ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    THE DIAMOND OF GOD

    ลำดับตอนที่ #3 : ตรีสุปัญญะวิชา

    • อัปเดตล่าสุด 17 ก.ย. 51


         

    ฤษีเฒ่าแห่งป่าอรัญยิกาค่อยๆ ถอยจากญาณที่กำลังบำเพ็ญ เมื่อแม่เสือกับลูกสองเข้ามาหมอบแต้อยู่ตรงหน้า

    มาแล้วรึเจ้าแสงสุรีย์ตัวดี

    เจ้าข้าหลวงตาเจ้าเด็กน้อยรับคำเสียงใส 

    หนีไปเที่ยวถึงไหนมาล่ะคราวนี้

    ไป... “ กุมารน้อยเกือบพลั้งปากว่า ถ้ำนรสิงห์ซึ่งเป็นถิ่นที่เดียวที่หลวงตาห้ามเข้าใกล้  ไปแถวๆนี้แหละเจ้าค่ะ

    มีรึที่ฤษีเฒ่าซึ่งบำเพ็ญตบะมาเกือบจะร้อยปี จะไม่รู้ทันพระกุมารน้อยว่ากำลังปดหน้าเป็นอยู่ในขณะนี้  แต่กลับแกล้งทำเป็นเออออห่อหมกไปกับมันก็เพราะ 

    อยากรู้น้ำใจมันจัก กล้าแอบหนีไปเองมั้ย

    ทั้งนี้ก็เพื่อฝึกความกล้า และสัญชาติญาณแห่งการเอาตัวรอดให้มัน เพราะสืบไปภายหน้า ความกล้านี้แหละจะนำมันพ้นภัย

    แต่ถึงต่อให้กล้าแค่ไหน ไอ้หนึ่งพี่เสือกับน้องคนก็ได้แค่ไปด่อมๆ มองๆ อยู่นอกปากถ้ำ มิกล้าล่วงล้ำเข้าไปสักครา ก็ด้วยเพราะเสียงคำรามแห่งนรสิงห์ที่กังวาลก้องออกมาเป็นเครื่องหยุดยั้ง “ความซ่าส์” เจ้าพี่เสือกับน้องคนได้เป็นอย่างดี

    §         

    ปีนี้กี่ขวบแล้วล่ะเจ้าฤษีเฒ่าถามขึ้น

    สิบขวบแล้วเจ้าค่ะเด็กน้อยฉอเลาะตอบ

    งั้นก็โตพอจะร่ำเรียนเป็นการเป็นงานแล้วซินะ

    พอได้ยินคำว่า เรียนเท่านั้น เจ้าลูกมนุษย์ก็ทำหน้าเบ้  มันเกลียด การเรียนอย่างที่สุด  เพราะเสียเวลาเล่นของมัน

    ไม่ต้องมาทำหน้าเบ้เลยเจ้าแสงสุรีย์   นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าจักถ่ายทอด ตรีสุปัญญะวิชา อันสุดยอดวิชาอันเป็นสมบัติประจำตระกูลข้าแก่เจ้า เพื่อสืบไปภายหน้าเจ้าจักได้ใช้มันเพื่อกอบกู้บ้านเมือง

    พระกุมารฟังงงๆ ด้วยไม่แจ้งถึงประวัติความเป็นมา  เพราะโตมาก็มีพระเจ้าตา แม่เสือกับพี่เสืออยู่เคียงข้าง เด็กน้อยจึงถือว่านี่แหละเป็นครอบครัวแห่งตน  

    กอบกู้บ้านเมือง... ไอ้บ้านเมืองมันหน้าตาเป็นอย่างไรเจ้าค่ะมันถามซักตามประสาเด็กสอดรู้

    ฤษีเฒ่าอมยิ้มอย่างเอ็นดู แล้ววันหนึ่งเจ้าจักได้รู้แสงสุรีย์

    แล้วพี่เสือเล่าเจ้าค่ะหลวงตา ต้องเรียนด้วยหรือเปล่าเจ้าค่ะ

    พระกุมารพยายามหาเพื่อนร่วมชั้น

    พี่เสือเจ้าเค้ามีชาติเป็นเสือ  เป็นเดรัดฉานมิสามารถร่ำเรียนวิชานี้ได้

    เสือหนุ่มได้ยินยิ้มโล่งอก เท่าที่ถูกบังคับให้เรียนเป็นเพื่อนไอ้น้องมนุษย์ที่ผ่านมาก็แทบจะบ้าตาย มีที่ไหนเสือต้องมานั่งท่องพระเวทย์วิทยา ขอเพียงมีกรงเล็บและสรรพกำลัง เท่านี้มันก็ยังชีพได้ตามภาษาเสือของมันแล้ว

