คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บท 2 ความขัดแย้งเมื่อแรกพบ
บท 2 ความขัดแย้งเมื่อแรกพบ
เสียงออดหน้าบ้านลั่นครวญ รบกวนเวลาคัดกรองมันสมองคิดผลงานประพันธ์ของรติ.....เธอผละออกจากเจ้าคอมพิวเตอร์ตรงหน้าเพื่อเดินไปเปิดประตูต้อนรับแขกผู้มาเยือน ขณะนี้กำลังคุยอยู่กับออดหน้าบ้าน ยังไงซะไม่น่าเป็นใครอื่นนอกจากเพื่อนรักเธอซึ่งโทรมาหาเธอเมื่อครู่ บอกให้รู้ว่ากำลังจะเข้ามาพบเพื่อคุยธุระบางอย่าง คงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากแพรพิมล เธอตัดขาดจากโลกวุ่นวายภายนอกมาช้านานจะมีใครสนใจย่างกรายมาเยี่ยมเธอ นอกเสียจากพ่อกับแม่ หรืออีกคนคือน้องสาวคนสวยของเธอ แต่รายนั้นอย่าไปนึกเลยว่าจะมีกะจิตกะใจแวะเวียนเยี่ยมพี่สาวผู้เดียวดาย เธอเบื่อพี่สาวคนนี้ยิ่งกว่าอะไรดี แต่ถ้าให้มาขอเงินเธอถนัดกว่า
เจ้าบ้านอย่างรติ เดินดุ่มออกจากออกจากคฤหาสห์ ไม่ใช่สิเรียกคฤหาสน์ไม่ได้แน่นอน ถ้าคฤหาสห์คงหมายถึงบ้านหลังตรงข้าม.....ซึ่งเธอแหงนมองมันราวหมามองเครื่องบินมาแรมปี เธอไม่ตื่นเต้นสักนิดกับการมาเยือนของเพื่อนสาว นอกจากเธอจะหาเรื่องวุ่นมาให้ อีกประเด็นคงจะเรื่องรักวุ่นวายของเจ้าหล่อนกับคนรักหนุ่ม หล่อนกำลังยืนส่งยิ้มตาหยีเพราะแสงแดดกำลังแผดเผาใบหน้าขาวนวลเนียนซึ่งลึกลงในใบหน้านั้นคือเครื่องสำอางค์แบลนด์ดังจากต่างประเทศเธอขยันไปหอบซื้อมาอยู่บ่อยครั้ง
“ยัยรติรีบๆ เปิดประตูเร็วสิ...ฉันร้อนจะละลายไปกองอยู่ที่พื้นอยู่แล้ว ผิวอันสวยงามของฉันถ้ามีอันต้องแปดเปื้อนฉันจะถือว่ามันเป็นความของแก.....เร็วเข้า”
เสียงสูงบาดแก้วหูเร่งให้เจ้าของบ้านต้องทำตามแบบไม่เต็มใจ ก่อนที่เธอจะกระโดดกัดคอ
เพื่อนสาวสุดสวย หัวนอกผู้ซึ่งพิศมัยสินค้าชั้นดีแบลนด์ดังหลากหลายจากต่างประเทศ เพิ่มโวลลุมโวยวายเสียงลั่นซอย มืออีกข้างซึ่งว่างจากการเกี่ยวเกาะกระเป๋าคู่ใจสุดหวง...ถูกยกขึ้นบังแดดซึ่งกำลังส่องเจิดจ้าบาดผิวเจ้าหล่อน เธอทนไม่ได้เลยหากต้องโดนรังสีอัลต้าไวโอเรตเล่นจู่โจม
“มาแล้วๆ...แกจะบ่นอะไรนักหนาวะอยู่เมืองไทยนานจนจะจากโลกไปแล้วทำเป็นทนไม่ได้กับอากาศร้อน.... แกน่ะมันสบายซะเคยร้อนนิดร้อนหน่อยทนไม่ได้”
