คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ไวเออร์และลูก้า
บทที่ 3 : ไวเออร์และลูก้า
เพียงได้เคียงข้างเทพอัศวินอาร์เทมิสผู้เปล่งราศีสูงส่งเสียยิ่งกว่าพระราชาตั้งแต่รุ่งอรุณถึงราตรีกาล เด็กน้อยไวเออร์ก็ยอมถวายกายและใจเป็นลูกศิษย์ของเขาอย่างศิโรราบ ดวงตาที่จับจ้องร่างสูงโปร่งของผู้เป็นอาจารย์ซึ่งแผ่ความทระนงตนออกมาโดยมิต้องแสดงอากัปกิริยาอื่นนั้นเปี่ยมด้วยความยกย่องถึงขั้นหลงใหล ... ยิ่งกว่าที่ผู้ถูกมองคิดว่าเด็กน้อยคนนี้จะใช้สายตาเดียวกันมองคนรักเสียด้วยซ้ำ
“ลูกเอ๋ย เจ้ามิควรมองผู้อื่นแบบนั้น อย่างที่เจ้ารู้ มันเป็นการเสียมารยาท”
“แต่ท่านอาจารย์ขอรับ ท่านควรจะปลาบปลื้มที่ได้รับสายตาแห่งความนับถือจากผู้มีสิทธิชนชั้นเดียวกันนะขอรับ” ไวเออร์มีสีหน้าตื่นตระหนกและรีบแก้คำของผู้กล่าวอย่างรวดเร็ว
“ลูกเอ๋ย ข้ารู้สึกเป็นเกียรติมาก แต่...”
“ท่านอาจารย์ขอรับ! ท่านไม่จำเป็นต้องแสดงความซาบซึ้งถึงเช่นนั้น ข้าต่างหากที่ต้องรู้สึกเป็นเกียรติที่สามารถส่งสัญลักษณ์สายตาอภิชนนี้ถึงท่านได้”
“ลูกเอ๋ย ข้าต้องการบอกว่า...”
“ท่านอาจารย์ขอรับ! ข้าเข้าใจว่าท่านต้องการพูดอะไร ไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ ท่านไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองคำพูดพวกนั้นแม้แต่น้อย”
“...”
เทพอัศวินอาร์เทมิสมองศิษย์ของตนด้วยสายตานิ่งๆ ในใจนั้นอับจนด้วยคำพูดที่จะใช้สอนเด็กคนนี้ด้วยลักษณะแบบคนปกติ หลังจากไล่มองหัวจรดเท้าของเด็กคนนี้อีกครั้ง เทพอัศวินอาร์เทมิสก็ถอนหายใจเบาๆแบบที่ถ้าไม่สังเกตก็จะไม่เห็น ... แต่ไม่ใช่กับไวเออร์
เด็กชายใบหน้าบิดเบี้ยวเสียยิ่งกว่าครั้งถูกม้าพระราชทานถีบหลังซึ่งคิดว่าเจ็บปวดที่สุดในชีวิต การมองไล่ตั้งแต่ปลายตีนขึ้นมาเหนือกระหม่อมโดยอาจารย์ผู้เหนือใครอื่นทั้งปวงนั้น มันช่าง... ช่าง...
“ข้าขอตายเสียดีกว่า!!”
เด็กชายตะโกนลั่นกำปั้นแนบอกเหมือนตั้งปณิธาน ว่าแล้วก็วิ่งอย่างสลัดภาพพจน์แบบที่ไม่คิดอะไรอีกแล้วไปที่รูปปั้นอัศวินสูงเกือบสามเมตรซึ่งมีดาบแหลมคมขนาดใหญ่กว่าปกติอยู่ในมือ รวดเร็วจนแม้แต่เทพอัศวินอาร์เทมิสคว้าไว้ไม่ทัน ยิ่งเมื่อเห็นรูปปั้นนั้นก็ถึงกับต้องตะโกนว่า “รูปปั้นนั่น! ไวเออร์ อย่า!!”
ตึงงงง !
