คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Xx. 'Plus! + Episode One
SEVERE PLUS+
Episode One ’
พรึ่บ!!
ไฟอัตโนมัติสว่างขึ้นเมื่อสัญญาณสามารถตรวจจับได้ว่ามีใครสักคนกำลังเดินเข้ามาด้านใน ฉันโยนกระเป๋าแอร์เมส ไอโฟน รวมถึงกุญแจรถลงบนโซฟากลางห้อง ก่อนจะรวบผมยาวๆของตัวเองที่ดูเหมือนจะยุ่งเหยิงเต็มที่ขึ้นไปมัดไว้แบบลวกๆ แสงสว่างรำไรจากดวงอาทิตย์สาดผ่านม่านหน้าต่างสีขาวเข้ามาด้านในห้อง ทำให้ฉันต้องเปิดม่านออกดูเล็กน้อย ฟ้าเริ่มกลายเป็นสีชมพูอมส้มบ่งบอกถึงเวลารุ่งสาง
“เช้าแล้วเหรอเนี่ย?”
เป็นเวลาเกือบ 5 ชั่วโมงที่ฉันได้แต่ขับรถวนไปวนมาอยู่ในกรุงเทพอย่างไร้จุดหมาย หลังจากที่ออกมาจากบ้าน ฉันหันไปมองนาฬิกาตั้งโต๊ะซึ่งบอกเวลา 05:15 ก่อนจะค่อยๆปิดม่านหน้าต่างลงอย่างช้าๆ ให้ตายสิ!! ทำไมชีวิตมันถึงหน้าเบื่อจังนะ?
ฉันหันมองโทรศัพท์ที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเบาะโซฟา ไม่มีใครโทรมา ไม่ว่านานแค่ไหนก็ไม่มีแม้สักสาย ก่อนที่จะละสายตาจากโทรศัพท์แล้วหันไปจดจ่อที่ประตูคอนโดแทน ไม่มีเสียงเคาะ หรือเสียงใดๆดังออกมาจากตรงนั้น แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน? ใช่..ฉันไม่เหลือใครเลย! ไม่มีครอบครัว ไม่มี คนรัก! ไม่มีใครคอยชวนคุย ไม่มีเพื่อน ไม่มีอะไรเลย
จะว่าไปมันเหงานะ....
ฉันกะพริบตาแรงๆด้วยหวังว่าจะไล่ความรู้สึกเหล่านั้นให้ออกไปจากสมอง ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นแทน ความรู้สึกแบบนี้อีกแล้ว! เธอมันไร้สาระจริงๆเตกิล่า คนอย่างฉันไม่จำเป็นต้องมีสิ่งพวกนั้นอยู่ในชีวิต!
ฉันค่อยๆรินวิสกี้ลงในแก้ว ก่อนจะหยิบบุหรี่มาจุดแล้วอัดสูบมันเข้าไปเต็มปอด อันที่จริงฉันก็รู้หรอกนะว่าบุหรี่มันก็ให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพมากแค่ไหน? แต่ฉันก็คิดว่าในเวลาเครียดมันเป็นเพื่อนที่ดีเลยทีเดียว ฉันค่อยๆปล่อยควันสีขาวคลุ้งออกมาจากปากก่อนจะหยิบวิสกี้ขึ้นมานั่งจิบเล่น
บัตรเครดิตก็ครบวงเงินแล้ว คุณป๋าก็ไม่ยอมให้เงินเพิ่ม แล้วเวลาว่างๆแบบนี้ฉันจะไปทำอะไรล่ะ? T^T
บางทีฉันควรจะหางานทำบ้าง....
โอ๊ยยย! จะบ้าเหรอ? คุณหนูไฮโซมีสกุลรุนชาติอย่างฉันจะไปนั่งทำงานงกๆเนี่ยนะ? ฆ่าฉันเสียดีกว่า ฆ่าฉันที!! T^T
ฉันตัดสินใจจิ้มบุหรี่ลงในกระบะเขี่ยบุหรี่ ก่อนจะเดินไปหยิบสัมภาระต่างๆนานาแล้วเดินออกไปจากห้องทันที อย่างน้อยไปขับรถเล่นแก้เซงก็ยังดี ฉันใช้ปลายนิ้วรูดเส้นยางออกจากผมของตัวเอง ก่อนจะใช้มือเสยแล้วจัดมันพอเป็นพิธี คนมันสวยทำยังไงมันก็สวยอยู่ดีล่ะ >__<
รถเปอร์เช่คันหรูออกตัวจากลานจอดรถของคอนโดอย่างรวดเร็ว ฉันขับมันออกไปอย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง ฉันจิ้มไอโฟนโทหาเพสโตหลายต่อหลายครั้ง แต่หมอนั่นก็ดันไม่รับเลย ให้ตาย...
เพสโตเหรอ? เขาคือเพื่อนคนเดียวที่ฉันมีอยู่แล้วล่ะมั้ง เพราะเราสนิทกันมาตั้งแต่สมัยเด็กๆนั่นเพราะพ่อของเราสองคนนี่ซี้ปึ๊กกันสียต้องเรียกว่าคู่ขาปาท่องโก๋เสียอีก อีกอย่าง...ฉันก็คิดว่า เพสโตเป็นผู้ชายคนเดียวที่ฉันไม่เคยแขวะใส่ หรือต้องทะเลาะกันถึงขั้นแตกหักสักครั้ง
เอ๊ะ! แต่ข้างหน้าเค้ามีอะไรกันหน่ะ? รถชนงั้นเหรอ? ฉันทอดสายตาผ่านแว่นกันแดดปราด้าสีดำสนิทไปยังกลุ่มคนที่ดูเหมือนจะมุงอะไรกันสักอย่าง แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะนึกเอะใจอะไร
“กรี๊ดดดดดดด!!!”
