ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : เพลงที่ 3: มุ่งหน้าสู่นครหลวง (Get your hands off me, you jerk!)
เพลงที่ 3: มุ่งหน้าสู่นครหลวง (Get your hands off me, you jerk!)
“ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้!” เสียงของสตรีแหวสูง ยามที่ร่างของบุคคลทั้งสองเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจากต้นไม้หนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่ง หวินติ้วทั้งตะโกนทั้งพยายามสะบัดให้หลุดเป็นอิสระจากการจับกุมของบุรุษนามซงเกียด “ข้าจะกลับไปช่วยท่านเจียรับมือกับพวกมัน!”
“เงียบซะ” เสียงของบุรุษคนดังกล่าวเย็นเยียบ “ท่านมีแต่จะทำให้ความตั้งใจของท่านอาจารย์เสียเปล่า” คราวนี้หวินติ้วชะงักก่อนจะเอ่ยถาม
“เจ้าเป็นศิษย์ของท่านเจียหรือ” นางไม่อาจเก็บงำความสงสัยไว้ได้ ทั้งนี้เพราะเจียถิงถิงเป็นสตรีเพียงไม่กี่คนที่ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสิบสองขุนพลฟ้า นางฝีมือร้ายกาจ ผู้คนมากมายเดินทางมายังหอคลังวิชาการเพื่อขอสมัครเป็นศิษย์นาง แต่ก็ไม่มีใครที่นางยอมสอนวิชาให้
“ท่านอาจารย์เป็นคนเก็บข้ามาเลี้ยง” คำตอบแม้อาจฟังไม่ตรงคำถามในตอนแรก หากเมื่อทบทวนดูดีๆแล้วจะรู้ว่าบุรุษคนนี้มีสายสัมพันธ์กับสตรีแห่งสิบสองขุนพลฟ้ามากกว่าแค่ศิษย์และอาจารย์ เมื่อคิดได้ดังนั้นหวินติ้วก็ถามขึ้นอีกด้วยความเป็นห่วง
“เจ้าไม่ห่วงท่านเจียบ้างรึไร” นางสังเกตเห็นแววตาของชายหนุ่มไหววูบชั่วครู่ กระนั้นเขาก็ยังคงเอ่ยด้วยเสียงสงบเหมือนเคย
“ท่านอาจารย์เป็นจอมยุทธ์ที่เก่งที่สุดที่ข้าเคยพบในแดนบูรพา” หวินติ้วเงยหน้าขึ้นสบมองบุรุษผู้ตอบไม่เคยตรงคำถาม สีหน้าของเขายังสงบนิ่งอย่างคนเก็บความรู้สึกเก่ง สุดท้ายแล้วนางจึงทำได้แค่เชื่อมั่นในคำพูดนั้นด้วยอีกคน...
ตุบ!
เสียงของหนักๆกระแทกลงบนพื้น เมื่อร่างของบุรุษในชุดดำนามแพเน้งถูกการโจมตีจากบุรุษในชุดจีนสีน้ำเงินจนสลบไป ส่วนแจมิงที่เคยประมือกับมันเล่าก็สลบไปก่อนหน้าแล้ว
บัดนี้จึงเหลือเพียงสตรีสองนางที่ยังคงยืนหยัดอยู่ หนึ่งนั้นคือมือกันหยงผู้เฝ้าทวารทักษิณในสภาพหอบด้วยความอ่อนล้า ขณะที่สตรีชุดขาวเจ้าของหอคลังอยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัสยิ่งกว่า
