ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Challenge Hunter Dead (ศึกล่าท้าความตาย)

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 1 หายนะก่อตัว

    • อัปเดตล่าสุด 18 ธ.ค. 54


    กริ๊ง~~~
    “เย้~หมดเวลาแล้วโว้ย”
    เสียงตะโกนดังลั่นจากเหล่านักเรียนในห้องเรียนที่เพิ่งผ่านสงครามแห่งความรู้มาหมาดๆซึ่งคุณครูก็เก็บหนังสือเดินออกห้องเรียนไปเหล่านักเรียนต่างลุกขึ้นจับกลุ่มคุยกับเพื่อนๆของตัวเองกันเพื่อรอครูคนต่อไปมาสอนในคาบต่อไป
    เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่หลังชั้นริมหน้าต่างที่ขณะที่ก้มหน้าหลับอย่างมีความสุขแต่แล้วความสุขก็โดนขัดโดยคนที่เช้ามาทัก
    “เฮ้ย!!จินนอนอีกแล้วเหรอวะเนี่ย”เสียงทักใส่เด็กหนุ่มที่ชื่อจินทำให้จินตื่นขึ้นมามองคนที่เข้ามาทัก
    “หืม~??...บัพโฟโล่เองเหรอมีอะไรวะคนกำลังฝันดี”
    แปะ~!!
    เสียงตบหัวดังลั่นจากหัวจินซึ่งผู้ตบหัวไม่ใช่ใครอื่นก็คือคนที่เข้ามาทักคนที่จินเรียกว่าบัฟโฟโล่นั้นเอง
    “ไอ้จินกูชื่อ เปรม โว้ยไม่ใช่บัฟโฟโล่ไอ้.....”
    “อ้าว~ก็เห็นแกโง่เหมือนบัฟเรียกไปก็ไม่เสียหายใช่มั้ยละมันสมองเท่าๆกันฮ่าๆ”จินพูดอย่างร่าเริงแต่เด็กหนุ่มที่ชื่อเปรมก็ต้องถอดหายใจแล้ว
    “จินแกได้ยินปะที่อุบัติเหตุเครื่องบินชนน่ะ”
    “อ๋อ~ไอ้เครื่องบินที่พุ่งใส่ตึกใจกลางของเมืองน่ะเหรอ”จินตอบเปรมอย่างรู้ทันเพราะข่าวดังพอตัวเหตุเกิดเมื่อ2วันก่อนได้มีเครื่องบินส่วนตัวของคนรวยที่ไหนไม่รู้บินพุ่งเข้าชนตึกใจกลางเมืองที่เป็นสัญลักษณ์แห่งเมืองที่เขาอาศัยเลยจากเหตุการณ์นั้นทำให้มีคนหายสาบสูญไปกว่า900คน
    “เออเขาบอกกันด้วยแหละว่าเหตุการณ์นี้อาจจะเป็นก่อการร้ายก็ได้นะเฟ้ย”
    เปรมพูดเกี่ยวกับข่าวของเครื่องบินที่ตกลงซึ่งจินก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายเพราะเขาก็แค่เปิดทีวีดูข่าวแล้วเจอเรื่องนี้ทุกช่อง
    ครืด~
            เสียงเปิดประตูทำให้นักเรียนทั้งห้องหยุดคุยกันหันไปมองที่ประตูพบคุณครูที่จะมาสอนต่อทำให้นักเรียนต่างเดินกลับเข้าที่นั่งของตัวเอง
            “ไว้ตอนกลางวันค่อยคุยต่อละกันจิน”
            เปรมพูดแล้วโบกมือวิ่งกลับเข้าที่นั่งของตัวเองที่อยู่ข้างหน้าทันทีและแล้วคุณครูก็เริ่มสอนหนังสือส่วนจินก็ก้มลงไปนอนกับโต๊ะอีกรอบราวกลับเวลานี้คือเวลานอนของข้า...
            ..
            .
