ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Oberon : Nightmare syndrome

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 2 รีลีสตัวปัญหา

    • อัปเดตล่าสุด 2 ธ.ค. 54




                 ศาสตราจารย์เอมเบอร์กับแบรงโก้แบรนดอนนั่งเครียดปรึกษากันอยู่ร่วมชั่วโมง ก่อนจะได้ข้อสรุปว่า ถ้าฟ้าจะผ่าก็ต้องปล่อยให้มันผ่า
    ! เพราะทั้งสองคนรู้ดีว่า ต่อให้พยายามใช้วิธีผักชีโรยหน้ายังไง รีลีสของพวกเขาก็ไม่มีวันให้ความร่วมมืออยู่ดี ดีไม่ดีเกิดไม่พอใจขึ้นมาแล้วทำตัวบ้าดีเดือดกว่าเดิมมันจะยิ่งไปกันใหญ่

                “ทำใจเถอะครับหัวหน้า เรื่องนี้ถ้าจะมีคนผิด พวกเราก็ผิดทุกคน ผิดที่รักอัลมากเกินไป”

                คำพูดของแบรนดอนทำให้ศาสตราจารย์เอมเบอร์ต้องถอนหายใจ แล้วยิ้มออกมาในที่สุดเพราะเห็นด้วยกับความคิดนั้น “นั่นสินะ แต่ใครบ้าง ที่เห็นยัยหนูแล้วจะไม่หลงรักแก ก็แกน่ารักออกขนาดนั้น” ใบหน้าเพ้อๆ เพราะหลุดเข้าไปอยู่ในสถานที่ที่ชื่อว่า “ความน่ารักของอัลน้อย” ของคุณพ่อจอมโอ๋ลูกทำให้แบรนดอนต้องกลั้นยิ้ม

    ในที่สุดแบรนดอนคนนี้ก็เจอผู้ต้องหา ผิดเพราะรัก ที่ดูจะต้องได้รับโทษหนักกว่าใครเข้าให้ซะแล้ว

    ผู้ต้องหาที่เมื่อกี้ยังถอนหายใจเฮือกๆ กลุ้มแทบตายเพราะคิดไม่ตกเรื่องลูก แต่วินาทีต่อมากลับนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เพียงแค่มีใครไปสะกิดว่าลูกตัวเองน่ารัก

     

                นานมากแล้วที่อเลน่าไม่ต้องแสดงตัวต่อญาติคนไข้ที่เธอต้องรักษา เพราะการปรากฏตัวของเธอมักจะทำให้ญาติคนไข้หวั่นไหว ไม่เชื่อใจ หรือบางรายอาจจะเลวร้ายขนาดไม่เชื่อถือ แล้วขอเปลี่ยนทีมบีทเลยก็มี

    ศาสตราจารย์เอมเบอร์หรือคนที่อเลน่าเรียกว่าพ่อ จึงแก้ปัญหาโดยการให้ แบรงโก้แบรนดอน คนที่หน้าฉากดูภูมิฐานน่าเชื่อถือสมกับเป็นทีมบีท แถมยังมีตัวช่วยพิเศษเป็นยิ้มหวานพิฆาตใจบนใบหน้าอ่อนเยาว์ทั้งที่มีอายุมากที่สุดในทีมคือ 29 ปี เป็นคนเข้าไปพูดคุยและซักประวัติคนไข้จากญาติ เนื่องจากคนไข้ของสถาบันวิจัยโอบีรอนทั้งหมดไม่สามารถตอบคำถามด้วยตัวเองได้ เพราะยังหลับใหลด้วยโรคไนท์แมร์  โรคชนิดเดียวที่สถาบันวิจัยแห่งนี้รับรักษา

                ในกรณีที่แบรนดอนอดีตแพทย์มือหนึ่งของโรงพยาบาลไนตินซึ่งย้ายมาทำงานกับทีมโอบีวันตั้งแต่ยุคบุกเบิก จนกระทั่งได้ตำแหน่งนักวิจัยและนักจิตวิทยาเพิ่มมาจากตำแหน่งแพทย์เกิดไม่ว่างขึ้นมา ศาสตราจารย์เอมเบอร์ก็จะให้ซีเอลไนเจล เป็นคนซักประวัติแทน