    เจ้าลูกมนุษย์เลยจ๋อย แต่ใช่เพราะว่ามันต้องเรียนอยู่คนเดียว

    แต่เพราะเวลาเที่ยวเล่นของมันมีหวังได้หดหายไปอีกอักโข

    §         

    อันตรีสุปัญญะวิชานั้น กอปรขึ้นสามสรรพวิชา หนึ่งคือเชิงชั้นอาวุธ ซึ่งข้ายังถ่ายทอดให้เจ้าไม่ได้   สองคือเชิงเวทย์ซึ่งข้าก็ได้ถ่ายทอดให้เจ้ายังไม่ได้อีกเช่นกัน ส่วนวิชาที่สามเป็น เชิงกสินเป็นตบะที่จะต้องสั่งสมด้วยญาณบารมี เป็นของเฉพาะตน ใครทำ ใครได้

    “ก็ยังถ่ายทอดไม่ได้อีกเช่นกัน”

    มันล้อเลียน

    “ได้ซิว่ะ ไม่งั้นข้าจะเรียกเอ็งมาหาพระแสงของ้าวทำไม” คนเป็นพระเจ้าตาบอก

    แค่นั่งหลับตาเนี่ยยังต้องเรียนอีกเหรอเจ้าค่ะ

    มันถามตามภาษาเด็กของมัน แต่คนฟังเกือบตกเก้าอี้

    มันไม่ใช่แค่หลับตาโว้ย   มันต้องเข้าญาณให้ถึงขั้นด้วย

    คนถามถึงบางอ้อ  ถึงแม้นจะเป็นเด็กสิบขวบที่มีเพื่อนเล่นเป็นสิงสาราสัตว์ในป่า  แต่มันก็รู้ความบ้างตามประสามันว่าอะไรเป็นอะไร

    เอ็งเลิกซักข้าได้แล้วไอ้แสงสุรีย์ เอ็งมีหน้าที่ทำตามที่ข้าสอน ห้ามสงสัย

    §         

    นับแต่เพลานั้นเป็นต้นมา เจ้าลูกคนก็มีอันต้องมานั่งหลับเป็นเวลาสามชั่วยามทุกวันหลังอาหารกลางวัน

    แรกๆ มันก็ยุกยิกตามประสาเด็ก จิตไม่นิ่งอยู่กับที่

    เดี๋ยววอกไปนั้น เดี๋ยวแวกมานี่ อยู่เป็นประจำ

    แต่หากพอนานวันเข้าก็เริ่มนิ่งจับอยู่เป็นที่

    ลมหายใจที่แผ่วเบาเริ่มคงที่รู้ “เข้า” รู้ “ออก” ไปด้วยทุกขณะจิต

    เมื่อนั่นเองจึงเกิดเป็นสมาธิขั้นต้น เป็น “ปฐมญาณ”

    จาก “ปฐมญาณ” ลุเข้า “ญาณสมาบัติ”

    มันเริ่มเห็นแสงสีที่มิเคยพบพาน กับเจ้าลูกกลมแก้วใสที่มา “ปุ๋ง” อยู่กลางของกลางในใจมันได้ยังไงไม่รู้

    จากสามชั่วยามกลายเป็นสามราตรี 

    และจากสามราตรีกลายเป็นสามสัปดาห์  ที่มันนั่งหลับตาอยู่ของมันอย่างนั้น  โดยมีพี่เสือของมันหมอบเฝ้าอยู่ข้างกาย เพื่อคอยระแวดระวังภัยอันอาจจะเกิดแก่ร่างมนุษย์น้องคนของมัน

    §         

    ครั้นพออายุลุเข้าสิบสองขวบปี ฤษีเฒ่าก็จับแสงสุรีย์หัดอาวุธ

    พี่เสือของมันมองดูน้องคนฟันดาบกับหุ่นพยนต์ทุกวัน  แรกๆมันไม่เข้าใจคิดว่าหุ่นพยนต์ที่ฤษีเฒ่าเสกขึ้นเป็นคู่ซ้อมจะทำร้ายน้องคนของมัน  มันก็กระโจนตะปบเสียหลายครั้งจนฤษีเฒ่าค้อนตาเขียว

