ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อรุณสวัสดิ์รัตติกาล

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ ๓

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.ย. 54



    บทที่ 03


    “สายเกินไป...นานเกินไปแล้วกระมังคุณมุ”

    ทั้งที่ควรจะพูดกับมธุรดาให้รู้เรื่อง ผู้สูงวัยกลับหันไปพูดกับนายมุรธา

    “มันจำเป็นด้วยหรือครับ ที่ผ่านมา น้ำผึ้งก็อยู่มาได้ ไม่มีปัญหาอะไร”

    ส่วนผู้เป็นบิดาของเธอก็ตอบคำด้วยคำถาม ไม่คิดจะหันมาอธิบายสิ่งไรเพิ่มเติม

    มธุรดาจึงยิ่งรู้สึกอึดอัด เพราะที่สองคนหันไปพูดจากันนั้น มันน่าจะเป็นเรื่องโดยตรงของตัวเธอเองไม่ใช่หรือ ในเมื่อมานั่งอยู่ต่อหน้านี่แล้ว ทำไมไม่ถามกันตรงๆ

    “หรือว่ายังไงลูก พ่อเองก็ยุ่งๆ ตั้งแต่โทร.ไปอวยพรวันเกิด ก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย”

    “ก็ดีนี่คะ ที่จริงได้งานชิ้นใหญ่ฉลองวันเกิดซะด้วย งานเขาเร่งๆ หนูก็เลยไม่ได้มาค้างกับคุณพ่อตั้งแต่เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว”

    เธอตอบไปตามความจริง ขณะที่พยายามมองไปยังแต่ละคน เหมือนจะขอความกระจ่างๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย!

    และพอชำเลืองไปทางรัตติกร ก็เห็นว่านายนั่นมองมาอยู่ก่อนแล้ว เขาไม่คิดจะหลบ ตอนที่ต้องประสานสายตากันตรงๆ

    “มองทำไมไม่ทราบ!”

    เลยสบโอกาสได้ระบายอารมณ์

    “รอว่าคุณจะมองมาเมื่อไหร่”

    แต่เขากลับตอบเรียบๆ ไร้วี่แววโทสะใดๆ ทั้งสิ้น

    นั่นทำให้มธุรดายิ่งขัดเคือง

    “จะรอทำไมล่ะ”

    เธอกระแทกเสียงใส่ ไม่สนหรอกว่าจะเป็นลูกใครหลานใคร

    คราวนี้เขาอมยิ้ม ราวกับอยากจะให้เธอโวยอะไรออกมาอีก

    “ทำไม! จะรอทำไม!”

    “ก็... รอให้คุณโวยใส่ผมอย่างนี้ไงล่ะครับ พอได้ระบายอารมณ์ใส่ผมแล้วอาจจะสบายใจขึ้น จริงไหม”

    “อีตาบ้า!!”

    มธุรดาจึงสนองศรัทธาให้เขาเต็มๆ อยากจะสรรหาคำอื่นๆ ต่อไป แต่ชายสูงวัยที่นมแจ่มบอกว่าเป็นลุงของนายนี่ เอ่ยแทรกขึ้นเบาๆ

    “พักหลังมานี้ อารมณ์หรือความรู้สึกนึกคิดปรวนแปรมากน้อยแค่ไหน”

    คำถามนั้นทำให้เธอต้องหยุดคิด จริงสินะ... มัวเพลินอยู่กับงาน และความฟุ้งซ่านแบบนั้นก็มีประโยชน์เสียด้วย คือมันยิ่งช่วยให้จินตนาการบรรเจิดเพริดพราว แต่ก็ไม่ผิดหรอก ที่ในระหว่างนั้น อารมณ์ของเธอวิบวับขึ้นลง รวดเร็วและรุนแรงกว่าปกติ

    “ก็... พอสมควรน่ะค่ะ”

    ตอนที่ตอบ มธุรดานึกเลยไปถึงช่วงเวลาในรอบเดือน ที่จะต้องรู้สึกหงุดหงิดโมโหง่ายอยู่สักสี่ห้าวัน ด้วยเพราะฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวน

    “แต่ว่า...”

