คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : 02︱Wild Rose
Wild Rose
; pleasure and pain
ดวงตาสีเขียวมรกตกลมโตที่มักจะท่อประกายแววความดื้อรั้นอยู่เสมอ
เส้นผมนุ่มฟูสีน้ำตาลเปลือกไม้มะฮอกกานี
นั้นคือคำนิยามรูปร่างลักษณะของเด็กหนุ่มมัธยมต้นชาวญี่ปุ่นธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่ชื่อ ซาวาดะ โยชิคาวะ และน่าจะพอทำให้ใครหลาย ๆ คนนั้นเห็นภาพขึ้นมาได้บ้าง
ไม่มากก็น้อยล่ะนะ
ลูกบิดอะลูมิเนียมเย็นจากอุณหภูมิเมื่อคืนที่ลดต่ำลงถูกบิดและดันเข้าไปในห้องโดยสมาชิคใหม่ในบ้านชั่วคราวที่มีตำแหน่งเป็นครูสอนพิเศษส่วนตัวของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณนายบ้านนี้
ดวงตาเฉียบคมสีปีกกากวาดมองไปทั่วห้องอย่างสำรวจยามเมื่อได้ก้าวขาเข้ามา เนื่องจากเวลาตอนนี้ยังเป็นช่วงเช้ามืด ผ้าม่านที่แง้มไว้พอให้แสงเข้ามานั้นจึงไม่ได้ช่วยให้อะไร ๆ ในห้องนี้สว่างขึ้นหรือมองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิมสักเท่าไหรนัก
ซองขนมขบเคี้ยวไร้คุณประโยชน์ทางโภชนาการที่ข้างในดูเหมือนจะว่างเปล่าแล้วถูกวางทิ้งไว้อย่างเรียราด จากที่สังเกตดูเหมือนว่าเจ้าของเองนั้นก็คงจะยังไม่มีความคิดที่จะลุกขึ้นมาเก็บมันไปไว้ในที่ที่มันควรจะอยู่ในเร็ว ๆ นี้ซะด้วย
พอกวาดสายตาไปเรื่อย ๆ ก็เจอกับกองเสื้อผ้าที่ใส่ไปแล้วขนาดย่อม ๆ ขวดน้ำอัดลมที่ถูกดื่มจนหมดและถูกรีดจนแบน หนังสือเรียนและหนังสือการ์ตูนที่ถูกกางค้างเอาไว้ในหน้าที่ยังอ่านไม่จบ โดยใช้พื้นห้องเป็นที่คั้น
ของทั้งหมดที่ว่ามานั้นไม่ได้ถูกจัดเอาไว้ในที่ ๆ ควรจะอยู่เลยซักนิด
นี่ก็คงเป็นอีกเรื่องที่เขาต้องสั่งสอนสินะ
รีบอร์นส่ายหน้าเบา ๆ อย่างเหนื่อยใจกับสภาพห้องนอนของเจ้าลูกศิษย์ตัวดีของตน
ถึงแม้ในวองโกเล่จะมีแม่บ้านนับร้อยที่พร้อมจะถวายแรงกายและใจในการทำความสะอาดห้องของบอสก็ตาม แต่เรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องที่เจ้าของห้องเองนั้นสมควรที่จะต้องจัดการให้เรียบร้อยในระดับหนึ่งก่อนที่จะถึงมือพวกแม่บ้านอยู่ดี
ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่บ้านนี้ได้ประมาณสองเดือนกว่า ๆ และเริ่มลงมือศึกษาพฤติกรรมของว่าที่วองโกเล่รุ่นที่สิบอย่างใกล้ชิดทันทีตั้งแต่วันแรกจนโดนเจ้าตัวหาว่าเป็นพวกโรคจิตอยู่หลายครั้ง และคงพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่าเขายังไม่เห็นแววของ ‘องุ่นชั้นดี’ แบบที่รุ่นที่เก้าพูดไว้ตอนที่ขอร้องให้เขามาทำหน้าที่ฝึกเจ้าโยชิให้เป็นบอสวองโกเล่เมื่อหลายปีที่แล้วเลยซักนิด
แต่กลับเป็นองุ่นจอมห่วยมากกว่า เขายังจิตนาการภาพไม่ออกเลยว่าตอนเอาองุ่นแบบนี้ไปหมักจนได้เป็นไวน์นั้นรสชาติมันจะออกมาห่วยบรมขนาดไหน