    “ไอ้วสิน  มึงจะตะปบหุ่นพยนต์ตูทำไม”

    เสียงฤษีเฒ่าเอ็ดเสียงหลงมาจากบนอาศรมสถาน

    เจ้าพี่เสือจึงได้แต่สะแหยะยิ้มแล้วเดินจากมา

    จากหุ่นพยนต์หนึ่งตัวกลายเป็นสองตัว แล้วก็สาม สี่ ห้า ตามลำดับ

    แต่น้องมนุษย์ของมันก็รับมือได้อย่างสบายปรื๋อ

    §         

    ครั้นพออายุลุเข้าสิบสาม ก็ถึงคราวเรียน “พระเวทมนต์ตรา”

    เจ้าน้องคนเจ้าเล่ห์แอบใช้ “คาถากำบังตน” บังตาพี่เสือของมันเวลาเล่นซ่อนหาด้วยกัน 

    §         

    แลเพียงพริบตาเดียวกาลก็ลุเข้ายี่สิบขวบปี 

    เจ้าน้องคนกลายเป็นหนุ่มฉกรรจ์ มันมิอาจขี่หลังพี่เสือของมันเที่ยวเล่นเช่นแต่ก่อน แต่เปลี่ยนการละเล่นกับพี่เสือของมันเป็นมวยปล้ำระหว่างเสือกับคน

    บางครั้งพี่เสือของมันมันเขี้ยวตะปบเอาแรงๆ  แต่ก็หาได้ระคายผิวเจ้าน้องคนของมันไม่ เพราะบัดนี้มันสำเร็จ “ตรีสุปัญญะวิชา” แล้ว  ผิวกายจึงเป็นทองแดง อุ้งเล็บของพี่มันจึงมิอาจทำอันตรายใดๆ ได้

    §         

    กาลเวลาซึ่งล่วงเลยมาตลอดยี่สิบขวบปีนับแต่ผลัดแผ่นดิน  

    อโยธยาแห่งยุคถูกขยายแผ่พระราชอาณาเขตออกไปทั้งสี่ทิศ  ราชธานีที่มีเคยมีสัณฐานเรียวยามตามลำน้ำนั้น บัดนี้แปลเปลี่ยนสัณฐานเป็นคลายดังผลมะม่วงสุก

    ทั้งนี้ก็เป็นไปด้วยเพราะความเกรียงไกรของยอดกองทัพแห่งอโยธยา ภายใต้การนำขององค์หริวัสนั่นเอง

    เพราะนับแต่พระองค์ขึ้นเถลิงราช ก็โปรดเกล้าให้มีการเกณฑ์ไพร่พลออกรบทัพจับศึกมิได้ขาด   ตลอดยี่สิบขวบปีที่พ้นผ่าน  อโยธยาจึงต้องกระทำศึกถึงสิบเอ็ดครั้งสิบเอ็ดครา 

    จากที่เคยดำรงสถานะเป็นรัฐหนึ่งในลุ่มแม่น้ำ ก็กลายเป็นสหพันธ์รัฐที่กรอบขึ้นด้วยสิบสองแว่นแคว้น  เป็นราชอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในลุ่มแม่น้ำอโยธยา

    §         

    หากแต่ว่ามันเป็นยี่สิบขวบปีที่เหล่าอนาประชาราษฏร์ได้ยาก

    ชายไร่ชาวนาถูกขูดรีด  พ่อค้าวานิสถูกเก็บภาษีส่วยสูง ซ้ำยังมีพวกฉ้อราษฏร์บางคนเบียดบังเข้าพกเข้าห่อเป็นของๆ ตน  อนาประชาราฏร์ที่เดือนร้อยอยู่แล้ว จึงทุกข์เข็ญแสนสาหัส

    เพราะบ้านเมืองเป็นทุรยศปรากฏไปทั่วทุกหย่อมหญ้า  จึงทำให้เกิดมีกลุ่มผู้ไม่พอใจในการปกครองขององค์หริวัสรวบรวมสมัครพรรคพวกก่อกำเนิดองค์การหนึ่งขึ้น