    ไม่ทันได้ต่อคำ เสียงพึ่บๆ พั่บๆ ก็ดังแทรกเข้ามา เพราะอยู่ใต้ถุนเรือน ทุกคนที่หันหาจึงยังมองไม่เห็น กระทั่งเจ้านกเค้าแมวตัวใหญ่บินต่ำเรี่ยพื้น จนแลคล้ายจะตกลงตรงลานหน้าบ้านนั่นละ จึงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

    แล้วมันก็เปลี่ยนจังหวะ ตวัดปลายปีกพุ่งตัวเหินตรงมายังทั้งกลุ่ม!

    ความตกใจทำให้ทำอะไรไม่ถูก ทุกคนได้แต่ตะลึงงันในความผันผวนรวดเร็วนั้น และพอจะถึงตัวเรือน มันก็กวักปีกอีกครั้ง คราวนี้เปลี่ยนเป็นหันขาพุ่งเข้ามา กางกรงเล็บออกเหมือนหมายจะล่าเหยื่อ

    แต่แล้วเสียงกรงเล็บของมันกระแทกไม้ลอดใต้ถุนดังกึก ก่อนจะดีดตัวกลับ ที่ปะทะนั้นเป็นมุมอับสายตาของคนใต้ถุนเรือน กระทั่งมันพ้นออกไปจนอยู่ในสายตาอีกครั้งนั่นละ ทั้งหมดจึงได้เห็น งูแสงอาทิตย์ตัวยาวลายสีเข้ม ถูกโฉบติดไปด้วย

    ในพริบตาต่อมา งูนั้นไม่ยอมจำนน มันแว้งขึ้นฉก หมายตรงคอของเจ้านกเค้าตัวโต จนผู้ล่าตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เกือบตายด้วยอสรพิษ หากไม่เหวี่ยงมันทิ้งได้ทันการ

    งูเจ้ากรรมยาวเกือบสองเมตร ละลิ่วมาหล่นตุ้บตรงกลางวงบนโต๊ะมื้อเช้า มันชันคอขึ้นหมายจะฉกซ้ำ ต่อหน้ามันบัดนี้คือมธุรดา

    คนทั้งหมดยิ่งตื่นตะลึง! นิ่งงันอยู่ด้วยความตกใจ!

    กระทั่งในเสี้ยววินาทีต่อมา ที่มันพุ่งหัวออกไป ปากอ้าเผยเขี้ยวคมอย่างหมายจะฉกกัดให้เต็มรัก แต่ก่อนจะได้ฝั่งเขี้ยวกับซอกคอที่อยู่ห่างออกไปอีกไม่ถึงครึ่งนิ้ว ทั้งตัวก็กระตุกกลับ

    เป็นรัตติกรที่รั้งหางมันไว้ แล้วกระชากไอ้ตัวยาวให้ย้อนศร

    แต่เจ้างูนั้นก็เปลี่ยนเป้าหมายได้ทันกัน!

    มันเอี้ยวตัวมาพร้อมกับแรงดึง ไม่หมายซอกคอแต่เป็นนัยน์ตาของชายหนุ่ม

    “บังอาจ!”

    เสียงตวาดของหญิงสาวดังก้อง เจ้างูแสงอาทิตย์วายร้ายนั้นคล้ายต้องมนตร์ ร่างตกห้อยอยู่กับมือของรัตติกร

    ทุกคนที่ตะลึงงันยิ่งงุนงง มองมาที่มธุรดาเป็นตาเดียว

    หญิงสาวส่ายหน้าเลิ่กลั่ก

    “ไม่ใช่เสียงหนูนะคะ”

    เธอรีบเอ่ยปฏิเสธ เพราะเข้าใจความหมายในสายตาทุกคู่ที่เขม้นมอง

    “แต่เสียงผู้หญิงใสๆ อย่างนั้น ก็มีแต่คุณพี่น้ำผึ้ง”

    ดูเหมือนเจ้าแก้วจะได้สติฉับไวกว่าใครอื่น

    “แก้วเห็นพี่พูดอะไรสักคำไหมล่ะ”

    “ไม่เห็นเจ้าคะ”

    “เห็นไหมล่ะ”

