คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Broken in silence .. // 2 //
.. Chapter 2 ..
เวลาผ่านไปแต่ละวัน ไม่ช้าแต่ก็ไม่เร็วเกินไปกว่าการที่คนสองคนจะได้ใกล้ชิดกัน ..
คุณเจ้าของร้านที่ทำงานคนเดียวกำลังวุ่นอยู่ในร้านดอกไม้โดยที่บางทีก็จะต้องเข้าห้องมาดูแลคนป่วยอยู่เป็นระยะ คุณชายจากโซลที่เป็นดั่งระเบิดเวลาที่พร้อมจะถล่มร้านของซองมินได้ทุกเมื่อนั้น ทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะออกปากถามว่าเมื่อไหร่จะกลับไปเสียที และพอเข้าเดือนที่สองแผลก็น่าจะหายดีเป็นปกติแล้ว แต่ที่ไม่เป็นอย่างนั้น ซองมินเชื่อว่าสาเหตุคงมาจากการที่มัวแต่เถียงกันไป เถียงกันมาอยู่อย่างนี้ แถมอีกฝ่ายก็ดันชอบไม่ระวังตัวเองและเอาแต่ทำอวดเก่งไปเรื่อย .. จ้างให้มันก็ไม่หายเสียทีหรอก
ถึงซองมินจะคิดอย่างนั้นแต่หากว่าคยูฮยอนหายดีแล้วล่ะ ถ้าเค้านึกสนุกอยากอยู่ที่นี่หรือเพื่อจะหลบภัยอะไรบางอย่างล่ะ คงไม่หรอก เป็นถึงคุณชายจะทำเหมือนผู้ร้ายได้ไง แต่จะว่าไป ... คิดไปคิดมาแล้วมันก็ปวดหัวเปล่าๆ ต่อให้ซองมินเดาไปแปดร้อยเรื่อง แปดร้อยอย่าง มันก็คงไม่ถูกหรอกถ้าไม่ไปถามเจ้าตัวตรงๆ
เย็นวันนี้หลังจากไม่มีลูกค้าแล้ว ขณะที่กำลังจะปิดร้านนั้น คนตัวเล็กก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าที่หน้าร้านบริเวณสนามหญ้าแคบๆของเขาได้มีชุดโต๊ะไม้ขนาดกลางจากไหนไม่รู้มาวางอยู่ สองขาหยุดยืนมองออกไปก่อนจะก้าวพาตัวเองออกไปดูใกล้ๆ ซองมินยืนก้มมองมันโดยไม่ต้องใช้เวลาให้มากกับการนึกว่ามันมาได้ยังไง เสียงถอนหายใจดังขึ้นก่อนจะตวัดสายตาไปมองใครบางคนที่อยู่ห่างออกไป
ร่างสูงในชุดเสื้อยืดกางเกงขายาวกำลังยืนกอดอกพิงรถคันสีดำแล้วรอดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายอยู่ เขาแค่คิดว่าจะเห็นรอยยิ้มหรือคำต่อว่าเรื่องโต๊ะไม้ชุดนี้ที่ตัวเองสั่งมา แต่ตรงกันข้าม ซองมินเดินจ้ำอ้าวเข้ามาหาทันทีอย่างร้อนใจ
“อะไรกันน่ะ!”
นั่นไง เป็นไปอย่างที่คยูฮยอนคิดจริงๆด้วย
“อะไร ยังไง” ร่างสูงทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ เขากำลังพอใจไม่น้อยที่เป็นไปตามความต้องการของตัวเอง คยูฮยอนคิดอย่างนั้น ก่อนที่จะรู้ตัวว่าสิ่งที่ซองมินคิดอยู่มันคนละเรื่องกันเลย
“นี่คุณออกไปข้างนอกมาเหรอ แล้วไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ไปทำไม รู้ไม่ใช่เหรอว่าแผลยังไม่หายดี”
“ฉัน ...”
“ไหนผมขอดูหน่อยซิ” ซองมินไม่ได้สนใจคยูฮยอนเลย มือบางเอื้อมไปเปิดชายเสื้อบริเวณแผลที่เอวของอีกฝ่ายออกดู คนเจ้าเล่ห์ยามนี้จึงได้แต่ยืนนิ่งๆให้ดูแผลแต่โดยดีด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนไป เขากำลังงงกับท่าทีเป็นห่วงของซองมิน
“ให้ตายสิ ผมบอกกี่ครั้งแล้วว่ารออีกสักพักให้แผลหายดีกว่านี้ก่อน โชคดีนะที่ไม่เลือดออกมาอีกแบบวันนั้น” คยูฮยอนสัมผัสได้ถึงความห่วงใยของซองมินภายใต้ใบหน้าที่เอาแต่ดุเขาลูกเดียว ที่แท้แล้วก็เป็นห่วงเรื่องแผลของเขานี่เอง
คนตัวเล็กก้มสำรวจร่างกายของเขาไม่ห่างไปไหน เรียวปากอิ่มบ่นพึมพำอย่างโน้นอย่างนี้สารพัด หารู้ไม่ว่าคนที่ทำตัวเหมือนเด็กดื้อนั้นไม่ได้กำลังฟังอยู่เลย ดวงตาคมเข้มกลับมามีประกายอีกรอบด้วยความพอใจลึกๆในอกที่อีกฝ่ายดูเป็นห่วงเป็นใยกันขนาดนี้
“คยูฮยอน .. คุณคยูฮยอน!” เสียงเล็กร้องเรียกให้ตื่นจากความคิด
“อ่ะ ฮะ จะตะโกนทำไมเล่า อยู่ใกล้แค่นี้”
“ก็คุณไม่ได้ยินนี่ เอาแต่จ้องหน้าผม ทำไมเหรอ หน้าผมมีอะไรติดอยู่รึไง”
“เอ่อ เปล่าหรอก ช่างเหอะๆ” คยูฮยอนปฎิเสธสั้นๆเหมือนมีอะไรปิดบัง เสียงถอนหายใจเบาๆทำให้ซองมินต้องขมวดคิ้วพลางมองตาม สายตาที่หันหนีไปของคยูฮยอนกลับมาสบตากับซองมินอีกครั้ง
“ดูนายจะห่วงฉันจังนะ .. ห่วงมากแบบนี้ เพราะอะไรล่ะ”
คราวนี้เป็นคนถูกถามที่อยากหลบตาเอาเสียเอง เหมือนลมเย็นๆที่พัดปะทะใบหน้าแรงๆ มันชาจนพูดไม่ออก หรือที่เป็นอย่างนี้เพราะคิดไปเอง อีกฝ่ายคงแค่ถามปกติมากกว่า .. ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง แล้วทำไมสายตามที่มองมาเหมือนอยากจะได้คำตอบนักล่ะ แววตานิ่งๆที่เหมือนจะสื่อความรู้สึกโดยไม่ต้องผ่านคำพูด
แต่ซองมินไม่รู้หรอกว่ามันสื่อถึงอะไร
แล้วมันจะเกินหนึ่งนาทีเลยไหมที่จ้องกันอยู่อย่างนี้ .. รู้สึกเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr
เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าดังขึ้นขัดความเงียบระหว่างคนทั้งสอง มือหนาจำ
.. เอาน่ะซองมิน บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ใช่เรื่องของเราเสียหน่อย
คยูฮยอนยัดโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋ากางเกงตามเดิมแล้วหันกลับมาหาคนที่ยืนเฉยๆเพราะไม่รู้จะพูดอะไร
“ที่ถามน่ะ ตอบมาสิ”
“นี่คุณ จะให้ผมตอบอะไรไม่ทราบ”
“ก็ที่นาย...”