เหตุการณ์ฉายอย่ารวดเร็ว -- เด็กน้อยกระโดดขึ้นไปดึงดาบออกมา -- รูปปั้นเริ่มปริออกเป็นสองส่วน -- เริ่มร้าวเป็นเศษๆ -- และแหลกเป็นส่วนๆในที่สุด ล่มลงมาเป็นเศษหินฟุ้งฝุ่นตลบ
เทพอัศวินอาร์เทมิสรีบถลาเข้าไปหาลูกศิษย์ตนซึ่งยืนอยู่หน้าฐานรูปปั้นสภาพช็อคนิ่งแล้วรีบฉุดออกมาก่อนที่หินยักษ์ซึ่งเป็นส่วนหัวของรูปปั้นจะร่วงลงมาพอดี
“ข้า... ข้า... ข้า...”
“ไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น จงไปทำความสะอาดร่างกายเสีย”
“ข้า... ขอรับ”
ไวเออร์หันหลังกลับออกเดินเหมือนหุ่นชักใย ปากยังคงพึมพำว่า ข้า... ข้า... ไม่หยุด
เทพอัศวินอาร์เทมิสมองตามด้วยความเป็นห่วง เขาควรจะอยู่กับลูกศิษย์ของตนอย่างใกล้ชิดสินะ คิดแล้วก็ก้าวตามโดยที่เหลือบกลับไปมองซากอดีตความงามที่เป็นเศษๆอยู่ที่พื้นแล้วทิ้งท้ายคำอาลัยไว้ว่า
“น่าสงสาร เทพอัศวินครีอุสอุตส่าห์ใช้กาวต่อตั้งนาน”
เทพอัศวินอาร์เทมิสรุ่นที่สามสิบเจ็ดรู้สึกเวียนเกล้าอย่างที่สิบปีจะมีครั้ง เรื่องรูปปั้นที่กลับเป็นอย่างเดิมได้ยาก เรื่องที่วุ่นวายในบ้านเมืองขณะนี้ และโดยเฉพาะเรื่อง ‘ว่าที่’ ตำแหน่งของเขา
ไวเออร์ ข้าควรสอนเจ้าอย่างไรดีนะ ?
อีกด้านหนึ่ง ณ ยอดวิหารเทพแห่งแสงสว่าง สองผู้แต่งกายมิดชิดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าราวกับเกรงกลัวต่อรังสีของแสงอาทิตย์ที่รุนแรงที่สุดในรอบปี ทั้งสองต่างค่อยๆปลดผ้าพันกายออกทีละชิ้น ทีละชิ้น ... จนเหลือเพียงชั้นในส่วนบนเบาบางและชั้นล่างหนาแน่น คนตัวเล็กกว่าเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงกว่าอย่างสงสัย
“เอ่อ ท่านอาจารย์ ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องทำเช่นนี้ด้วย” ลูก้าหรี่ตาลงด้วยแสงทิ่มแทงตา
“ในเมื่อเจ้ากำลังจะกลายเป็นเทพอัศวินแล้ว แม้แต่แสงอันงดงามของเทพเจ้าแห่งแสงสว่างเจ้ายังรับไม่ได้ก็จงจากไปเสีย” เทพอัศวินเอกอนรุ่นที่สามสิบเจ็ดทอดสายตามองลูกศิษย์ของตนด้วยแววตาเย็นชา
“ข้าขอโทษ ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว” ลูก้าตอบเสียงสั่นเครือ หลบสายตาของอีกฝ่าย
“เจ้าพูดคำขอโทษมากจนข้ามิอยากฟัง” เทพอัศวินเอกอนดึงสายตากลับมองลงไปเบื้องล่างที่ซึ่งเทพอัศวินมากมายกำลังเดินขวักไขว่ บางส่วนเริ่มชี้มาที่พวกเขา ไม่สิ เฉพาะลูก้าเท่านั้น
แน่นอนว่าลูก้าเองก็เริ่มสังเกตเห็นเช่นกัน หน้าที่แดงด้วยความร้อนอยู่แล้วยิ่งแดงจัดเข้าไปอีก แถมแดงไปทั้งตัว
“ท่านอาจารย์ ข้าสงสัยว่าทำไมเราต้องถอดเสื้อผ้าออกด้วยเล่า”
“แล้วใส่กับถอดมันต่างกันตรงไหนเล่า”
เทพอัศวินเอกอนยังคงกระแสความนิ่งในน้ำเสียง ลูก้าที่ชะงักกับคำพูดนั้นก้มหน้าตอบเสียงแผ่ว
“คือ ข้าอายน่ะ”
คำตอบกลับที่ราวกับฟ้าผ่ากลางวันแสกๆนั้นทำให้ลูก้าแทบร้องไห้ออกมา
“จงไปซะ วันนี้เจ้าไม่ได้เข้าใจการพลางตัวแม้แต่น้อย เช่นนั้นจงไปฝึกใช้วาจาดุจเทพอัศวินเอกอนมาซะ หากวันนี้ข้ายังไม่เห็นเจ้าเหมาะกับการเป็นเทพอัศวินผู้ทรงเกียรติอีกล่ะก็ ... เจ้าคงเข้าใจ”
แล้วท่านอาจารย์ก็หายตัวไปทันที
. . .