แต่ถึงอย่างงั้นก็เถอะ อย่างน้อยโยชิคาวะก็เป็นคนดี แต่เป็นคนดีที่ห่วยแตกซะบางทีก็ทำเขาตกใจว่าพระเจ้าตอนที่สร้างเจ้านี่ขึ้นมานั้นกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ถึงได้ใส่ความห่วยเข้ามาเยอะขนาดนี้
รีบอร์นทอดสายตามองไปยังโยชิคาวะที่กำลังนอนหลับปล่อยตัวปล่อยใจอยู่ใต้ผ้านวมผืนนุ่ม ในหัวเริ่มคิดวิธีปลุกดี ๆ ขึ้นมานับร้อยแปด กิ้งก่าคาเมล่อนที่ชื่อเลออนเองนั้นก็ดูท่าว่าจะรับรู้ความคิดของนักฆ่าหนุ่มด้วยเช่นกัน ถึงได้ทำหน้าเห็นดีเห็นงามด้วยแบบนั้น
เวลาเช้ามืดแบบนี้ถ้าปลุกเจ้าห่วยโยชิไปวิ่งรอบเมืองซักสามสี่รอบก่อนไปเรียนคงเป็นอะไรที่บันเทิงใจเขาอยู่ไม่น้อย
แต่ถ้ารอให้มันตื่นเองตอนสาย ๆ แล้วได้เห็นภาพที่มันรุกลี้รุกลนรีบไปโรงเรียนเพราะกลัวจะโดนหัวหน้ากรรมการคุมกฏอย่างฮิบาริ เคียวยะขย้ำคงจะสนุกกว่าเป็นเท่าตัว
‘หึ…งั้นไว้ก่อนล่ะกัน’ ริมฝีปากคมได้รูปกระตุกยิ้มชั่วร้ายก่อนจะถอยหลังออกจากห้องไปโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูห้อง สิ่งมีชีวิตอีกตัวที่อยู่บนปีกหมวกนั้นดูจะทำหน้าเสียดายเล็กน้อย
ที่เขาว่ากันว่าสัตว์เลี้ยงนั้นจะมีนิสัยเหมือนเจ้าของคงจะเป็นเรื่องจริงสินะ
.
.
.
หนึ่ง
สาม
แปด ?
จานข้าวแปดจานจากที่ปกติมีแค่เจ็ดไหนจะกับข้าวที่ดูจะเยอะเกินจนเรียกได้ว่าผิดปกตินั้นชวนให้รีบอร์นอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าวันนี้นั้นเป็นวันพิเศษอะไรสำหรับบ้านนี้รึเปล่า
จากที่เขาเข้าใจ นี่ก็ไม่ใช่วันเกิดของหม่าม้าหรือเจ้าโยชิ และแน่นอนว่ามันก็เป็นแค่วันทำงานธรรมดา ๆ ในช่วงท้ายสัปดาห์ที่เหล่าหนุ่มสาวภาวนาและหวังว่าจะได้เลิกงานเร็ว ๆ เพื่อไปพักผ่อนอยู่บ้านและตื่นมาอย่างแจ่มใสในเช้าวันหยุดท้ายสัปดาห์ ก็เท่านั้น
คุณนายซาวาดะก็ดูท่าจะยุ่งอยู่กับการหั่นผักเป็นแว่น ๆ และตุ๋นเนื้อในหม้อจนเกิดกลิ่นหอมน่ารับประทานอบอวลไปทั้งครัวอย่างตั้งอกตั้งใจนั้นเป็นสัญญาณบอกว่ากับข้าวที่เห็นว่าเยอะจนแทบจะล้นโต๊ะนั้นจะสามารถเยอะขึ้นได้อีก
รีบอร์นในชุดสูทสีถ่านครบทั้งเซ็ตเดินดุ่ม ๆ ไปหยิบแก้วกาแฟที่นานะจะทำเตรียมไว้ให้ตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ฉายแสงขึ้นมาจิบเปิดต่อมรับสัมผัสยามเช้าเล็กน้อยพอเป็นพิธีก่อนจะกล่าวทักทาย “อรุณสวัสดิ์ครับหม่าม้า”
“อ้าว! อรุณสวัสดิ์จ่ะรีบอร์นคุง ยังตื่นเช้าเหมือนเดิมเลยน้า” หญิงสาวผมสั้นสีน้ำตาลเหมือนลูกชายของเธอละสายตาจากหม้อตุ๋นเนื้อตรงหน้ามาทางร่างโปร่งพลางยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีเป็นพิเศษ รีบอร์นยิ้มตอบไปเล็กน้อยตามมารยาท
“แล้วโยคุงกับพวกเด็ก ๆ ยังไม่ตื่นอีกเหรอจ๊ะ?”
