คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Break 2: Because I Love You [Re]
2
Because I Love You
“เฮ้อ กว่าจะมาได้ นี่แกขับรถแข่งกับเต่าหรือเปล่าเนี่ย” ฉันอ้าปากบ่นทันทีที่ก้นแตะเบาะก่อนจะจัดแจงหมุนช่องแอร์มาเป่าใส่หน้าตัวเอง
“พูดอย่างกับว่าจากร้านมาถึงนี่มันห่างกันสองคืบงั้นแหละ”
บาดลึก...
“อย่าพูดมากน่า ฉันอุตส่าห์ทำให้แกได้อู้งานตั้งเป็นชั่วโมงนะ”
“รถติดขนาดนี้ ทนฟังเสียงกรี๊ดอยู่ร้านสบายกว่าอีก”
จ้ะ พ่อซูเปอร์สตาร์ =_=
“แล้วนี่รถลีนไปไหนเนี่ย เห็นเมื่อเช้าพี่มาร์ก็เป็นคนไปส่งที่มหาลัย”
“จอดทิ้งไว้ในมหาลัยฮีวอนอ่ะ” ฉันตอบพลางแกะหมากฝรั่งที่หาเจอในรถเฮนรี่เข้าปาก
“แล้วทำไมต้องให้เรามารับ ทำไมไม่กลับเข้าไปเอารถแล้วขับกลับร้านเอง”
“เออว่ะ”
ฉันก็ลืมคิดไปซะสนิท แถมรถที่จอดทิ้งไว้ก็ไม่ได้เสียหรือสตาร์ทไม่ติดจริงๆ อย่างที่โม้ไปด้วย เสียเวลายืนรอเฮนรี่มารับตั้งเกือบครึ่งชั่วโมง ร้อนก็ร้อน โง่จริงมาเดอลีน –*–
“แต่ก็ดีแล้วแหละ จะได้มีข้ออ้างกลับมาใหม่วันหลัง”
“แล้วทำไมไม่นั่งแท็กซี่กลับ –_–” เฮนรี่
นี่ฉันมีเพื่อนเป็นเด็กช่างซักตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่เห็นรู้ตัว –*–
“ฉันแกล้งทิ้งกระเป๋าตังค์ไว้ในรถฮีวอนอ่ะ เอาไว้เป็นข้ออ้างโทรหาเขา”
“โอ้โห…นี่เรามีเพื่อนเป็นคนเจ้าเล่ห์ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่เห็นรู้ตัว”
–_–
“ก็ตั้งแต่ฉันกำ ‘ความลับ’ ของแกเอาไว้นั่นแหละ” ฉันแกล้งพูดโค้ดลับระหว่างเราสองคนออกไป เฮนรี่ถึงกับตาถลนมองหน้าฉันราวกับกลัวว่าจะมีใครมาได้ยินทั้งที่บนรถตอนนี้ก็มีแค่ฉันกับเขาเท่านั้น
ตลกเป็นบ้า! ไม่ว่าจะที่ไหน เมื่อไหร่ ยังไง...คำว่า ‘ความลับ’ ก็ใช้สยบหมอนี่ได้เสมอจริงๆ
หลังจากที่นั่งแด๊นซ์อยู่กับที่มาเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็มท่ามกลางสีหน้าเหนื่อยหน่ายและเสียงถอนหายใจของเฮนรี่ที่นอกจากจะปวดหัวกับรถติดแล้ว ยังปวดหัวกับเสียงเพลงที่ฉันเปิดดังสนั่นหวั่นไหว จนในที่สุดเราสองคนก็ฝ่าการจราจรอันแสนห่วยแตกของกรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์ กลับมาถึงร้านจนได้
ความจริง ไอ้รถติดน่ะไม่เหนื่อยเท่าไหร่หรอก จะมาเหนื่อยก็ตรงพูดชื่อเมืองหลวงของประเทศตัวเองเนี่ยแหละ บอกตรงๆ ว่าถ้าไม่เสิร์ชหาในปู่เกิ้ล ฉันเองก็จำไม่ได้เหมือนกัน –_–^
“แซงค์สุดหล่อ ขอชาเขียวปั่นกับบลูเบอร์รี่ชีสเค้กให้พี่สาวสักชิ้นสิจ๊ะ”
เด็กหนุ่มในชุดยูนิฟอร์มโรงเรียนเอกชนที่สวมทับด้วยผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลของร้านละสายตาจากการชงกาแฟตรงหน้าเหล่มองฉันก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า
“ทำเอง!”