    แม้ว่าไนเจลจะไม่เจ๋งขนาดยื่นนามบัตรให้แล้วญาติคนไข้ตาลุกวาวด้วยความหวัง เมื่อเห็นตำแหน่งยาวพรืด และเคลิ้มไปกับใบหน้าเทวดา จนยอมพูด ยอมฟัง ยอมเชื่อตามที่แนะนำทั้งหมดเหมือนแบรนดอน แต่แค่ท่าทางเคร่งขรึม รูปร่างสูงใหญ่แลดูแข็งแรงสมกับเป็นซีเอล ประกอบกับตำแหน่งนักวิจัยของโอบีรอน ก็ทำให้ญาติคนไข้ยอมรับนับถือได้แล้ว โดยไม่สนใจว่าเขาอายุแค่ 22 ปี

    เพื่อนร่วมทีมทั้งสองคนไม่เคยมีปัญหาเหมือนกับอเลน่า เด็กสาวอายุ 17 ปี ที่กำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยบีทชั้นปีที่ 2

    รีลีสของทีมโอบีวันคนนี้เป็นยิ่งกว่าตัวปัญหา นับตั้งแต่เรื่องอายุน้อย เรียนไม่จบ และเป็นผู้หญิง ซึ่งล้วนเป็นสาเหตุให้ญาติคนไข้หลายรายไม่ไว้ใจ และขอเปลี่ยนทีมบีททันทีโดยไม่จำเป็นต้องเห็นสไตล์ของเธอด้วยซ้ำ แน่นอนว่าทันทีที่ญาติคนไข้เห็นหน้าอเลน่า ปัญหาสามข้อแรกก็ยิ่งทวีความสำคัญ และหากมีการให้คะแนนเรื่องภาพลักษณ์ของรีลีส แต้มรวมความน่าเชื่อถือของอเลน่าก็ติดลบจนดิ่งลงใต้กราฟในทันทีจากเดิมที่ร่อแร่เฉียดเส้นอยู่แล้ว ถึงแม้โอบีรอนจะออกมายืนยันเสียงแข็งว่าโอบีวันคือทีมที่ดีที่สุด พวกญาติคนไข้ก็ไม่สนใจอีกต่อไปเพราะรีลีสคะแนนติดลบคนนี้นั่นเอง

                อเลน่าได้รับคำวิจารณ์เรื่องสไตล์มามากจนเกินพอ ทั้งจากคนรู้จักและไม่รู้จัก ทั้งจากพ่อและเพื่อนร่วมทีม แต่ด้วยนิสัยดื้อรั้น ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ที่ดูจะเตลิดไปกันใหญ่เมื่อใครๆ ต่างเอาอกเอาใจ เพราะความเก่งเหลือล้นที่เจ้าตัวมี บวกกับความน่ารักน่าเอ็นดูที่อเลน่าใช้ประจบเอาใจคนเป็นพ่ออยู่เสมอทำให้เธอเอาตัวรอดมาได้ตลอด ถ้าหากพ่อบ่นเธอมากๆ อเลน่าก็จะอ้างว่า พ่อตอนหนุ่มๆ ก็แต่งตัวแบบนี้เหมือนกัน ศาสตราจารย์เอมเบอร์จึงทำอะไรไม่ได้เพราะน้ำท่วมปาก และหมัดเด็ดหมัดสุดท้ายของอเลน่าที่พูดจนทำให้ใครๆ เลิกยุ่งเรื่องสไตล์ของเธอก็คือความจริงที่ว่า ตราบใดที่เธอยังทำงานได้ดีไม่มีที่ติ ใครก็ว่าเธอไม่ได้ เพราะเรื่องการแต่งกายถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล!