“อะไรเสียไม่ว่านะเว้ย....ถ้าผิวฉันมีอันต้องหม่นหมองเสียความผ่องใสเนี่ยไม่ได้เลย....ขอบอก”
“ยัยเพื่อนบ้าเอ๊ยวันๆ แกทำอะไรวะ ช๊อปปิ้ง เที่ยว ควงผู้ชายคนเดิม งานแกมีเท่านี้เองรึไง”
“มันเรื่องความชอบส่วนตัวเว้ย.....ว่าแต่เถอะวันนี้ไม่ออกไปส่งต้นฉบับหรือวิ่งเข้าห้องสมุดหาข้อมูลหรอกรึ”
“จะไปไหนได้ก็แกบอกว่าจะมา”
“เออ...เออ...ใช่ๆ ฉันลืมไปว่าบอกให้แกรอ”
“แล้วไอ้ธุระของแกมันใช่เรื่องนั้นหรือเปล่าล่ะ”
“เรื่องนั้นเรื่องไหน”
แพรพิมลทำโยกโย้เพราะรู้ทั้งรู้ว่าจะต้องมาหาเพื่อนด้วยเรื่องสำคัญอะไร
“แหมเพื่อนรติ ตอนนี้ฉันก็มีเรื่องกลุ้มอยู่เรื่องเดียวแค่นั้นล่ะ”
“เรื่องพี่ต้นจอมเจ้าชู้ของแกรึ”
“บ้าแกพูดอย่างนั้นได้ไง พี่ต้นเขารักฉันยะ เจ้าชู้อะไรกันเขาเรียกว่ามีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้ามต่างหาก”
“เอาเหอะไอ้เสน่ห์น่ะมีให้มันน้อยลงก็น่าจะดีนะ เดี๋ยวรักเดี๋ยวร้องแบบนี้ฉันเซ็งวะ”
“อะไรของแกเดี๋ยวรักเดี๋ยวร้อง”
“อ้าวก็เดี๋ยวรักเดี๋ยวแกก็ร้องไห้มาหาฉัน...พอดีกันเมือ่ไหร่ก็ทิ้งฉัน”
“น้อยใจเพื่อนว่างั้น”
“เปล๊า....”
“สุ้มเสียงเหมือนตัดพ้อเลยนะเพื่อนรัก...” แพรพิมลเชยคางเพื่อนสาวเพื่อเป็นการปลอบประโลมและยอกเย้าในที
“พอๆ ฉันไม่ได้ถ่อมาหาแกเพื่อจะคุยเรื่องพี่ต้น คนรักของฉันเดี๋ยวฉันคุมเอง”
“ว่าแต่ยัยนักเขียนอย่างแกพร้อมจะรับภาระหนักอึ้งที่ฉันจะประทานมาให้ยัง”
“ภาระหนักอึ้ง รู้ว่าหนักเลยชิ่งซะงั้นทิ้งให้เพื่อนแทน”
“เออน่า...ถือว่าช่วยชิวิตเพื่อน และชีวิตเด็กตาดำๆมัน ถ้าแกไม่รับเขาไว้ฉันก็ตาย คนที่จะตายตามมาคือเด็กคนนั้น”
“ถึงขนาดต้องตายเลยรึไง พ่อแม่ที่ไหนเขาจะยอมให้ลูกตายกันจ๊ะ”
“ฉันน่ะไม่ชอบให้ใครมาบังคับจิตใจ โดยเฉพาะเรื่องคู่ครอง”
“แกเลยอาสาช่วยเขาอย่างเต็มที่ว่างั้น แล้วนี่อีตาเด็กคนนั้นไม่มาด้วยเหรอ”
“มาสิ ฉันให้เขานั่งรอในรถ”
“หน้าบาง ผิวบางพอกับแกเลยนะ”
“แหมแกพูดซะฉันเสียเลยนะ”
“จริงๆ แล้วเขาก็เรียนที่เมืองไทยตั้ง 4 ปี ก็น่าจะชินกับเมืองไทยแล้วนะ”
“เรียนก็เรียนนานาชาตินะแก กลับบ้านหรือจะไปไหนมีราชรถเกย ประมาณเด็กคุณหนูอยากหนีออกจากกรงทองที่ห้อมล้อม”