ปังงง!!!
เปอร์เช่สีเหลืองของฉันพุ่งชนกับโตโย้ต้าสีดำจนก่อให้เกินเสียง(ไม่)ดังทันที ฉันร้องออกมาด้วยความตกใจ ก่อนที่ฉันจะพยายามหักหลบด้วยหวังว่าจะแซงแล้วผ่านไปได้ แต่ไม่เลย...
โครมมม!!!!
เสียงรถของฉันที่พุ่งเข้าชนรถที่จอดเสียอยู่ข้างทางอย่างจัง ฉันเห็นกระโปรงหน้ารถที่ค่อยๆยุบเข้ามาเรื่อยๆราวกับภาพสโลวโมชั่น แต่ด้วยสติที่ยังพอมีอยู่ ฉันลดกระจกลงอย่างเร็วพลางกวาดข้าวของสำภาระทั้งหมดที่มีโยนออกไปด้านนอก
ปึง!!! รถหยุดลงแล้ว ฉันหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ลมหายใจของฉันรวยระรินติดขัดไปหมด มือก็ยังคงกำพวงมาลัยแน่น ซึ่งก็พอจะสังเกตได้ว่ามันกำลังสั่นเสียยิ่งกว่าเจ้าเข้า
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!!
แล้วฉันก็ต้องสะดุ้งตื่นจากพะวง ก่อนจะเบือนสายตาไปมองยังต้นเสียง มีใครสักคนกำลังเคาะกระจกรถของฉันอย่างเอาเป็นเอาตาย ให้ตายสิ! ถ้ากระจกฉันเป็นรอยอีกฉันเอาตายแน่!!
ฉันเปิดประตูรถลงไปเผชิญหน้ากับเขาแบบตรงๆ แต่เพียงแค่ฉันก้าวขาลงจากรถเท่านั้นแหละ
“นี่คุณขับรถภาษาอะไรเนี่ย? ห้ะ แล้วเป็นอะไรบ้างหรือเปล่า?”
ผู้ชายร่างสูงโปร่งผู้ซึ่งอยู่ในชุดเสื้อเชิร์ทสีดำสนิท ซึ่งมันก็ดูจะขับกับสีผิวขาวๆของเขาเสียจริงๆ ขาวชนิดที่ว่าดาราเกาหลีทั้งหลายมาเห็นยังต้องอายไปเป็นแถบๆ ใบหน้าภายใต้แว่นกันแดดสีชาดูดีเสียจนฉันต้องกระพริบตาปริบๆอย่างนึกชื่นชม
“O_O”
“นี่คุณ ผมถามนี่ไม่ได้ยินหรือไง? หรือว่าหูหนวก ห้ะ?”
“เอ๊ะ! นาย!! มาว่าฉันหูหนวกแบบนี้ได้ไง? ><”
“- -”
“!!”
อีตาบ้านี่หยาบคายสุดๆ มาว่าผู้หญิงแบบนี้ได้ยังไงกัน? ความเป็นสุภาพบุรุษมีบ้างไหม?
“เดี๋ยวเดินไปคุยกับผมตรงนั้น”
ว่าจบเขาก็ก้าวยาวๆขึ้นรถของตัวเองแล้วขับไปเรียบที่ฟุตบาทข้างทาง ฉันเองก็พอจะรู้แล้วว่าเขาคือเจ้าของรถโตโยต้าโทรมๆที่ฉันเฉี่ยวในตอนแรก ซึ่งทำให้ฉันได้แต่กระทืบเท้าแล้วชักสีหน้าหงุดหงิดคนเดียวก่อนที่จะเก็บข้าวของที่ตัวเองโยนออกมาแล้วตามเขาไปอย่างเสียไม่ได้
“นี่คุณขับรถภาษาอะไร อยู่ดีๆมาชนท้ายรถผมแบบนี้”
“แล้วใครใช้ให้นายจอดรถล่ะ? ฉันก็ชนสิ เหอะ!”
“นี่คุณ จะเห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่า เห็นอยู่ว่าข้างหน้ามันรถติด จะให้ขับไปยังไง?”
“นาย!!”
“โทรเรียกประกันแล้วไปโรงพักกับผม”
เอ๊ะ! นายนี่! ขับรถบ้านนอกทีหนึ่งแล้วยังริอาจมาออกคำสั่งฉันงั้นเหรอ? ไม่เจียมกะลาหัวเสียจริงๆ แล้วเห็นอยู่ชัดๆว่ารถฉันเยินเสียขนาดนั้น ฉันไม่เป็นอะไรเลยนี่ก็บุญเท่าไหร่แล้ว
“ไม่!!!”
“- -”
“ไม่มีทาง!”
“โทรเรียกประกัน แล้วไปโรงพักกับผม”
“เอ๊ะ! นายบ้านนอกนี่ พูดภาษาคนฟังไม่รู้เรื่องหรือไง? ฉันบอกว่าไม่ก็ไม่สิ!”
ฉันพูดพลางก้มมองขาตัวเองที่สั่นพับๆ ไร้เรี่ยวแรงเหมือนจะลงไปกองอยู่ให้ได้ แต่แค่นี้ฉันก็เสียหน้าจะแย่แล้วไม่อยากเสียฟอร์มให้หมอนี่เห็นไปมากกว่านี้ เลยพยายามฝืนสังขารยืนมันไปทั้งอย่างนั้น
“- -”
“หึ นายไม่มีเงินซ่อมรถสินะ? เห็นรถถูกๆแบบนี้เอาเข้าศูนย์ก็คงไม่เท่าไหร่ อยากได้เท่าไหร่บอกมาแล้วกัน เดี๋ยวฉันจะให้พ่อบ้านมาเคลียร์ให้ พอใจหรือยัง?”
“ไม่!”
“- -!!!”