Rrrrrrrrrrrrrrrrrr
อีกครั้งที่เสียงโทรศัพท์เครื่องเดิมดังขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาออกอาการรำคาญอย่างเห็นได้ชัด ซองมินทำหน้าบอกว่าทำไมถึงไม่รับ และเสียงนั้นมันก็ไม่หยุดลงจนเขาต้องขอตัวออกไปรับโทรศัพท์บริเวณริมรั้วที่ซองมินไม่ได้ยินด้วยทั้งนั้น ถ้าจะสังเกตได้ ซองมินก็พอจะรู้อยู่ว่าคยูฮยอนคงมีธุระอย่างเคย ใบหน้าขึงขังเวลาคุยโทรศัพท์มักจะเป็นเรื่องปกติที่ซองมินแอบเห็นอยู่ประจำ
คยูฮยอนไม่ใช่คนปกติทั่วไป ซองมินรู้ดี ในหัวนึกย้อนกลับไปยังคำถามที่ได้ยินเมื่อครู่
.. ทำไมต้องห่วงงั้นเหรอ บ้าน่ะ ใครห่วงกัน ก็แค่อยากให้หายไวๆจะได้กลับไปเสียทีไง
ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วนี่ เดี๋ยวคยูฮยอนก็ต้องกลับโซลไปใช้ชีวิตสุขสบายตามประสาคุณชายลูกเศรษฐีที่ซองมินไม่รู้จัก .. ดวงตากลมคู่เดิมหันมองไปยังโต๊ะชุดนั้นอีกที ไม่บอกก็รู้ว่าฝีมือใคร
“สงสัยจะทนสภาพความเป็นอยู่ไม่ไหว .. โถคุณชาย แค่นี้มันไม่ได้ทำให้ที่นี่
ไม่กี่ชั่วโมงผ่านไปก็จบลงที่คนทั้งสองนั่งอยู่ตรงข้ามกันในโต๊ะไม้กลางสนามหญ้าเล็กๆหน้าบ้าน อาหารและเครื่องดื่มทุกอย่างถูกวางไว้เต็มโต๊ะในยามเย็นที่เริ่มพลบค่ำ สำหรับคยูฮยอนแล้ววันนี้ท้องฟ้าโล่งโปร่งไม่มีเมฆดั่งใจปรารถนาจริงๆ เทียนสีสวยถูกจุดขึ้นบนโต๊ะเพื่อให้แสงสว่างราวกับกำลังมานั่งดินเนอร์กับคนรัก ชายหนุ่มยิ้มอย่างพออกพอใจขณะที่ร่างของคนนั่งอยู่ตรงข้ามกำลังทำหน้าไม่พอใจผิดกันกับเขา ซองมินนั่งหน้าบูดหลังจากที่ถูกบังคับให้ยกอาหารทั้งหมดและเครื่อง
“นี่ โต๊ะตัวนี้กับไวน์ที่คุณซื้อมาผมไม่มีจ่ายให้หรอกนะ” ซองมินบอกเอาไว้เสียก่อน เสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆเป็นการตอบรับ คยูฮยอนส่ายหัวกับที่ได้ยิน
“ต่อให้ฉันสั่งทำรั้วบ้านให้นายใหม่ ก็ไม่เคยจะคิดกับนายซักวอนเดียวหรอก” เรื่องใหญ่สำหรับอีกคนกลับกลายเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กเท่าเศษผงของอีกคนไป ไวน์แดงถูกรินลงแก้วทรงสวยโดยคนที่ซื้อมันมา ริมฝีปากของชายหนุ่มแตะลงเบาๆยามที่ต้องการลิ้มรสมัน คนที่มองอยู่แอบเบ้ปากนิดๆเพราะคำพูดอวดดีพวกนี้ที่เขามักได้ยินบ่อยๆ
“งั้นหรอกเหรอ คุณคิดว่าทำได้หมดล่ะสิ”
“แน่นอน ..”
“มากไปมั้ง ไม่ต้องคุยขนาดนั้นก็ได้”
“โอเค .. งั้นพรุ่งนี้เตรียมพบกับรั้วใหม่ได้เลย”
“อะไรนะ!”
ไม่ทันเสียแล้วเมื่ออีกฝ่ายยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดแล้วสั่งตามต้องการ แค่แป๊บเดียวไม่ต้องให้มากความแล้วก็วางสายไป เจ้าของบ้านตัวจริงทำหน้าเหรอหราพูดไม่ออกกับสิ่งที่ได้ยิน
“นี่คุณ จะบ้าเหรอ นี่มันบ้านผมนะ”
“ก็บ้านนายไงเล่า ไม่งั้นฉันไม่ทำให้หรอก”
“แล้วมาทำทำไมล่ะ”
“ก็นายอยากได้ไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ใช่”
“แล้วเมื่อกี้ล่ะ”
“ผมก็แค่ ...”
“เอาน่าๆ ไม่ทันแล้วล่ะ ก็แค่รั้วใหม่ใหญ่กว่าเดิม แข็งแรงกว่าเดิม ไม่คิดซักวอนเดียวหรอกคุณอีซองมิน” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างสบายอารมณ์เกินเหตุไปแล้ว
“ผมก็มีศักดิ์ศรีนะ ไม่ได้ขอร้องให้มาช่วยอะไรซักหน่อย”
“นายนี่นะ อย่าเถียงได้มั้ย”
“แต่...”
“ไม่มีแต่ เฉยๆเหอะน่ะ” คยูฮยอนไม่เปิดโอกาสให้ซองมินได้พูดอะไรเลย มือหนาเอื้อมมาจับมือคนตรงหน้าขึ้นแล้วยัดส้อมให้ถือเอาไว้
“นี่ไง เดี๋ยวก็เย็นหมดหรอกรีบกินสิ อาหารของนายท่าทางน่ากินทั้งนั้นเลย”
“............”