–*–
เฮนรี่ที่เดินตามหลังฉันเข้ามาติดๆ ถึงกับหัวเราะก๊ากก่อนจะรีบเดินไปหยิบผ้ากันเปื้อนจากหลังร้านทันทีที่เห็นสายตาพิฆาตของฉัน ขอเดาว่าหมอนั่นต้องมองหน้าฉันแล้วเห็นคำว่า ‘ความลับ’ แปะหราอยู่บนหน้าผากแหงๆ
ชิ! ไม่เห็นจะง้อ ทำเองก็ได้(วะ)
“นี่เฮนรี่ แกว่าฉันจะทำไงดี นายฮีวอนนั่นดูไม่ธรรมดาเลย คนบ้าอะไรไม่รู้หยิ่งชะมัด ขนาดสาวน้อยหน้าตาน่ารักอย่างฉันกระโดดขึ้นรถยังจะใจไม้ไส้ระกำไล่ลงข้างทางอีก”
“มั่นใจว่าน่ารัก?”
“เอ๊ะไอ้นี่ –*–”
“แล้วไงต่อล่ะ”
“แล้วไงล่ะ ก็ให้ช่วยคิดนี่ไง ฉันจะหาทางเข้าไปตีสนิทหมอนั่นยังไงดี” ฉันเทน้ำแข็งแล้วตามด้วยชาเขียว ไซรัป และนมสดที่ชงเข้ากันแล้วลงในเครื่องปั่นแล้วกดปั่น ส่วนเฮนรี่ที่ตอนนี้ใส่ผ้ากันเปื้อนเสร็จแล้วกำลังยืนล้างแก้วอยู่ที่อ่างล้างจานซึ่งห่างออกไปสองก้าวพร้อมกับทำหน้าเหมือนคิดอะไรบางอยู่ในใจก่อนจะยิ้มออกมาด้วยสีหน้าและแววตาเจ้าเล่ห์เหลือล้น
ฉันล่ะเกลียดรอยยิ้มแบบนี้ของเฮนรี่จริงๆ ครั้งก่อนที่ยิ้มแบบนี้ หมอนี่ก็ให้ฉันไล่พนักงานออกยกร้านมาครั้งนึงแล้ว ครั้งนี้จะให้ฉันทำเรื่องชั่วๆ อะไรอีกล่ะ =___=
“ถ้าเราบอกแล้วลีนต้องทำตามนะ”
“แกคงไม่ได้กำลังจะบอกให้ฉันไปฉุดกระชากลากหมอนั่นมาปล้ำหรอก...ใช่ไหม”
“ใช่”
=[]=
“ล้อเล่นน่ะ ฮ่าๆ ดูทำหน้าเข้าสิ”
“ไอ้บ้า! ตกใจหมด –*–”
“ไม่ต้องถึงขนาดไปปล้ำเขาหรอก แค่ลีนไปบอกหมอนั่นว่าลีนแอบรักเขาก็พอ”
“อ๋อ ก็แค่นี้เอง”
ล้อเล่นซะตกใจหมด ทีแท้ก็แค่ให้ฉันไปบอกรัก...ฮีวอน...
“หา!”