            “ฮัลโหลๆ...ว่าไงมีผู้รอดชีวิตไหม”เสียงเครื่องติดต่อสื่อสารทำให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยที่กำลังกู้ซากออกเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิตจากตึกถล่มนี้ต้องหยุดงานมาตอบรับกลับ
            “ตอนนี้ก็เจาะเข้าไปได้สามสิบเปอร์เซ็นแล้วละครับคงจะมีผู้รอดชีวิตหรือศพให้เห็นแล้วละครับตอนนี้”
            เจ้าหน้าที่กู้ภัยตอบกลับแล้วหันมาทำงานต่อทันทีเพราะหากเสียเวลาแม้วินาทีเดียวอาจจะมีคนที่ยังติดอยู่ตายได้ทำให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยถึงกับรีบทำงานทันที
            “ว่าไงไอ้กีก้าเจออะไรบ้างไหม”
    เสียงทักขึ้นทำให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยหันไปมองพบเจ้าหน้าที่กู้ภัยอีกคนที่เดินเข้ามาถามสถานะเพราะข้างนอกมีนักข่าวแห่มาทำข่าวกันจนพวกเขาแทบทำงานไม่ได้
    “ไม่เจออะไรเลยทำงานมาสองสามชั่วโมงแล้วไม่เจอแม้แต่ซากเดียวสงสัยไอ้ตึกนี้ต้องมีระบบป้องกันแน่ๆเลยวะ”
    เจ้าหน้าที่กู้ภัยที่เดินเข้ามาถามพยักหน้าแล้วหันหลังเตรียมจะเดินออกไปข้างหน้าแต่เจ้าหน้าที่กู้ภัยที่นั่งขุดอยู่ตอนแรกตะโกนขึ้นมาว่า
    “เฮ้ย!!เจออุโมงค์แล้วขอไฟฉายหน่อย”
    ทันทีที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยที่ชื่อกีก้าพูดออกมาทำให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยที่เดินเข้ามาถามรีบชักไฟฉายให้ทันทีซึ่งกีก้าก็รีบรับมาพร้อมเอาสว่านเจาะเข้าไปเพื่อให้มันกว้างพอที่จะทำให้เขาเข้าไปดูได้ว่าข้างในมีคนอยู่หรือไม่
            วิ๊ดๆๆ~...ตูม~
            เสียงสว่านเจาะเข้าไปทำให้รูอุโมงค์ใหญ่ขึ้นและพริบตาก็มีกลิ่นที่ชวนทำให้คิดได้เลยว่าคนที่อยู่ข้างใต้นี้ตายแน่ๆ
            “อุ๊บ!!กลิ่นแบบนี้ข้างในตายแล้วร้อยเปอร์เซ็นแน่ๆวะ”กีก้าพูดแล้วหันไปหาเจ้าหน้าที่กู้ภัยอีกคน”ช่วยไปเรียกพวกทีเก็บศพมาทีซอฟ”
            เจ้าหน้าที่กู้ภัยซอฟพยักหน้าแล้วเดินออกไปตามข้างนอกให้มาเก็บศพทันทีซึ่งกีก้าหันมาดูข้างในอุโมงใหม่อีกครั้งพริบตามีเสียงแว่วๆออกมาทำให้กีก้ารีบเงี่ยหูฟังพบได้ยินเสียงออกมาว่า
            “แฮ่~”
            “หืม?เราหูฝาดไปไหมเนี่ยได้ยินเสียงแบบนี้”
    กีก้าพูดกับตัวเองซึ่งเสียงที่ได้ยินเขาอาจจะคิดว่าหูฝาดแต่ว่าเสียงที่มาเป็นของจริงกีก้าจึงคิดได้ว่ามีผู้รอดชีวิตอยู่และใกล้ๆนั้นจึงเข้าไปในอุโมงค์ทันที
            “โอ้ย~เข้ามาแล้วกลิ่นยิ่งแรงกว่าเดิมอีกแฮะ”กีก้าพูดบ่นเดินเข้าไปในอุโมงค์สองสามก้าวแล้วหยิบไฟฉายขึ้นมาถือไว้”แต่ว่าไอ้อุโมงค์นี้ก็ใหญ่ดีแฮะสงสัยเสาค้ำไว้แน่ๆเลยไม่ตกทับจนคนตาย”
            พูดเสร็จกีก้าก็เปิดไฟฉายเพื่อดูว่าอุโมงค์นี้จะใหญ่ขนาดไหนและมีคนตายคนรอดที่นอนสลบไสลกี่คนกันแน่
            พรึ่บ...
            พริบตาที่ไฟฉายเปิดดวงตาของกีก้าก็เบิกกว้างเพราะตรงหน้าของกีก้าเป็นร่างของคนหลายสิบชีวิตยืนอยู่แถมแต่ละคนมีแผลที่แหว่งหายไปเลยก็มีบ้างคนมีให้เห็นลำไส้หลุดออกมาซึ่งกีก้ายังไม่ทันตั้งตัวก็มีสิ่งที่โผล่มาข้างหลัง...
            กร๊วกๆ!!...ฉัวะ!!...กร๊อบๆ!!
            “อ้าก~~~”
            ....
            ...
            ..
            .
            กริ๊ง~!!