    องค์กรของผู้มุ่งหวังจะปลดแอกความเป็นทาสให้กับชนทั้งปวง 

    ผู้คนจึงขนานนามองค์กรนี้ว่า เสรีชน  ชนผู้จะปลดปล่อยประชาสู่เสรี

    เสรีชน จึงเป็นเหมือนหอกข้างแคร่ที่คอยทิ่มแทงใจองค์หริวัสให้ได้เจ็บแสบอยู่เสมอๆ    

    การปราบปรามเป็นไปอย่างหนัก  แต่ก็มิอาจทำให้หอกข้างแคร่ด้านนี้หมดไป  กลับทำให้มันลุกลามแพร่เครือขายสาขาออกไปทั่วทุกหนแห่งในแผ่นดิน

    §         

    แต่ในความทุรยศทุกข์เข็ญนั้น กลับบังเกิดความปิติยินดีหนึ่งขึ้นในกลางหัวใจของชาวอโยธยาทั้งปวง  นั่นก็ ความงาม ที่อุบัติขึ้นกลางมิคสัญญี  

    ความงามที่งามหมดจด ทั้งข้างนอกและข้างใน

    ความงามที่เหล่าชาวประชายกย่องและหวังเป็นที่พึ่งสุดท้ายในทุรยศยุคเข็ญเช่นนี้

    สาวิตรี อรทัยขวัญฟ้า... นางผู้เป็นพระแม่ศรีเมืองแห่งอโยธา

    นางหาได้สืบเชื้อสายโคตรวงศ์แห่งอโยธยาไม่  แต่เป็นอีกเผ่าพงศ์ที่อยู่อีกฝากหนึ่งของมหานทีสีทันดรอันไกลโพ้น  

    ลือกันว่า เมื่อครั้งผลัดแผ่นดินใหม่ๆ  องค์หริวัสต้องการพิสูจน์ศักยฤทธิ์แห่งตน จึงเสด็จออกไปท้าสัปยุทธ์ด้วยเจ้าสมุทรทั้งสี่แห่งมหานทีสีทันดร

    มหายุทธครั้งนั้นอลังการแลเป็นที่โจทย์จันท์ไปทั้งสามโลก

    หนึ่งมนุษย์ท้าสัปยุทธ์สี่พญานาคราช

    ผลคือ พญานาคาทั้งสี่เป็นฝ่ายพ่าย  ทั้งนี้ก็ด้วยเพราะฤทธิ์แห่ง สัตตอาวุธ อาวุธแห่งเทพเจ้านั่นเอง

    เมื่อนั้นพญานาคาทั้งสี่จึงคลาย มุกราตรี วิเศษออกมาเป็นเครื่องบรรณาการแก่จอมกษัตริย์ องค์หริวัสจึงนำมาหลอมรวมกันแล้วนำไปบรรจุไว้ในดอกสัตตบงกช ดอกบัวเจ็ดสีในตำนานเทพปกรณัม  ซึ่งขึ้นอยู่ใจกลางมหานทีสีทันดร

    ครั้นพอครบเจ็ดราตรี มุกราตรีก็กลายเป็นพระกุมารี   

    เพียงแรกพบ... องค์หริวัสก็เกิดจิตปฏิบัติให้เอ็นดูต่อพระกุมารีเป็นยิ่งนัก  

    แลชะรอยจะเป็นกุศลส่งแต่บางบรรพ์  จึงได้มาร่วมกรรมเป็นพระบิดาอีกในชาติภพนี้ 

    ทรงจัดให้มีการฉลองสมโภชรับขวัญพระธิดาองค์น้อย พร้อมสถาปนาขึ้นเป็นเจ้า แล้วให้เรียกขานพระนามธิดาองค์น้อยนี้ว่า สาวิตรี

    นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา สาวิตรีอรทัยขวัญฟ้า ก็เป็นศรีแก่มหานครอโยธยาแห่งนี้

    §         

    ครั้นยิ่งเจริญชันษาขึ้น...พระศิริโฉมก็ปรากฏให้เห็เด่นชัดขึ้น  องค์หริวัสก็ยิ่งหลงรักแม้นจะมิใช่ลูกในอุทร

    พระจาริยะวัตรก็งดงามหมดจด  น้ำพระทัยก็กอบด้วยอารีย์   

    ด้วยเพราะเพียงลุเข้าห้าชันษา... ก็ถูกแม่ชีมาติกา ผู้เป็นพระมารดาในองค์หริวัส พาเข้าอาศรมสถานยัง วิหารเทพ เพื่อบ่มเพราะ ใจ ให้ขวักไขว้ใน กุศลจิต