“โทรเรียกประกันแล้วไปโรงพักเดี๋ยวนี้ เตกิล่า”
“อะ...อ๋อ! ที่แท้นายก็เป็นแฟนคลับฉันนี่เอง นี่จะบอกอะไรให้นะ ถ้าอยากใกล้ชิดฉันนักไม่ต้องใช้วิธีสกปรกแบบนี้ก็ได้ อีกอย่างฉันก็ไม่คิดจะลงไปเกลือกกลั้วกับพวกสกปรกอย่างนายหรอก มันน่าขยะแขยง”
ฉันขยับรอยยิ้มเหยียดให้ชายคนนั้น แต่มันไม่ได้กระทบกระเทือนใบหน้านิ่งไร้อารมณ์ของเขาแม้แต่น้อย - -
“เธอดูถูกคนทุกคนแบบนี้เลยงั้นเหรอ?”
เขาเอ่ยถามด้วยใบหน้านิ่งๆ แต่สรรพนามที่ใช้เรียกแทนตัวฉันของเขาดูเปลี่ยนไป ซึ่งฉันก็ไม่ได้ตอบอะไรนอกจากยักไหล่อย่างเสียไม่ได้เท่านั้น
“คนทุกคนมีคุณค่าของชีวิตเท่ากันทั้งนั้น รูปร่างหน้าตาหรือฐานะไม่ได้ช่วยให้คุณค่าทางชีวิตของคนเพิ่มขึ้น”
“- -!!!!”
“โทรเรียกประกันแล้วไปโรงพักกับฉันซะ”
“หึ! ฉัน-ไม่-ไป นายไม่รู้เหรอว่าคุณป๋าฉันเป็นใคร? ห๊ะ”
“ฉันไม่สนใจว่าเธอจะเป็นลูกเต้าเหล่าใคร หรือพ่อของเธอจะใหญ่มาจากไหนฉันก็ไม่สน”
“...”
“แต่ในฐานะที่เธอเป็นประชาชนคนหนึ่งของประเทศและจำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเท่าเทียม นั่นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้!!”
“เอ๊ะ!”
“จะไปเองดีๆ หรือจะให้ฉันเรียกตำรวจไปลากตัวเธอถึงบ้านเลือกดูเองแล้วกัน”
“คิดเหรอว่าฉันจะอยู่ให้นายมาจับง่ายๆ อีกอย่าง...ตำรวจก็คงจะไม่ว่างพอมาวิ่งเต้นกับเรื่องไร้สาระของนายหรอกนะ”
“เธอคงคิดว่าฉันทำไม่ได้สินะ! แล้วเธอจะรู้ ว่าไม่มีอะไรที่ฉันทำไม่ได้”
น้ำเสียงที่ฟังดูมั่นใจเสียเหลือเกินของเขาทำให้ฉันอดนึกกลัวไม่ได้ แล้วถ้าเขาเอาตำรวจมาจับฉันจริงๆล่ะ? คราวนี้ได้เป็นอันแตกหักกับคุณป๋าจริงๆแน่ ฉันกรอกตาไปมาอย่างพยายามตัดสินใจอะไรบางอย่าง ซึ่งเขาเองก็ยืนรอคำตอบจากฉันอยู่อย่างใจจดใจจ่อเช่นกัน
“โอเค๊!”
“- -?”
“ฉันจะยอมไปกับนาย แต่อย่าคิดนะว่าคนอย่างฉันจะยอมใครง่ายๆ”
“หึ ฉันก็ไม่ได้คิดนี่”
เขากระตุกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหันหลังเดินกลับไปที่รถของตัวเองทันที ทิ้งให้ฉันได้แต่ส่งสายตาคาดโทษที่ไม่รู้จะเอาผิดจากไหนไปให้เขา อีตาบ้านี่! คิดว่าตัวเองดีมาจากไหนกันนักกันหนา? แค่หน้าตาดีหน่อยเดียวเท่านั้นส่วนอย่างอื่น ติดลบทั้งสิ้น ดูจากรถก็ส่อถึงชาติตระกูลได้แล้ว ให้ตาย~ ฉันได้แต่ด่าทอเขาในใจแต่ก็ต้องเดินไปขึ้นรถเขาอย่างจำใจ
รถสีดำที่แสนจะธรรมดาถูกจอดเทียบลงในลานจอดรถของสถานีตำรวจแห่งหนึ่งในตัวเมือง ส่วนหลังของรถมีรอยบุบรวมถึงรอยถลอกของสีทำให้รถคันนี้ดูมีราศีลดลงได้ถนัดตา (จากเก่าที่ไม่มีอยูแล้ว)
ปึก!!!
ฉันปิดประตูรถลงอย่างแรงก่อนจะจัดชุดเดรสดอลเช่แอนด์แก๊บบาน่า อันที่จริงมันเป็นชุดเดียวกับเมื่อคืน เพราะจนถึงตอนนี้ฉันยังไม่ได้อาบน้ำหรือทำอะไรเลยสักอย่าง ฉันใช้มือจัดทรงผมเล็กน้อย ก่อนจะเดินทอดน่องตามหลังผู้ชายคนนั้นเข้าไปในสถานีตำรวจทันที
“วิ้ดดดดวิ้วววว~”
“มาทำอะไรครับน้องสาวคนสวย”
ฉันปรายตามองเหล่าลูกกระจ๊อกที่มานั่งตามโรงพักส่งเสียงเห่าหอนกันตามประสา ก่อนจะสังเกตเห็นว่าทางบริษัทประกันของฉันได้ส่งคนมาเจรจาอยู่ก่อนและที่สำคัญ หมอนั่นก็เข้าไปยืนกอดอกฟังพวกบริษัทประกันคุยกันด้วยท่าทางตั้งอกตั้งใจ
ปึก!!