“นายไม่หิว แต่ฉันหิวนะซองมิน” ว่าแล้วก็ก้มหน้าจัดการกับอาหารรสมือของคุณเจ้าของบ้านทันทีเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่จ้องหน้าเขา คยูฮยอนไม่ฟังคำตอบหรือข้อขัดแย้งแต่อย่างใด และแน่นอน อีซองมินก็ไม่บ้าพอจะตะโกนด่าแล้วไล่คยูฮยอนออกไปตอนนี้หรอก .. เขายังไม่อยากตาย ถึงคนอื่นจะว่าบ้าและขี้ขลาด แต่ซองมินก็ไม่กล้าพอจะเสี่ยงหรอก
.. อดทนไว้ อีซองมิน
ระหว่างทานอาหารกันไปก็มีเพียงแค่สบตากันนิดๆหน่อยๆไม่บ่อยครั้งนัก เวลาผ่านไปเรื่อยๆท่ามกลางแสงจันทร์ที่เริ่มโผล่มาในท้องฟ้ายามมืด แก้มนวลยามต้องแสงเทียนบนโต๊ะดึงดูดให้คนมองไม่อยากจะละสายตาไปไหนเลย ซองมินกินไปอย่างไม่รู้ตัว แต่พักใหญ่ที่เขาเริ่มรู้สึกว่าคนตรงหน้าไม่มีการขยับแต่อย่างใด พอเงยขึ้นก็เป็นไปตามคาด
“คุณมองผมทำไม”
“ .. อะไรกัน มองไม่ได้รึไง” เสียงทุ้มฟังดูเนิบๆมากขึ้นเมื่อปริมาณไวน์แดงในขวดพร่องไปจนเกือบหมด ไม่สิ ซองมินเห็นว่ามันเข้าขวดที่สองแล้วมากกว่า
“คุณดื่มเยอะจังนะ”
“ไม่หรอก แค่นี้เอง แค่ไวน์”
“อืม”
“นายไม่เอาหน่อยเหรอ”
“ไม่ล่ะ ผมกินข้าวอย่างเดียวดีกว่า”
ร่างเล็กจบบทสนทนาย่อยๆไม่กี่ประโยคเอาไว้ตรงนั้น ก่อนจะก้มลงจัดการกับอาหารในจานต่อ กินเสร็จแล้วจะได้รีบๆเข้าบ้านเสียที แต่แล้วซองมินก็รู้ว่ามันไม่ได้ผลในเมื่ออีกคนกำลังสนุกสนานกับการมองขณะที่เขารู้สึกแปลกๆเหมือนคนกำลังจะบ้า อย่างนี้แล้วโวยวายไปก็เท่านั้น ชวนเปลี่ยนเรื่องคุยท่าจะดีกว่า
“แล้วเมื่อตอนเย็นที่คุณออกไปข้างนอกมาน่ะ ไม่กลัวจะมีคนเห็นเหรอ” เมื่อพูดเรื่องนี้ขึ้นมาแววตาของคยูฮยอนก็เปลี่ยนไปแค่นิดหน่อย ความจริงจังเข้ามาแทนที่แต่ก็พยายามไม่แสดงออก
“ตอบผมสิ มันอันตรายไม่ใช่เหรอ” ซองมินยังเซ้าซี้ต่อ อย่างน้อยก็ไม่ต้องมานั่งให้อีกฝ่ายจ้องด้วยสายตาแปลกๆ แถมยังจะได้รู้อะไรอีกเผื่อว่าคยูฮยอนยอมเล่าเรื่องตัวเองให้ฟังมากขึ้น
“ไม่มีอะไรหรอกน่ะ จริงๆที่นี่ก็ไม่มีใครรู้จักฉันอยู่แล้ว ไม่สิ .. ก็ไปแค่ร้านแถวนี้เอง”
“งั้นหรอกเหรอ”
“อืม .. แล้วนายไม่ถามต่อล่ะ ไม่อยากรู้เหรอว่าฉันเป็นใคร”
“ไม่ล่ะ มันคงไม่ใช่เรื่องของผม รู้ไปก็เท่านั้น” ตอบไปแบบไม่สนใจอะไร ก็จริงอยู่ที่ฟังดูปกติ แต่คยูฮยอนแอบผิดหวังนิดๆเมื่อเรื่องของตัวเองไม่ใช่เรื่องสำคัญที่อีกฝ่ายใคร่อยากจะรู้ หรือแม้แต่จะถามออกมาสักคำ
“ไม่กลัวรึไง เผื่อฉันเป็นผู้ร้ายค้ายากำลังหนีตำรวจมากบดานที่นี่อยู่ล่ะ นายไม่กลัวหรอกเหรอ” ประโยคเดียวทำเอาคนฟังนึกภาพออก แต่สิ่งที่ซองมินแยกไม่ออกก็คือ มันเรื่องจริงหรือล้อเล่น เรียวปากทั้งคู่เม้มเข้าหากันแน่น
เขากำลังครุ่นคิดกับสิ่งที่ได้ยินอยู่ มันอาจแค่เรื่องอำกัน แต่หากมันเป็นจริงล่ะ มันเป็นไปได้นะในเมื่อทุกอย่างก็บ่างบอกอยู่ว่าคนๆไม่ใช่คนธรรมดา เรื่องน่ากลัวเกิดขึ้นมาแล้ว แล้วต่อไปถ้าตัวเองเจอไปด้วยล่ะ
“เฮ้นี่!! ล้อเล่นหรอกน่า ฉันไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก” คยูฮยอนรีบเอ่ยบอกไปเพราะกลัวว่าคนตรงหน้าจะคิดมากจนเป็นลมไปเสียก่อน ซองมินถอนหายใจแบบโล่งๆที่ได้ยินอย่างนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องเชื่อคนๆนี้ด้วย ความรู้สึกมันบอกว่าผู้ชายตรงหน้าไม่ได้โกหก เขารู้สึกเบาใจได้อย่างน่าประหลาด
.. ไม่หรอกซองมิน อย่าเพิ่งไว้ใจอะไรเลย
“จริงๆสนเรื่องฉันอยู่ล่ะสิ”
“ปะ .. เปล่าเสียหน่อย”
“ไม่จริงหรอก งั้นเมื่อกลางวันจะถามทำไม”
“ก็เห็นคุณออกจะระวังตัว แล้วจู่ๆก็นึกสนุกออกไปแบบนั้น เป็นไรขึ้นมาแล้วผมจะขำออกมั้ยเล่า” ซองมินพูดตรงๆ แต่คยูฮยอนกลับเข้าใจตรงเกินไปหรือเปล่าก็ไม่รู้
“ห่วงฉันเหรอ”
คำถามเดิมถูกถามออกมาอีกครั้ง เมื่อตอนเย็นก็ทีหนึ่งแล้ว ตอนนี้ยังต้องมาเจออีกหรือเนี่ย สายตาคนถามแลดูสบายอารมณ์ แต่แฝงไว้ด้วยความจะเอาคำตอบให้ได้ ซองมินไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมคำถามนี้มันตอบยากเหลือเกิน ไม่เข้าใจตัวเองว่าตอบไม่ได้หรือไม่อยากตอบกันแน่ มีคำตอบมากมายให้โกหกออกแต่คนอย่าง
ซองมินโกหกไม่เก่งจริงๆ หรือเพราะอะไรกัน เพราะอะไร .. ความคิดมากมายระดมรุมเร้าจนปวดหนึบในอกไปหมด .. ทำไมเขาต้องบ้าไปตามผู้ชายคนนี้ด้วยล่ะ นั่นสิ ทำไม
และเมื่อคิดว่าไม่ตอบซะอย่างจะเป็นไรไป คนถามเลยค้างรอคำตอบอยู่อย่างนั้น