    มธุรดาหลงคิดว่าเจ้าแก้วเข้าใจแล้ว จึงหันกลับไปทางชายหนุ่ม

    “ก็แก้วบอกว่าไม่เห็นไงเล่าเจ้าคะ”

    แต่มันยังย้ำ จนบรรยากาศที่ตึงเครียดอยู่นั้น คลี่คลายลงได้ทันที เพราะทุกคนต่างพากันถอนหายใจ ให้กับความไร้เดียงสาแบบไม่ดูกาลเทศะของเด็กชาย

    “รู้แล้วละว่าเจ้าแก้วน่ะไม่เห็น พี่ก็ไม่เห็นเหมือนกัน”

    เป็นรัตติกรที่หันไปพูดด้วย ขณะที่มือยังไม่ปล่อยอสรพิษตัวยาว ที่แน่นิ่งราวกับตายไปแล้ว

    “เอายังไงกับเจ้านี่ดีครับ”

    เขาต้องขอความคิดเห็นจากสองผู้อาวุโส

    “ปล่อยไปเถอะ มันคงแค่ผ่านมา”

    “แต่ทำไมผ่านเข้ามาได้ และเราไม่ยักรู้ว่ามันมาแอบอยู่ตรงไม้ลอดนั่น ตั้งแต่เมื่อไหร่”

    “ก็คงงูน้อยธรรมดา มาอาศัยหลบแดด หรือไม่ก็หลงมานอนอยู่ตั้งแต่เมื่อคืน”

    นายมุรธาให้ความเห็น เพราะตนก็ค่อนข้างมั่นใจในข่ายมนตราของตัวเองที่ร่ายอาคมเสกใส่ เอาไว้คุ้มครองเรือนหลังนี้ให้พ้นจากภยันตราย

    “ปล่อยไปเถอะค่ะ มันคงแค่ตกใจ ไม่คิดจะทำร้าย...”

    มธุรดาเอ่ยขึ้นบ้าง

    “พวกอสรพิษ ไว้ใจไม่ได้”

    แต่รัตติกรทำท่าจะไม่ยินยอม

    “ฤทธิ์มันมาก” เขายังย้ำ

    “ก็สิ้นฤทธิ์ไปแล้วนี่คะ”

    เธอเองไม่ได้รู้สึกหรอกว่า น้ำเสียงที่พูดจากับชายหนุ่มนั้นอ่อนโยนลงแค่ไหน

    “ปล่อยไปเถอะรัตติ ถ้ามันมีฤทธิ์ ผู้คุมฤทธิ์ของมันก็คงอยู่แถวนี้ อย่างเพิ่งสร้างศัตรู”

    นายคันธรรพกล่าวเบาๆ หลังจากที่นิ่งไปนาน

    “เราย้ายขึ้นไปนั่งบนเรือนกันก่อนดีกว่า”

    แล้วผู้เป็นเจ้าของบ้าน ก็ตัดบทเอาง่ายๆ หลังจากที่รัตติกร เหวี่ยงเจ้างูแสงอาทิตย์ตัวยาวนั่น ให้มันเลื้อยปราดหายไปในพุ่มไม้ทางลานหน้าเรือน

    ตอนที่ทุกคนขยับจะย้ายนั้น มธุรดารู้สึกเหมือนมีเธอคนเดียวที่ได้ยินเสียงหัวเราะของหญิงสาวอีกคน ดังก้องอยู่ในอากาศ




    “ผู้หนุนแผ่นดินท่านบิดกาย ทำให้เขตศักดิ์สิทธิ์คลาดเคลื่อน”


    ชายสูงวัยเริ่มอธิบายต่อไป เมื่อทั้งหมดพากันย้ายขึ้นมาที่เฉลียงชั้นบน เป็นการพูดโดยไม่ต้องมีการซักถาม ตั้งแต่ทั้งขบวนเริ่มก้าวขึ้นบันไดมานั่นแล้ว

    “อะไรๆ มันจึงบิดเบือนไปหมด”