ฉันกระแทกกระเป๋าลงบนโต๊ะใกล้ๆพวกนั้น ก่อนจะกระแทกก้นลงนั่งด้วยความเบื่อหน่าย ทำไมฉันต้องมานั่งแหงกในสถานที่บ้าๆแบบนี้ด้วยนะ? โอ๊ยย! ฉันล่ะอยากจะบ้าตายจริงๆ
“อย่าพึ่งตายเลยดีกว่า!”
เสียงหนึ่งดังขึ้นทำให้ฉันต้องเบือนสายตาไปดู แต่แล้วต้นเสียงก็ทำให้ฉันถึงกับต้องถอนหายใจเฮือก สาธุ! เลิกจองล้างจองผลาญหนูสักที! T^T
“ฉันจะตายหรือไม่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายด้วย ห้ะ”
เขายกยิ้มมุมปากเล็กน้อยด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ผู้ชายคนนี้ช่างเป็นคนที่ไม่น่าเข้าใกล้ที่สุด เพราะฉันรู้สึกถึงกลิ่นอายความอันตรายจากสายตาคู่นั้น มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแสดงออกมาเป็นคำพูดได้ เพียงแต่ว่า อะไรบางอย่างในตัวเขากลับทำให้ฉันรู้สึกถึงความอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก โอ๊ยยย!! เขากำลังทำให้ฉันสับสนและกำลังจะเป็นบ้า! T^T
ฉันถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่ร้อย ก่อนจะเหลือบสายตาไปมองพวกประกันที่ดูเหมือนจะคุยกันไม่เสร็จสักที ตอนนี้ฉันอึดอัดจะแย่อยู่แล้วนะ เรื่องอะไรคนอย่างฉันต้องมานั่งเหี่ยวเฉาอยู่ในนี้ด้วยเนี่ย
กริ๊ก!!
เสียงแก้วกาแฟกระทบกับจานรองดังมาจากชายหนุ่มด้านหน้า ที่เขาถือวิสาสะมานั่งโต๊ะเดียวกับฉัน แถมยังเอามากาแฟมานั่งจิบแล้วอ่านหนังสือพิมพ์ด้วยท่าทางสบายใจเฉิบ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก
“กาแฟไหม?”
เขาเอ่ยขึ้นในขณะที่สายตาคู่นั้นยังคงจดจ่ออยู่กับข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ ซึ่งฉันล่ะอย่างรู้จริงๆว่าข่าวในนั้นมันจะน่าสนใจอะไรขนาดนั่งอ่านได้เป็นชั่วโมงๆ อีกอย่าง...ตอนนี้ไอ้ความคิดที่ว่าเขาอาจจะเป็นแฟนคลับฉันนั้นเลิกคิดไปได้เลย เพราะดูแล้วเขาไม่ได้มีท่าทางว่าจะสนใจใยดีอะไรฉันเลยแม้แต่นิดเดียว
“จะเที่ยงแล้วนะ”
“แล้วไง?”
ฉันเอ่ยด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ก่อนจะหันไปมองนาฬิกาแขวนของโรงพัก ดูเหมือนตอนนี้เหลืออีกไม่กี่นาทีก็จะเที่ยงแล้วจริงๆด้วย พวกประกันนี่ชักช้าจริงๆจะคุยอะไรนานขนาดนั้น นี่ถ้าเสร็จจากนี่ฉันจะไปฟ้องมันแล้วเปลี่ยนบริษัทใหม่เลยคอยดู
“ไม่หิวหรือไง?”
เขาพูดไปเรื่อยพลางพับหนังสือพิมพ์ลง
“ไม่!!”
“แต่ฉันหิวแล้ว”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน? แล้วก็ช่วยสงบปากเหม็นเน่าของนายสักที ฉันรำคาญ!!”
“นั่นสิ! เกี่ยวอะไรด้วยนะ?”
อีตาบ้านี่กวนประสาทฉันเกินไปแล้ว ใบหน้าและแววตาของเขาไม่ได้บ่งบอกอะไรทั้งสิ้น ไม่มีแม้อารมณ์โกรธ เกลียด รัก ชอบ ดีใจ เสียใจ ไม่มีอะไรเลย -___-
ฉันมองตามหลังเขาที่กำลังเดินเอาหนังสือพิมพ์ไปเก็บ จากนั้นเขาก็หันหลังเดินไปที่ประตูทันที
“นี่นายจะไปไหน?”
“กินข้าวไง ฉันคิดว่าฉันบอกเธอแล้วนะ”
“แล้วฉันล่ะ?”
“เรื่องของเธอ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน?”
“สวัสดีค่ะคุณหนู”
“อือ”
ฉันขานรับส่งๆหลังจากที่เลขาคนสวยของพ่อที่นั่งอยู่หน้าห้องเอ่ยทักขึ้น
“ตอนนี้ท่านอธิการกำลังคุยธุระอยู่ค่ะ เชิญคุณหนูนั่งรอก่อน”
“ธุระ? คุยกับใคร?”
