10 ต.ค. 55


    "... Because I have fallen for you
    Because I am so much in love with you
    So, I have to be suffering like dying
    Can you see my pain?
    Can't you see I am dying from loving you ???"



    Background Music ::: Huh Gak - Hello


    .

    .

    .

    .

    .

    .






    "Solitude"
    Part 3

     

     

     

     

     

     

     

     

    ... Being different doesn't mean

    you have to be alone ...

     

     

     

     

     

     

     

    Solitude

     



    เสียงกริ่งสุดท้ายของวันเรียนดังขึ้นแล้วผมกับเพื่อนทุกคนในชั้นปีก็ลุกขึ้นยืนแทบจะพร้อมกันและพร้อมใจกันเดินออกจากห้องสอบต่างคนต่างมุ่งหน้าตรงไปยังที่ไหนสักแห่งเพื่อปลดปล่อยหลังสอบเสร็จ ส่วนผมเองนั้นก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปไหนดี เป็นเวลากว่าสามอาทิตย์แล้วที่ผมเอาแต่หลบหน้าเพื่อนในกลุ่มของตัวเองเพราะผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเข้าไปแล้วผมจะทำหน้ายังไง จะพูดยังไง พวกเขาไม่ว่าจะคนไหนโทรมาผมก็ไม่รับ ทุกวันที่ต้องนั่งกินข้าวคนเดียว อ่านหนังสือคนเดียว ทำอะไรคนเดียว มันก็เหงาเหมือนไม่ได้ต่างไปจากปกติเท่าไร อาจจะแค่มากกว่าตอนมีเพื่อนๆ อยู่ก็เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นเองกระมัง ส่วนคนแปลกหน้าที่ชื่อชานยอลนั้น หลังจากที่เราคุยกันคืนนั้นจนหมดเรื่องที่ผมจะเล่าแล้วผมก็ไม่ได้พบกับเขาอีกเลย เบอร์โทรก็ไม่ได้ไห้ไว้ ระหว่างผมกับเขาก็เป็นเพียงแค่คนแปลกหน้ากันเท่านั้น



    “คยองซู!”



    ผมหยิบกระเป๋าพยายามที่จะทำเป็นไม่สนใจเสียงเรียกของแบคฮยอนที่ไล่หลังมาเท่าไรนัก ที่ผ่านมานี้ผมก็พยายามที่จะเข้าห้องเรียนห้องสอบให้ช้าที่สุดและออกมาให้เร็วที่สุด ทั้งหมดก็เพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยงเพื่อนของผมให้ทันก่อนที่เขาจะหาตัวผมเจอ



    “คยองซู"



    แบคฮยอนช้าแล้ว ตอนนี้ผมและกระเป๋าของผมเบียดออกจากฝูงชนที่มุ่งหน้ากันออกจากมหาวิทยาลัยได้เรียบร้อยแล้วและทางข้างหน้าของผมก็โล่งกว่าแบคฮยอนหลายเท่านัก ผมไม่จำเป็นต้องรีบ เพราะอีกไม่นานทางตรงนี้ก็จะเต็มไปด้วยนักศึกษาหลายสิบหลายร้อยคนจนเขาแยกไม่ออกหรอกว่าคนไหนคือผม




    ตุบ!!




    ด้วยความที่ผมเอาแต่เดินไปเรื่อยๆ โดยที่ใจคิดแต่พยายามจะหลีกหนีแบคฮยอนให้ได้จึงไม่ทันได้ระวังทางข้างหน้า ผมจึงเดินชนเข้ากับคนตรงหน้าเข้าอย่างจังจนผมล้มลง



    “นายจะหนีพวกเราไปไหนอีก"



    ไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมองก็รู้ว่าเป็นจงอินนั่นเองที่มาดักหน้าผมเอาไว้ ผมไม่เงยหน้าขึ้นไปมองเขาแต่ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและจัดกระเป๋าของผมให้เข้าที่



    “ฉันไม่ได้หนีอะไรพวกนายสักหน่อย"


    “ไม่หนีแล้วทำไมไม่รับโทรศัพท์"


    “นั่นมันก็เรื่องของฉันเหมือนกัน" ผมตอบกลับไปโดยที่ยังไม่มองหน้าเขา "...ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็หลบหน่อย ฉันจะรีบไป"