“ท่านร้ายกาจสมคำเล่าลือจริงๆ ท่านเจ้าหอ” นางผู้บุกรุกยิ้มพราย แต่เจียถิงถิงรู้ดีว่าหล่อนกำลังยิ้มเยาะ เมื่อพิจารณาจากสภาพของบุรุษชุดน้ำเงินที่มีเพียงรอยขีดข่วนเล็กน้อยนั่นแล้ว คำชมของนางก็ไม่ได้หมายความอย่างที่พูดสักนิด
“พวกเจ้าต้องการคัมภีร์ฟ้าไปเพื่ออะไร” เจียถิงถิงเอ่ยถามเป็นครั้งแรก “คัมภีร์นั่นไม่ใช่ของที่จะเอามาใช้พร่ำเพรื่อ บทเพลงที่ลงอาคมสวรรค์และนรก ไม่ควรจะเอามาใช้ในโลกมนุษย์นี้”
“หืมม์” นางในชุดกี่เพ้าพึมพำในคอ มือที่ถือพัดโบกน้อยๆราวกับอากาศในค่ำคืนนี้ร้อนนักหนา “ท่านรู้เรื่องเกี่ยวคัมภีร์ฟ้าจริงๆนั่นแหละ”
“เรื่องของคัมภีร์นั่น ใครๆก็รู้” สตรีในชุดขาวต่อคำ
“หากรู้แล้ว ท่านน่าจะเข้าใจว่าเหตุใดใครต่อใครถึงได้ต้องการคัมภีร์นั่นนัก” อีกฝ่ายเอ่ย “อย่าว่าแต่พวกข้าเลยท่านเจ้าหอ รู้หรือไม่ว่าในตอนนี้เหล่าสำนักต่างๆล้วนแต่เริ่มเคลื่อนไหว เพื่อสืบเสาะหาเบาะแสของคัมภีร์ฟ้า...ใช่แล้ว...” ประโยคต่อมานางเว้นจังหวะเหมือนยั่วให้อยากรู้ “...ท่านคงจะรู้จักสมาพันธ์นักฆ่าสี่ดินแดน...”
“อะไรนะ!” เมื่อได้ยินเรื่องราวจากสตรีชุดแดงก็ได้แต่ตกตะลึง เมื่อนามของสมาพันธ์นักฆ่าถูกอ้างถึง
“สหายสนิทของท่านที่เคยร่วมสำนักเดียวกันแต่กาลก่อน...ปราณไร้เงาฮวยบ่อสี บัดนี้คงไว้เพียงแต่นามให้ชาวยุทธ์ได้จดจำ”
“สามหาว!” มือกันหยงที่นิ่งมานานอดรนทนไม่ได้เมื่อบุรุษผู้เป็นเสมือนคนที่เป็นแบบอย่างถูกหยามเกียรติ หากทว่านางในชุดขาวข้างๆกลับยืนสดับนิ่ง เจียถิงถิงเม้มริมฝีปากนิดเพื่อสะกดอารมณ์ก่อนเอ่ย
“พวกเจ้าเป็นคนลงมืองั้นหรือ” เสียงนั้นขาดหายเป็นห้วงๆ แต่สตรีตรงหน้ากลับยิ้มย่องก่อนตอบอย่างถูกใจนักหนา
“หงส์ไม่ยุ่งเกี่ยวกับงานของมังกร ท่านเจ้าหอ” ว่าแล้วนางก็หัวเราะคิก ปล่อยให้ผู้ฟังรู้สึกเหมือนถูกตีแสกหน้า
มังกร...หรือจะเป็นพวกนั้น มือกันหยงหน้าเผือดสี ขณะที่ความคิดของสตรีข้างตัวชัดเจนกว่า
มังกรบูรพา!
“เอาล่ะ... ข้าจะขอฟังคำตอบจากท่านเป็นครั้งสุดท้าย... คัมภีร์ฟ้าอยู่ที่ไหน” เสียงที่เคยหวานของสตรีชุดแดงบัดนี้เย็นเยียบ นางสะบัดปลายพัดชี้ไปยังร่างบางของสตรีแห่งสิบสองขุนพลฟ้าที่เวลานี้ยังคงยืนนิ่ง
ฮวยตายแล้ว... เจียถิงถิงสดับความคิด ...คัมภีร์ฟ้าอยู่กับหวินติ้ว... กว่าจะหาผู้พิทักษ์คัมภีร์เจอคงจะกินเวลาไม่น้อย...ทว่า นั่นก็เป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่...จะให้พวกมันได้คัมภีร์ไปครอบครองไม่ได้เด็ดขาด!