    เหมือนนายคันธรรพจะพูดไปเรื่อยๆ แต่ก็น่าแปลกที่หลายข้อตรงกับข้อสงสัยของมธุรดา แต่อีกใจ เธอก็ออกจะหน่าย กับเรื่องปรัมปราเหล่านี้นัก เพราะตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ต้องผจญอยู่แต่กับเรื่องนี้ แล้วยังต้องมาฟังเรื่องที่ไม่เคยมีใคร ประสบพบเห็นด้วยตาของตัวเองจริงๆ อยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ตั้งแต่นายรัตติกรเอ่ยถึงนางครุฑี นางครุฑสตรีอะไรนั่น ที่มธุรดาต้องนึกหาผ้านุ่งผ้าห่มมาห่อหุ้มร่างในจินตนาการของตนไว้อย่างทุลักทุเล ก็ที่เป็นบุรุษเพศ คาดผ้าผูกเอวไว้เพียงผืนเดียว ท่อนล่างเป็นนก ท่อนบนเป็นแผงอกกำยำ แม้ใบหน้าจะละม้ายไปทางพญาอินทรี ให้พิศดารพันลึกอย่างไรๆ ก็คงจะดูดีกว่าสตรีเพศ

    ตอนที่เธอนึกถึงว่าจะพันผ้าปิดถันไปท่าไหนดี จะคาดอกชักสไบ หรือจะห้อยหน้าแล้วไพล่สองชายไปด้านหลัง หรือถ้าจะให้ทะมัดทะแมงหน่อย ก็คงต้องถึงกับตะเบงมาน เหมือนอย่างหญิงบ้านบางระจันเวลาออกรบ...

    ตอนนั้น ชายสูงวัยผู้นี้ยังกล่าวเหมือนรู้ใจว่า

    “อีกนาม นางชื่อสุบรรณี แปลว่านางผู้มีขนอันงาม”

    “เหมือนอย่างสุบรรณ น่ะหรือคะ แสดงว่าทั้งผู้หญิงผู้ชายก็ต้องมีขนงามไม่ต่างกัน”

    เธอแค่พยายามสานต่อบทสนทนา จึงถามเรื่อยไป

    “แล้วเป็นคนครึ่งนก หรือนกครึ่งคนกันคะ แล้วจะนุ่งจะห่มกันอย่างไร”

    คนถามนึกตามประสาที่ชินกับการนึกเป็นภาพ ตามความถนัดในสายอาชีพ ส่วนคำที่ตอบกลับมา ก็ทำให้เธอพอจะเข้าใจขึ้นมาเป็นเลาๆ

    “จิตกำหนดรูป เหมือนกับที่มนุษย์ต้องสร้างสัญญะเพื่อกำหนดสสารหรืออสสารบางอย่าง พอคิดเห็นลงรอยกันดีแล้ว เราจะไม่หวนไปนึกถึงรูปเดิม เมื่อพูดถึงสิ่งนั้น ก็จะนึกถึงรูปที่ปรุงแต่งขึ้นมา มากกว่าจะนึกไปถึงรูปเดิมที่ยากจะอธิบาย”

    นั่นละ ที่พอพากันขึ้นมานั่งบนเฉลียงนี้ แล้วนายคันธรรพเริ่มบทด้วย “ผู้หนุนแผ่นดิน” มธุรดาจึงเริ่มเบื่อ ที่จะต้องทนฟัง ตำนานการเกิดโลกนี้อีกครั้ง

    “ขุดเจาะน้ำมันกันโครมๆ จนจะถึงแกนโลกอยู่แล้วมั้ง ยังไม่เห็นเคยเจออะไร”

    พอนึกไปเช่นนั้น เสียงตอบก็สวนกลับมาทันที

    “ไม่เห็นใช่ว่าจะไม่มี ไม่เคยเห็นใช่ว่าจะไม่ได้เห็นนะหนู”

    นายคันธรรพหันมาตอบ ราวกับเขาเฝ้าติดตามความคิดของเธออยู่ตลอดเวลา

    “ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นหรอกค่ะ แต่คือ...ก็อย่างที่คุณลุงบอก ทั้งหมดมันก็แค่สัญลักษณ์ต่างๆ ที่พอคนโบราณหาทางอธิบายอย่างวิทยาศาสตร์ไม่ได้ ก็ต้องกำหนดให้สิ่งนั้นสิ่งนี้ มีรูปร่างอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็ทำอากัปกิริยาให้เหมือนผู้คน จะได้อธิบายเรื่องราวที่อธิบายได้ยากให้ง่ายขึ้น ก็แค่นั้นเองไม่ใช่หรือคะ”