“ถ้านายไม่ตอบ ฉันตอบแทนให้เอามั้ย” คยูฮยอนเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ ซองมินรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกต้อนให้ถอยไปชิดหน้าผาจนแทบจะไม่มีที่ให้ยืนอยู่แล้ว และคนเราเมื่อถูกกดดันมากๆเข้ามันก็หมดความอดทนเป็นเหมือนกัน
เสียงช้อนส้อมกระทบจานดังขึ้น คนตัวเล็กที่เอาแต่เงียบและก้มหน้าในตอนนี้จู่ๆก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากโต๊ะออกมาเสียดื้อๆ ซองมินไม่สนใจที่คยูฮยอนเรียกเลยสักนิด เขาเดินเข้าบ้านไปด้วยความโกรธ
โกรธคยูฮยอนที่คอยถามอยู่ตลอด โกรธตัวเองที่แค่คำถามบ้าๆทั้งสั้นทั้งง่ายแต่ไม่มีปัญญาตอบออกไป น่าสมเพชสิ้นดี .. นายคิดแบบนั้นรึไงล่ะซองมิน นายคิดเรื่องแบบนั้นอยู่ใช่มั้ยถึงได้กลัวเค้าจะรู้ขนาดนี้
ร่างสูงไม่รอช้า คยูฮยอนวิ่งตามซองมินเข้าบ้านไปทันที มือหนาคว้าเอาเรียวแขนคนที่เดินหนีเอาไว้ให้หันกลับมาหาเขา
“ปล่อยผม”
“ไม่ .. นายโกรธฉันรึไง”
“ไม่ได้โกรธ ผมจะโกรธคุณทำไม”
“แล้วเดินหนีมาทำไม”
“ก็ผมไม่อยากตอบคำถามบ้าๆของคุณ รู้มั้ยว่ามันไร้สาระมากจนผมหมดความอดทนแล้ว” ประโยคเดียวแรงๆที่ตอกหน้าคยูฮยอนทำให้เขาจำต้องปล่อยมือออก ซองมินสะบัดมือตัวเองแล้วถอยห่างไปหนึ่งก้าวด้วยอารมณ์ที่ยังไม่ลดลง คนตรงหน้าที่ยืนอยู่ที่เดิมมีเพียงแววตานิ่งๆเหมือนคนหมดท่าก็ไม่ปาน
“จริงๆแล้ว..” เสียงทุ้มพูดเบาๆขณะที่จ้องมาหาอีกคน ซองมินรอฟังสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะพูดให้จบ
“จริงๆแล้ว ที่นายห่วงฉันก็เพราะว่าฉันหายดีเมื่อไหร่จะได้รีบไปจากที่นี่ใช่มั้ย” แววตาที่อ่อนลงส่งมาให้ซองมินจนเขาไม่อยากเชื่อ ความเสียใจของคยูฮยอนทำไมซองมินจะรู้สึกไม่ได้ เขาไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นเสียหน่อย ผู้ชายที่เข้มแข็งอย่างโจวคยูฮยอนไม่เคยอยากจะมาทำหน้าจนปัญญาให้ใครสงสารแบบนี้เลย หรือเพราะแอลกอฮอล์ไม่มากในไวน์มันจะทำให้เขากล้ามากขึ้น
ซองมินบอกตัวเองให้ตอบออกไป อยากตอบว่าใช่ออกไปเลยจะได้จบๆเสียที แต่ยิ่งมองคนตรงหน้าเขาก็ยิ่งทำไม่ได้ และถ้าตอบว่าใช่มันก็ฝืนความรู้สึกของตัวเองอยู่ดี
.. เอาสิซองมิน ใช่ก็ใช่สิ ตอบไปสิ
“ใช่!! ผมอยากให้คุณหายจะได้กลับไปจากที่นี่ ผมอยากให้คุณออกไปจากชีวิตผมเสียที” สุดท้ายแล้วก็ถูกบีบคั้นให้พูดอย่างนั้นออกไป มันฝืนจนรู้สึกว่าตัวเองชาไปหมด ความกดดันในอกทำให้น้ำตามันไหลอาบแก้มลงมาอย่างง่ายดาย
“ฮึก .. ผมน่ะ”
“นายโกหก”
“ไม่ ผมไม่ได้โกหก”
“ไม่โกหกแล้วร้องไห้ทำไม”
คยูฮยอนไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายที่เอาแต่รุกหน้ามาตลอด แต่ตอนนี้เขากำลังแพ้น้ำตาของซองมินอย่างง่ายดาย เขารู้ดีแก่ใจอยู่แล้ว รู้ว่าทำไมตัวเองถึงได้เจ็บปวดเมื่อเห็นน้ำตาของอีกฝ่าย หยดแรกก็เหมือนจะทับลงมาที่อก หยดที่สองเหมือนกับถูกทิ่มลงมาที่ใจ หยดที่สามก็เจ็บแทบตาย แล้วหยดต่อไปล่ะ .. เขาจะไม่ต้องตายไปจริงๆหรือไงกัน
อีซองมินยืนร้องไห้เงียบๆอย่างไม่รู้ตัว เรียวขาสองข้างถอยหลังอีกครั้งเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าขยับเข้ามา คยูฮยอนก็หยุดยืนอีกครั้งเช่นกัน แต่ใครเลยจะเร็วกว่า ร่างสูงก้าวขาเพียงแค่ก้าวเดียวก็ถึงตัวอีกฝ่ายแล้ว สองแขนแกร่งรวบเอาร่างทั้งร่างของซองมินมากอดเอาไว้แน่น
“อย่าร้องได้มั้ย ฉันขอโทษ”
“ฮึก ..” เสียงสะอื้นเบาๆดังอยู่ที่อกของร่างสูง ซองมินยังโกรธตัวเองไม่หายที่อ่อนแอเป็นเด็กแบบนี้ ไม่รู้สินะ มันเป็นไปแล้วนี่นา
“ไม่เอาน่า .. เงียบนะคนดีของฉัน”
เสียงทุ้มเอ่ยปลอบปละโลมอย่างอ่อนโยนทั้งที่ยังกอดอีกฝ่ายเอาไว้อยู่ ประโยคแบบนี้ซองมินได้ยินก็หยุดสะอื้นขึ้นมาทันที ไม่ใช่เพราะว่าเชื่อที่คยูฮยอนปลอบหรอกนะ แต่เพราะหัวใจมันเต้นแรงแปลกๆนี่สิ .. ประโยคแบบนี้คนรักเค้าเอาไว้พูดกันไม่ใช่หรือไง
เหมือนกับว่าความเป็นตัวเองจะกลับมาเสียที ซองมินดันคยูฮยอนออกเบาๆก่อนจะรีบเช็ดน้ำตาให้หยุดน่าอายได้แล้ว
“อ่ะ คือ ผมขอโทษที่ทำให้เสื้อคุณเปียก”
“.. ไม่เป็นไร”
“งั้น ผมขอตัวก่อนนะ อยากอาบน้ำแล้ว” พูดจบก็ก้มหน้าก้มตารีบหันกลับ แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดลงเสียก่อน
“สรุปแล้ว เมื่อกี้นี้โกหกจริงๆใช่มั้ย”
คำถามแผ่วเบาดังขึ้น แต่คนถูกถามเอาแต่ยืนนิ่งหันหลังให้อย่างเดิม เหมือนซองมินจะไม่อยากตอบ คยูฮยอนรู้ดี ใบหน้าคมแค่นยิ้มให้ตัวเองเมื่อนึกได้ว่าไม่น่าทำให้อีกฝ่ายรำคาญอีก ซองมินยืนนิ่งทั้งที่ยังไม่ยอมหันมาหาคยูฮยอนก่อนจะเอ่ยบางอย่างออกมา