เจียถิงถิง ข่มตาลงแล้วส่งกระแสจิตให้กับผู้เฝ้าทวารทักษิณ
‘...กันหยง เจ้าจงพาแพเน้งกับแจมิงหนีไปเสีย ...รีบตามไปสมทบกับหวินติ้วและซงเกียดเพื่อแจ้งข่าวเกี่ยวกับสมาพันธ์นักฆ่าสี่ดินแดนก่อนที่จะสายเกินแก้ หากเก้าดาวมังกรเป็นหนึ่งในกลุ่มที่หมายตาคัมภีร์ฟ้าเอาไว้ล่ะก็ นครหลวงก็เป็นที่ที่อันตรายสำหรับพวกเขาทั้งสอง...เจ้าจงรีบไป ส่วนทางนี้ ข้าจะสกัดพวกมันเอาไว้’
คำพูดพยางค์สุดท้ายของนางผู้เปรียบเสมือนมารดา ทำให้กันหยงตื่นตระหนก ส่งกระแสจิตตอบกลับไป
‘ท่านเจ้าหอ จะให้ข้าทิ้งท่านไว้ได้อย่างไรเจ้าคะ...’
‘ไม่มีเวลาแล้ว เจ้าจงไปเสีย...นี่คือความหวังสุดท้ายของพวกเรา!!’
สิ้นพยางค์สุดท้าย พลังลมปราณของสตรีในชุดขาวก็พุ่งสูงจนทุกคนในที่นั้นรับรู้ได้ นางสะบัดพ้าแพรให้พุ่งไปพันธนาการร่างของสองผู้บุกรุกเอาไว้ ขณะส่งสัญญาณให้กันหยงพาผู้เฝ้าประตูอีกสองคนหนีไป
“ท่านคงไม่คิดว่าผ้าแพรบอบบางนี่จะสามารถจับกุมพวกข้าได้หรอกใช่ไหม ท่านเจ้าหอ”
“ข้าไม่คิด” เจียถิงถิงต่อคำ นางเหลือบมองด้วยหางตา ครั้นเมื่อเห็นว่าร่างของคนทั้งสามหายไปจากห้องแล้ว จึงข่มตาลง
ฮวย...ข้าเชื่อว่าการที่เจ้ายอมสละชีวิตเอาคัมภีร์ฟ้าออกมาจะต้องมีเหตุผลที่สำคัญอะไรอยู่เป็นแน่ ...ดังนั้นข้าก็จะขอปกป้องสิ่งที่เจ้ายอมพลีชีพรักษาไว้โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
“เวลาของพวกเจ้าจะต้องหยุดลงที่นี่ตลอดกาล” เจียถิงถิงกล่าวเสียงเย็นเยียบ ในดวงตาของนางเวลานี้แข็งกร้าวเย็นชา และว่างเปล่า ดุจท้องฟ้าในเวลาเหมันต์ นางสะบัดชายเสื้อด้านหนึ่งเข้าหาตัวเองเรียกหยาดโลหิตไหลซึมลงมาตามเนื้อผ้าราวหยดโลหิตบนหิมะขาว รังสีแห่งการฆ่าฟันพุ่งขึ้นสูงในชั่วพริบตาขณะที่ผ้าแพรถูกย้อมเป็นสีแดงลุกลามมาจนถึงร่างของผู้ถูกจับกุม สตรีในชุดกี่เพ้าพยายามจะดิ้นเพื่อให้ร่างตนให้เป็นอิสระหากก็ไม่เป็นผล
“ท่านจะทำอะไร?!” รอยยิ้มเยาะที่เคยปรากฏเสมอบัดนี้จางหายไม่มีเหลือ แม้แต่บุรุษในชุดจีนที่มีฝีมือเก่งกาจก็ไม่อาจสะบัดผ้าบางนั้นให้ขาดได้ สุดท้ายแล้วเมื่อผ้าสีขาวถูกย้อมด้ยโลหิตจนชุ่ม เจียถิงถิงก็กระตุกผ้าเพื่อดึงร่างของผู้บุกรุกเข้ามาหาตัวอย่างรวดเร็ว
“แพรพรรณสีโลหิต!!”
นั่นเป็นเสียงสุดท้ายก่อนที่ภาพในคลองสายตาจะถูกชโลมด้วยสีแดงฉานของโลหิตที่แปรเป็นเข็มแหลมนับร้อยพันแทงทะลุจากร่าง!!
“ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้!” เสียงของสตรีแหวสูง ยามที่ร่างของบุคคลทั้งสองเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจากต้นไม้หนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่ง หวินติ้วทั้งตะโกนทั้งพยายามสะบัดให้หลุดเป็นอิสระจากการจับกุมของบุรุษนามซงเกียด “ข้าจะกลับไปช่วยท่านเจียรับมือกับพวกมัน!”
“เงียบซะ” เสียงของบุรุษคนดังกล่าวเย็นเยียบ “ท่านมีแต่จะทำให้ความตั้งใจของท่านอาจารย์เสียเปล่า” คราวนี้หวินติ้วชะงักก่อนจะเอ่ยถาม
“เจ้าเป็นศิษย์ของท่านเจียหรือ” นางไม่อาจเก็บงำความสงสัยไว้ได้ ทั้งนี้เพราะเจียถิงถิงเป็นสตรีเพียงไม่กี่คนที่ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสิบสองขุนพลฟ้า นางฝีมือร้ายกาจ ผู้คนมากมายเดินทางมายังหอคลังวิชาการเพื่อขอสมัครเป็นศิษย์นาง แต่ก็ไม่มีใครที่นางยอมสอนวิชาให้
“ท่านอาจารย์เป็นคนเก็บข้ามาเลี้ยง” คำตอบแม้อาจฟังไม่ตรงคำถามในตอนแรก หากเมื่อทบทวนดูดีๆแล้วจะรู้ว่าบุรุษคนนี้มีสายสัมพันธ์กับสตรีแห่งสิบสองขุนพลฟ้ามากกว่าแค่ศิษย์และอาจารย์ เมื่อคิดได้ดังนั้นหวินติ้วก็ถามขึ้นอีกด้วยความเป็นห่วง
“เจ้าไม่ห่วงท่านเจียบ้างรึไร” นางสังเกตเห็นแววตาของชายหนุ่มไหววูบชั่วครู่ กระนั้นเขาก็ยังคงเอ่ยด้วยเสียงสงบเหมือนเคย
“ท่านอาจารย์เป็นจอมยุทธ์ที่เก่งที่สุดที่ข้าเคยพบในแดนบูรพา” หวินติ้วเงยหน้าขึ้นสบมองบุรุษผู้ตอบไม่เคยตรงคำถาม สีหน้าของเขายังสงบนิ่งอย่างคนเก็บความรู้สึกเก่ง สุดท้ายแล้วนางจึงทำได้แค่เชื่อมั่นในคำพูดนั้นด้วยอีกคน...
ตุบ!
เสียงของหนักๆกระแทกลงบนพื้น เมื่อร่างของบุรุษในชุดดำนามแพเน้งถูกการโจมตีจากบุรุษในชุดจีนสีน้ำเงินจนสลบไป ส่วนแจมิงที่เคยประมือกับมันเล่าก็สลบไปก่อนหน้าแล้ว
บัดนี้จึงเหลือเพียงสตรีสองนางที่ยังคงยืนหยัดอยู่ หนึ่งนั้นคือมือกันหยงผู้เฝ้าทวารทักษิณในสภาพหอบด้วยความอ่อนล้า ขณะที่สตรีชุดขาวเจ้าของหอคลังอยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัสยิ่งกว่า
“ท่านร้ายกาจสมคำเล่าลือจริงๆ ท่านเจ้าหอ” นางผู้บุกรุกยิ้มพราย แต่เจียถิงถิงรู้ดีว่าหล่อนกำลังยิ้มเยาะ เมื่อพิจารณาจากสภาพของบุรุษชุดน้ำเงินที่มีเพียงรอยขีดข่วนเล็กน้อยนั่นแล้ว คำชมของนางก็ไม่ได้หมายความอย่างที่พูดสักนิด