    “นายจะรีบไปไหน เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องเลยนะ"


    “ไม่เห็นมีอะไรต้องคุย นายต้องไปเก็บของเตรียมไปเที่ยวไม่ใช่หรือไง ก็ไปสิ" ผมพยายามเบียดผ่านเขาไปแต่จงอินก็ยังไม่ปล่อยให้ผมผ่านไปโดยง่าย "นายมีที่ไปของนาย ฉันก็มีที่ไปของฉัน ฉันจะกลับหอพักแล้ว หลบ"



    แล้วผมก็ไม่รอให้เขาขวางทางเดินของผมอีกต่อไปเมื่อผมเลือกที่จะใช้ไหล่ของตัวเองกระแทกเขาออกไปให้พ้นทาง จงอินเซไปเล็กน้อยเมื่อผมทำแบบนั้นด้วยความที่เขาไม่ได้คาดคิดเอาไว้ก่อนว่าผมจะทำ อย่างไรก็ตามผมเดินต่อไปได้ไม่เท่าไรก็ถูกเขาคว้าข้อมือเอาไว้อีกครั้งหนึ่งแล้วดึงกลับมาเผชิญหน้ากัน



    “เกินสิบปีแล้วนะที่เรารู้จักกันน่ะ คยองซู" เขาพูดรัวเร็ว "...ทำไมมีอะไรนายไม่บอกฉัน"


    “เพราะว่าฉันบอกนายไม่ได้แล้วไง" ผมตอบกลับไป คราวนี้สบตาเขาตรงๆ "...ทุกอย่างที่ฉันจำเป็นจะต้องบอกนายฉันก็บอกไปจนหมดแล้ว จากนี้ไปไม่มีอะไรที่ฉันจำเป็นจะต้องบอกนายอีก"


    “นายเป็นบ้าอะไรของนายเนี่ย ถ้านายไม่พูดแล้วฉันจะเข้าใจไหม"


    “ก็ถ้าไม่เข้าใจมันก็เรื่องของนาย"



    ยากยิ่งนักที่จะบอกว่าตอนนี้เป็นผมหรือเขาที่อารมณ์รุนแรงกว่ากัน สายตาของจงอินนั้นกราดเกรี้ยวขณะที่ของผมก็คงคลอไปด้วยน้ำตา เราสองคนยืนเถียงกันตรงนั้นโดยที่ไม่สนใจว่าใครจะไปใครจะมาหรือใครจะเดินผ่านทั้งสิ้้น แบคฮยอนที่เดินตามผมมาหยุดอยู่ในระยะที่ห่างออกไป สีหน้าของเขาดูไม่แน่ใจว่าจะเดินเข้ามาสมทบดีหรือเล่า



    “นายทำไมไม่มีเหตุผลแบบนี้" มือแกร่งของเขาเริ่มบีบข้อมือผมแรงขึ้น


    “ฉันเจ็บนะ"


    “ก็บอกมาสิว่าเป็นอะไร มีอะไรถ้าไม่พูดกันปล่อยไปแล้วอะไรมันจะดีขึ้นหรือไง" เขาพูดออกมากระแทกระทั้นอยู่ในลำคอ "เพราะว่าฉันเห็นนายสำคัญถึงได้ถามได้เข้าใจไหม สิบปีเลยนะ นายจะให้มันเสียไปหรือไง"


    “ก็ถ้าสิบปีที่รู้จักกันมันยังทำให้นายไม่รู้ว่าฉันเป็นอะไรเราก็ไม่ต้องพูดกันแล้วคิมจงอิน" ผมสวนกลับไปอย่างร้ายกาจ "...อย่างที่ฉันบอกไปเมื่อกี้ ทุกอย่างที่จำเป็นต้องพูดในฐานะที่เราเป็นเพื่อนกันฉันก็บอกนายไปจนหมดแล้ว ฉันเป็นอะไร ฉันชอบอะไร ฉันอยากทำอะไรยังไง มีอะไรไหมที่ฉันยังไม่พูด นายรู้ดีว่าฉันเป็นคนยังไง...”


    “แล้วยังไงล่ะ ตอนนี้ฉันไม่เข้าใจนายก็บอกมาสิ"


    “ก็บอกแล้วถ้านายคิดเองไม่ได้เราก็ไม่ต้องคุยกัน!”