“แต่อย่างนี้เขาเรียกออกมาเผชิญโลกอย่างไม่มีแก่นสารมากกว่า....อยู่ดีกินดีแล้วยังอยากจะลำบากซะงั้น คนรวยเนี่ยเขาก็คิดกันแปลกๆ นะ”
“ตกลงแก่จะยืนคุยกับฉันอยู่หน้าบ้านแบบนี้ใช่ไม๊ ดีเหมือนกันฉันจะไม่ต้องเข้าไปเห็นเพื่อนๆ หนังสือกองมหึมาเต็มบ้านแก ให้ฉันอยู่กับเจ้าพวกหนังสือแบบนั้น ฉันขอเป็นพวกหนังสือแฟชั่นดีกว่า”
“จ้ายัยนางแบบ ยัยลูกผู้ดี แกกับฉันมันต่างกันนี่หว่า ฉันอยู่ได้เพราะหนังสือ แต่แกอยู่ได้เพราะการช๊อป”
สองสาวสนทนาถึงบุคคลที่สามโดยลืมไปว่าเขารออยู่นานแล้ว
“เอาอย่างนี้แล้วกันฉันจะพาเขาเข้ามาพบแก และฉันก็ฝากเขาไว้กับแกเลยดีไม๊"
“เอ้า...ทำไมแกทำแบบนั้นล่ะ แกไม่คิดรึไงว่าปล่อยเพื่อนไว้กับผู้ชายแปลกหน้า”
“โถ...มีหน้าตาเป็นอายุธอย่างแกปลอดภัยจากภัยผู้หญิงชัวร์”
“ไม่รู้ล่ะ อย่ามาทำกับฉันแบบนี้นะ เอาภาระมาให้ฉันยังจะหนีฉันไปอีก”
“ฉันรับรองแกจะไม่มีทางเป็นอันตราย เพราะอย่างแกคงไม่ใช่สิ่งที่เกิดมาเพื่อเขาอย่างแน่นอน”
“น่า..นะ รอฉันแป๊บเดียวฉันขอไปยกพัสดุกล่องโตแถมพัสดุดิ้นได้อีกต่างหากมาไว้ให้แกครอบครองเอ้ย....ดูแล”
แพรพิมลหมุนตัวกลับออกไปเพื่อนำพาบุคคลที่รออยู่ภายในรถ ป่านนี้เขาคนนั้นคงรอนานจนเซ็งแล้วกระมัง เพราะตั้งแต่มาถึงบ้านเพื่อนรักสุดสวาท ยังไม่หยุดเสวนากันเลย อุตส่าผู้ปกครองคนใหม่ให้กับเขาได้แล้ว เธอหายไปไม่นานนักก็พาใครคนนั้นกลับมาด้วย ปรอยผมซึ่งโผล่พ้นหมวกแก๊บใบพอดีกับศรีษะทำให้รู้ว่าเขาไม่ใส่ผู้ชายผมเกรียน แต่หากเขาเป็นผู้ชายผมสวยเอาการแต่ผมสวยของเขาถูกสีน้ำตาลของสารเคมีปกปิดไว้
แพรพิมลถือโอกาสหลบฉากออกมาจากตรงนั้นเพราะเธอมีนัดกับแฟนหนุ่มขี้หึงสุดจะบรรยายหากไปช้ากว่ากำหนดนัดหมายแพรพิมลมีหวังโดนเขาสวดยับแน่
“รติ ฝากนายคิมอินวอน ด้วยนะนึกว่าสงสารลูกหมาตัวเล็กพลัดถิ่นมาขอที่พึ่งนะ”
“ลูกหมาตัวเล็กๆ เล็กบ้าเตี่ยแกสิ แถวบ้านฉันไม่เรียกตัวเล็กนะขนาดนี้”
“เอาเถอะน่า ยังไงเขาก็เด็กกว่าเรา”
“ช่าย.....นายคิมอินวอน หนุ่มน้อยที่ฉันมาฝากแกเลี้ยง....เอ้ย...ฝากให้อยู่กับแกเลยละกันพอดีฉันมีธุระด่วนจริ๊งจริง”
“คิมอินวอน เข้ามาสิ พี่จะแนะนำผู้ปกครองคนใหม่ให้รู้จัก”
“บ้าแก....ว่าฉันเป็นผู้ปกครองเขาได้ไง”