“พวกเจ้าต้องการคัมภีร์ฟ้าไปเพื่ออะไร” เจียถิงถิงเอ่ยถามเป็นครั้งแรก “คัมภีร์นั่นไม่ใช่ของที่จะเอามาใช้พร่ำเพรื่อ บทเพลงที่ลงอาคมสวรรค์และนรก ไม่ควรจะเอามาใช้ในโลกมนุษย์นี้”
“หืมม์” นางในชุดกี่เพ้าพึมพำในคอ มือที่ถือพัดโบกน้อยๆราวกับอากาศในค่ำคืนนี้ร้อนนักหนา “ท่านรู้เรื่องเกี่ยวคัมภีร์ฟ้าจริงๆนั่นแหละ”
“เรื่องของคัมภีร์นั่น ใครๆก็รู้” สตรีในชุดขาวต่อคำ
“หากรู้แล้ว ท่านน่าจะเข้าใจว่าเหตุใดใครต่อใครถึงได้ต้องการคัมภีร์นั่นนัก” อีกฝ่ายเอ่ย “อย่าว่าแต่พวกข้าเลยท่านเจ้าหอ รู้หรือไม่ว่าในตอนนี้เหล่าสำนักต่างๆล้วนแต่เริ่มเคลื่อนไหว เพื่อสืบเสาะหาเบาะแสของคัมภีร์ฟ้า...ใช่แล้ว...” ประโยคต่อมานางเว้นจังหวะเหมือนยั่วให้อยากรู้ “...ท่านคงจะรู้จักสมาพันธ์นักฆ่าสี่ดินแดน...”
“อะไรนะ!” เมื่อได้ยินเรื่องราวจากสตรีชุดแดงก็ได้แต่ตกตะลึง เมื่อนามของสมาพันธ์นักฆ่าถูกอ้างถึง
“สหายสนิทของท่านที่เคยร่วมสำนักเดียวกันแต่กาลก่อน...ปราณไร้เงาฮวยบ่อสี บัดนี้คงไว้เพียงแต่นามให้ชาวยุทธ์ได้จดจำ”
“สามหาว!” มือกันหยงที่นิ่งมานานอดรนทนไม่ได้เมื่อบุรุษผู้เป็นเสมือนคนที่เป็นแบบอย่างถูกหยามเกียรติ หากทว่านางในชุดขาวข้างๆกลับยืนสดับนิ่ง เจียถิงถิงเม้มริมฝีปากนิดเพื่อสะกดอารมณ์ก่อนเอ่ย
“พวกเจ้าเป็นคนลงมืองั้นหรือ” เสียงนั้นขาดหายเป็นห้วงๆ แต่สตรีตรงหน้ากลับยิ้มย่องก่อนตอบอย่างถูกใจนักหนา
“หงส์ไม่ยุ่งเกี่ยวกับงานของมังกร ท่านเจ้าหอ” ว่าแล้วนางก็หัวเราะคิก ปล่อยให้ผู้ฟังรู้สึกเหมือนถูกตีแสกหน้า
มังกร...หรือจะเป็นพวกนั้น มือกันหยงหน้าเผือดสี ขณะที่ความคิดของสตรีข้างตัวชัดเจนกว่า
มังกรบูรพา!
“เอาล่ะ... ข้าจะขอฟังคำตอบจากท่านเป็นครั้งสุดท้าย... คัมภีร์ฟ้าอยู่ที่ไหน” เสียงที่เคยหวานของสตรีชุดแดงบัดนี้เย็นเยียบ นางสะบัดปลายพัดชี้ไปยังร่างบางของสตรีแห่งสิบสองขุนพลฟ้าที่เวลานี้ยังคงยืนนิ่ง
ฮวยตายแล้ว... เจียถิงถิงสดับความคิด ...คัมภีร์ฟ้าอยู่กับหวินติ้ว... กว่าจะหาผู้พิทักษ์คัมภีร์เจอคงจะกินเวลาไม่น้อย...ทว่า นั่นก็เป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่...จะให้พวกมันได้คัมภีร์ไปครอบครองไม่ได้เด็ดขาด!