รอบหน้าคมตามฉบับชาวยุโรปสายหน้าเล็กน้อยเป็นคำตอบ นานะส่งเสียงรับรู้ในลำคอเบา ๆ ก่อนจะกลับไปให้ความสนใจกับเนื้อตุ๋นที่กำลังเดือดต่อ โดยที่ไม่ได้พูดถึงเหตุผลของการที่วันนี้อาหารนั้นเยอะกว่าปกติ
เห็นทีดูท่าเขาจะต้องถามเองสินะ
“จะว่าไปทำไมวันนี้อาหารมันดูจะเยอะกว่าปกติไปนิดหน่อยนะครับ?” กาแฟในแก้วถูกยกขึ้นจิบ เขาเว้นระยะไปซักพักหนึ่งเพื่อสูดกลิ่นหอมจากเมล็ดกาแฟที่ถูกคั่วจนส่งกลิ่นหอมเข้มข้น ก่อนจะกระดกต่ออีกอึกหนึ่งและวางแก้วลงกับโต๊ะดังเดิม
คุณนายซาวาดะเองก็ดูเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินคำถาม ใบหน้าหวานที่เด็กกว่าวัยของเธอแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม เธอค่อย ๆ บรรจงตักน้ำซุปหมูตุ๋นสีเข้มที่เสร็จได้ที่ลงไปชามก่อนจะตอบคำถามเมื่อกี้ไปด้วย
“พอดีวันนี้มีแขกคนพิเศษมาหาน่ะ ไม่ได้เจอกันหลายปีแล้วเลยต้องจัดชุดใหญ่ต้อนรับกันซะหน่อย” รีบอร์นครุ่นคิดจิตนาการแขกที่มีความสามารถมากพอที่จะทานอาหารทั้งหมดนี่เข้าไปได้ แขกคนนั้นคงไม่ธรรมดาอย่างแน่นอนหรือบางทีอาจจะเป็นนักกินก็เป็นไปได้
จะว่าไปตั้งแต่มาอยู่ที่นี้เขาก็ไม่เคยเห็นญาติ ๆ คนไหนมาเยี่ยมบ้างเลยแหะ ที่จะแวะเวียนมาให้เจอหน้ากันบ่อย ๆ เห็นทีคงมีแต่บุรุษไปรษณีย์สองสามคนที่สลับพลัดเปลี่ยนกันมาทุกสัปดาห์กับคนส่งนมเปรี้ยวเท่านั้น
ส่วนพวกฟูตะหรือเจ้าวัวบ้านั้นเขาจะขอไม่นับเป็นแขกล่ะกัน เพราะยังไง ๆ เขาก็ถือว่าเป็นคนในแฟมมิลี่อยู่แล้ว
“สึนะคุงเขาน่ะ เห็นว่าเดินทางมาถึงนามิโมริตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่จะเข้ามาหาตอนสายๆจ่ะ”รีบอร์นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ทวนชื่อญาติคนนั้นซ้ำไปซ้ำมาในหัวซักพัก
สึนะงั้นเหรอ ?