    ที่มธุรดาอยากรู้จริงๆ คือเรื่องที่ทั้งฟ้ามืดไป พร้อมกับที่ทั้งเรือนสะเทือนไหว กับเรื่องเสียงสตรีที่สามารถกำราบเจ้างูร้ายนั่นได้ต่างหาก เพราะไม่เชื่อแน่ๆ ว่านางสุบรรณี หรือนางครุฑีนั้นจะมีอยู่จริง

    แต่พอได้สบสายตากับชายสูงวัยผู้ยังมีใบหน้าผ่องใสอยู่นัก เธอก็คล้ายจะคลายความรู้ความคิดที่เอ่ยออกไปได้ทันที

    “หากเลือกที่จะเชื่ออย่างนั้นก็ไม่มีใครห้ามได้หรอกหนู พุทธโคดมท่านยังตรัส ความเชื่อเป็นเรื่องเฉพาะตน ท่านยังสอนให้พิจารณาตามกาลามสูตร ท่านประเสิรฐกว่าเทพยดาทั้งหลายก็ตรงนี้ คือมีปัญญารู้แจ้งเห็นจริง”

    คำอธิบายคล้ายจะฟังง่ายๆ แต่กลับยุ่งยากและคลุมเคลือเหลือแสน

    “แล้วเกี่ยวอะไรกับท่านผู้หนุนแผ่นดินอะไรนั่นล่ะคะ”

    มธุรดาไม่ได้คิดจะถกเถียง แต่เธอไม่เข้าใจจริงๆ ว่ามันมาเกี่ยวข้องกันได้ยังไง

    “ท่านไม่ได้ปฏิเสธเทพดา ท่านเองก็รู้ก็เห็น สาวก มหาสาวกของท่านก็เห็น แต่ท่านไม่ได้ให้ยึดถือ ท่านสอนธรรมขั้นสูงกว่านั้น อินทร์พรหมยมยักษ์จึงต้องฟังท่าน”

    “ก็ยังไม่เกี่ยวกับผู้หนุนแผ่นดิน... ปลาอานนท์ใช่ไหมคะ...”

    “มนุษย์ อมนุษย์ เทพ พรหม ล้วนต้องเวียนว่ายตายเกิด ท่านจึงไม่ได้ยึดหยุดอยู่เพียงแค่นั้น”

    “คุณลุงคะ... ได้โปรดเถอะค่ะ”

    แล้วมธุรดาก็ต้องวิงวอน ในใจรู้สึกว่านายคันธรรพผู้นี้ ออกจะเกินๆ เสียแล้ว

    “สรุปว่า ตอนนี้หนูยังไม่ต้องเชื่อว่า สิ่งที่มีจริงมันมีอยู่จริงๆ”

    “หรือว่าทุกคนตรงนี้เชื่อ... งั้นหรือคะ”

    มธุรดาหันไปมองทีละคน ซึ่งแต่ละคนก็เพียงแค่ทำหน้าเฉยๆ จนเธอคาดเดาความคิดไม่ถูก

    “คุณพ่อคะ”

    พอเห็นท่าว่าจะคุยกับนายคันธรรพต่อไปไม่รู้เรื่อง มธุรดาก็จำเป็นต้องหันหาบิดา

    “หนูจะเชื่อที่พ่อพูดไหม”

    “คุณพ่อไม่เคยโกหกหนูนี่คะ”

    “ถ้าเรื่องที่พ่อจะพูด เป็นเรื่องที่หนูไม่เคยรู้เห็นมาก่อน หรือไม่ตรงกับสิ่งที่เคยรู้มาก่อน หนูจะเชื่อพ่อไหม”

    “ถ้าคุณพ่อไม่แกล้งหลอก...”