“คุณซีนส์ค่ะ”
ซีนส์งั้นเหรอ? ใครกันนะไม่ยักกะเคยได้ยินชื่อ แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะเอ่ยถามอะไรออกไป เสียงโทรศัพท์ของเลขาคนนั้นดังขึ้น เธอกรอกเสียงลงในโทรศัพท์นิดหน่อยก่อนจะหันมาพูดกับฉันต่อ
“คุณท่านว่างแล้วเชิญคุณหนูเข้าไปได้ค่ะ”
ฉันผลักประตูเข้าไปด้านในห้องทำงานของคุณป๋าทันที ห้องทำให้ที่ใหญ่โตโอ่อ่าอยู่บนชั้นสูงสุดของตึกที่ถูกประดับตกแต่งด้วยเฟอนิเจอร์ร่าคาแพง
“มาเร็วกว่าที่คิดนี่”
“คุณป๋ามีธุระอะไรกับเตลก็รีบๆพูดมาเถอะค่ะ เตลเหนื่อย”
“หึหึ นี่ ซีนส์ รู้จักกันไว้ซะ”
ฉันหันหน้ามามองบุรุษที่ยืนอยู่ด้านข้าง ในตอนแรกฉันไม่ได้สนใจอะไรเลยไม่ได้หันไปมองหน้าเขาชัดๆ แต่ตอนนี้ฉันถึงกับหน้าเหวอตัวเข็งไปหมด หนึ่งเขาหล่อ อันนี้คงปฏิเสธไม่ได้ แต่สอง เขา...เขาคือไอ้หมอนั่น คนน่ารังเกียจที่ทำให้ฉันรถชนแถมทิ้งฉันไว้ที่โรงพักอีกต่างหาก!! =[]=
“^^”
“นะ...นาย!!!”
ฉันล่ะอยากจะกัดลิ้นตัวเองตายจริงๆ นายยาจกนั่นทำไมถึงได้มาอยู่ในห้องทำงานของคุณป๋าได้ เขาเป็นใคร แถมเขายังหันมาส่งรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจฉันเต้นไม่เป็นจังหวะอีก ฆ่าฉันเถอะ!!!
“ได้ข่าวว่าเจอกันครั้งแรกแกก็ไปสร้างปัญหาให้พี่เขาปวดหัวเสียแล้ว”
“นี่!! นายมาอยู่นี่ได้ไง?”
“เอาล่ะๆ เตลล่า นี่ซีนส์ เขาเป็น...”
แต่แล้วคุณป๋าก็ต้องชะงักคำพูดลง ในขณะที่ฉันกำลังตั้งหน้าตั้งตาฟังอย่างใจจดใจจ่อ ตกลงหมอนี่เป็นใครกันแน่? ฉันแอบสังเกตเห็นว่าเขาส่งสายตาให้คุณป๋าเชิงปรามว่าไม่ต้องพูด มันหมายความว่าไง?
“ก็แค่หมาเน่าข้างถนนตัวนึง!!”
“ฉันเป็นลูกน้องภายใต้การบังคับบันชาของพ่อเธอ”
เขาชิงตอบมาเสียเองโดยที่ฉันไม่ต้องถาม ฉันล่ะอยากถามเขาจริงๆว่าที่บ้านเขาไม่สอนคำว่ามารยาทกันบ้างเลยเหรอ?
“เตกิล่า แกใช้คำพูดแบบนี้กับพี่เขาได้ยังไง? เขาจะหาว่าฉันไม่สั่งสอนแก”
“เตลพูดความจริงนี่คะ”
“เตกิล่า!! เฮ้อ..ช่วงนี้รถแกพังอยู่ ฉันก็เลยไหว้วานให้ซีนส์เขาช่วยไปรับไปส่ง”
“คุณป๋า!!!”
แต่แล้วฉันก็ต้องร้องเสียงหลงออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ให้หมอนี่ไปรับไปส่งให้ฉันตายดีกว่า...
“ต่อไปฉันจะให้เขามาช่วยดูแลเธอด้วย ขาดเหลืออะไรก็บอกซีนส์เขาแล้วกัน”
“ไม่-มี-ทาง”
ฉันพูดแยกคำด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ จะมีใครรู้ไหมว่าตอนนี้ฉันแทบอยากกรีดร้องให้ทั้งโลกได้รับรู้ถึงความซวยบรมของตัวเอง ให้ตาย!
“เตกิล่า!! เสียมารยาทต่อหน้าคนอื่นเขาแบบนี้ได้ไง? ไม่อายบ้างเหรอ?”
“ให้ตายยังไงเตลก็รับไม่ได้ คุณป๋าไม่รู้เขาทำกับเตลไว้แสบแค่ไหน”
“เตล!”
“ไม่มีทางที่เตลจะต้องไปพึ่งคนจนๆน่ารังเกียจ น่าขยะแขยงอย่างนายนี่เด็ดขาด”
“เลิกดูถูกคนอื่นสักที เตกิล่า!! นี่คือคำสั่งของฉันที่เธอจะต้องทำตาม”
“เตลไม่ทำ!!!”
“งั้นบัตรเอทีเอ็ม รวมถึงบัตรเครดิตทั้งหมดฉันจะสั่งอายัตทันที”
“คุณป๋า!!”
ฉันสาวเท้ายาวๆออกมาจากตึกสูงที่ทำงานของคุณป๋า ด้วยอารมณ์หงุดหงิดถึงขีดสุด นี่มันเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอะไรให้ฉันต้องมาเจอเรื่องซวยบรรลัยแบบนี้ด้วยนะ โอ๊ยยย!! ฉันใช้มือขยี้หัวแรงๆจนผมของฉันฟูชี้ขึ้นมาเป็นหย่อมๆ ก่อนต้องจะกระทืบเท้าแรงๆอีกทีอย่างขัดใจ
“รถไม่มี! เงินไม่มี! แล้วจะกลับบ้านยังไงเล่า ฮือออ T^T”
“นั่นสิ กลับยังไง?”
ฉันหันขวับไปมองยังต้นเสียงที่ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าใคร ซีนส์เดินมาทางนี้พลางควงกุญแจรถมาด้วยความอารมณ์ดี ผิดกับฉันที่อารมณ์เสียจนแทบจะกระโดดงับหัวเขาได้อยู่แล้ว
“รถฉันไฮโซอย่างเธอก็ไม่อยากนั่งเสียด้วยสิ”
ท่าทางหมอนี่ดูแล้วหน้าหมั่นไส้ที่สุด -..-
“งั้นคงต้องเดินกลับบ้านเอาแหละเนอะ จากนี่ไปคอนโดก็คิดว่าคงซัก 20 กิโลได้”
ฉันต้องขบกรามแน่นอย่างพยายามจะระงับอารมณ์โทสะของตัวเองที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะหันมองตามแผ่นหลังกว้างของเขาที่หันหลังเดินไปเฉยๆ
“นายจะไปไหน?!!”