            “พักเที่ยงแล้วโว้ยไปกินข้าวกัน”
            เสียงกริ๊งสัญญาณหมดเวลาตอนเที่ยงซึ่งเป็นเวลาที่นักเรียนต่างจะมุ่งไปที่ร้านขายของกินต่างๆทันทีเพราะหากไปช้าก็จะหมดโดยในห้องจะมีนักเรียนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นแต่ละคนจะเตรียมข้าวมาเองหรือออกไปกินตามจุดต่างๆในโรงเรียนกันหมดทำให้ในห้องดูมีเพียงนักเรียนจับกลุ่มอยู่แค่สองสามกลุ่มเท่านั้น
            “เฮ้ย!!จินตื่นได้แล้วไปกินข้าวโว้ย”
            “...คร่อก~ฟี้~”เสียงนอนหลับอย่างชุ่มช่ำของจินทำให้เปรมถอนหายใจแล้วยกแขนขึ้นพร้อมและมันก็คือ ตบกะบาน นั้นเอง
            แป๊ะ~!!
            “โอ้ย~!!เฮ้ย!!ใครตบหัวกูวะ”
    หลังจากที่ตบหัวไปไม่นานจินรีบลุกขึ้นมองไปรอบๆตัวพบเปรมที่ยืนยิ้มสะใจอยู่ซึ่งจินไม่ต้องคิดมากเลยว่าใครเป็นคนตบหัว
    “ไอ้เปรมตบหัวกูทำไรวะเนี่ย”
    “เที่ยงแล้วไอ้ขี้เซาไปกินข้าวได้แล้ว”
    จินฟังเปรมพูดเสร็จก็หาวพร้อมบิดตัวยืดไปมาแล้วเดินนำออกนอกห้องเรียนไปซึ่งเปรมก็เดินตามหลังจินไปด้วย
    ...
    ..
    .
    “เฮ้ย!!จินวันเสาร์ไปดูหนังกับพวกกูไหม”เสียงทักขึ้นข้างหลังจินที่กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะม้าหินข้างๆมีเปรมนั่งคุยกับผู้หญิงซึ่งพอจินและเปรมหันไปทางเสียงที่ทักพบเด็กหนุ่มยืนอยู่
    “จะดูหนังเรื่องอะไรละไอ้โจ้”จินพูดพร้อมงาบขนมปังไส้หมูหยองมาเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย
    “เรื่องนี้เลยเรื่องมาใหม่ ฝ่ามิตินครแห่งความตาย ว่าไงสนปะๆ”
    เด็กหนุ่มที่มาทักที่ชื่อโจ้พูดกับจินและเปรมซึ่งจินหันไปมองหน้าเปรมที่ขณะนี้ส่ายหน้าฎิเสธทันทีเพราะเหตุผลน่าจะบอกได้แล้วเพราะมันอยู่ข้างๆแล้วนั้นคือผู้หญิงที่เปรมคบเป็นแฟนด้วยกันชื่อ มิ้น
    “เฮ้ยไอ้จินอย่าไปสนไอ้เปรมมันทิ้งเพื่อนไปมีแฟนฉะนั้นวันหยุดเม่งไม่มีเวลากับเพื่อนเหรอโว้ยมาๆไอ้จินมาอยู่กลุ่มเพื่อนแห่งความโสดกับพวกกูซะ”โจ้รีบพูดแขวกใส่เปรมซึ่งเปรมก็ยิ้มแหยงๆส่วนมิ้นแฟนสาวของเปรมก็เอามือปิดเสียงหัวเราะเล็กๆ
    “วันเสาร์กี่โมงไอ้โจ้”จินถามด้วยหน้าตาชนิดที่ว่าง่วงนอนสุดขีดแต่ปากยังคงเคี้ยวขนมปังที่ข้างๆตัวจินมีกองอยู่7-8ห่อชนิดยัดหมดอิ่มแน่ๆ
    “วันเสาร์11โมงเจอกันที่หน้าโรงหนังอารีน่าอย่าผิดนัดนะเฟ้ยไอ้จิน”
    โจ้พูดชี้หน้าใส่จินให้เข้าใจเพราะจินเคยนั่งฟังเรื่องนัดแล้วมันหลับเลยไม่รู้เวลานัดอยู่
    “เออๆแล้วเจอกันตอนวันเสาร์”จินพูดเปรยๆแล้วเอาถุงขนมปังขึ้นมาแกะหยิบขนมปังขึ้นมากินต่อ....
    ......
    .....
    ....
    ...
    ..
    .