    ถึงตอนนี้ มธุรดารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงถอนหายใจแกมรำคาญหน่อยๆ ดังมาจากชายหนุ่ม ที่ได้แต่ตามขึ้นมานั่งฟังอยู่เงียบๆ ตรงที่ห่างออกไปทางริมระเบียง

    เธอหันไปมอง แต่เพียงแค่มองผ่านๆ รูปร่างหน้าตานั้นยังจับตา ปากคอคิ้วคางเหมือนอย่างวาด หากหญิงใดเห็นรูปในกระดาษคงลุ่มหลง อาจถึงกับต้องก้มลงจูบกระดาษ ความหล่อเหลานั้นเข้าขั้นระยับจับจิต แล้วพอเขาเงยขึ้นมาสบตาตรงๆ คมตาชวนฝันนั้น ก็บาดลึกเข้ามาในหัวใจ

    ถึงจะนึกขอบคุณที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้เมื่อครู่นี้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องบ่นกับตัวเอง

    “อยู่ๆ ก็โผล่มายังกะผี”

    เธอพึมพำอยู่ในใจ แต่นายรัตติกรดันยกคิ้วให้เหมือนรู้ที

    “สองลุงหลานคู่นี้แปลกๆ ต่อไปคงต้องระวังความคิดของเราเองให้มากขึ้น”

    ข้อความนี้มธุรดาก็คิดอยู่แต่ในใจอีก คราวนี้นอกจากพยักรับแล้ว เขายังเอ่ยปาก

    “ถูกต้องแล้วครับ...”

    เล่นเอาเธอรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้า เพราะค่อนข้างแน่ใจว่า เขาต้องจับความรู้สึกนึกคิดอื่นๆ ของเธอได้หมด

    “ไร้มรรยาท”

    คราวนี้หญิงสาวปล่อยเสียงออกมาเบาๆ ซึ่งมันตรงกับสิ่งที่กำลังคิดอย่างที่สุด

    “หนูต้องฝึก กำกับใจของตน ไม่เช่นนั้น ผู้มีวาระจิตสูงๆ เขาไม่ต้องมาลอบฟังหรอก เสียงในความคิดของหนูนั่นละ ที่จะดังก้องไปทั้งจักรวาล”

    “คุณลุงพูดเกินไปหรือเปล่าคะ”

    “สมองของคนกับสัตว์ต่างๆ รับสัมผัสได้ไม่เสมอกันใช่ไหมเล่า”

    “คะ...”

    “สุนัขที่ฝึกมาดี ได้กลิ่นไกลแค่ไหน ได้ยินไกลแค่ไหน ถึงรู้ว่านั่นคือยาเสพติด นั่นคือที่มีคนร้ายแอบซ่อนอยู่”

    “ค่ะ... แสดงว่าที่คุณลุงกับนาย... ตอบหนูได้แทบทุกเรื่อง เพราะฝึกมาดี”

    “เอ้า! อยู่ๆ ก็เอาเราไปเปรียบกะหมาซะอย่างนั้น”

    คราวนี้มธุรดาเหมือนได้ยินเสียงเขาดังเข้ามาในหัว

    “ลุงของนาย เป็นคนเริ่มก่อนหรอกย่ะ”

    เธอก็นึกตอบกลับไปได้เช่นกัน

    “เห็นมะ มันยากที่ไหนกันล่ะ”

    นายรัตติกรตอบกลับมาในหัวอีกครั้ง คราวนี้มธุรดาเพิ่งนึกได้ทัน นี่เองวิธีการสื่อสารด้วยจิต

    “ทั้งหมด มันต้องเริ่มมาจากมีพื้นฐานที่ดีก่อนหรอกนะหนู”

    เสียงที่ผ่านเข้ามาทางหู ทำให้เธอต้องหันกลับไปทางนายคันธรรพอีกครั้ง




    เจ้าแก้วคงล้างถ้วยล้างจานเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงปรู๊ดขึ้นมาสมทบ โดยไถลไปนั่งอยู่กับเขาได้อย่างหน้าตาเฉย

    “กลายเป็นยามไปแล้วหรือพี่รัตติ”

    “อือ!...”