“อ้าวก็แกอายุมากกว่า...แก่กว่านายคิมอินวอน แกน่ะอุตส่าทำหน้าอ่อนๆ ให้แก่ได้น่านับถือจะตาย”
“ให้ตายสิ.....แค่ Room Mate ก็พอไม่ต้องให้เกียรติเป็นถึงผู้ปกครองหรอกน่า”
“อะ....ก็ได้กลัวแก่ล่ะสิแก”
“พอๆ หยุดพูดฉันไม่มีอารมย์ต่อล้อต่อเถียงกับแกแล้ว ยัยจอมหาเรื่อง”
“ได้....เอางี้ฉันฝากให้แกดูแลเขาเลยละกัน ฉันมีธุระนัดกับพี่ต้นดูหนังเดี๋ยวไปช้าพ่อมีหวังงอนฉันตายเลย”
“อ้าว...มาส่งแล้วทิ้งกันซะหน้าตาเฉย”
“เออ...แกจะกลัวทำไมวะแค่เด็ก แกก็ทำตัวแก่มาซะนานแล้วนี่ เปลี่ยนเป็นแม่คนใหม่เขาเลยสิ”
“หนอย...ยัยแพม....หันก้นมาให้ฉันเตะซะดี”
“ใครจะอยู่ให้แกเตะวะ ไปดีกว่าเดี๋ยวพี่ต้นรอนาน บ๊ายบายเพื่อนฝากลูกคนใหม่ด้วยนะ”
แพรพิมล วิ่งปู๊ดออกจากบ้านเมื่อรติเตรียมจะยกบาทาฟาดลงไปที่ก้นเธอ
แพรพิมลสามารถพึ่งพาเพื่อนคนนี้ได้เสมอแม้ในยามคับขันเช่นหลายครั้งแม้กระทั่งครั้งนี้ด้วย เพื่อนรักของเธอคนนี้ไม่ทำให้เธอผิดหวังสักครา แต่เธอก็รู้ดีว่าอาจจะเป็นการนำปัญหาใหญ่หลวงมาให้เพื่อน หากพ่อแม่ของเด็กคนนี้ตามตัวเขาพบ เพื่อนของเธออาจจะซวยรับความผิดให้ที่อยู่อาศัย
รติ และแพรพิมลรู้จักกันสนิทกัน เมื่อครั้งยังเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน รติเรียนเก่งโกยคะแนวิชาวรรณกรรม ทุกครั้งเมื่อมีการสอบรติมักจะติดหนึ่งในอันดับต้นๆ ที่สอบได้คะแนนดี ส่วนแพรพิมลไม่ได้เรื่องสักวิชาแต่สามารถพึ่งพาเพื่อนได้ทุกครั้งจึงเป็นสาเหตุให้เธอรักและคบค้าสมาคมกับรติเรื่อยมา
เธอรู้ว่าคราวนี้เธอยกปัญหาหนักมาฝากให้เพื่อนรักดูแล แต่เธอก็ไม่สามารถจะรับภาระนั้นมาดูแลไว้เอง ด้วยเหตุผลบางอย่าง
“เดี๋ยวสิยัยแพม...เดี๋ยวก่อน”
ช้าเกินไปแพรพิมลวิ่งปู๊ดถึงหน้าบ้าน เพราะระหว่างหน้าบ้านกับตัวบ้านมันไม่ห่างกันเลยสำหรับบ้านรตินาถ
‘หาเรื่องมาให้เสร็จทิ้งกันเลยนะยัยตัวแสบ แทนที่จะอยู่คุยกันให้รู้เรื่องก่อนให้ฉันอยู่รับหน้านายคนนี้คนเดียวซะอย่างนั้น โอ๊ย...นี่มันเรื่องอะไรของฉันเนี่ย’