“ถึงผมจะโกหกไม่เก่ง แต่ก็ใช่ว่าจะโกหกไม่เป็นนะ”
พูดจบก็เดินหายวับเข้าไปในห้องนอนทันที ทิ้งไว้ให้คนฟังนิ่งอึ้งไปชั่วขณะจากนั้นจึงค่อยๆระบายยิ้มออกมาคนเดียว
คืนนี้ก็เช่นทุกคืน เตียงเดียวที่มีถูกแบ่งออกเป็นสองข้าง แสงจากโคมไฟข้างเตียงยังส่องสว่างอยู่เพราะอีกคนยังไม่ได้ออกมาจากห้องน้ำ ซองมินง่วงมากจึงล้มตัวลงนอนทางฝั่งของตัวเองตามปกติ อันที่จริงแล้วเขาก็อดเสียดายโซฟาข้างผนังไม่ได้ ถึงจะแข็งไปหน่อยแต่ก็สบายใจกว่ากัน และที่ไปนอนตรงนั้นไม่ได้ก็ไม่พ้นอีกคนที่บังคับให้นอนด้วยกัน ร่างเล็กในชุดนอนส่ายหัวสลัดความคิดไร้สาระทิ้งไป คิดไปก็เท่านั้น
เขาหลับตาลงด้วยความเหนื่อยเต็มที หวังว่าคืนนี้คงหลับฝันดีชดเชยกับเรื่องบ้าๆในวันนี้ก็แล้วกัน
เสียงน้ำในห้องน้ำหยุดลงตามมาด้วยเสียงประตูที่เปิดออก ซองมินกำลังจะหลับแต่ก็รู้สึกตัวขึ้นมาเสียก่อน ตาทั้งคู่ยังคงหลับอยู่เพราะคิดว่าแกล้งหลับๆไปก็คงจะดีกว่ามาก เพราะตอนนี้ยังไม่อยากจะมองหน้าอีกคนให้ปวดหัวกับตัวเอง
เหมือนสวรรค์แกล้งให้ตรงข้ามกับความคิด การที่ตัวเองหลับไปแล้วมันก็คงจะดีอยู่หรอก แต่ไอ้การแกล้งหลับทั้งที่ไม่ได้หลับในขณะที่อีกคนเดินวนไปวนมารอบๆตัวนั้นมันรู้สึกแย่แค่ไหน เหมือนกำลังบังคับตาตัวเองให้ปิดตาเอาไว้ทั้งที่ในหัวคิดนู่นนี่ไปเรื่อย แสงจากโคมไฟยิ่งทำให้ซองมินรู้สึกอึดอัดไปใหญ่ เขาไม่เข้าใจว่าทำไม
“หึ หลับเร็วไปมั้ยคุณเจ้าของบ้าน” พูดจบความมืดจึงปกคลุมลงมาทันทีที่
แขนแกร่งวาดออกมาโอบเอาร่างที่นอนตะแคงอยู่ไปไว้ในอ้อมกอดของตัวเอง
ระหว่างที่อีกคนหลับไปแล้วนั้นคนตัวเล็กที่นอนนิ่งให้กอดก็เอาแต่ครุ่นคิดเรื่องพวกนี้อยู่ในใจ อีกฝ่ายชอบทำให้เหมือนเป็นอะไรกันทั้งที่ไม่ใช่ ชอบทำให้ซองมินใจเต้นเวลาที่ได้ใกล้กันในทุกครั้ง ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าอ้อมกอดนี้ทำให้รู้สึกดีไม่น้อยและเขาก็ไม่ได้รังเกียจเลยสักนิด .. แต่บางอย่างนี่สิ
มือบางทั้งสองข้างวางทับไว้บนแขนที่กอดตัวเองอยู่อย่างจำใจ ในสภาพแบบนี้เขาควรคิดยังไง ..
และแล้วคืนนี้ซองมินก็หลับไปในกับอ้อมกอดของคยูฮยอน พร้อมคำถามในใจ ว่าทั้งหมดมันคืออะไร
วันต่อมา ช่างหลายคนที่ได้รับคำสั่งก็พากันโผล่มาจัดการเรื่องรั้วบ้านของซองมินให้อย่างรวดเร็ว ทุกอย่างเกิดขึ้นท่ามกลางสายตาพอใจของคนจัดแจงเรื่องนี้ โดยที่เจ้าของบ้านตัวจริงทำได้เพียงแค่ยืนมองเท่านั้น สมกับที่เป็นคุณชายจริงๆ อย่างนี้คงไม่ใช่พวกสิบแปดมงกุฎอย่างที่ซองมินคิดว่าอาจเป็นไปได้หรอก
สองวันผ่านไปกับรั้วใหม่ที่ซองมินไม่ค่อยจะปลื้มนัก และหลังจากคืนนั้นก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องในใจอีก คยูฮยอนทำตัวปกติและปล่อยให้มันผ่านไปโดยที่คืนไหน ถ้าเขาอยากจะดึงคนตัวเล็กมากอดเขาก็ทำ วันไหนอยากชวนไปเดินเล่นอีกฝ่ายก็ยอมไปด้วย บางทีคยูฮยอนก็กลายมาเป็นผู้ช่วยซองมินในร้านในวันที่งานเยอะ
เป็นอย่างนี้ ทุกวัน ทุกวัน .. ผ่านไปโดยมีกันแค่สองคน
เช้านี้ก็เป็นอีกเช้าที่ผู้มาเยือนอย่างคยูฮยอนจะออกมาดูที่หน้าร้านดอกไม้ของซองมินอย่างจริงจัง ร่างสูงยืนแอบอยู่ที่ตรงประตูด้านหลัง นัยน์ตาสีเข้มนิ่งสนิทจ้องมองร่างตรงหน้าที่ห่างออกไปไม่ให้รู้ตัว มือหนากุมเบาๆบริเวณแผลของตัวเองที่เริ่มจะดีขึ้นมากแล้ว ชายหนุ่มรู้สึกสมเพชตัวเองเหลือเกินที่ปล่อยให้เจ็บหนักได้ขนาดนี้ งานนี้เสี่ยงมาก หากไม่มีซองมินเขาก็คงตายไปแล้ว ไม่รู้ว่าป่านนี้เหล่าลูกน้องของตัวเองจะจัดการอะไรที่สั่งไว้เรียบร้อยดีหรือยัง เขาเบื่อเรื่องพวกนี้เต็มทีแล้ว เมื่อไหร่จะหลุดพ้นจากชีวิตสมบูรณ์แบบที่ซ่อนความมืดมนในจิตใจเอาไว้เสียที
สายตาคมข่มหลับลงให้สมองเลิกคำนึงถึงเรื่องชีวิตตัวเอง ไม่กี่วินาทีผ่านไปเขาจึงมองกลับเข้าไปยังร่างเล็กที่ยืนอยู่ในร้านอีกรอบ ใบหน้านวลเนียนสดใสยิ้มน้อยๆยามเมื่อจับต้องดอกไม้แต่ละดอก ทุกการกระทำ ทุกอิริยาบถทำเอาคนมองลืมนึกเรื่องอื่นไปถนัด ไม่กี่นาทีผ่านไปสีสันและกลิ่นหอมอบอวลของดอกไม้นานาพันธุ์ก็โอบล้อมซองมินเอาไว้ ภาพตรงหน้าที่ปรากฎแก่ชายหนุ่มนั้นราวกับความฝันที่ยังไม่จางหายไปในยามเช้า ยามที่เขาตื่นมาพบนางฟ้าที่ไม่อาจจับต้องได้ ไม่อาจเอื้อมมือออกไป ไม่อาจคว้าให้ลงมาแปดเปื้อน