    ผมกระแทกเสียงเสียดังแล้วก็สะบัดมือของเขาทิ้งไปก่อนจะหันหลังกลับ ผมหมายความอย่างที่พูด ตอนนี้ในหัวเต็มไปด้วยความสับสนในขณะที่หัวใจนั้นมันก็กรีดร้องเสียงดังลั่นอยู่ในอก



    ผมชอบเขานั่นเป็นเรื่องจริงตั้งแต่เขาทำดีกับผมอย่างที่ผู้ชายคนไหนไม่มีวันทำเมื่อตอนที่เขาสละเสื้อกันหนาวตัวนั้นให้ผมในวันที่ผมไม่สบาย แม้จะเป็นเรื่องแค่นี้แต่หากเขาทำให้ด้วยใจจริงมันก็คงมากพอที่ผมจะชอบเขาแล้วใช่หรือเปล่า แต่ทุกอย่างมันผิดตรงที่เขาเป็นผู้ชายและเป็นเพื่อนกับผม มันก็ไม่สมควรอย่างยิ่งที่ผมจะไปคิดกับเขาเกินเพื่อน ทั้งหมดมันเกิดจากผมคนเดียวที่ไม่มั่นคงพอ เกิดจากผมคนเดียวที่เหงามากเกินไป



    ผมเดินกระแทกต่อไปเรื่อยๆ ไม่สนใจว่าเขาจะตามหรือไม่ตาม บางครั้งการจะตัดใจจากอะไรหรือใครก็ตามนั้นก็เป็นเรื่องจำเป็นที่เราจะต้องทำร้ายตัวเอง ผมเองกำลังจะทำแบบนั้น ถ้าผมยังขลุกอยู่กับเขาผมคงไม่มีวันเป็นเพื่อนเขาอย่างสนิทใจเหมือนเดิมได้อีก ผมคงต้องเดินจากไป มันคงเป็นเส้นทางที่ชัดสุดแล้ว



    “โดคยองซู เรามาพูดกันให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้"



    เขาวิ่งตามมาไม่นานนักแล้วก็จับผมมาเผชิญหน้าอีกครั้ง



    “นายทำตัวแบบนี้นายจะให้ฉันเข้าใจว่ายังไง"


    “จะเข้าใจว่ายังไงก็เรื่องของนาย ฉันปวดหัวแล้วไม่อยากคุยแล้ว" ผมตอบกลับไปห้วนๆ สั้นๆ พยายามที่จะดิ้นให้หลุดจากที่เขาจับไว้ แต่มือแกร่งทั้งสองข้างก็กดไหล่ของผมมาเสียแรงเหลือเกิน "...ปล่อยฉัน คิมจงอิน"





    “นายกำลังทำให้ฉันคิดว่านายจะเป็นผู้หญิงอยู่แล้วนะ"





    ผมรู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นจัดสาดใส่หน้าเมื่อเขาพูดออกมาแบบนั้นและผมก็นิ่งไปในทันที มันเป็นเรื่องที่เขาไม่ควรพูดมากที่สุด เป็นเรื่องที่ทำร้ายผมได้มากที่สุด ผมเองเคยบอกเขาไปนานแล้ว เขาควรจะจำได้ เขาไม่ควรจะทำแบบนี้




    .

    .

    .





    “ฉันเคยบอกนายแล้วนะ...” ผมพูดเสียงสั่น "...การที่ฉันชอบผู้ชาย...” น้ำเสียงของผมขาดออกเป็นห้วง "...ไม่ได้หมายความว่าฉันจะเป็นผู้หญิง...”