    “จะมาอีกไหมล่ะ ไอ้ตัวใหญ่นั่นน่ะ”

    “ไม่รู้ซี ถึงต้องระวังอยู่นี่ไง”

    “กลัวมันทำไม คุณท่านก็อยู่ คุณลุงก็อยู่ พี่รัตติก็อยู่ ยังจะกลัวมันอีกเรอะ”

    เสียงของเจ้าแก้วไม่เบาเลย และทำเหมือนว่ามันรู้เรื่องราวต่างๆ ดีกว่าใคร

    “เบาๆ หน่อยเถอะเอ็ง ผู้หลักผู้ใหญ่เขากำลังพูดจากัน”

    “แล้วคนแก่มานั่งทำอะไร”

    มันเถียงขวับไปทันที

    “คนแก่ก็ต้องเป็นผู้ใหญ่”

    ต่อหน้านาย นมแจ่มที่นั่งอยู่ด้วยตั้งแต่แรก จึงจำต้องยั้งๆ กิริยาเอาไว้บ้าง

    “ก็... แค่ผู้ใหญ่ ไม่ได้เป็นผู้หลัก”

    “หน็อยแน่ะ! ไอ้คนนี้ มันเถียงคำไม่ตกฟาก!”

    มธุรดานั้นอยากจะห้ามปรามสองยายหลานให้หยุดเสียที แต่ก็จนใจ เพราะท่าทางของสองคนนั้น เหมือนกำลังทำการแสดงเรื่องหรรษา เรียกรอยยิ้มเสียมากกว่า

    ดูเหมือนว่า ทุกคนจะไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องที่ผ่านมาสักเท่าไหร่ ตั้งแต่ที่ว่าคุณพ่อหายไปเมื่อเย็นวาน จนเหตุการณ์ฟ้ามืดเรือนไหวเมื่อเช้า กระทั่งที่คุณพ่อกลับมา อ้อ... เรื่องที่นายรัตติกรมานอนร่วมเตียงนั่นด้วย ดูเหมือนทุกคนจะคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปทั้งสิ้น

    “ถ้าอยากพิสูจน์ด้วยตา ก็ไม่ยากหรอก”

    จนนายคันธรรพเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง ทุกคนถึงเงียบหมด

    “ยังไงคะ”

    “ก็เบิกเนตร”

    ชายสูงวัยตอบง่ายๆ

    “หนูเคยได้ยินแต่กับพวกรูปหล่อวัตถุมงคลที่ต้องเบิกเนตรอะไรอย่างนั้น”

    “อันนั้นคืออัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้รับรู้ แล้วเข้ามาปกป้องรักษา ไม่เหมือนกัน”

    คนพูดหยุดนิดหนึ่ง ระบายลมหายใจออกมาคล้ายกำลังชั่งใจกับอะไรบางอย่าง

    “ที่มารอก็เพราะเรื่องนี้”

    “เบิกเนตรอะไรนี่น่ะหรือคะ”

    ยิ่งพูดยิ่งคุย มธุรดาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนกำลังพูดจากันถึงเรื่องที่หาสาระไม่ได้มากยิ่งขึ้นทุกที

    “แต่ไม่ตรงวันครบรอบ เราไม่รับรอง”

    “ถ้าจะทำให้คุณลุงต้องลำบาก หนูก็ไม่รบกวน คุณพ่อคะ...”

    คำท้าย เธอหันไปทางบิดา

    “อย่างน้อยที่สุด ก็เป็นการป้องกันตัวเองจากภยันตราย ใช่ไหมครับคุณธรรพ”

    แววตาของนายมุรธา แสดงความเป็นห่วงบุตรสาวจากใจจริง

    “เบิกแล้วจะได้เห็นอะไร ที่คนทั่วไปเขาไม่ได้เห็นกันใช่ไหมเจ้าคะคุณลุง งั้นเบิกให้เจ้าแก้วด้วยนะเจ้าข้า”

    เจ้าแก้วมานั่งกระแซะอยู่กับเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

    “เฉพาะคนที่มีเชื้อสายน่ะไม่ยากหรอกเจ้าแก้ว แต่กับคนทั่วไปต้องบำเพ็ญภาวนาไปด้วย”

    “แสดงว่ายายแจ่มของแก้วไม่ทำมะดา ยายเคยเห็นนกยักษ์บินกวักทีละโยชน์”

    “ยายเอ็งอยากเห็นหรือเปล่า หรือว่าเขาอยากให้ยายเอ็งเห็นกันแน่”