                “อยู่ดีๆ ก็สั่งให้มาซักประวัติเอง ถ้าญาติเขาขอเปลี่ยนทีม อย่ามาว่ากันทีหลังก็แล้วกัน”  อเลน่าบ่นกับตัวเอง ขณะเดินเข้าไปยังห้องซักประวัติพร้อมกับเปเปอร์ส่วนกลาง ซึ่งอยู่ในรูปของแผ่นคลิปบอร์ดสีฟ้าสด สำหรับบันทึกบทสนทนาทั้งหมดก่อนจะคัดกรองข้อมูลที่จำเป็นออกมาโดยไม่ต้องจดให้เมื่อยมือ

                ห้องซักประวัติของโอบีรอนไม่เหมือนห้องซักประวัติของโรงพยาบาลหรือสถาบันต่างๆ ทั่วไป เพราะโอ่อ่าและน่านั่งไม่ต่างจากห้องรับแขกสุดหรูในคฤหาสน์เศรษฐี เนื่องจากสถาบันแห่งนี้ได้รับงบประมาณสนับสนุนเป็นจำนวนมาก ไม่นับค่ารักษาพยาบาลที่พุ่งสูงตามประสิทธิภาพการรักษาที่เชื่อกันว่าดีที่สุดในโลก  ทำให้ใครๆ ต่างก็อยากเข้ามารักษาเพราะมั่นใจว่าหายแน่ๆ

    นักศึกษาจำนวนมากใฝ่ฝันว่าเรียนจบแล้วจะเข้ามาทำงานที่นี่ เพราะเงินเดือนของพนักงานและเจ้าหน้าที่นั้นสูงลิบลิ่ว จึงไม่แปลกอะไรที่มหาวิทยาลัยบีทของโอบีรอนจะกลายเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำ เนื่องจากมีหลักสูตรเฉพาะซึ่งรับเข้าทำงานที่สถาบันทันทีที่เรียนจบ โดยเฉพาะหลักสูตรที่สอนการเป็นรีลีส ซีเอล และแบรงโก้ ซึ่งว่ากันว่าสอบเข้ายากที่สุดในโลก เพราะมีสอนที่มหาวิทยาลัยบีทเพียงที่เดียว

                อเลน่าสูดลมหายใจเข้าแรงๆ หนึ่งที ลูบผมให้เข้าที่ ขยับปกเสื้อกาวน์ตัวยาวที่สวมอยู่ ปั้นหน้าให้เคร่งขรึมกว่าเดิมเล็กน้อย แล้วก้าวเข้าไปยืนในระยะที่ระบบเซนเซอร์ทำงาน ก่อนที่ประตูอัตโนมัติจะส่งเสียงดัง “ติ้ง” เบาๆ หนึ่งที พร้อมกับบานประตูที่ค่อยๆ เลื่อนไปด้านข้างอย่างช้าๆ ห้องซักประวัติที่ถูกจัดแต่งไว้อย่างสวยงามเผยออกสู่สายตา อเลน่าจึงก้าวเข้าไป บนโซฟาสีแดงเลือดหมูตัวนุ่มกลางห้อง มีญาติผู้ป่วยนั่งหันข้างให้ประตูและหันหน้าไปทางจอทีวีอยู่คนหนึ่ง

                ทันทีที่ญาติคนไข้ได้ยินเสียงเตือนว่ามีคนเข้ามาก็ลุกขึ้นยืน แล้วหันหน้ามาทางผู้มาใหม่ แต่เพียงแค่เห็นหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างอยากทำตาโตแล้วอ้าปากค้างเหมือนพวกตัวการ์ตูนตลกๆ  เวลาเจอเรื่องประหลาดใจ

                แค่เห็นหน้าญาติคนไข้ อเลน่าก็อยากจะกรีดร้องแล้ววิ่งกลับไปซัดมิวด้าเลขาหน้าห้องของพ่อสักตุ๊บ ที่ไม่บอกข้อมูลอะไรกับเธอเลยนอกจากจะทักว่า