    “งั้นก็อย่าทำแบบนี้สิ"


    “กล้าดียังไงพูดแบบนั้นออกมาจงอิน"


    “เพราะว่าฉันเป็นห่วงนายและเพราะฉันรู้จักนายดีไงคยองซู" เขาตอบกลับมาเร็วกว่าที่ผมจะพูดหลายเท่านัก "...เพราะฉันรู้นายไม่อยากให้ใครมามองนายว่าเป็นผู้หญิง เพราะฉันห่วงฉันถึงได้เตือน เพราะนายเป็นเพื่อนคนสำคัญของฉันฉันถึงได้แคร์นายเข้าใจได้หรือยังล่ะทีนี้... เพราะว่าฉันรักนายไงฉันถึงได้พูด"



    อีกครั้งที่เหมือนโดนน้ำเย็นสาดใส่หน้า สำหรับผมแล้วคำว่า "รัก" มันเป็นคำที่เปราะบางเกินไป จะเอามาพูดกันพล่อยๆ แบบนี้ไม่ได้ ยิ่งโดยเฉพาะกับคนอ่อนไหวแบบผมยิ่งไม่ได้ ผมไม่อยากที่จะคิดมาก ผมไม่อยากที่จะถูกปั่นหัวด้วยคำๆ นี้ และเขาเองก็รู้ดีว่าผมคิดแบบนี้ แล้วทำไมเขายังถึงได้ทำกับผมแบบนี้ จะแกล้งกันไปถึงไหนกัน



    “อย่าใช้คำนั้นถ้านายไม่ได้หมายความอย่างที่พูด" ผมพูดออกไป


    “ฉันพูดก็เพราะฉันหมายความว่าอย่างนั้นน่ะแหละ" สายตาของเขาดุดันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน "ถ้านายไม่เชื่อฉันจะทำให้นายเชื่อตรงนี้แหละว่านายสำคัญต่อฉันและฉันก็รักนาย"



    แล้วเขาก็จูบผมง่ายๆ เสียอย่างนั้น ตรงนั้น หนึ่งครั้ง ผมยืนนิ่งเหมือนรูปปั้น ชาขึ้นมาตั้งแต่จากปลายมือปลายเท้าจนไปถึงศีรษะ ผมคิดอะไรไม่ออกตอนที่เขาเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ๆ ผมไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้นนอกจากริมฝีปากที่กดลงมา จนเมื่อเขาถอนออกไปครู่หนึ่งแล้วนั้นผมจึงเริ่มกลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง



    “เลว" ผมพูดออกไปเมื่อตั้งสติได้ "...นายมีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้วจะมาทำอย่างนี้กับฉันได้ยังไง" ผมพูดออกไปเสียงสั่น "...ฉันเกลียดนายคิมจงอิน"





     

    Solitude

     




    อีกครั้งหนึ่งที่ผมมานั่งอยู่ในคลับที่เต็มไปด้วยชายรักชายและหลายคนก็แต่งตัวเสียสุดขั้ว ผมเองแต่งตัวธรรมดาแค่เสื้อเชิ้ตตัวหนึ่งกับกางเกงผ้ายืดขาเดฟสีเทาเท่านั้น และตอนนี้ก็กำลังนั่งคิดถึงเรื่องเมื่อสามวันก่อนที่ทะเลาะกับจงอินกลางลานมหาวิทยาลัยแล้วก็จบลงที่เขาจูบผม และหลังจากวันนั้นผมก็ไม่ได้คุยไม่ได้พบหน้าเขาอีก แน่นอนว่าเขาพยายามโทรมาและส่งข้อความมา แต่ผมจะไม่ตอบรับกลับไป นานมากเกินไปแล้วที่ผมสับสนกับเขา และมันควรจะหยุดลงเสียที ถ้าเดินต่อไปข้างหน้าไม่ได้แล้วก็ควรที่จะถอยกลับ และนั่นเป็นทางออกที่ผมเลือกแล้ว



    “อ้าวเราบังเอิญเจอกันอีกแล้วนะครับน้องคยองซู"



    ผมเงยหน้าขึ้นมอง คนแปลกหน้าคนเดิมที่ผมพบเจอเมื่อครั้งสุดท้ายที่ผมมานั่งกินเหล้าที่นี่ส่งยิ้มร่ามาให้ผมเหมือนเมื่อวันนั้น ผมยิ้มกลับไปเล็กน้อยตามมารยาท แล้วเขาก็ถือวิสาสะหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ ผม



    “มีเรื่องอะไรไม่สบายใจอีกล่ะสิ ใช่ไหมครับ"


    “ปิดพี่ไปก็ไม่ได้อยู่แล้วนี่ฮะ พี่ชานยอล" ผมคนเครื่องดื่มในแก้วครั้งหนึ่งแล้วยกกระดกขึ้นขนหมด "...ขออีกแก้วครับ"