รติ เหลือบมองภาระซึ่งเพื่อนรักนำมาวางให้ถึงที่ เขาคือผู้ชาย ผู้ชายตัวโตๆ แต่เธอตัวเล็กๆ จากการกะประมาณด้วยสายตาเขาน่าจะสูงราว 185 หรือมากกว่านั้น เธอสูงแค่ 168 เซนฯ ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอยังภูมิในตัวเองว่าเธอได้รับมาตรฐานหญิงไทย ครั้นพบนายโย่งแดนกิมจิคนนี้เข้าเธอกลายเป็นลูกหมาตัวเล็ก แคระแกรนไปในพริบตา
ต่างคนต่างจ้องมอง สายตาทั้งคู่ที่จ้องมองกันคือสายตาของคนแปลกหน้า รติ เตรียมอ้าปากจะเอ่ยคำทักทายเขา
“เอ๋อ...หวะ...หวัดดี”
เขาพยักหน้า ทักทายกลับในเวลาต่อมา
“ฮะ...หวัดดีฮะ”
คิมอินวอน ทักกลับไปบ้างแต่ยังลังเลกับการใช้สรรพนามเรียกหญิงสาวตรงหน้า ภาพลักษณ์เธอตอนที่แพรพิมลหรือแพม...เล่าให้ฟังน่าจะดูแก่กว่านี้ เพราะแพมบอกกับเขาว่าคนที่เขาจะต้องมาอยู่ด้วยเป็นเพื่อนสมัยเรียนและเป็นนักเขียนพวกนวนิยายประโลมโลก เขาเคยสัมผัสนักเขียนมาพอสมควร ไม่ว่านักเขียนไทยหรือชาวเกาหลีอายุอานามค่อนข้างมากด้วยเหตุที่ว่า คนอาชีพนี้มักคร่ำเคร่งกับการอ่าน และคิดอยู่ตลอดเวลาเพื่อคลอดงานชิ้นใหม่ออกสู้สายตาหมู่มวล แต่สำหรับเธอหน้าตาท่าทางอายุยังไม่มาก แต่สามารถทำตัวให้แก่ได้ตามคอนเซ็ปของนักเขียนรุ่นเก่า ดวงตากลมโตถูกซ่อนไว้ภายใต้เจ้าแว่นหนาๆ สวมอยู่บนใบหนาขาวซี๊ด เพียงเพราะขาดการแต่งแต้มด้วยสีสันฉูดฉาดของเครื่องสำอางค์ ทำให้หน้าตาเธอราวไก่ต้มรอการวางบนจานข้าว
“คือ....เธอเดินทางมาเหนื่อยไม๊” นั่นคือคำถามซึ่งรติยิงไป เธออึดอัดไม่แพ้เขา อย่างน้อยคนที่พามาส่งควรจะแนะนำตัวให้รู้จักกันอย่างเป็นทางการก่อนจะชิ่งหนีไป
เขาทำหน้ายียวน โดยการยักไหล่เล็กน้อยใส่หน้าเธอ
“อ๋อ...เก๊าะ....## เหนื่อยนิดหน่อยฮะ”
แต่สายยังสำรวจรอบๆ บริเวณบ้านหลังเล็กของเธออย่างไม่ละสายตาและไม่ใส่ใจคนถามนัก ว่าจะรู้สึกหรือคิดอย่างไร กับท่าทางกวนเอ๊ย สีสันแสบซ่าของผม ความกวนเริ่มก่อตัวเมื่อเพื่อนตัวร้ายของเธอทิ้งเขาและเธอให้อยู่เพียงลำพัง ไม่ว่าจะ...สายตา รวมทั้งท่าทางกวนประสาท เช่นรองเท้าไม่ยอมถอดเมื่อเดินเข้าบ้าน ซึ่งเรื่องนี้คนไทยเขาถือมากเพราะเป็นการไม่ให้เกียรติเจ้าของบ้าน ด้วยนิสัยส่วนของคิมอินวอน แสบซ่า ยียวนกวนประสาทอยู่มาก แต่วันนี้เขายังเกรงใจ ไม่หลุดปากลิงๆ ของเขาออกไป วีรกรรมของเขาสมัยเรียนหากรู้กันคงจะรับกันไม่ได้ฉะนั้นเขาจะสงบปากสงบคำไว้ก่อน แต่คนอย่างเขาถ้าเงียบได้สักครึ่งนาทีถือว่าเก่ง