    “คุณจะไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า หรือแต่งตัวให้เรียบร้อยกว่านี้หน่อยหรือคะ” เท่านั้นเอง แถมพอเธอถามเกี่ยวกับข้อมูลเบื้องต้น มิวด้ากลับตอบว่า “คุณพ่อคุณท่านให้แต่เปเปอร์มา แล้วบอกว่าให้คุณเข้าไปคุยเองค่ะ ”

    นี่เป็นครั้งแรกที่อเลน่าสำนึกว่าเสื้อผ้าหน้าผมของเธอไม่เหมาะที่จะรับแขกจริงๆ

    แม้จะแน่ใจว่าหากพ่อหรือใครๆ บอกให้เธอเปลี่ยนไปใส่ชุดสุภาพ หรือย้อมผมให้กลับเป็นสีธรรมชาติเพื่อมาพบญาติคนไข้ เธอต้องไม่ยอมทำแน่นอน เผลอๆ อาจจะแต่งตัวหนักยิ่งกว่าเดิมเสียอีก แต่ถ้าทุกคนบอกถึงความสำคัญของญาติคนไข้คนนี้กับอเลน่าสักนิด เธอแน่ใจว่าครั้งนี้เธอจะยอมเป็นเด็กดีครั้งแรกในชีวิตเลยทีเดียว เพราะใครจะไปคิดว่าญาติคนไข้ที่ตัวเองต้องมาซักประวัติในวันนี้ เป็นถึงท่านประธานาธิบดีแห่งประชาคมโลก!

    พลัน... อเลน่าก็คิดไปถึงเหตุการณ์ประหลาดเมื่อวาน หน้าตาบูดเบี้ยวจิตตกของพ่อผู้อารมณ์ดีอยู่เสมอลอยขึ้นมาในหัว ตามด้วยบทสวดพึมพำแสนประหลาดของแบรงโก้ร่วมทีมที่จู่ๆ ก็เกิดเคร่งศาสนาขึ้นมากะทันหัน ตอนนั้นอเลน่าคิดว่าพ่อกับเพื่อนต่างวัยคงไปกินอะไรแปลกๆ มาจนทำให้สมองเพี้ยนไปชั่วคราว แต่ทันทีที่เห็นหน้าญาติคนไข้ อเลน่าก็เข้าใจเหมือนมีใครเอาสปอร์ตไลท์สักสามดวงมาส่องให้เห็นเบื้องหน้าเบื้องหลังของท่าทางพิลึกนั้นจนสว่างกระจ่างทุกแง่ทุกมุม ว่ามันมีสาเหตุมาจากอะไร

    เด็กสาวรู้สึกฉุนนิดๆ ที่รู้ว่าพ่อและเพื่อนพากันประสาทเสียเพราะคิดว่าเธอจะทำพัง!

    สงสัยว่างานนี้ต้องมีเคลียร์...

                ประธานาธิบดีแอชตันหรี่ตามองเด็กสาวร่างบางสูงประมาณร้อยหกสิบเซนติเมตร หน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตาบลายด์ที่แต่งตาแบบสโม้กกี้อายอย่างพินิจพิจารณา ผมยาวตรงของเธอนั้นยาวเกือบถึงเอว และไม่ว่ามันจะมีสีอะไร สีผมดั้งเดิมก็คงส่งให้เธอยิ่งสวยน่ารักมากขึ้น ถ้าเจ้าตัวไม่เล่นย้อมมันจนเปรี้ยวเข็ดฟันขนาดนี้ แต่แม้สีสันจะเจ็บแสบไปหน่อย ท่านประธานาธิบดีก็ต้องยอมรับว่า มันเข้ากับบุคลิกและหน้าตาของเด็กสาวไม่น้อย เพราะด้านในและส่วนปลายของผมนั้นเป็นสีดำ ขณะที่ผมส่วนนอกเป็นสีทอง แต่ส่วนที่เจ็บแสบที่สุดคือ ไฮไลท์สีเขียวอ่อนที่ผมด้านหน้า ซึ่งโดดเด้งออกมาประกาศตัวแทนเจ้าของว่า “ฉันนี่แหละตัวแสบ!