    หวอๆๆๆ~
    เสียงหวอดังไปทั่วแถมตึกใจกลางเมืองซึ่งมีเครื่องบินตกเมื่อวันก่อนขณะนี้ได้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นทำให้ตำรวจนักข่าวต่างแห่มากันอยู่เต็มไปหมด
    “เอาละนะ...1...2...3...สวัสดีค่ะ...ขณะนี้เรากำลังเห็นอยู่นะคะว่าตอนนี้มีเหตุการณ์ก่อความไม่สงบที่ใจกลางเมืองซึ่งทางการก็ไม่ยอมออกมาแถลงไขต่อไปเราจะไปดูภาพเหตุการณ์กันนะคะ”เสียงนักข่าวที่ยืนทำข่าวอยู่ซึ่งรอบข้างต่างก็มีคนทำแบบเดียวกันเต็มไปหมด
    “เฮ้ย!!ออกไปแถวนี้ไม่ปลอดภัยนะ”
    เสียงเจ้าหน้าที่ตำรวจตะโกนไล่เหล่านักข่าวแต่มีหรือนักข่าวจะสนเขาสนแต่ข่าวที่จะให้ผู้คนรับรู้หนึ่งในจำนวนนักข่าวที่มาก็ตะโกนออกมาว่า
    “เฮ้ย!!ไอ้คุณตำรวจรีบๆแจ้งสักทีว่าตอนนี้มันเกิดอะไรที่กลางเมืองกันแน่รีบๆบอกมาสักที”เสียงตะโกนนี้ทำให้มีชาวบ้านที่มายืนมุงกันต่างส่งเสียงเห็นด้วยเพราะตอนนี้เห็นว่าความรุนแรงกำลังแพร่ขยายจากใจกลางเมืองมาเรี่อยๆแล้ว
    “ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบนะครับ...อยู่ในบ้านให้เรียบร้อยอย่าเพิ่งแตกตื่นทางการกำลังแก้ปัญหาอยู่ขอให้ทุกคนสบายใจได้”
    หัวหน้าตำรวจพูดประกาศออกไปแต่ก็ไม่ได้ทำให้ประชาชนที่ยืนอยู่ออกไปเอาแต่ตะโกนให้บอกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
    “เฮ้ย!!นั้นมึคนออกมาจากใจกลางเมืองด้วย”
    เสียงหนึ่งดังขึ้นทำให้ทุกคนหันไปมองข้างหลังที่ตำรวจยืนบังไว้อยู่พบฝูงคนเดินมากว่าสิบคนสภาพแต่ละคนมีเลือดโชกไปทั้งตัวบางคนแขนแหว่งหายไปซึ่งทำให้บ้างคนเอามือปิดตาเพราะทนความโหดร้ายไม่ไหว
    “นี้มันอะไรกันเป็นผู้ปกป้องประชาชนแท้ๆแต่นี้กลับมาทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องบาดเจ็บขนาดนั้นพวกเราบุกเข้าไปช่วยพวกเขากันเถอะ”
    เสียงประชาชนคนหนึ่งได้ตั้งตัวเป็นผู้นำวิ่งตะลุยไปหาตำรวจที่เอารถจอดขวางปิดถนนเอาไว้แรงกระตุ๊นทำให้คนอื่นๆต่างวิ่งพุ่งเข้าไปตามกันจนชุลมุนไปหมดนักข่าวต่างหันไปพูดทำข่าวตัวเองกันใหญ่ซึ่งตำรวจต่างต้านแรงฝูงมวลชนไม่ไหวพริบตาฝูงคนที่สภาพเหมือนจะเป็นศพก็มาถึงที่ตำรวจแล้ว
    กร๊วก~
    “อ้าก~”เสียงร้องเจ็บปวดทำให้ผู้คนและตำรวจนักข่าวต่างหันไปมองพบคนที่มีสภาพเหมือนศพพุ่งเข้าไปกัดใส่คนที่เข้าไปช่วยกันซึ่งสภาพเหมือนไม่ใช่แค่กัดแต่นี่มันกระชากกันเนื้อเลย
    “เฮ้ย!!นี้มันอะไรกัน...อ้าก~”เสียงร้องนี้ทำให้ผู้คนอยู่ในสภาพสมองไม่มีไฟฟ้าแล่นไปทั่วร่างกายจนไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
    “พวกมันต้องตายแล้วแน่ๆดูไอ้คนนั้นสิที่ท้องร้องโหว่ยังเดินได้...นี้มันซอบบี้หรือเปล่าเนี่ย!!”
    “กรี้ด~,ช่วยด้วย~...อ้าก~,ว้าก~”
    เสียงร้องหลากหลายทำให้ผู้คนเริ่มรู้ตัวแล้วว่าตอนนี้ต้องทำให้อะไรพริบตาผู้คนจากที่วิ่งไปข้างหน้าต่างหันหลังกลับเพื่อหนีสิ่งอยู่ตรงหน้าซึ่งบ้างคนรู้ตัวไม่ทันทำให้โดนกัดกระชากไปอย่างทรมาณ
    ....
    ...
    ..
    .
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×