เจียถิงถิง ข่มตาลงแล้วส่งกระแสจิตให้กับผู้เฝ้าทวารทักษิณ
‘...กันหยง เจ้าจงพาแพเน้งกับแจมิงหนีไปเสีย ...รีบตามไปสมทบกับหวินติ้วและซงเกียดเพื่อแจ้งข่าวเกี่ยวกับสมาพันธ์นักฆ่าสี่ดินแดนก่อนที่จะสายเกินแก้ หากเก้าดาวมังกรเป็นหนึ่งในกลุ่มที่หมายตาคัมภีร์ฟ้าเอาไว้ล่ะก็ นครหลวงก็เป็นที่ที่อันตรายสำหรับพวกเขาทั้งสอง...เจ้าจงรีบไป ส่วนทางนี้ ข้าจะสกัดพวกมันเอาไว้’
คำพูดพยางค์สุดท้ายของนางผู้เปรียบเสมือนมารดา ทำให้กันหยงตื่นตระหนก ส่งกระแสจิตตอบกลับไป
‘ท่านเจ้าหอ จะให้ข้าทิ้งท่านไว้ได้อย่างไรเจ้าคะ...’
‘ไม่มีเวลาแล้ว เจ้าจงไปเสีย...นี่คือความหวังสุดท้ายของพวกเรา!!’
สิ้นพยางค์สุดท้าย พลังลมปราณของสตรีในชุดขาวก็พุ่งสูงจนทุกคนในที่นั้นรับรู้ได้ นางสะบัดพ้าแพรให้พุ่งไปพันธนาการร่างของสองผู้บุกรุกเอาไว้ ขณะส่งสัญญาณให้กันหยงพาผู้เฝ้าประตูอีกสองคนหนีไป
“ท่านคงไม่คิดว่าผ้าแพรบอบบางนี่จะสามารถจับกุมพวกข้าได้หรอกใช่ไหม ท่านเจ้าหอ”
“ข้าไม่คิด” เจียถิงถิงต่อคำ นางเหลือบมองด้วยหางตา ครั้นเมื่อเห็นว่าร่างของคนทั้งสามหายไปจากห้องแล้ว จึงข่มตาลง
ฮวย...ข้าเชื่อว่าการที่เจ้ายอมสละชีวิตเอาคัมภีร์ฟ้าออกมาจะต้องมีเหตุผลที่สำคัญอะไรอยู่เป็นแน่ ...ดังนั้นข้าก็จะขอปกป้องสิ่งที่เจ้ายอมพลีชีพรักษาไว้โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
“เวลาของพวกเจ้าจะต้องหยุดลงที่นี่ตลอดกาล” เจียถิงถิงกล่าวเสียงเย็นเยียบ ในดวงตาของนางเวลานี้แข็งกร้าวเย็นชา และว่างเปล่า ดุจท้องฟ้าในเวลาเหมันต์ นางสะบัดชายเสื้อด้านหนึ่งเข้าหาตัวเองเรียกหยาดโลหิตไหลซึมลงมาตามเนื้อผ้าราวหยดโลหิตบนหิมะขาว รังสีแห่งการฆ่าฟันพุ่งขึ้นสูงในชั่วพริบตาขณะที่ผ้าแพรถูกย้อมเป็นสีแดงลุกลามมาจนถึงร่างของผู้ถูกจับกุม สตรีในชุดกี่เพ้าพยายามจะดิ้นเพื่อให้ร่างตนให้เป็นอิสระหากก็ไม่เป็นผล
“ท่านจะทำอะไร?!” รอยยิ้มเยาะที่เคยปรากฏเสมอบัดนี้จางหายไม่มีเหลือ แม้แต่บุรุษในชุดจีนที่มีฝีมือเก่งกาจก็ไม่อาจสะบัดผ้าบางนั้นให้ขาดได้ สุดท้ายแล้วเมื่อผ้าสีขาวถูกย้อมด้ยโลหิตจนชุ่ม เจียถิงถิงก็กระตุกผ้าเพื่อดึงร่างของผู้บุกรุกเข้ามาหาตัวอย่างรวดเร็ว
“แพรพรรณสีโลหิต!!”
นั่นเป็นเสียงสุดท้ายก่อนที่ภาพในคลองสายตาจะถูกชโลมด้วยสีแดงฉานของโลหิตที่แปรเป็นเข็มแหลมนับร้อยพันแทงทะลุจากร่าง!!
To be continued...(มั้ง)
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น