    รีลีสที่ประธานาธิบดีกำลังรออยู่ครั้งนี้ต่างกันกับรีลีสคนก่อนที่ท่านเจอที่โรงพยาบาลไนตินอย่างสิ้นเชิง เพราะนอกจากสีผมสะดุดตาไม่เหมือนใคร รีลีสคนนี้ยังแต่งตัวสไตล์พังค์อีกด้วย!
                
                
    ประธานาธิบดีแอชตันมองไปที่มือซ้ายของเด็กสาวซึ่งถือเปเปอร์อยู่ แล้วก็อดคิดถึงตัวเองสมัยหนุ่มๆ ไม่ได้ เพราะที่มือซ้ายนั้นมีกำไลข้อมือวงเล็กๆ สีดำนับสิบอัน  กำไลสีเขียวสะท้อนแสง สายหนังสีแดงและเหลือง ซึ่งมีโลหะสี่เหลี่ยมสีเงินประดับอยู่บนสายหนังอีกทีเพื่อเพิ่มความเท่ กำไลและสายหนังเหล่านั้นเด็กสาวเอามาใส่สลับกับอย่างมีศิลป์

    เมื่อกวาดตาสำรวจเร็วๆ ขณะที่รีลีสก้าวเข้ามาในห้อง ประธาธิบดีก็เห็นเสื้อยืดสีดำที่ด้านหน้าเปรอะไปด้วยสีแดง ชมพู เหลือง และเขียว เหมือนถูกใครสะบัดสีใส่มากกว่าจะนับว่าเป็นลายพิมพ์บนเสื้อ ซึ่งเห็นได้วอบแวบผ่านเสื้อกาวน์สีขาวยาวครึ่งน่อง ที่ไม่ได้ติดกระดุมทุกเม็ดให้เรียบร้อย กางเกงยีนส์สีดำซึ่งแนบไปกับขาเล็กๆ นั้นดูธรรมดามากที่สุดในบรรดาเครื่องแต่งกายของเด็กสาว ก่อนจะปิดท้ายความพังค์ด้วยรองเท้าท๊อปบู้ทสีดำแต่งด้วยเชือกผูกรองเท้าสีเขียวสะท้อนซึ่งแสงถักไขว้ไปมาอย่างเท่

                นี่ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าเป็นลูกใคร และมีฝีมือขนาดไหน ฉันต้องขอเปลี่ยนทีมบีทกลางอากาศแน่ๆ  ประธานาธิบดีแอชตันคิด

                “สวัสดีค่ะท่าน” อเลน่าเป็นฝ่ายทักทายก่อนพลางยื่นมือขวาออกไปให้จับ แล้วยิ้มสวยอย่างที่เอาไว้ใช้ประจบพ่อส่งไปให้ จนเห็นเขี้ยวเกซี่เล็กๆ สองข้างโผล่ออกมา ซึ่งส่งให้ยิ้มของเด็กสาวยิ่งดูน่ารักสดใสมากขึ้น

                “สวัสดี ยินดีที่ได้พบกับรีลีสมือหนึ่งของโอบีรอน สายหนังที่มือคุณสวยมาก” คำชมและรอยยิ้มของประธานาธิบดีทำให้อเลน่าใจชื้น และพยายามข่มความตื่นเต้นลง

                “ขอบพระคุณค่ะ กำไลนี่ซื้อใหม่ แต่สายหนังนี่คุณพ่อให้มาค่ะ และอย่าเรียกอัลว่าคุณเลย เรียกว่าอเลน่าหรืออัลก็พอค่ะ” อเลน่ายิ้มอีกครั้งขณะผายมือเชิญให้ประธานาธิบดีนั่งลง ก่อนที่เธอจะนั่งตาม

                “ได้..อัล งั้นผมขอแทนตัวว่าอาก็แล้วกัน ค่อยฟังดูใกล้ชิดเป็นกันเองหน่อย“ ประธานาธิบดียิ้มแล้วยกกาแฟที่มีคนนำมาเสิร์ฟก่อนหน้านี้ขึ้นจิบ