“อ๊ะ ...” เสียงร้องเบาๆทำให้คนที่ตกอยู่ในภวังค์รู้สึกตัว ร่างสูงรีบวิ่งเข้าไปในร้านทันทีอย่างไม่รอช้า ซองมินที่ก้มดูแผลที่มืออยู่ทำหน้าประหลาดใจที่อีกฝ่ายวิ่งหน้าตั้งออกมาแบบนั้น
“นาย เป็นอะไรมากรึเปล่า” เสียงทุ้มรัวถามจนแทบฟังไม่ทัน หนำซ้ำเมื่อพูดจบก็คว้าเอามือบางข้างนั้นมาใกล้ๆ เลือดสีแดงหนึ่งจุดจากบาดแผลหยดลงที่พื้นยามเมื่อเคลื่อนไหว
“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่ถูกหนามกุหลาบปักเอาน่ะ”
“แล้วทำไมไม่ระวังเล่า” คยุฮยอนเอ่ยเสียงเข้มทำเอาคนถูกดุหน้าซีดเผือดลง แต่ก็ต้องเปลี่ยนไปเป็นปะหลาดใจทันทีที่อีกฝ่ายยกนิ้วข้างนั้นขึ้นดูดเลือดเอาไว้
“ทะ ทำอะไรน่ะคุณ”
“ก็ห้ามเลือดไง” ได้ยินอย่างนั้นคนฟังก็แทบพูดไม่ออก วิธีอย่างนี้หรือที่เขาเรียกว่าห้ามเลือด แต่คนหวังดีจะรู้ไหมล่ะว่าการกระทำอย่างนี้มันตอกย้ำให้ใครบางคนต้องคิดไปไกล
ผนังร้านสีครีมเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางสายตาสำหรับร่างเล็กได้ดีในยามที่ต้องยืนให้อีกฝ่ายสัมผัสอยู่อย่างนี้ เลือดจะหยุดหรือไม่หยุดซองมินไม่รู้หรอก เขารู้เพียงแค่ว่าควรจะทำหน้าอย่างไรหากว่าคยูฮยอนปล่อยมือออกแล้วเงยหน้าขึ้นมา
.. พระเจ้า ดูเหมือนลูกจะกำลังหายใจไม่ออก
เรือนผมสีดำสนิทที่ก้มอยู่ไม่ห่างนั้นเงยขึ้นหลังจากที่ปล่อยให้นิ้วข้างนั้นเป็นอิสระจากริมฝีปากตัวเอง ดวงตาคมเต็มไปด้วยคำถามเมื่อจ้องมองแก้มเนียนที่เอาแต่หันหน้าหนีเขาตลอดเวลา
“ถ้าไม่ชอบ ก็ขอโทษนะ” คยูฮยอนเอ่ยเสียงอ่อนราวกับไม่ใช่ตัวเอง แม้ดวงตาทั้งคู่จะเว้าวอนอยากให้คนตรงหน้าหันมายิ้มให้เขาอย่างเคย แม้จะตั้งใจยอมรับว่าตัวเองผิดที่ทำเรื่องที่อีกฝ่ายอาจไม่ชอบ หากแต่มือหนายังไม่ยอมปล่อยมือบางออกแต่อย่างใด ซองมินหันหน้ากลับมาช้าๆ ดวงตากลมโตหลุบต่ำลงเหมือนคนไม่มีความกล้าเอาเสียเลย ความใกล้ชิดระหว่างกันนั้นเปิดโอกาสให้บรรยากาศมันเกินเลยมากขึ้น คยูฮยอนถือวิสาสะเชยคางมนขึ้นช้าๆอย่างเบามือที่สุด
“มองหน้าฉันสิ นายไม่ชอบ..” เอ่ยค้างไว้ราวกับคำถามที่ฟังดูก็รู้ว่ามีเพียงคำตอบเดียวเท่านั้นที่จะทำให้หัวใจของเขาพองโต
.. คำว่า ‘ชอบ’ ในที่นี้หมายถึง ..
ใบหน้าขาวซีดที่บ่งบอกว่าลำบากใจนั้นกำลังสับสนอย่างมาก เขาไม่เคยนึกโกรธอีกฝ่ายที่ทำให้ต้องอึดอัดแบบนี้ หากจะโทษก็คงต้องเป็นตัวเองที่อ่อนแอกับคนๆหนึ่งได้ง่ายดายเหลือเกิน
“เอ่อ ผมแค่รู้สึกว่ามือตัวเองสกปรก คุณไม่น่าทำแบบนี้”
“แบบไหน..”
“..................”
ราวกับกำลังถูกต้อนไปเรื่อยๆ ใช่ว่าซองมินกำลังกลัว ใช่ว่าคยูฮยอนจะใจร้าย หากแต่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นอยู่นั้นมันเพราะกำลังถูกบางอย่างชักนำ
สองกายที่ยืนห่างกันเพียงครึ่งก้าวท่ามกลางดอกไม้สวยสดที่ล้อมรอบในร้านแห่งนี้นั้น แม้ไม่ต้องเอ่ย ทุกอย่างก็ผ่านออกมาทางแววตาได้เป็นอย่างดี ความเงียบในเวลานี้จะแทรกซึมลงไปในจิตใจนานเท่าไหร่ก็หาสำคัญไม่ มันสำคัญก็แค่ตรง “ความรู้สึก” ที่น่าจะตรงกัน เวลาสั้นๆกับเรื่องง่ายๆ คำๆเดียวจึงกำลังจะถูกใช้แสดงออกในยามที่เก็บไว้ไม่อยู่
“รู้มั้ยว่าทำไมผีเสื้อต้องคู่กับดอกไม้” จู่ๆคำถามที่ไม่คิดว่าจะได้ยินก็หลุดออกมาจากริมฝีปากได้รูปของร่างสูง ดวงตาคู่เรียวนิ่งสนิทอย่างยากจะคาดเดานั้นสะกดให้คนตรงหน้าจำต้องฟังอย่างตั้งใจ ซองมินไม่ได้ตอบคำถามอย่างที่ควรจะเป็น เขาไม่รู้ตัวหรอกว่าจะต้องพูดอะไร แรงบีบเบาๆที่มือของตัวเองยิ่งทำให้เริ่มหายใจไม่สะดวก ซองมินไม่เข้าใจว่าตอนนี้มันคืออะไรกันแน่ เขาไม่โง่พอที่จะไม่รู้ว่าตัวเองคิดอะไร แต่ก็ไม่ฉลาดพอเหมือนกันที่จะรู้ใจอีกฝ่ายเลยแม้แต่นิด ความเงียบจากร่างเล็กเปิดโอกาสให้คนถามเอ่ยขึ้นมาอีก
“นายว่านอกจากเรื่องของธรรมชาติแล้ว ถ้าผีเสื้อไม่ชอบดอกไม้ แล้วมันจะยังคอยมาดมดอมตอมอยู่ทุกวันมั้ย”
“กะ ก็ ไม่รู้สิครับ .. บางที มันอาจไปหาดอกที่ชอบมากกว่าก็ได้” ซองมิน
สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมเลยที่กำหนดให้คนที่ยอมก้าวถอยหลังอย่างอีซองมินมาพบกับคนที่ชอบเดินหน้ารุกตามอำเภอใจอย่างโจวคยูฮยอน .. แบบนี้คนเสียเปรียบก็เห็นๆอยู่ว่าเป็นใคร
นัยน์ตาคมจดจ้องไม่ยอมถอยห่างไปไหน จะพูดอะไรอีกหรือก็ไม่ จะยอมปล่อยมือแล้วถอยห่างออกไปก็ใช่ว่าจะทำ สายตานิ่งขึงราวกับจะทำให้คนตรงหน้ายอมจำนน ไม่กี่นาที่ต่อมากลับเปลี่ยนไปเป็นเว้าวอนร้องขอราวกับคนละคน
“ผีเสื้อน่ะ ชอบดอกไม้นะฉันว่า”
“แต่มันอาจ ...”