“หาอะไร” เฮนรี่สะดุ้งตกใจกับเสียงร้องของฉัน
“นี่แกจะให้ฉันไปบอกรักหมอนั่นเนี่ยนะ”
“อาฮะ หรือจะไปฉุดเขามาปล้ำล่ะ”
“แล้วทำไมฉันต้องไปบอกรักอีตานั่นทั้งที่เพิ่งเจอกันแค่สองวันด้วย”
“ก็บอกแล้วไงว่าแอบรัก จะใส่สีตีไข่ไปสักห้าหกปีก็ไม่มีใครว่า เชื่อเราดิ พอลีนไปบอกรักหมอนั่น ลีนก็จะมีข้ออ้างให้ไปคอยวอแวกับเขาเองแหละ”
“แล้วถ้าเขาปฏิเสธล่ะ” ฉันถามดัก
“ถ้าเขาปฏิเสธ...ลีนก็หน้าด้านอยู่แล้วนี่ ไม่เห็นต้อง”
เอ๊ะไอ้นี่! =_____=
หลังจากนอนกลิ้งไปกลิ้งมาเพื่อรวบรวมความกล้าอยู่นานนับชั่วโมง ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจกดโทรออกเบอร์ที่บันทึกชื่อไว้ว่า Kang Hee Won เสียงรอสายดังอยู่ราวครึ่งนาทีกว่าที่ข้อความบนหน้าจอจะเปลี่ยนจาก calling mobile… มาเป็นการนับเวลาสนทนาแทน
[ฮา~ โหล~] เสียงงัวเงียดังขึ้นจากปลายสาย ฉันเหลือบตามองนาฬิกาแขวนผนังที่กำลังบอกเวลาห้าทุ่มหกนาทีสามสิบสองวินาที ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างหมอนี่จะเข้านอนเร็ว
“นี่นาย ฉัน ‘มาเดอลีน’ นะ”
[อ้อ...มาเดอลีน...ผมไม่ได้ขายขนมครับ] เขาตอบกลับมาเหมือนคนละเมอ
–_–
“นี่! ฉันบอกว่าฉันชื่อมาเดอลีน ไม่ได้จะโทรมาสั่งมาเดอลีน”
[อ๋อ เธอ…มาเดอลีน...]
“จำได้แล้วใช่ไหม”
[...ไม่อ่ะ]
–_–
“นี่คังฮีวอน นายช่วยขุดหัวตัวเองขึ้นมาจากหมอนแล้วตั้งใจฟังฉันก่อนได้ไหม”
[แป๊บนะ...มีอะไรอ่ะ]
ฮีวอนร้องครวญคราง เสียงงัวเงียๆ ของเขาน่ารักชะมัด แถมดูเหมือนเขาจะทำตามที่ฉันบอกจริงๆ ด้วยแฮะ
“เมื่อตอนบ่าย ฉันลืมกระเป๋าตังค์ไว้ในรถนาย ช่วยเอามาคืนให้หน่อยได้ป่ะ”
[กระเป๋าตังค์? อ๋อ เธอนั่นเอง เฮ้ออออ...] ฮีวอนลากเสียงถอนหายใจยาวเหยียดก่อนที่ฉันจะได้ยินเสียงตุบเบาๆ เหมือนเขาทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง
[พรุ่งนี้มาเอาที่ $#^*$]*#Q%&R^$)ER@^ เองแล้วกัน แค่นี้นะ ฉันปวดหัว ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด...] ร่ายมนต์เสร็จเขาก็ตัดสายทิ้งทันที ขอโทษด้วยที่ฉันไม่สามารถบรรยายมันออกมาให้ทุกคนอ่านได้ เพราะฉันเอง...ก็ฟังไม่ทันเหมือนกัน T_T
วันรุ่งขึ้น
กว่าจะหาที่อยู่เขาได้ก็ว่าลำบากแล้ว จะเข้าไปข้างในนี่ลำบากกว่า ฉันต้องทั้งเสียเวลาและค่าโทรศัพท์ให้ฮีวอนเคลียร์กับรปภ.เฝ้าประตูตั้งสิบห้านาทีกว่าจะได้เข้าไป แต่ที่น่าแปลกใจก็คือฮีวอนให้รปภ.ไปขอคีย์การ์ดสำรองจากธุรการคอนโดฯ มาให้ฉันด้วยนี่สิ หรือว่าเขาจะไม่ได้อยู่ที่ห้อง...แต่ก็ไม่น่าจะใช่ ตอนที่คุยกันเมื่อกี้ เสียงเขาก็ยังงัวเงียๆ เหมือนคนกำลังนอนอยู่นี่น่า แล้วอีกอย่าง ใครจะบ้าให้คีย์การ์ดสำรองคอนโดฯ กับคนที่เพิ่งเจอกันไม่กี่วันง่ายๆ แบบนี้จริงป่ะ