    “ให้พี่เลี้ยงเหมือนเดิมนะครับ"


    “ผมไม่ได้ไม่มีเงินขนาดต้องหาคนเลี้ยงเหล้าทุกครั้งที่มาเที่ยวหรอกนะฮะ" ผมตอบกลับไป

    “น่าๆ ให้พี่เลี้ยงเถอะ เพราะเราเองก็เป็นเด็กน่ารักดี อีกอย่างพี่ทำงานหาเงินได้แล้ว ไม่ลำบากพี่หรอกนะครับ" เขาหว่านล้อมผมอีกครั้ง "พี่ไม่ได้อวดรวยนะ ถือเสียว่าเป็นมิตรภาพแล้วกัน"


    “งั้นถ้าพี่เสียเงินเยอะวันนี้อย่าว่าผมแล้วกันนะครับ" ผมตอบกลับไปและหมายความอย่างที่พูด


    “เอาเลยครับ ตามสบาย"



    ไม่รู้ว่าผมนั่งดื่มและคุยกับพี่ชานยอลอยู่อีกนานแค่ไหนเพราะผมไม่ได้เหลือบมองนาฬิกาเลยแม้สักครั้ง ตอนนี้เป็นเวลาพักผ่อนของผมแล้ว จะเที่ยวยังไงมันก็เรื่องของผม ผมจำไม่ได้ว่าสั่งเติมเหล้าไปอีกกี่ครั้ง แต่จำได้ว่าทุกครั้งที่เครื่องดื่มรสขมร้อนแรงมันผ่านลำคอลงไปนั้นมันทำให้รู้สึกดีขึ้นได้ และผมก็จะทำอย่างนั้นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพอใจนั่นแหละ



    “พี่ว่าเราพอก่อนดีมั้ยครับ เดี๋ยวจะไม่ไหวเอา"



    ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ น่าแปลกแท้ ทั้งที่วันนี้ตั้งใจมาเมาให้ลืมเรื่องต่างๆ ไปชั่วขณะหนึ่ง มันกลับไปเมาง่ายเหมือนอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่บอกให้ผมหยุดช้าๆ ไม่มั่นใจว่าตอนนี้ใบหน้าของผมแดงไปถึงขนาดไหนแล้ว อย่างไรก็ตามผมตัดสินใจเชื่อเขา คนแปลกหน้าจ่ายเงินค่าเครื่องดื่มแล้วก็เดินพาผมออกไปจากร้าน



    ข้างนอกยังคงคึกคักตามสไตล์ของย่านเที่ยวกลางคืน แสงไฟสีสันฉูดฉาดสาดไปมาทำเอาผมเวียนหัว คนเดินเข้าทางโน้นออกทางนี้ขวักไขว่จนทำเอาผมตาลายและเกือบล้มลง มือแกร่งคว้าแขนผมเอาไว้ให้ทรงตัวอยู่แล้วค่อยๆ ประคองเอาผมออกไปจากตรงนั้น ช้าๆ ทีละก้าวอย่างมั่นคง พอออกไปพ้นจากที่จอแจแห่งนั้นแล้วลมเย็นๆ ก็ปะทะเข้าไปที่ใบหน้าเหมือนเมื่อครั้งที่วันนั้นผมออกมาเดินรับลมกับพี่เขาก็ไม่ปาน เขาเดินช้าๆ เพื่อให้ผมก้าวตามทันด้วยความที่แม้จะไม่เมาแต่ก็สติไม่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ดีนัก



    “บอกตรงๆ นะครับ" เขาพูดขึ้นมาหลังจากที่เราเดินออกมาค่อนข้างไกลจากแหล่งเสียงดังนั้นแล้ว "...พี่ชอบเรานะครับเนี่ย"



    ผมเงยหน้าขึ้นไปมองเขา หน้าตาเขาก็ดูดีไม่น้อยอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม หากตอนนี้ผมตัดสินใจยื่นมือของตัวเองออกไปคว้าโอกาสนี้เอาไว้ ก็เท่ากับว่าผมไม่แตกต่างอะไรจากคนขี้เหงาที่วิ่งไล่ล่าความรักอย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย ผมเองไม่อยากเป็นคนแบบนั้น ผมอยากที่จะมีชีวิตที่ครบถ้วนสมบูรณ์ดี อยากมีคนที่รักผมและผมก็รักเขา