ชายหนุ่มเจ้าของจอนม้วนย้อนภาพในหัวกลับไปตอนที่โนโน่กางแผนผังต้นไม้ของเครือญาติในวองโกเล่ให้เขาดูเมื่อหลายปีที่แล้วเพื่อยืนยันว่าโยชินั้นมีความเกี่ยวข้องกับวองโกเล่รุ่นที่หนึ่ง และเป็นที่แน่นอนว่าในแผนผังตระกูลนั้นก็มีชื่อของคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นญาติที่มีเชื้อสายห่างกันมากขนาดไหนก็ตาม
ต้องขอบคุณประสบการณ์นับร้อยที่ได้จากการทำงานในโลกมืด การจำแผนผังตระกูลนั้นดูเป็นเรื่องง่ายไปเลยถ้าต้องเทียบกับการที่ต้องมานั่งจำเวลาเข้าออกงาน หรือสถานที่ที่ชอบไป ความสัมพันธกับคนรอบข้าง ของคนที่เขาถูกจ้างวานให้ไปฆ่า
สมองไล่ย้อนไปยังเส้นใยโกงกางกระจุกหนึ่งที่เป็นของตระกูลซาวาดะ เครือญาติของวองโกเล่รุ่นที่หนึ่งหลังจากที่วางมือจากการเป็นบอสแล้วมาไข่ทิ้งเอาไว้ที่ดินแดนปลาดิบ เขานั่งแช่อยู่ในปราสาทความทรงจำของตัวเองอยู่พักใหญ่เพื่อไล่ดูชื่อของคนที่เขาพอจะจำได้ ก่อนจะไปสะดุดกับชื่อของคนที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นผู้ชาย
ความสัมพันธที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวอะไรกับโยชิมันด้วยซ้ำ แต่อยู่ ๆ ก็โผล่ขึ้นมาแบบไม่เห็นชื่อพ่อชื่อแม่นั้นจึงทำให้เขาอดสงสัยและให้ความสนใจกับเจ้าของชื่อนั้นมากกว่าคนทั่วไปเป็นพิเศษตอนที่โนโน่กางแผนผังให้ดู แต่ล่าสุดที่ได้ดูก็หลายปีที่แล้ว มันจึงค่อนข้าที่จะเลือนลางแต่เขามั่นใจหากนึกดี ๆ ก็พอจะจำได้อยู่
จะใช่ ซาวาดะ สึนะโยชิ รึเปล่านะ ?
.
.
.
เมฆที่ถูกลมพัดเป็นริ้วเหมือนสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นจากปลายพู่กันอุ้มน้ำ ละเลงอย่างมีวิจิตรศิลป์บนพื้นผ้าใบสีฟ้าใสขนาดใหญ่
สายลมเอื่อยที่พัดมาเป็นละลอกกับกลิ่นดอกไม้หอมจาง ๆ ที่หอบติดมาด้วยนั้นเหมือนจะบทเพลงที่ถูกแต่งขึ้นและบรรเลงเพื่อมอบให้ร่างเล็กที่กำลังนอนพักผ่อนหย่อนใจอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียวชอุ่มใต้ร่มไม้ใหญ่โดยเฉพาะ
“นึกว่าเจ้าจะไม่มาซะแล้วสึนะโยชิ” เจ้าของชื่อที่ถูกเรียกเริ่มมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าหวาน เปลือกตาบางเปิดขึ้นก่อนที่ม่านตานั้นจะหรี่ลงนิดหน่อยเมื่อเจอกับแสงจากดวงอาทิตย์กลมโตที่ลอดผ่านกลีบใบไม้มาได้ “วันนี้เจ้าจะไปเจอเดชิโม่งั้นรึ ?”