ถึงจะแปลกใจและค่อนข้างสงสัยอยู่บ้าง แต่ฉันก็รับคีย์การ์ดมาโดยที่ไม่ได้ถามอะไร พอขึ้นลิฟต์มาถึงชั้นสิบห้า เลี้ยวขวาก็เจอห้องของเขาอยู่ห้องแรกสุด บานประตูหนาสีขาวที่ดูแข็งแรงเปิดออกอย่างง่ายดายเพียงแค่ใช้คีย์การ์ดสำรองรูดแล้วกดรหัสสี่หลักตามที่ฮีวอนบอกมา ภายในห้องขนาดใหญ่ที่ถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์โทนสีขาวเทาดำดูเรียบหรูและคลาสสิกสุดๆ แถมเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้แต่ละชิ้นก็ดูมีราคาค่าตัวไม่เบา เห็นแบบนี้แล้วชอกช้ำระกำใจ แล้วฉันจะลากตัวเขาไปทำงานกะโหลกกะลาที่ร้านได้ยังไงใครก็ได้บอกที TOT
ฉันเดินสำรวจห้องของเขาตั้งแต่ห้องรับแขก ห้องครัว จนกระทั่งห้องเก็บของแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของฮีวอน ห้องเงียบอย่างกับป่าช้า เอ...หรือว่าเขาจะไม่อยู่จริงๆ ฉันมองประตูสีขาวบานสุดท้ายที่ยังไม่ได้เข้าไปสำรวจเพราะคิดว่าน่าจะเป็นห้องนอนอย่างลังเลใจ...นอนอยู่หรือเปล่านะ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ฉันเคาะหลังมือลงบนบานประตูสามครั้งเสียงดังพอที่คนข้างในคงจะได้ยิน แต่รอนานจนเกือบนาทีก็ยังไม่มีวี่แววหรือเสียงตอบรับใดๆ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ฮีวอน นายอยู่ข้างในหรือเปล่า” ฉันเคาะอีกครั้งพร้อมกับตะโกนเรียก
เงียบฉี่...
นี่ไม่อยู่ห้องจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย –_–
ฉันแง้มประตูออกอย่างเบามือแล้วค่อยๆ ชะโงกหน้าเข้าไปอย่างระมัดระวัง ความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิห้องทำให้ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศกระทบเข้ากับผิวหน้าฉันอย่างจัง แอร์เปิดอยู่ งั้นก็แสดงว่ามีคนอยู่แน่นอน
ฉันแทรกตัวเข้าไปข้างในพร้อมกับกวาดสายตาสำรวจรอบๆ ห้อง ห้องนี้ก็เป็นอีกห้องที่ตกแต่งด้วยโทนสีเดียวกันกับห้องอื่นๆ แต่ดูเหมือนจะเน้นสีดำซะมากกว่าสีเทาและขาว เมื่อบวกกับม่านที่ถูกปิดสนิทจนไม่มีแสงสาดส่องเข้ามาแล้วก็เลยทำให้ห้องค่อนข้างจะมืดทั้งที่ตอนนี้ก็ปาเข้าไปสิบโมงกว่าแล้ว
ร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีคาราเมลยังคงนอนขดตัวนิ่งสนิทอยู่ในผ้าห่มผืนใหญ่บนเตียง ไม่ได้รู้ตัวเลยซะด้วยซ้ำว่ากำลังมีคนบุกรุกห้อง
“ฮีวอน” ฉันส่งเสียงเรียก แต่ดูเหมือนว่าเขาจะหลับสนิทจริงๆ ฉันก็เลยค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้ๆ
เฮ้ย! ทำไม...