    “พี่เป็นคนดีฮะ" ผมพูดออกไปทำเสียงให้จริงจังที่สุดเท่าที่จะทำได้ในเวลาแบบนี้ "แต่ขอโทษฮะ ตอนนี้ผมคงยังชอบพี่ไม่ได้หรอกครับ"


    “ทำไมล่ะครับ พี่ว่าเราเองก็คุยกันถูกคอดีนะ"


    “เพราะว่าผมมีคนที่ผมชอบอยู่แล้วไงครับ" ตอบกลับไปตรงๆ และภาพของเพื่อนสนิทของผมก็ลอยเด่นขึ้นมา "ถึงแม้มันจะไม่ใช่รักที่สมหวังแต่ผมก็ยังชอบเขาอยู่ดี" พูดไปก็ทำร้ายตัวเองแต่ผมก็ไม่สนใจ เส้นทางแบบนี้แหละคือเส้นทางของคนอย่างผม "ผมไม่อยากให้โอกาสใครตอนที่หัวใจผมไม่ว่างหรอกนะครับ"


    “งั้นพี่ก็รอเราแล้วกันดีมั้ยครับ" เขาถามกลับมายิ้มๆ "...เพราะเราก็บอกเองว่ามันไม่สมหวัง แปลว่าสักวันหนึ่งใจเราคงจะว่างพอให้พี่มีโอกาสบ้างล่ะเนอะ นานๆ ที พี่จะเจอคนดีๆ แบบคยองซูเนี่ยแหละ ถ้ายังไงถือเสียว่าพี่เป็นพี่เราไปก่อนได้มั้ยครับ"



    ผมมองหน้าเขาอีกครั้ง ยากที่จะบอกว่าเขามาดีหรือมาร้าย ต้องการร่างกายหรือหัวใจ ผมอ่านสายตาคนไม่ออก แต่หากเขาหมายความอย่างที่พูดผมก็อยากเสียเหลือเกินที่จะมอบทั้งหัวใจดวงนี้ให้เขาไป อย่างที่เขาว่านั่นแหละ ยากเหลือเกินที่จะพบคนดีในที่แบบนี้ ยากเหลือเกินที่จะใช้ชีวิตเหมือนชายหญิงปกติทั่วไป แล้วถ้ามันเป็นไปได้ผมจะคว้าไว้ดีไหม



    “พี่ต้องการอะไรเหรอครับ" ผมถามออกไปไม่ทันยั้งด้วยความที่กรึ่มๆ จะเมา "...ต้องการตัวผม หรือต้องการอะไรจากผม"


    “ลองให้โอกาสพี่ดูสิครับ แล้วเราก็รู้เอง"


    “ตอนนี้คงยังไม่ได้หรอกฮะ" ผมอยากให้ตัวเองตอบตกลงเขาไปมากเหลือเกิน แต่ผมไม่อยากโกหกตัวเองมากพอๆ กัน "และผมก็บอกพี่ไม่ได้ว่าเมื่อไรผมจะตัดใจได้ ไม่แน่นะครับ บางทีพี่อาจจะตัดใจจากผมสำเร็จก่อนก็ได้... ยังไงเราก็เพิ่งเจอกันแค่สองครั้งเองจริงไหมครับ"


    “ถ้างั้นพี่ก็จะรอดูล่ะครับ" เขายิ้มมาให้อีกครั้ง "ถ้าอย่างนั้นขอเบอร์เราไว้ก่อนได้หรือเปล่าเอ่ย"



    ผมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบเอามือถือออกมาให้เขา บอกว่าให้เขาจัดการกดเบอร์เองเอาเลยและผมขอเข้าร้านสะดวกซื้อข้างๆ เสียก่อนเพื่อจะซื้อน้ำอุ่นๆ สักแก้วมาดื่มเพราะอากาศตรงนี้มันหนาวเหลือเกิน เขารับมือถือของผมไปแล้วก็กดๆ อยู่ตรงนั้น ผมเองเดินเข้าไปในร้าน ไม่สนใจว่าเขาจะขโมยมันไปหรือไม่เพราะอย่างไรค่าเหล้าวันนี้ที่ผมดื่มกับมือถือเครื่องนั้นมันก็คงพอๆ กัน ผมเดินไปกดเอาน้ำร้อนมาใส่ชาที่เตรียมเอาไว้แล้วก็เดินไปจ่ายเงิน พอออกไปนอกร้านก็เห็นพี่เขายืนรออยู่