“กลับบ้าน”
“...”
“ทำไม? จะให้ไปส่ง?”
น้ำเสียงที่ราบเรียบบวกกับท่าทางเฉยเมยของเขาทำให้ฉันต้องเม้มริมฝีปากแน่น ฉันเอาแต่ก้มหน้างุด ในขณะที่หมอนั่นมองมาสักพัก เมื่อเห็นว่าฉันไม่ตอบก็หันหลังเดินกลับไปทันที T^T
“เดี๋ยว!!”
ฉันรวบรวมความกล้าเอ่ยปากเรียกเขาอีกครั้ง ให้ตาย! ตั้งแต่เกิดมายังไม่รู่สึกเสียหน้าเท่านี้มาก่อน ความรู้สึกที่ฉันอยากจะเอาหัวโขกฝาให้ตายกันไปข้าง แต่แน่นอน...ต้องไม่ใช่หัวฉัน ต้องเป็นหัวคุณป๋าคนต้นคิดโน้น รวมถึงไอ้มนุษย์ไร้ความรู้สึกตรงหน้านี่ด้วย
“ไปส่งฉันหน่อย T^T”
“หือ?”
สายตาของเขาบ่งบอกถึงความประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะแปรเปลี่ยนไป ซีนส์ยิ้มขึ้นอย่างผู้ชนะ ซึ่งนั่นมันแทบจะทำให้ฉันต้องกระโดดถีบแล้วเอามีดมาจ้วงๆๆท้องเขาให้พรุนไปเลย คงสะใจพิลึก เหมือนฉันจะดูหนังฆาตกรโรคจิตมากไปแหะ - -“
ฉันก้าวเท้าตามเขามายังลานจอดรถใต้ดินในตัวอาคาร ฉันไม่อยากจะคิดเลยว่าจนแล้วจนรอดยังไงก็ต้องมาพึ่งพาสถุนชั้นยาจกอย่างหมอนี่ ให้ตายสิ!
เขาหยุดฝีเท้าลงหน้ารถพอซสีดำสนิท ที่ถูกขัดจนมันวาว ทำให้ฉันนึกแปลกใจเล็กน้อย อย่างหมอนี่จะมีปัญญาขับพอซรุ่นใหม่ได้ยังไง? ก่อนที่ฉันจะเลื่อนสายตาไปมองมอเตอร์ไซโทรมๆแล้วก็ต้องนึกขำในใจ บางทีหมอนี่อาจจะทำเป็นหยุดหน้ารถสุดหรู แต่จริงๆแล้วรถของเขาคือมอเตอร์ไซที่เหมือนจะพังแหล่ไม่พังแหล่แบบในเอ็มวีของเรนก็ได้
“ตอนนี้รถฉันส่งไปทำสีอยู่ นั่งเจ้านี่ไปก่อนแล้วกัน”
“=[]=!!!!”
เขาพูดพลางยื่นหมวกกันน็อคมาให้ ใช่...เป็นอย่างที่คิดไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแต่ตอนนี้ฉันขำไม่ออกเหมือนในความคิดเท่านั้น ให้ฉันนั่งมอเตอร์ไซสัปปะรังเคนี่กลับบ้านนี่นะ? ล้อเล่นหรือเปล่า?
“กรี๊ดดดดดด!!!”
ตาย ตาย ตาย!!!
ฉันคิดในใจพลางกระชับอ้อมกอดที่เอวของเขาให้แน่นขึ้น หลังจากที่เขาเบรกกะทันหันจนแทบจะทำให้ฉันตกลงมานอนกลิ้งอยู่กับพื้น ไอ้บ้า ไอ้นรก ไอ้ผู้ชายเฮงซวย และอีกหลายร้อยคำด่าที่ฉันจะสรรหามาด่าทอเขาในใจ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้มาทำอะไรทุเรศๆแบบนี้มาก่อนในชีวิต สาบาน!
“กรี๊ดดดดด!!”
แล้วฉันก็ต้องกรีดร้องออกมาอีกครั้ง ก็เขาเล่นขับรถดีมาก!! ปาดหน้ารถสิบล้อไปชนิดที่เรียกว่าห่างกันราว 0.5 เซนเห็นจะได้ โอ๊ยยย!! นี่มันกรรมอะไรของฉันเนี่ยที่ต้องมาตกระกรรมลบากถึงเพียงนี้...
ในที่สุดเขาก็จอดรถลง นั่นทำให้ฉันรู้สึกโล่งอกไปได้เปลาะหนึ่งแต่ก็อดสงสัยไม่ได้ เมื่อสถานที่ที่เขาจอดไม่ใช่คอนโดสุดหรูหราอลังการของฉัน แต่เป็นร้านอาหารตามสั่งริมถนน ที่ฉันเองยังนึกขยาด พวกผู้คนที่เขากินเขากินกันเขาไปได้ยังไง? อาหารก็เหม็นแถมยังสกปรกโสโครกอีกต่างหาก
“มาทำอะไรที่นี่?”
“ก็เห็นอยู่ว่าฉันจอดหน้าร้านข้าว” (- -!!)
“นายจะกินที่นี่เนี่ยนะ?”
“อือ...จะกินไรสั่งเอาแล้วกัน”
หมอนั่นพูดพลางเดินเข้าไปหาแม่ค้า แล้วพูดคุยกันราวกับจะสนิทสนมกันมาแต่ชาติปางก่อน ร้านริมถนนแบบนี้ใครจะไปกินลง? ไม่มีทาง
“อย่าลืมนะว่าเธอโดนหักเงินเดือน”
“เรื่องคนฉัน ร้านแบบนี้ฉันกินไม่ลงหรอก สกปรกจะตายไป!!”