แม้ความหล่อเหลาของเขาจะสามารถดึงดูดผู้หญิงให้คลั่งใคล้ได้ไม่ยาก แต่สำหรับเธอถือว่าเรื่องนี้ไม่มีทางทำให้ใจหวั่นไหวได้ เธอไม่ชอบคนหน้าตาดีระดับเขา เธอถือว่าการร้องไห้และสูญเสียน้ำตาจากความรักได้สิ้นสุดลงตรงนายกันตวิชญ์ ซึ่งเขาคือผู้ชายหล่อราวเทพบุตร ร่ำรวยล้นเหลือ นี่คือสิ่งที่ผู้หญิงหลายคนปรารถนา เมื่อก่อนเธอก็คือหนึ่งในนั้น จนแล้วจนรอดความรักซึ่งแตกต่าง ก็ไม่สามารถพากันไปถึงฝั่ง เพราะมีเรือลำใหญ่เสริมด้วยกำแพงหนาขวางกั้นการเดินเรือเข้าถึงฝั่ง
รติเริ่มไม่พอใจกับอากัปกิริยาของแขกผู้ไม่เต็มใจให้มาเยือน.....แสดงให้เธอเห็นว่าเขาไม่ค่อยพอใจที่อยู่ใหม่เท่าใดนัก หากเป็นคนไทยถ้าบังอาจแสดงอาการคล้ายดูถูกลังนอนเขาแบบนี้มีหวังคงตั้นหน้ากันให้แหลกไปข้างหนึ่งแน่
เขายังคงสำรวจที่อยู่ใหม่อย่างไม่แยแสสายตาเจ้าของสถานที่แม้แต่น้อย.....ขณะที่บนหลังยังมีเป้ใบใหญ่แบกอยู่ เมื่อสำรวจได้สักพัก ท่าทางอวดดีแบบผู้ดีมีตังค์แสดงออกมาให้เห็นต่อหน้าเจ้าของบ้านอย่างรติ จมูกย่นพร้อมส่งเสียงฟุดฟิตเริ่มกระดิกและหันเหใบหน้าหล่อเหลาของตัวเองมาทางนักเขียนสาว
“โอ๊ะ โอ๊ะ โอ๊ะ” เขาเริ่มส่งเสียงคล้ายเสียงไอ สองสามทีบอกให้เจ้าของบ้านรู้ได้ทันทีว่าเขารังเกลียดบ้านหลังน้อยของเธอ
“สาบานได้ไม๊ว่าที่นี่คือบ้าน ทั้งรกทั้งเล็ก ผมจะอยู่ได้ไม๊เนี่ย”
รติ เริ่มขมวดคิ้วเรียวงามเข้าหากันราวกับผูกโบว์.....แต่ยังพยายามสะกดกลั้นไม่ติดใจกับปฏิกิริยาของแขกผู้อ่อนวัยกว่า คิดไว้เพียงว่านี่คือแขกซึ่งเพื่อนรักฝากให้ดูแล ขืนพูดอะไรรุนแรงไปอาจจะทำให้เพื่อนรักเดือดร้อน แต่ถ้าขืนนายคนนี้ไม่หยุดพฤติกรรมน่าตบกระบาล เธออาจจะจัดการอะไรสักอย่างก็ได้
เขายังไม่หยุดการสำรวจคฤหาสน์ส่วนตัวของเธอ หรือไม่มีวี่แววของการสงบนิ่งได้เลย จนในที่สุดเจ้าบ้านต้องเอ่ยถาม
“นี่นาย...จะเดินอีกนานไม๊พระเจ้าไม่ประทานก้นให้นายนั่งรึ”
“ช่างผม บ้านโกโลโกโสแบบนี้ผมคงนั่งไม่ลงหรอก และอีกอย่างไม่รู้จะหาที่นั่งได้หรือเปล่า มองไปมุมไหนมันดูรกไปหมด คุณเคยเก็บกวาดให้มันสะอาดบ้างไม๊”
‘โห...นี่นายเป็นใครถือดียังไง....ว่าฉันฉอดๆ ตั้งแรกวินาทีแรก .....มันเกินจะให้อภัยซะแล้ว’