. . .
ลูก้าน้ำตาปริ่มพร้อมกับคำพูดนั้น เขาทำอะไรผิดหนอท่านอาจารย์จึงได้โกรธขนาดนั้น แล้วเด็กน้อยจึงเริ่มเห็นว่าคนข้างล่างโบกมือทักทายเขาเต็มไปหมด โดยเฉพาะเด็กผู้มีเส้นผมสีทองคนหนึ่ง ... อายสุดๆ!
เขาค่อยๆปีนหลังคาวิหารลงมาอย่างน่ากลัวจะพลาด กลั้นใจแล้วกระโดดลงสู่พื้นดิน คนรอบข้างต่างจ้องมองเขาอย่างประหลาดใจ
เขาลืมอะไรบางอย่างไป
เขาลืม …
ใส่เสื้อผ้า
ลูก้าหน้าตายยิ่งกว่ามะเขือเทศพร้อมกับวิ่งกระโดดข้ามกำแพงไปเรื่อยๆราวกับนักกระโดดข้ามรั้ว ในใจแทบลืมทุกสิ่ง หากคำสั่งของเทพอัศวินเอกอนผู้เป็นอาจารย์นั้นยังสถิตอยู่ในหัว ‘ใช้วาจาดุจเทพอัศวินเอกอน’
แล้วเขาจะทำได้หรือ? ยากเหลือเกิน …
“ยิ่งเจ้าสามารถเชิดหน้าให้สูงได้เท่าไหร่ เจ้าจะเหนือกว่าชาวบ้านสามัญธรรมดาเท่านั้น!”
“ขอรับ ท่านอาจารย์” ข้าตอบพลางเชิดคางขึ้น
“ยิ่งเจ้าสามารถเหยียดตามองให้ต่ำได้เท่าไหร่ เจ้าจะสูงส่งกว่าชาวบ้านสามัญธรรมดาเท่านั้น!”
“ขอรับ ท่านอาจารย์” ข้าตอบพลางเหลือบตาลง
“หากเจ้าอยากให้ผู้อื่นเคารพนับถือ จงนับพวกนั้นเป็นหนอนแมลงไร้ค่าซะ!!”
... หนอนแมลงไร้ค่า ... หนอนแมลงไร้ค่า ... หนอนแมลงไร้ค่า!
“ขอรับ!” ข้ายัดข้อมูลที่ได้เข้าไปในสมองส่วนที่ลึกที่สุด
. . .
. . .
ขณะที่ว่าที่เทพอัศวินอาร์เทมิสทบทวนคำพูดจากบทเรียนของท่านอาจารย์ของตนในใจ เสียงขัดจังหวะจากคนที่เดินมาอยู่ข้างหลังเขาเมื่อไหร่ไม่รู้ดังขึ้น เขาจึงต้องหันไปเหลือบมอง ... รู้สึกจะเป็นว่าที่เทพอัศวินสักคน
“เจ้า ... เจ้ายืนได้ไม่ถูกที่เป็นยิ่งนัก! ช่าง ... ช่างเป็นผู้ที่มีเสน่ห์จนประดับทางเดินได้”
เจ้าหนอนแมลงตัวนี้กำลังพูดเรื่องอะไร ?