    คำถามกลับของนายคันธรรพ ยังปรานีอย่างยิ่ง และก็เป็นอันเด็กชายต้องหันไปพยักเพยิดกับหญิงชรา

    “ข้าจะไปอยากเห็นทำไมล่ะ”

    นมแจ่มตอบกระแทกๆ กลับมา

    “ฟังนะเจ้าแก้ว คนธรรมดา อยากเห็นต้องบำเพ็ญภาวนา ที่จริงเลยปฐมญาณไปขั้นสองขั้นก็ได้เห็น ส่วนคนมีเชื้อสาย เพียงแต่ปลุกกระแสให้ตื่นรู้ ก็สามารถจะเห็นแจ้งแทงตลอด”

    “คุณลุงพูดเหมือนว่าหนูมีเชื้อสาย เชื้อสายอะไรคะ”

    มธุรดาลำบากใจนัก ที่ต้องพยายามกล่อมเกลาน้ำเสียงให้สุภาพยิ่ง เพราะใจนั้นแทบไม่เชื่อถือ

    “ไม่จริงเจ้าคะ นั่นไงๆ ลำตาลหัวด้วนนั่นไง”

    “แก้ว! หยุดทะเล้นก่อนได้ไหม!”

    ในที่สุดเธอก็หมดความอดทนกับความล้นเหลือของเด็กชาย

    “โน่นเจ้าข้า โน่นๆ เห็นไหม”

    แต่เจ้าแก้วเหมือนไม่ได้ฟังใครอีกแล้ว มันทะลึ่งตัวขึ้น โผไปทางริมระเบียง ชี้มือไม้ไปทางดงตาลท้ายไร่

    “งูยักษ์ งูใหญ่ ตัวอะไรน่ะพี่รัตติ”

    พร้อมกับเรียกร้องให้รัตติกรมองตาม ทำให้ทุกคนต้องเพ่งสายตาไปทางเดียวกัน

    ทางดงตาลนั้น มีตาลยอดด้วนด้วยฟ้าผ่ายืนตายอยู่หลายต้น ซึ่งทั้งหมดก็แลดูเป็นซากต้นไม้ธรรมดาๆ

    มธุรดาเองก็เพ่งเล็งอยู่อีกอึดใจใหญ่ แต่ไม่เห็นอะไรผิดสังเกต ทว่าพอหันมา กลับเห็นว่าทุกคนมีสีหน้าไม่ปกติ ไม่เว้นแม้กระทั่งนมแจ่มหรือนายรัตติกร

    “อะไรกันคะ ก็แค่ตาลยอดด้วนธรรมดา”

    “มันไปแล้ว”

    รัตติกรพึมพำออกมาเบาๆ

    “อะไร อะไรไปไหน”

    มธุรดาถึงกับหันรีหันขวาง

    “อะไร อะไรไปไหน”

    “โน่นไงเจ้าคะพี่น้ำผึ้ง ดูดีๆ ตะกี้ตาลด้วนนั่นมีกี่ยอด”

    “ก็หก...เจ็...”

    คนพูดเอ่ยคำได้แค่นั้น เพราะตอนนี้ มีตาลยอดด้วนเหลือเพียงแค่สองต้น เธอต้องถึงกับขยี้ตามองซ้ำ

    “ไม่นะคะคุณพ่อ เมื่อกี้เห็นชัดๆ ว่ามีอยู่สักเจ็ดต้น”

    “เป็นบริวารของนาง...”

    “นางครุฑ นางครุฑีที่ว่าเป็นครุฑสตรีน่ะหรือคะ”

    มธุรดาแทบลืมไปแล้ว นายคันธรรพ์ได้บอกให้รู้ว่าเผ่าพงศ์วงศาของครุฑนั้นก็มีเชื้อสายลูกหลานเหมือนวงศ์วานว่านเครือทั่วไป เพราะเธอเห็นว่ามันน่าจะเป็นเรื่องตลกยามเช้าเสียมากกว่า

    แต่คำตอบของผู้เป็นบิดา ก็ทำให้ถึงกับงุนงงหนักยิ่งขึ้นไปอีก

    “นาคี... เป็นบริวารของนางนาค ไม่ใช่พวกครุฑีเมื่อเช้า!”



    ****************************

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×