“ไม่มีแต่ ขอร้องล่ะ นายเองก็รู้”
“...........”
“ถ้านายเป็นดอกไม้”
“...........”
“งั้นฉันก็ไม่ต่างอะไรกับผีเสื้อดีๆนี่เอง”
ซองมินเม้มปากแน่นเมื่อได้ยินสิ่งที่คยูฮยอนพูด ความรู้สึกมากมายหลั่งไหลเข้ามาตีกันในหัวให้รู้สึกสับสนไปหมด ตัดสินใจได้ในที่สุดมือข้างที่ถูกอีกฝ่ายกุมเอา
ไว้สะบัดออกอย่างแรง ซองมินผลักหน้าอกคยูฮยอนให้พ้นจากตัว แรงสั่นน้อยๆของร่างกายเริ่มปรากฎขึ้นพร้อมกับคนตรงหน้าที่มีแต่ความไม่เข้าใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไป
“ซองมิน ..”
“คุณหยุดพูดไปเลย คุณคิดว่าผมไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอเวลาที่ถูกคุณแกล้ง!!” เสียงเล็กละล่ำละลักบอกออกไปขณะที่นัยน์ตาทั้งคู่เริ่มมีน้ำเอ่อคลอออกมาแล้ว ใบหน้าคมตกใจไม่น้อยที่เห็นว่าคนๆนี้กำลังจะร้องไห้ สองขาก้าวเข้าหาร่างของคนที่เขาแสนห่วงใยแต่อีกฝ่ายกลับถอยห่างออกไปอีก
“หยุดตรงนั้นแหละ .. คุณเลิกแกล้งผมได้แล้ว”
“แกล้งงั้นเหรอ...”
“ใช่น่ะสิ ผมมันคนง่ายๆ แถมยังโง่อีกด้วย ไม่เคยตามคุณทันหรอก”
“............”
“มันไม่ใช่อย่างนั้น” คยูฮยอนพยายามจะบอกว่าไม่ใช่อย่างที่ซองมินคิด แต่ไม่ทันเสียแล้วในเมื่อเขาไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
“อย่าบอกว่าผมเข้าใจผิดเลยกับสิ่งที่คุณทำ คุณตั้งใจมากกว่า อยากทำก็ทำโดยไม่คิดถึงคนอื่น”
“รู้มั้ยว่ามันทำให้ผม..”
“..............” ถึงตรงนี้เสียงสะอื้นกับคำต่อว่าก็ขาดหายไป ใบหน้าที่คลอด้วยน้ำตาก้มลงมองพื้นอย่างสุดจะกลั้น คยูฮยอนกำลังรอฟังว่าเป็นอะไร จะเป็นเรื่องแบบไหนที่เกิดเพราะเขา
“มันทำให้ผม คิดไปเองคนเดียว”
ความเย็นจากลมด้านนอกพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ พากลิ่นหอมจางๆของกุหลาบตรงโต๊ะด้านข้างลอยอบอวลแทรกผ่านมาในหัวใจของคนทั้งสอง เรื่องง่ายๆไม่มีอะไรซับซ้อนแบบนี้ทำไมมันถึงเข้าใจยากกว่าโจทย์เลขเสียอีก
.. แต่บางที วันนี้คงถึงเวลาที่ต้องเฉลยคำตอบกันแล้ว ..
“คุณคิดอยากจะจับก็จับ คิดอยากจะกอดก็กอด คุณคิดอยากจะทำให้ผมอายคุณก็ทำ ..”
“..................”
“ไม่คิดเลย ว่าผมจะรู้สึกยังไง”
“ใช่แล้วล่ะ นายเข้าใจถูกแล้วล่ะซองมิน”
“นั่นไง ในที่สุดคุณก็ยอมรับ”
“ใช่ ฉันยอมรับ อะไรที่อยากทำก็ทำ รวมถึงที่ทำให้นายรู้สึกไม่ดี”
“................”
“ที่ฉันจับก็เพราะอยากจับ ที่กอดก็เพราะอยากกอด .. ที่เจ็บบ่อยๆก็เพราะอยากให้นายมาดูแล อยากให้อยู่ใกล้ๆเพราะว่าอยากเห็นหน้า อยากให้นอนด้วยกันก็เพราะว่าอยากให้อุ่น”
“.... คยูฮยอน” เสียงครางเบาๆกับใบหน้าแดงก่ำจากการร้องไห้นั้นแทบไม่อยากเชื่อหู ซองมินแทบอยากหยุดหายใจเมื่อต้องมายืนฟังเรื่องเอาแต่ใจของคุณ
“แต่ยังไม่พอหรอกนะ ฉันมันแย่กว่าที่นายคิดไว้อีก”
“หมายความว่าไง”
“อย่างที่พูดไปไง .. ที่ทำไปมันไม่พอหรอกนะ ฉันอยากทำมากกว่านั้นอีก อยากจูบ อยากมีอะไรด้วย”
“................”
“อยากเป็นมากกว่านี้ อยากให้เราเป็นอะไรกัน”
หากการอยากเป็นผีเสื้อของคยูฮยอน หมายถึงการบอกรัก .. การที่บอกว่าอยากให้เป็นอะไรกัน ก็ไม่ต่างกับการขอเป็นแฟนดีๆนี่เอง
“ซองมิน .. ที่นายบอกว่าคิดไปเอง ฉันคงเข้าใจไม่ผิดใช่ไหม”
“.............”
“ถ้านายไม่ได้คิดไปเอง ฉันก็คงไม่คิดไปเองใช่รึเปล่า”
“ผม ...”