    ห้าชันษา...  ก็ตั้งโรงอาหารเป็นทานแก่ผู้ยาก

    สิบชันษา... ละจุกที่เกล้าไว้เพื่อแสดงความเป็นเด็ก ก็ตั้งโรงหมอรักษาโรคภัยต่างๆแก่ประชา

    สิบสองชันษา... ก็เพียรศึกษาแพทย์วิทยาจากสำนักวิหารเทพจนจบสิ้น  และออกรักษาผู้ป่วยต่างๆ ด้วยพระองค์เอง  และทรงกระทำเช่นนี้โดยมิเห็นแก่เหน็ดเหนื่อย

    §         

    คราหนึ่งนางกำนัลผู้เป็นพี่เลี้ยงใกล้ชิดทูลถามว่า เหตุใดจึงทรงกระทำการอันเป็นภาระหนักเกินวัยของพระองค์เช่นนี้ 

    พระธิดาองค์น้อยมีรับสั่งตอบว่า  

    กรรมแห่งพระบิดาของเรานั้นหนักนัก  ชะลอเห็นจะมีแต่วิธีนี้ถ่ายเดียวที่จะผ่อนหนักให้เป็นเบาลงได้  หากแม้นความเหนื่อยกายอันเราพึ่งมีในเพลานี้ จะทำให้กรรมของพระราชบิดาบรรเทาเบาบางลงได้แล้วไซร้ เราเต็มใจจักทำ

    และด้วยน้ำพระทัยที่กอปรไปด้วยควมอารีย์ยิ่งนี้จึงทำให้ผู้คนให้การขนานพระนามพระองค์ใหม่ว่า พระแม่พระแห่งอโยธยา

    ดังนั้นคราวใดที่เสด็จออกเพื่อกระทำพระราชพิธีต่างๆ  ชาวประชาจะพากันแห่แหนมารอเฝ้าเจ้าหญิงองค์น้อยเพื่อชื่นชมพระบารมี

    เฉกเช่นเดียวกับวันนี้เช่นกัน...

    ซึ่งเป็นวันมหามิ่งมงคลที่เจ้าหญิงน้อยเจริญวัยครบสิบแปดชันษา 

    พระธิดาประทับบนหลังช้างต้นพร้อมสมเด็จพระราชบิดา เพื่อเสด็จไปประกอบพิธีบวงสรวงเทพเจ้ายังวิหารเทพ  

    เหล่าพสกนิกรทั่วหล้าต่างพร้อมใจกันแห่แหนมาเฝ้าเพื่อถวายพระพรชัย

    หริวัสแม้นเรืองฤทธิ์และเดชาศักดานุภาพ สามารถทำให้คนทั้งแผ่นดินรอบลุ่มน้ำอโยธยายอมสยบราบอยู่ใต้เบื้องยุคลบาทของพระองค์ 

    แต่นั้นก็เป็นเพราะความยำเกรงในพระราชอำนาจของพระองค์  หาใช่ความจงรักภัคดีอย่างที่พสกนิกรทั้งหลายมีต่อพระธิดาของพระองค์

    มันเป็นสิ่งที่พระองค์ถวิลหา และรู้ว่าย่อมไม่มีวันบังเกิดขึ้นกับพระองค์

    §         

    แล้ววันหนึ่งเรื่องประหลาดก็เกิดในนครอโยธยา เมื่อมียาจกเข็ญใจนายหนึ่งเที่ยวเร่ประกาศขายแผนที่มหาขุมทรัพย์

    §         

    อะไรนะ  เจ้าว่าขายแผนที่ขุมทรัพย์อย่างนั้นเหรอ

    หริวัสทวนคำอย่างแปลกใจ

    พะย่ะค่ะ แม่ทัพเอกนฤบาลกราบทูล เห็นว่าเป็นขุมทรัพย์แห่งมณีนพเก้าพระเจ้าข้า

    นามนั่นทำให้หริวัสพระทัยเต้นไม่เป็นจังหวะ 

    นามที่ไม่ได้ยินมานานแสนนาน  หากแต่นามนั้นยังก้องอยู่ในหัวมิเคยลืมเลือน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×