รติได้แต่บ่นอุบอิบคนเดียว คิดเพียงอย่างเดียวในหัวเวลานี้ต้องจัดการกับนายตัวดีนี้ให้หายซ่า
เขาได้แต่เอียงหน้ากวนๆ มองรติ หมวกแก๊บซึ่งสวมอยู่ที่ศรีษะก็ยังไม่ถูกถอดให้เห็นใบหน้าหล่อเหลานั้นชัดๆ เขาแยกเขี้ยวขาวใส่หน้าเธอราวกับตัวเองเป็นราชสีกำลังขู่กวางน้อย แต่เธอก็ยังสามารถสะกดอารมย์ให้เยือกเย็นอยู่ได้
“ขอโทษนะมีอะไรหายมิทราบถึงได้เดินหาไม่ยอมหยุด บ้านฉันมันมีของอะไรที่นายกำลังหาช่วยบอกฉันให้ชื่นใจได้ไม๊”
แขกผู้มาเยือนไม่ตอบตามเคยยังคงแสดงสีหน้ากวนๆใส่หน้าเธออีกครั้ง
‘เอ...หรือว่าเขาฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง เราพูดศัพท์ยากไปมั๊ง แต่เขาก็พูดไทยได้นี่นาเพียงแต่ไม่ชัดเท่านั้นเอง’
“ถ้านายยังไม่หยุดทำนิสัยนักสำรวจอยู่ในบ้านฉัน ฉันขอเชิญให้นายใสหัวออกไปจากบ้านฉัน”
“เอ๋ !!” เขามองมายังต้นเสียงสูงปี๊ดเมื่อครู่ด้วยสายตาเอาเรื่องไม่ต่างกัน
เอาแล้วสิแม่เสือหลับกำลังจะตื่นนายคนนี้ท่าทางจะแย่แล้วสิ รติไม่เคยอารมย์เกรี่ยวกราดกับใครเธอคือมนุษย์ใจเย็นระดับโลก นายคิมอินวอน ผู้มาเยือนจากแดนโสมทำให้หินผามีอันสั่นคลอน
แต่เขากลับไม่แยแสพฤติกรรมแม่สาวผีดิบ ฉายาซึ่งเขาอุตส่าสรรหาให้เธอเมื่อกี้นี่เอง
“เมื่อกี้ว่าไงนะป้าผีดิบไล่ผมใช่ไม๊”
“ช่าย...นายได้ยินไม่ผิด เด็กแสบซ่าอย่างนายมิน่าล่ะถึงไม่มีใครต้องการ”
เขาทำท่าจะกระโจนขย่ำเธอ รติตกใจไม่น้อย กับท่าทางห่ามๆ ของเด็กแยงกี้ ยากูซ่า มาเฟีย เธอไม่รู้จะบัญญัติศัพท์ที่ลงตัวให้เขาได้อย่างไร เพราะเขารวมทุกอย่างไว้ในตัวเองเสร็จสรรพ มีอย่างเดียวที่สามารถจะโอเค นอกจากหน้าตาหล่อหล่อ เท่ บาดใจ ในแบบฉบับวัยรุ่นเกาหลีซึ่งสาวไทยกำลังคลั่งก็เท่านั้น อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรพอจะให้อภัยกับพฤติกรรมแย่ๆ
‘ยัยแพมนะยัยแพมส่งอะไรมาให้ฉันเนี่ย ฉันจะฆ่าแกยัยเพื่อนบ้า’
เธอต่อว่าเพื่อนและคาดโทษอย่างไม่ยอมให้อภัย และตั้งหน้าเล่นงานแขกผู้มาเยือนต่อ
“นายน่ะมันแยงกี้ชัดๆ หรือพวกยากูซ่าขาโจ๋ ไอ้ท่าทางกวนประสาทนั่นด้วยไม่ต่างอะไรกับพวกมาเฟียซะเท่าไหร่”
“ว่าไงนะยัยป้าผีดิบ....”