    “อาก็คิดว่าสายหนังของอัลดูเท่เกินกว่าที่จะผลิตในยุคนี้จริงๆ นั้นแหละ ไม่แปลกใจเลยที่อัลได้มาจากคุณพ่อของอัล ซึ่งหมายความว่า มันมาจากยุคของอา” ประธานาธิบดียังคงยิ้มอย่างใจดี ทำให้ความเกร็งของอเลน่าเริ่มลดลงตามลำดับ  

    “ที่บ้านอาก็มีสายหนังสไตล์นี้อยู่สักสี่ห้าร้อยอันได้ ทรงนี้สีนี้ก็มีนะ น่าเสียดายที่ประธานาธิบดีใส่สายหนังแล้วดูไม่ดี อาก็เลยต้องเก็บใส่ตู้ไว้ดูเล่นแทน”

    แอชตันยกแก้วกาแฟขึ้นทำท่าชนแก้วเหมือนอยู่ในงานสังสรรค์ ก่อนขยิบตาและยิ้มให้อเลน่า แล้วจึงยกกาแฟขึ้นจิบอีกครั้งอย่างอารมณ์ดี ท่าทางของประธานาธิบดีทำให้เด็กสาวมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ถูกประชด จึงอดยิ้มกว้างส่งไปให้ไม่ได้ และคิดในใจว่า

    ประธานาธิบดีแอชตันมีเสน่ห์ ขี้เล่นและเป็นกันเองกว่าที่คิด มิน่า ถึงได้คะแนนแบบท่วมท้นตอนเลือกตั้งถึงสองสมัยซ้อน

                หลังจากทักทายสร้างความเป็นกันเองพอสมควร อเลน่าก็กดเปิดเปเปอร์ และเริ่มทำการซักประวัติคนไข้ที่เธอกับเพื่อนร่วมทีมต้องทำการรักษาในทันที โดยเริ่มจากข้อมูลเบื้องต้นทั่วไปก่อน

                ผู้ป่วยคือ โจเอล อีรีบัส ลูกชายคนเดียวของประธานาธิบดีแอชตัน  อายุ 18 ปี เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยบีท ชั้นปีที่ 4 คณะวิทยาศาสตร์สาขาฟิสิกส์

    โห..ฉันคิดว่าตัวเองเรียนเร็วแล้วนะ แต่ลูกชายประธานาธิบดียังสอบข้ามชั้นได้มากกว่าอีก อเลน่าคิด

    แม้เอิร์ธจะมีโรงเรียนซึ่งสอนวิชาพื้นฐานเหมือนเมื่อหลายร้อยปีก่อนอยู่ แต่เอิร์ธก็มีระบบการเรียนด้วยตัวเองและใช้วิธีสอบเทียบเพิ่มมาด้วย เพื่อขยายโอกาสทางการศึกษาและพัฒนาคุณภาพของประชากร ทำให้มีเด็กอัจฉริยะจำนวนมากสามารถข้ามไปเรียนมหาวิทยาลัยได้ตั้งแต่อายุยังน้อย เป็นการลดระยะเวลาในการพัฒนาบุคลากรที่พร้อมทำงานได้เป็นอย่างดี

    อาหารโปรดของโจเอลคือ ข้าวผัดไข่ดาว

    สิ้นคิดมาก... อเลน่าหมายเหตุไว้ในใจ

    สีที่ชอบคือ สีดำและขาว

    ค่อยน่าคบหน่อ...

    งานอดิเรกคือเล่นเกม อ่านหนังสือ ฟังเพลง และคิดเลข

                “คิดเลขเหรอคะ?