หน้าของเขาซีดมาก ปากก็ซีด แล้วที่น่าตกใจกว่านั้นคือ พอเอามืออังที่หน้าผาก ตัวเขาร้อนจี๋จนฉันต้องรีบชักมือออกทันที ที่เขาให้ยามไปขอคีย์การ์ดสำรองจากธุรการคอนโดฯ ให้ฉันก็เพราะว่าตัวเองไม่สบายเลยเอากระเป๋าตังค์ลงไปคืนฉันเองไม่ได้งั้นสินะ
“ฮีวอน” ฉันเขย่าตัวเขาเบาๆ พร้อมกับส่งเสียงเรียกอีกครั้ง
ฮีวอนลืมตาขึ้นแล้วกระพริบตาโฟกัสสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งมันก็คือหน้าฉันเองแหละ
“ฮีวอน นายไม่สบายเหรอ” ฉันถามออกไปอย่างโง่ๆ ตัวร้อนขนาดนี้คงสบายดีมั้งจ๊ะ –*–
“มาแล้วเหรอ กุญแจวางอยู่นั่น รถจอดอยู่ชั้นห้า เธอจำรถฉันได้ใช่ไหม” ฮีวอนพูดด้วยเสียงแหบพร่า ฉันนึกว่าที่เสียงเขาเป็นแบบนี้เพราะเขากำลังนอนอยู่ซะอีก เขายกมือที่ดูเหมือนจะไร้ซึ่งเรี่ยวแรงชี้ไปที่ตู้เล็กข้างเตียงก่อนจะหันหลังให้ฉันแล้วหลับต่อ
ก็เข้าใจนะว่าป่วยอยู่ แต่นายจะไม่กลัวฉันขโมยรถนายแล้วขับหนีไปสักนิดเลยหรือไง –_–
ฉันหยิบกุญแจรถแล้วเดินออกจากห้องลงไปที่ลานจอดรถชั้นห้า ท่าทางคอนโดฯ นี้จะมีแต่คนรวยๆ แฮะ รถแต่ละคันนี่ประเมินราคาด้วยสายตาคาดว่าไม่น่าจะต่ำกว่าเจ็ดหลักแน่ๆ เดินวนไปวนมาอยู่สักพักในที่สุดฉันก็เจอพอร์ชคันงามของฮีวอนจอดหลบมุมอยู่
เสร็จโจร!
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป
หลังจากขโมยรถฮีวอนออกไปตามล่าหาซื้อโจ๊กหมูร้อนๆ กับยาแก้หวัดมาจนได้แล้ว ฉันก็รีบบึ่งกลับมาที่คอนโดฯ ด้วยความไวแสง จัดแจงเทโจ๊กใส่ชาม ยกใส่ถาดพร้อมกับยาและน้ำอุ่นอีกหนึ่งแก้วไปเสิร์ฟให้เจ้าตัวที่ยังคงนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่เหมือนเดิม
“ฮีวอน” ฉันวางถาดอาหารลงบนตู้เล็กข้างเตียงอย่างเบามือแล้วหันไปเขย่าตัวเขา
“นี่นาย ลุกขึ้นมากินอะไรก่อนสิ”
ฮีวอนลืมตาปรือๆ ขึ้นมองหน้าฉันค้างประมาณห้าวินาทีเหมือนสมองกำลังลำดับเหตุการณ์และประมวลผลอยู่
“ยังไม่กลับอีกเหรอไง” เขาถามเสียงห้วน นี่ขนาดไม่สบายนะเนี่ย –*–
“อืม ฉันออกไปซื้อโจ๊กกับยาแก้หวัดมา นายลุกขึ้นมากินก่อนสิแล้วค่อยนอนต่อ” ฉันพยักพเยิดหน้าไปทางถาดอาหารที่วางอยู่ ฮีวอนค่อยๆ ดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งพิงกับหัวเตียงแล้วนั่งนิ่งจ้องหน้าฉัน
หน้าฉัน? ฉันรีบคว้าโทรศัพท์ของเขาที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาส่องหน้าแต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรผิดปกติ
“นายจ้องหน้าฉันทำไม”
คนถูกถามยังคงนั่งนิ่งและจ้องหน้าฉันอยู่อย่างเดิม ไม่มีอะไรเพิ่มเติมและไม่มีอะไรน้อยลงไป (อะไรของแก)
“นี่นาย!”