ฉันพูดพลางกวาดสายตาไปรอบๆ ให้ฉันกินในที่แบบนี้ฉันยอมหิวตายเสียยังดีกว่า!
“งั้นก็ตามใจเธอแล้วกัน อยากหิวตายก็เชิญ”
เวลานานเกือบ 30 นาทีที่ฉันได้แต่ยืนเฉยๆที่รถ จนทำให้รู้สึกปวดเมื่อยจนขาแทบจะหลุดออกมายังไงยังงั้น อีตาซีนส์นี่ก็จะนั่งละเมียดละมัยพระกายาหารไปอีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้ ไม่เห็นหรือไงวาฉันยืนเฉยๆมาครึ่งชั่วโมงแล้วนะ
แต่แล้วตาฉันก็เป็นประกายวิบวับอย่างมีความหวัง เมื่อฉันเห็นซีนส์กำลังหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม แต่ในที่สุดความหวังของฉันก็ดับวูบลงอีกครั้ง เมื่อเขาเดินไปทักทายกับโต๊ะข้างๆพลางหย่อนสะโพกลงนั่งคุยกันเสียสนุกปาก! นี่เขากำลังแกล้งฉันใช่ไหมเนี่ย? ทุเรศที่สุดเลย TOT”
“ไปกันเถอะ!”
ฉันเงยหน้าขึ้นมาสบในตาคมของเขาหลังจากที่เวลาผ่านไปอีกราว 15 นาที ฉันมองเขาด้วยสายตาเคียดแค้นอย่างที่สุด นายรู้บ้างไหมว่าขาฉันเข็งจนจะกลายเป็นไม้ท่อนแล้วนะ!!
“หึ!”
เขาหัวเราะในลำคอพลางขึ้นคร่อมอานรถมอเตอร์ไซแล้วเอาหมวกกันน็อคขึ้นมาสวม อีตาบ้านี่ดันทำลอยหน้าลอยตาเหมือนสะใจอะไรสักอย่าง แบบนี้มันแกล้งกันชัดๆสิ ให้ตาย!!
“นี่นายแกล้งฉันใช่ไหม?!!!”
ฉันตัดสินใจตะวาดใสหน้าขาไปทันที ก็แหงล่ะ เล่นกับใครไม่เล่นนี่ T^T แต่หมอนั่นดันหันกลับมาแล้วทำหน้ามึนใส่ฉันอีก โอ๊ยยย!! ฉันใกล้จะเป็นบ้าเพราะหมอนี่อยู่แล้วนะ!!
“อะ..อีตาบ้า ไอ้ผู้ชายเฮงซวย!! จนทีหนึ่งแล้วยังสะเออะมาหือกับคนอย่างฉันงั้นเหรอ? นายรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร ห๊า?”
“- -?”
“เมื่อกี้นายจงใจแกล้งฉันใช่ไหม?!!”
“อ่าห้ะ!”
กรี๊ดดดดดดดด!! ฉันอยากจะกรีดร้องออกมา ให้ตายสิ! หมอนี่ตอบได้หน้าตาเฉยมาก! ขอเน้นว่ามาก!! ฉันได้แต่กระทืบเท้าเต้นอยู่กับที่แบบนี้เพราะไม่รู้จะเถียงเขาไปว่ายังไงดี
“นะ...นาย!!! ทำแบบนี้ได้ยังไง? อะ...ไอ้ ไอ้ทุเรศ!!”
“ก็เธออยากยืนไม่ยอมเข้าไปนั่งข้างในเอง ฉันก็ช่วยไม่ได้ ฉันบอกเธอแล้วนะ!”
“กรี๊ดดดดดดด!!! T^T”
“- -!!”
“ฉันเกลียดนาย ไอ้บ้า! ไปให้พ้นเลย กรี๊ดดดดดด!!” T^T
“หึ”
เขากระตุกยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะออกรถไปด้วยความเร็วกว่าแสง!! แล้วฉันจะกลับบ้านยังไงเนี่ย? ฉันยืนหันรีหันขวางอยู่หน้าร้านอาหารตามสั่งอย่างคนทำอะไรไม่ถูก ใจหนึ่งก็คิดดีใจที่เขาไปพ้นๆหน้าฉันได้เสียที แต่อีกใจก็แอบนึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก ไอ้กร๊วกกก!! ทิ้งฉันเอาไว้อีกแล้วนะ
ฉันเดินมาเรื่อยๆตามทางฟุตบาทข้างถนน อันที่จริงฉันก็ไม่มีจุดหมายในการเดินหรอกนะ ตอนนี้อยู่ส่วนไหนของกรุงเทพฉันก็ยังไม่รู้เลย รู้แต่ว่าตอนนี้ขาฉันทั้งล้าทั้งเมื่อยจากที่ยืนรอหมอนั่นหน้าร้านอาหารตามสั่งแถมยังต้องมาเดินกลับบ้านที่ไปทางไหนก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ
ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดลง แสงไฟสลัวๆจากเสาไฟข้างถนนบวกกับแสงไฟหลากสีสันของเหล่าร้านค้า และห้างสรรพสินค้าต่างๆ ที่ระยิบระยับในความมืดดูแล้วก็ให้ความรู้สึกสวยไปอีกแบบ แต่ตอนนี้ฉันกลับไม่มีความรู้สึกสนุกด้วยเลยสิ ขาของฉันแทบจะไม่เหลือแรงที่จะก้าวเดินแล้ว แถมอาการหิวก็เริ่มครอบงำจนทำให้สายตาของฉันพร่ามัวไปหมด
ยอมรับวาตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเจอกับอะไรที่เลวร้ายขนาดนี้ ชีวิตฉันมันโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ทุกอย่างกลับพังหมด เพราะนายนั่นคนเดียว!!