ก็แค่เรื่องแบบนี้ ทำไมมันยากจัง ในชีวิตของซองมินไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้เสียด้วยสิ
“ฉัน ...” ร่างสูงขยับเข้ามาใกล้กว่าเก่า ใกล้มากขนาดที่ซองมินต้องเงยหน้าขึ้นสบตาด้วย
“ฉันรักนาย .. คบกันนะ”
ตั้งแต่วันนั้นมา ทุกอย่างก็กลับสู่ความปกติอีกครั้ง ปกติในที่นี้หมายถึงความอึดอัดในใจสำหรับคนทั้งสองได้หายไปแล้ว ความเป็นจริงเข้ามาแทนที่ ความ
หลายสัปดาห์ผ่านไป คยูฮยอนหายดีแล้ว และชายหนุ่มก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปจากที่นี่แล้วด้วย ความผูกพันของคนทั้งสองเติบโตขึ้นพร้อมๆกับความสัมพันธ์ทั้งใจ .. และกาย
แสงอาทิตย์อัสดงกำลังจะลาลับขอบฟ้า ผืนน้ำในคลองข้างทางตรงข้ามกับสวนสาธารณะในเมืองถูกเลือกเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของใครหลายคน รวมทั้งสองร่างที่นั่งเคียงกันบนผืนพรมหญ้าสีเขียวโดยจอดรถทิ้งเอาไว้ข้างทางที่ห่างออกไป
“คืนนี้ท่าจะหนาวนะ”
เสียงเล็กเอ่ยขึ้นมาเฉยๆ ใบหน้าน่ารักกว่าคนทั่วไปหันมายิ้มให้คยูฮยอนที่นั่งอยู่ข้างๆ ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายจะอายคนอื่นเขาก็อยากจะมอบจูบหวานๆให้เสียตรงนี้เลย สายตาที่จ้องซองมินบ่งบอกอารมณ์ได้เป็นอย่างดี ใบหน้าหวานแดงซ่านขึ้นมาทันทีอย่างปิดไม่มิด
“คุณคยูฮยอน เลิกมองแบบนี้เถอะผมไม่ชิน”
“ก็มองบ่อยๆไง นายจะได้ชิน”
เสียงเจ้าเล่ห์เอ่ยบอกราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กอนุบาล เสียงถอนหายใจดังขึ้นเบาๆอีกทีกับความเอาแต่ใจของคนรัก ซองมินหันหน้าหนีเพราะเถียงไปก็ไม่ชนะอยู่ดี ดวงตากลมจ้องไปที่ริมน้ำอีกด้าน ตอนนี้ดวงอาทิตย์หายไปแล้วจริงๆ แต่สิ่งที่โผล่มาตรงหน้าแทนนั้นกลับเป็นกุหลาบสีชมพูหนึ่งดอกที่ใบด้านหนึ่งเกี่ยวไว้ด้วยแหวนเพชรหนึ่งวง ซองมินรับมาช้าๆเพราะกำลังอึ้ง เขาพูดไม่ถูกเลยกับการได้รับแหวนเพชรแบบนี้
“งงอะไร ฉันให้” คยูฮยอนกระซิบบอกเบาๆข้างหู สงสัยเขาจะกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยินไม่ชัดเจน
“แหวนเพชรเหรอ”
“ใช่น่ะสิ หรือว่าไม่โอเค อยากได้เม็ดใหญ่ขนาดไหนล่ะฉันจัดให้ได้นะ”
“ไม่ๆๆ พอแล้วล่ะ” ซองมินรีบห้ามเพราะรู้ดีว่าถ้าคยูฮยอนได้สั่งแล้วไม่มีทางจะเปลี่ยนใจได้แน่ นิสัยเอาแต่ใจอยากได้อะไรก็ได้ของคุณชายคนนี้ถูกแสดง
อยู่แล้ว
เห็นอีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้าจ้องมันอยู่อย่างนั้นคนให้จึงรู้สึกไม่ทันใจเขาเอาเสียเลย ร่างสูงลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้นหญ้าแล้วขยับมาซ้อนทางด้านหลังของซองมินที่นั่งอยู่ที่เดิม สองแขนของแกร่งโอบผ่านร่างเล็กไปข้างหน้าจนแผ่นหลังบางแนบติดอยู่กับหน้าอกของเขา
“จะทำอะไรน่ะ”
“อยู่นิ่งๆสิ” สันจมูกโด่งแนบอยู่ที่ซอกคอขาวกับกลุ่มผมนุ่มๆ คยูฮยอนเกยคางไว้ที่ไหล่มนพลางสายตาก็มองตรงมายังสิ่งที่อยู่ในมือ กุหลาบดอกนั้นถูกจับวางไว้บนตักของซองมิน ขณะที่แหวนเพชรวงตรงหน้าจะถูกคยูฮยอนหยิบขึ้นมา มือ
หนาจับมือข้างหนึ่งของคนในอ้อมกอดขึ้นมาแล้วจึงบรรจงสวนแหวนเข้าที่เรียวนิ้วด้านนั้น สองมือที่เกาะกุมกันอยู่อบอุ่นเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด สองแขนที่โอบคนรักเอาอยู่เปลี่ยนเป็นกอดเอาไว้นิ่งๆไม่ขยับไปไหน ซองมินไม่พูดอะไรนอก
จากยิ้มออกมากับตัวเอง นี่หรือที่เค้าเรียกกันว่าความรัก มันรู้สึกเหมือนหัวใจพองโตคับอกอย่างนี้เองหรอกหรือ
คยูฮยอนกระชับอ้อมกอดคนในอกให้มากขึ้น เขากระซิบเบาๆข้างหูเพื่อย้ำให้ซองมินรู้
“อยากให้นายอยู่ข้างๆไปตลอดเลยนะรู้มั้ย”
คนฟังรู้ดี เขาตอบอะไรไม่ได้มากไปกว่าคำว่ารัก และขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่มีให้กัน
แต่ความสุขระหว่างคนทั้งสองมันจะอยู่ไปได้นานเท่าไหร่ล่ะ กาลเวลาล่วงเลยไปพร้อมๆกับความผูกพันที่มากขึ้น ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาแม้จะไม่กี่เดือน แต่มันก็นานพอสำหรับความรักของคนทั้งสอง ซองมินไม่เคยเอะใจเรื่องของ
คยูฮยอนเลย เขาลืมทุกอย่างไปเสียสนิท ไม่เคยเอ่ยถาม ไม่เคยแคลงใจ ดวงตาคู่เดิมที่เฝ้ามองอีกฝ่ายอยู่ได้แต่ฉายแววเป็นห่วงอยู่ห่างๆ ซองมินพยายามจะเข้าใจ
เช้าวันหนึ่งที่ลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องๆเดิม เช้านี้ที่ต้องรู้อะไรบ้างแล้ว อย่างน้อยก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร มาจากไหน และต่อไปจะเป็นอย่างไร
แต่ .. มันสายไปแล้ว
ความว่างเปล่าข้างกายกระตุ้นให้ความสงสัยทำงาน แต่แล้วมันก็ต้องหยุดลงเมื่อพบกระดาษสีขาวพร้อมกับเงินจำนวนหนึ่งที่ถือว่ามาก วางอยู่บนโต๊ะในห้อง ลมเย็นๆพัดพาความว่างเปล่าเข้าแทรกซึมลงในจิตใจของอีซองมิน ยามเมื่อมือข้างหนึ่งวางกระดาษแผ่นนั้นลงที่โต๊ะ เจ้าของลายมือนี้ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ตอนนี้มันคือความจริงไม่ใช่ความฝัน
แต่ช่วงเวลาอันแสนสั้นระหว่างเราที่ผ่านมาต่างหากล่ะ .. ที่มันกลับรวดเร็วราวกับความฝันชั่วข้ามคืน
“งั้นเหรอ .... แค่บอกว่าลาก่อนคำเดียว จะเขียนไว้ทำไม ทำไมไม่มาบอกเองล่ะ”
... เงินของคุณ ผมไม่อยากได้ซักนิด
น้ำตาหนึ่งหยดตกลงมาตามแก้มผ่านความเจ็บช้ำที่ค่อยๆซึมลึกลงไปในใจ ร่างเล็กทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ตามเดิม แลกกับเงินก้อนนี้ เท่านี้ใช่ไหมที่ใช้ซื้อหัวใจของ
.
.
Tbc. Chapter 3
แอบดีใจจังค่ะที่ยังมีคนอ่านอยู่
พรุ่งนี้กะว่าจะเปิดจองรวมเล่มของเรื่องนี้ค่ะ ไม่นึกเลยว่าจากแค่จะแต่งชอทฟิคธรรมดาจะได้รวมเล่มมันเลยทีเดียว สงสัยกลัวบูธงาน KFC#5 จะว่าง 5555+ งานนี้สนองนีดส์ฉลองรับการแอบชอบคู่นี้เลยนะ(คิดเองบ้าบอเอง)
* พาร์ทนี้เน่ามากมาย แต่ .... พาร์ทต่อไปเน่ายิ่งกว่า ..ฮา ^^
ขอบคุณนะคะ เจอกันพาร์ทหน้าค่ะ
ความคิดเห็น