“เธอต้องการอะไร” จู่ๆ เขาก็โผลงขึ้นมา
“ฮะ?”
“เมื่อวาน เธอไม่ได้เอาโทรศัพท์ฉันโทรหาพี่เธอ แต่เธอโทรเข้าเบอร์ตัวเอง”
–O–
“นายรู้ได้ไง” ฉันถามเสียงอ่อย
“ก็เบอร์เธอที่โทรกลับมาเมื่อคืน แล้วก็เบอร์ที่โทรหาฉันเมื่อเช้า มันเป็นเบอร์เดียวกับที่เธอใช้โทรออกเมื่อวาน แล้วเธอก็คงไม่ได้ทำกระเป๋าตังค์ตกในรถ แต่แกล้งวางทิ้งไว้...”
รู้ลึก รู้จริง ยิ่งกว่ากระทิงแดง...
“...ถ้าให้เดา รถเธอก็คงไม่ได้เสียด้วยใช่ไหมล่ะ”
=[]=
ฉันอ้าปากค้าง พูดไม่ออกบอกไม่ถูก รู้สึกชาไปทั้งหน้า ไม่คิดว่าจะถูกเขาจับได้เร็วขนาดนี้ หมอนี่เป็นพี่ชายพี่พลัดพลากจากกันมาตั้งแต่ยังแบเบาะของโคนันคุงหรือเปล่าเนี่ย
“ว่าไง ต้องการอะไรกันแน่” เขาถามย้ำ
จะบ้าตาย! อยากสหายหายในอากาศซะให้รู้แล้วรู้รอด ลำพังแค่ต้องมานั่งฟังเขาเล่าเรื่องที่ตัวเองทำลงไปเป็นฉากๆ ก็อายจะตายอยู่แล้ว ยังจะต้องมานั่งคิดหาคำตอบว่าทำลงไปทำไมให้เขาอีก
แล้วถ้าบอกความจริงไปว่าทั้งหมดที่ทำ เพียงเพราะต้องการให้เขายอมไปเป็นลูกจ้างที่ร้าน ฉันจะโดนถีบตกเตียงไหมเนี่ย TOT
‘ไม่ต้องถึงขนาดไปปล้ำเขาหรอก แค่ลีนไปบอกหมอนั่นว่าลีนแอบรักเขาก็พอ’
จู่ๆ คำพูดของเฮนรี่ก็แว่บขึ้นมาในหัว...
No no no no no no no! แค่ถูกเขาจับได้ว่าแกล้งรถเสีย แกล้งยืมโทรศัพท์โทรเข้าเครื่องตัวเอง แถมยังแกล้งทำกระเป๋าตังค์ตกไว้ในรถ แค่นี้ฉันก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหนแล้ว ยังจะให้ฉันไปบอกเขาว่าตัวเองแอบรักเขาอีกเนี่ยนะ
“ไม่ได้ยินที่ฉันถามเหรอไง...”
ฝันไปเถอะย่ะ!
“...เธอมาหลอกตีสนิทฉันทำไม”
ฉันไม่มีทางทำเรื่องน่าอายแบบนั้นเด็ดขาด!
“ฟังฉันอยู่เปล่าเนี่ย”
ไม่มีทางเด็ดขาด!!
“นี่!”
“ก็เพราะฉันรักนายไงล่ะ”
กรี๊ด! เมื่อกี้ฉันพูดอะไรออกไป กัดลิ้นตัวเองตายดีกว่า คร่อกกก TOT
ความคิดเห็น