“ฉันเกลียดนายที่สุดเลย!!!”
ฉันยกมือปาดน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสาย พยายามจะกลั้นเสียงสะอื้นสุดความสามารถ ผู้ชายคนนั้นไม่มีค่าอะไรที่ฉันจะต้องไปเสียน้ำตาให้สักนิด แต่คิดเท่าไหร่มันก็ยังเจ็บใจ คิดเท่าไหร่ก็ยิ่งสมเพศตัวเองมากเท่านั้น ทั้งๆที่เขาร้ายซะขนาดนั้น..แต่ในที่สุด ในที่สุดก็ต้องมารับการช่วยเหลือจากเขาอยู่ดี
“วิ๊ดดดดวิ้ววววว น้องสาว มาคนเดียวเหรอจ๊ะ?”
ฉันเบือนสายตาไปมองพวกจิ๊กโก๋ไร้สาระข้างตัว คนพวกนั้นค่อยๆเดินเข้ามาหา และหนึ่งในนั้นก็โอบไหล่ฉันเอาไว้ ฉันล่ะรู้สึกขยะแขงพวกบัดสบพวกนี้จริงๆ
“นี่! ปล่อยฉันนะ!!!”
ฉันหันไปขึงตาใส่หมอนั่น ก่อนจะพยายามสลัดตัวออกห่างสุดฤทธิ์
“อุ้ย..ฤทธิ์เยอะเสียด้วยแหะ”
“ฉันบอกให้ปล่อยไง ไอ้สัตว์นรก!”
“อื้อหือ! ปากร้ายซะด้วย แบบนี้ต้องสั่งสอนเสียหน่อย”
ผู้ชายหน้าตาคล้ายคางคากคนนึ้นล๊อคคอฉันเอาไว้แน่น ตอนนี้ฉันรับรู้ได้ว่าไม่สามารถต้านทานแรงของชายคนนี้ได้เลย ก็เล่นหุ่นยิ่งกว่านักยกน้ำหนักเสียแบบนั้น ผู้หญิงบอบบางอย่างฉันจะสู้ได้ยังไง? หมอนั่นค่อยๆโน้มหน้าเข้ามาใกล้ฉันเรื่อยๆ จนฉันรู้สึกสะอิดสะเอียนอยากอ้วกเต็มทน
ถุย!!!
ฉันท่มน้ำลายใส่หน้าไอ้กระซวกนั่นไปเต็มๆ หมอนั่นคลายมือออกจากฉันก่อนจะเอามือไปปาดน้ำลายฉันออกจากหน้า ใครจะรู้ไหม? ว่าตอนนี้ฉันไม่มีแรงเลย ทั้งหิวทั้งเหนื่อย! T^T
“หึ!”
เจ้านั่นหัวเราะในลำคอ ก่อนจะค่อยๆเอามือที่ติดน้ำลายของฉันขึ้นมาดมพลางเลียมันไปทั่ว โอ๊ยยย! แค่เห็นฉันก็จะอ้วกแล้ว นี่มันโรคจิตชัดๆ
“สวยๆแบบนี้ มาเป็นเมียพี่เสียดีกว่ามั้ง”
เขาเอ่ยขึ้นพลางต่อยเข้ามาที่ท้องของฉันเต็มแรง เสียงหัวเราะหน้าสยดสยองของพวกนั้นเป็นเสียงสุดท้ายที่ฉันได้ยิน ความเจ็บปวดเริ่มแผดซ่านไปทั่วทั้งร่างกาย ก่อนที่ทุกสรรพสิ่งจะดับวูบไปทันที
Let's talk about 'SEVERE'
ซีนส์หล่อออ แอ๊ .. แอร๊ยยยยยยย -.,-
ขอกรี๊ดก่อนซักที 5555555 ; คนอ่านไม่มีเลยแฮะ !
เหมือนนิยายเรื่องนี้จะไม่นรุ่งซะละ TT^TT งอแงๆ
แต่ไม่เป็นไรค่ะ ไม่มีใครอ่านหนูก็จะอัพ เอากับหนูดิ! -3-
หนูพยายามเต็มที่ละ TTT TTT ฮือๆ
กรี๊ดกร๊าดค่ะ ! พรุ่งนี้สอบวันสุดท้ายแล้ว โอ้วเย้ๆ
ส่ายตูดกันหน่อยสาวๆ เอ้า! โยกย้าย ๆ โยกย้าย ส่ายสะโพกโยกย้าย -OO-
(บ้าไปล๊ะอินี่ ! -w-)
และที่สำคัญที่สุดก็คือ หนูจะได้เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า
จากบ้านนอกเข้าเมืองกรุงกับเค้าแล้ว ว้าววววววๆ *O* คือจุดประสงค์หลักจะไปแรดค่ะ
ตื่นเต้นๆ >[]< วิ้วววววว
(นอกเรื่องเกินไปล๊ะ กลับเข้ามาในเรื่องของเราดีกว่า 55)
ตอนนี้ยาวมากกก! 13 หน้า A4 กว่าๆ แหนะ
จริงๆเค้าก็ไม่รู้นะว่าตอนนึงต้องใส่ประมาณซักเท่าไหร่ คือก๊อปแล้ววางเลยไง
ฮึกๆ เตลล่าของเราโดนโรคจิตจับตัวไปแล้ว !!!
อยากบอกว่าซีนส์สุดหล่อใจร้ายมาก T^T 55555 ' ถึงจะใจร้ายก็อย่าพึ่งเบื่อผู้ชายคนนี้ก่อนนะคะ
จูบบบบบบบ >3<
I Love U Ma ' Reader
ความคิดเห็น