                “ใช่” แอชตันตอบ “โจเอลชอบคณิตศาสตร์ เขามีพรสวรรค์โดดเด่นด้านนี้ ของขวัญวันเกิดของอาชิ้นแรกที่เขาซื้อให้ตอนเขาอายุแค่ 13 ได้มาจากเงินค่าแก้โจทย์คณิตศาสตร์ของพอล แอร์ดิช นักคณิตศาสตร์ในดวงใจของเขา”

                “พระเจ้า! ลูกชายท่านต้องเป็นอัจฉริยะแน่ค่ะ เพราะโจทย์คณิตศาสตร์ที่เหลือรอดจนผ่านมาหลายร้อยปีนั่นต้องเหลือแต่ข้อยากๆ แน่ๆ “

    แอชตันยิ้มกว้างให้กับท่าทางอึ้ง..ทึ่ง ของอเลน่า “ข้อนั้นอาไม่แน่ใจ เพราะเขาไม่เคยบอกผลการวัดระดับไอคิว หรือระดับอะไรต่างๆ ของเขาเลยสักครั้ง แล้วก็ห้ามไม่ให้อาใช้อำนาจของประธานาธิบดีหาข้อมูลที่เขาไม่บอกเสียด้วยสิ”

    “ท่านเป็นพ่อที่น่ารักนะคะ ยอมให้ความเป็นส่วนตัวกับลูกดีจัง” อเลน่าชม “ทำไมเขาถึงชอบพอล แอร์ดิชล่ะคะ”

    “เขาว่าเขาอยากถูกเรียกว่าเอปสิลอนน่ะ” ประธานาธิบดีหัวเราะให้กับความคิดประลาดของลูกชาย ซึ่งอเลน่าต้องหมายเหตุไว้ในใจว่า คงต้องไปค้นเพิ่มว่าไอ้ “เอปสิลอน” ที่ว่านี่มันคืออะไร

    “แล้วทำไมลูกชายท่านถึงเลือกเรียนฟิสิกส์แทนที่จะมุ่งตรงไปที่สาขาคณิตศาสตร์ล่ะคะ”

                “เขาเคยบอกว่า อะไรที่ทำได้ง่ายเกินไปบางทีก็ไม่สนุก เขาว่า ฟิสิกส์มีส่วนคล้ายคณิตศาสตร์ หรือจะบอกว่าความสามารถทางคณิตศาสตร์ของเขา เอาไปใช้กับฟิสิกส์ได้ ก็ได้ เขาเคยบอกว่า ฟิสิกส์เป็นแก่นแท้ของวิทยาศาสตร์ที่สามารถอธิบายพลังของธรรมชาติได้ดีกว่าทุกสาขาวิชา อาคิดว่า บางทีเขาอาจจะบ้าไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์และนักปรัชญาผู้ยิ่งยงตลอดกาลคนนั้นนอกจากพอล แอร์ดิช ”

    “แล้วคุณโจเอลสนใจฟิสิกส์สาขาไหนเป็นพิเศษคะ”

    “เรื่องนี้อาไม่รู้เลย แต่มาแชล หมายถึงเลขาของอาน่ะ เขาสนิทกับโจเอล เขาเล่าว่า โจเอลชอบพวกพลังจิต ถึงอาจะเป็นประธานาธิบดี แต่ก็ไม่แน่ใจว่าพลังจิตมันเป็นวิชาในสาขาฟิสิกส์หรือเปล่า บางทีอาจจะเป็นฟิสิกส์ประยุกต์ล่ะมั้ง” คำพูดของประธานาธิบดีที่เล่าถึงความคิดและความชอบของลูกชาย ทำให้อเลน่าเชื่อว่า พ่อลูกคู่นี้น่าจะใกล้ชิดและสนิทสนมกันมากพอดู

    การซักประวัติกินเวลาค่อนข้างนาน เพราะต้องพยายามให้ครอบคลุมทุกประเด็นมากที่สุด เนื่องจากผู้รักษาไม่มีทางรู้เลยว่า ข้อมูลมากมายเหล่านี้ ข้อมูลใดกันแน่จะกลายเป็นกุญแจสำคัญในการปลุกผู้ป่วยไนท์แมร์ขึ้นมา หรือหากเลวร้ายกว่านั้น คือข้อมูลมหาศาลเหล่านี้กลายเป็นข้อมูลที่ไร้ประโยชน์ในท้ายที่สุด พวกเขาไม่มีทางรู้ จนกว่าจะได้เข้าไปสู่จิตใจของผู้ป่วยเท่านั้น