    “พี่ว่าเรายืนคุยกันตรงนี้อีกแป๊ปนึงดีกว่านะครับ แล้วเดี๋ยวค่อยกลับกัน อากาศตรงนี้ดีจังพี่ชอบ"


    “ก็ได้ฮะ" ผมตอบกลับไปแม้จะรู้สึกหนาวก็ตามที คืนนี้ผมไม่อยากรู้สึกเหงา "แล้วพี่เซฟชื่อพี่ใส่เครื่องผมว่าไงเหรอครับ"



    แล้วเราก็ยืนคุยอยู่ตรงนั้นราวยี่สิบนาทีได้ที่มีรถคันหนึ่งวิ่งมาเทียบตรงที่เรายืนอยู่ ทันทีที่ผมเห็นรถผมก็จำได้ว่ามันเป็นรถของจงอิน ผมมองไปที่รถสีเงินคันนั้นอย่างไม่ค่อยเข้าใจ บานประตูฝั่งคนขับเปิดออกแล้วเพื่อนสนิทของผมก็เดินลงมา



    “อย่าโกรธพี่นะครับ" คนข้างๆ ผมพูดขึ้นมา "พี่แค่เห็นว่าเราเมาและพี่ไม่รู้จะพาเราไปส่งที่ไหน พอดีเขาโทรเข้ามาเป็นชื่อเดียวกับคนที่โทรมาบ่อยๆ พี่เลยถือวิสาสะรับสายไป อย่างน้อยพี่ก็คิดว่าเขาน่าจะช่วยเราได้น่ะครับ"




     

    Solitude
    To Be Contibued ...




     




    Talk:::

    ขอโทษที่หายไปนานเลยนะครับไม่ได้มาต่อเสียที
    เรื่องของเรื่องคือ ช่วงหนึ่งเน็ตไม่ค่อยดี อยากต่อแต่เข้ามาต่อไม่ได้
    หลังจากนั้นมาก็เริ่มมีงานท่วมหัว
    อยากต่อแต่ก็ยังทำงานไม่เสร็จ

    เอาจริงๆ ต่อนนี้ก็ยังไม่เสร็จงานหรอกนะครับ
    แต่ว่าเหนื่อยมากแล้วอยากจะพักผ่อนก่อน
    ก็เลยถือเอาการอัพฟิคนี้แหละเป็นการพักผ่อน
    หวังว่าผู้อ่านทุกท่านจะยังไม่ลืมเรื่องนี้ไปเสียก่อนนะครับ


    สำหรับตอนนี้ ผมก็กำลังแต่งอีกเรื่องควบคุ่ไปด้วย
    เป็นฟิคโปรเจคท์คู่กับไรตเตอร์หนิงมิดไนท์ (Mr. Snowman)
    ชื่อเรื่องก็คือ The Lecherous นะครับ
    หาอ่านได้ ณ เว็บเด็กดีแห่งนี้เลย
    เป็นฟิคไคโด้เช่นเคย
    อย่าลืมติดตามกันด้วยนะครับ เรื่องนี้แซ่บเวอร์


    ก่อนจะจบทอล์คไปก็ขอกลับมาเรื่องเกี่ยวกับฟิคนี้เสียก่อน
    จริงๆ แล้วผมอยากจะถามผู้อ่านทุกคนว่า
    "ทำไมถึงมาอ่านฟิคกันเหรอครับ"
    อันนี้ผมแค่อยากรู้เฉยๆ นะครับ
    บางทีถ้าผมได้รู้ว่าทำไมคนเราถึงอ่านฟิค
    ไม่แน่ว่าผมอาจจะได้มีแนวทางใหม่ในการเขียนฟิคก็ได
    ใครพอมีเวลาว่าง ตอบคำถามกันนิดนึงนะครับ


    ผมขอขอบคุณทุกท่านมากเลยครับ

    ปล. พาร์ทหน้า ตอนจบแล้วนะฮะ ขอบคุณที่ติดตามครับ






     

    © Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×