ลูก้าพยายามทำหน้าเคร่งเครียดขึ้นแต่แอบลอบดีใจเพราะนึกว่าตนทำปากเสียใส่เด็กชายตรงหน้าได้สำเร็จ ข้าด่าเขาว่าเกะกะขวางทางเหมือนเสาประดับ เขาจึงอารมณ์เสียสินะ
ไวเออร์เชิดหน้าสูงขึ้นกว่าเดิมแล้วพยายามเหยียดตาลงให้สุด รอดูปฏิกิริยาตอบสนองของอีกฝ่าย ... เจ้านี่ ถึงจะดูไม่พอใจแต่ในดวงตาเป็นประกายปิติยินดี ... หึ คงกำลังชื่นชมข้าอยู่ในใจล่ะสิ
“ถึงข้าจะยืนอยู่ตรงนี้ คง ... คงไม่อาจเทียบเสน่ห์นิ่งๆของเจ้าได้”
ลูก้าเฟ้นสมองอย่างหนักเพื่อสรรหาคำพูดที่ทำให้ประโยค ‘ข้าไม่อยากยืนเป็นเสาคู่กับเจ้าหรอกนะ’ดูร้ายกาจขึ้นในความคิดของตน สุดท้ายจึงค่อยเดินผ่านไปเหมือนไม่สนใจ ... ในขณะที่ไวเออร์ยังพยายามเชิดคางให้สูงขึ้นอีกจนไม่ได้มองคนที่จากไปจากตรงนั้นแล้ว
หลังจากนั้นไม่กี่นาทีที่ไวเออร์ ‘หักคอ’ตนเองจนเกือบถึง180 องศาแล้ว เขาก็ค่อยกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง และเมื่อเขาไม่เห็นเทพอัศวินฝึกหัดอีกคน เขาก็ต้องขมวดคิ้วและสบถในใจว่า ไร้มารยาท! แต่เดี๋ยวก่อน
‘ถึงข้าจะยืนอยู่ตรงนี้ คง ... คงไม่อาจเทียบเสน่ห์นิ่งๆของเจ้าได้’
ไวเออร์นึกถึงคำพูดเมื่อสักครู่ของว่าที่เทพอัศวินอีกคน ... นั่นคงเป็นการกล่าวอำลาแบบเคารพของเด็กคนนั้นสินะ
“ หึหึหึหึหึ ๆๆๆๆๆ”
ว่าที่เทพอัศวินอาร์เทมิสหารู้ไม่ว่าเสียงหัวเราะของตนดังข้ามกำแพงซึ่งมีว่าที่เทพอัศวินเอกอนที่เพิ่งปีนลงมาได้ยืนอยู่ ... แน่นอนว่าสำหรับคนที่เพิ่งได้รับการสั่งสอนมาจากอาจารย์ของตนหมาดๆย่อมอยู่ในอารมณ์เดียวกัน
ลูก้านึกถึงใบหน้าเมื่อสักครู่ของว่าที่เทพอัศวินอีกคนและคิดขึ้นมาได้ว่า ... เด็กคนนั้นหัวเราะแปลกๆแบบนี้ คงเพราะแค้นใจข้าจนเป็นบ้าล่ะสิ
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ๆๆๆๆๆ”
ทั้งสองหัวเราะออกมาอย่างปลาบปลื้มเมื่อรู้สึกประสบความสำเร็จในการฝึกภาคปฏิบัติของตน โดยไม่รู้ว่าความจริงแล้วนั้น มันเป็นเพียงความเข้าใจผิดๆที่เกิดจากการคิดไปเองเท่านั้น ... อย่างไรก็ตาม การกระทำทั้งหมดล้วนอยู่ในสายตาของเทพอัศวินครีอุสและเทพอัศวินผู้เป็นอาจารย์ของทั้งสองที่แอบซุ่มดูอยู่ --- ซึ่งในขณะนี้ มือกุมท้อง กอดคอกันหัวเราะอย่างบ้าคลั่งและไร้เสียงในความไร้เดียงสาของลูกศิษย์ตน
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ สักวันหลังEntเสร็จจะมาRewrite (TT)
ความคิดเห็น