    “ติ้ง” เสียงระบบประตูอัตโนมัติดังขึ้น ซึ่งไม่ได้สร้างความแปลกใจให้กับคนทั้งสองที่กำลังพูดคุยกันแต่อย่างใด เพราะแน่ใจว่าคนที่จะผ่านเข้ามาได้ คือคนที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น จึงทำเพียงหยุดคุยแล้วหันไปมอง

    ชายหนุ่มผมเรียบแปล้ สวมแว่นตากรอบสีทอง ก้าวเข้ามาหยุดอยู่เพียงหน้าประตูและค้อมศีรษะลงเป็นการขอโทษ ก่อนพูดว่า

     “ขออภัยครับ แต่ได้เวลาที่ท่านประธานาธิบดีต้องกลับไปทำงานแล้ว”

     แอชตันยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูและต้องแปลกใจกับเวลาที่ล่วงเลยไป “ไม่น่าเชื่อว่าเราจะคุยกันเกือบสามชั่วโมงแล้ว การถามข้อมูลคนไข้ของอัลทำให้อาเพลินมาก จนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนแก่เห่อลูกชาย ที่ขายลูกเสียจนไม่เหลือแม้แต่เส้นผมยังไงชอบกล ” อเลน่ายิ้มให้กับคำพูดนี้ แล้วปลอบใจท่านประธานาธิบดีว่า

    “ไม่หรอกค่ะ เป็นท่านเองต่างหากที่ทำให้อัลรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้กำลังทำงาน แต่เป็นการมานั่งถามความลับเพื่อนสนิทแทน”

    “ดีใจจริงที่เรารู้สึกเหมือนกัน” แอชตันลุกขึ้นยืน อเลน่าจึงลุกตาม “ถ้าข้อมูลยังไม่พอ หรือขาดอะไรตรงไหนก็ติดต่อไปได้เลยนะ เลขาคนเก่งของอาจะหาวันเวลาที่เร็วที่สุดให้กับอัลแน่นอน”

    “ขอบพระคุณค่ะ หลังจากสรุปข้อมูลครั้งแรกอัลจะติดต่อไปค่ะ”

    “ไม่ต้องไปส่งอานะ ทำงานของอัลต่อตามสบาย ขอบคุณสำหรับวันนี้” ประธานาธิบดียื่นมือออกไปจับกับอเลน่าเพื่อบอกลา

    “เช่นกันค่ะ”

     แล้วประธานาธิบดีก็เดินออกจากห้องไปพร้อมเลขาคนสนิท ในขณะที่อเลน่าทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา เอนตัวพิงพนัก แล้วเหยียดขาออกไปจนสุด ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา เพื่อลดความเครียดที่สะสมมาตั้งแต่เริ่มการซักประวัติ

    ต่อให้เป็นกันเองยังไง แต่คนใหญ่คนโตก็ยังเป็นคนใหญ่คนโตวันยังค่ำ อเลน่าคิดอย่างหมดแรง

    แต่ผ่านไปสักพักเด็กสาวก็ยิ้มออก เพราะเธอคิดได้ว่า ผลงานการซักประวัติของเธอในครั้งนี้สามารถลบท่าทางสบประมาทของพ่อและเพื่อนร่วมทีมได้อย่างดีทีเดียว เพราะญาติคนไข้คนนี้นอกจากจะไม่เปลี่ยนทีมบีทกลางอากาศแล้ว ยังชมสายหนังของเธอด้วย จนเธอชักชอบซะแล้ว

    เลือกตั้งครั้งหน้าอเลน่าก็จะอายุถึงเกณฑ์พอดี เธอจึงได้แต่หวังว่าประธานาธิบดีแอชตันจะยังลงสมัคร เธอแน่ใจว่าตัวเองต้องลงคะแนนให้แน่ๆ เพราะ...

    คงหาอีกไม่ได้แล้วล่ะ ประธานาธิบดีที่สะสมสายหนังสไตล์พังค์!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×