เขาโกรธจัดกับคำด่ารวมพลพวกอันธพาลหลายชาติ
“ว่าไงน๊า” รติเสียงสูงปี๊ดแสดงให้รู้ว่าเธอโกรธจัดจนสามารถผลิตควันออกจากปล่องหูได้ กำหมัดแน่นหวังจะต่อยโครมสักตั้งเข้าหน้าไอ้เจ้าแยงกี้แดนโสมนี่สักตั้ง แต่ดูๆ ไปแล้วเธอคงต่อยไม่โดนแม้แต่ติ่งหูของเขาแน่
“นี่นายตัวแสบ มันจะมากไปแล้ว ซ่ามากนักเดี๋ยวให้นอนข้างถนนหรอกถ้าคิดจะอยู่ด้วยกันก็ฝึกเอาเอาเข็มมาเย็บปากให้มันอยู่นิ่งๆ จะดีกว่านะ”
เธอเท้าสะเอวเข่นเขี้ยวขู่แกมดุด่าเพื่อให้นายบ้านี้นิ่งหรือสงบลงซะบ้าง
“อ้าว...ก็มันจริงนี่นา ป้าใส่แว่นหนาเตอะ ราวกับยัยป้าจอมแก่วิชา แต่งตัวเก่าๆ แก่ๆ ทั้งที่อายุก็แค่ 25 ทำราวกับตัวเองเป็นผีดิบ”
“ว๊าย !!!นายรู้ได้ไงฉันอายุเท่าไหร่ทำมาสู่รู้ประวัติคนอื่น”
“ผมต้องรู้บ้างจะมาอยู่กับใครไม่รู้จักเลยเท่ากับผมเดินทางสู้เหวนรก”
“อ้าว...แบบนี้เห็นบ้านเป็นนรก พูดแบบนี้ใสหัวไปเลย”
“ผมไม่ไป...ยังไงผมก็จะยึดที่นี่ไม่มีทางยกทัพกลับ”
“แล้วนายคิดว่าคนอย่างฉันจะใจดีกับคนปากหมาอย่างนายรึไง”
“ปากหมาตรงไหนสิ่งที่ผมพูดความจริงทั้งนั้นเขาเรียกปากหมา มันคือความจริงล้วนๆ หัดส่องกระจกดูสาระรูปตัวเองบ้าง หรือป้ายอมรับความจริงไม่ได้ ไม่มีใครเคยบอกป้าบ้างเลยหรือป้าน่ะเป็นผีดิบตายซาก”
โอ๊ย....นี่มันอะไรกันฉันซักจะทนไม่ได้ไหวแล้วนะ นี่นายถือดียังไงว่าฉันแบบนี้ นายอยากอยู่ที่นี่หรืออยากไปนอนข้างถนนบอกมา...”
ตอนนี้หูของรติกลายเป็นป่องไฟให้ซานตาครอสหย่อนของขวัญตอนคริสมาสต์ไปซะแล้ว หน้าแดงด้วยไฟอาฆาตแผ่ซ่านทั่วใบหน้า
“ก็...มันจริงนี่นา ดูสิตอนโกรธยิ่งไปกันใหญ่ ดูได้ที่ไหน ป้าแก่ผีดิบ”
“นี่...ปากน่ะร้ายนักนะ ขอซะทีเถอะ”
รติ รัวกำปั่นทุบลงยังตัวเขาแบบไม่ยั้ง ด้วยความโกรธจัดที่โดนว่าตั้งแต่คุยกันประโยคแรก
ความคิดเห็น