อัญมณีสีเปลือกไม้เหลือบมองเจ้าของเรือนผมสีทองอร่ามที่ไหวไปตามแรงลมนั้นกำลังรุดตัวลงมานั่งข้าง ๆ เขา “ครับ ตอนนี้โยชิอายุน่าจะประมาณสิบสี่สิบห้าแล้ว ผมว่าจะไปดูความคืบหน้าซะหน่อย” สึนะเงียบไปซักพักก่อนจะกล่าวต่อพร้อมรอยยิ้มกว้าง “อีกอย่างผมอยากไปเจอแม่ผมด้วยน่ะครับ”
เจ้าของดวงตาสีฟ้าครามมองร่างเล็กที่กำลังนอนยิ้มมองมองภาพวิจิตรศิลป์เหนือหัวของพวกเขาอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดูและล้มตัวลงไปนอนข้าง ๆ กลิ่นหญ้าสดเขียวชะอุ่มและความชื้นจากดินนั้นเด่นชัดในความรู้สึกทันทีที่แผ่นหลังใต้ผ้าคลุมสีถ่านติดกับพื้นหญ้า “แล้วอาจารย์คนนั้นของเจ้าล่ะ? ข้าว่าเจ้าอยากไปเจอคน ๆ นั้นมากกว่านะ”
อาจารย์คนนั้น...
“นั้น..ก็ด้วยมั้งครับ” สึนะขำในลำคอเบา ๆ ก่อนจะระบายยิ้มอ่อน นับตั้งแต่วันที่เจอกันในงานเทศกาลดนตรีที่ฟลอเรนซ์ก็ไม่ได้เจอกันอีก เกือบ ๆ สิบปีได้เพราะตอนนั้นโยชิเองคลอดออกมาอายุยังไม่ถึงสองเดือนเลย “บางทีก็อดคิดถึงไอ้เจ้านั้นไม่ได้จริงๆ”
ถึงรู้ว่าผ่านมานานมากแล้วก็เถอะ...
"ทำไมนายไม่สู้กับฉันล่ะรีบอร์น ?’ ข้อมือเล็กกระชากเน็กไทสีดำขลับของร่างสูงเข้ามาประชิดใบหน้าของตน น้ำเสียงสั่นไหวอย่างไม่มั่นคง ปลายกระบอกปืนอันเย็นเฉียบถูกกดลงกับหน้าผากมนของร่างสูง
ใบหน้าคมคายระบายยิ้มอ่อนแรงแต่ยังคงความมุ่งมั่น มือข้างหนึ่งที่ยังพอขยับได้เลือนไปวางแปะบนกลุ่มผมสีน้ำตาลเขลอะฝุ่นก่อนจะปัดมันออกให้เบา ๆ อย่างทะนุถนอม ก่อนที่ริมฝีปากห่อเลือดนั้นจะขยับเอื้อนเอ่ยคำตอบออกมาอย่างแผ่วเบา
‘ก็เพราะคนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าฉันตอนนี้มันเป็นแกไง’
‘ไอ้ห่วยสึนะ...’
ดวงตากลมโตกระตุกวูบเมื่อความทรงจำเก่า ๆ ที่คุ้นเคยนั้นย้อนกลับมายึดพื้นที่ของโลกในหัวเขาอีกรอบในแบบที่เขาไม่ต้องการ เหมือนหนังสือที่ถูกปิดไว้ แต่กลับถูกลมพัดหน้ากระดาษแผ่นบางให้ต้องจำใจต้องเปิดออกอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้
และก็เป็นเหมือนอย่างเดิมทุกครั้งที่คำถามเดิมแบบที่เขาเคยเอ่ยปากถามร่างสูงตอนนั้นมันย้อนกลับมาถามเขาใหม่อีกรอบด้วยความรู้สึกเดิม ๆ
นั้นสิ ไม่เห็นจะเข้าใจเลยคำตอบของนายน่ะ
เหตุผลจริง ๆ ที่นายไม่สู้กับฉันคืออะไรกันแน่รีบอร์น ?
“สึนะโยชิ...” เสียงเรียกเบา ๆ จากร่างโปร่งผมทองที่ตอนนี้ลุกขึ้นมานั่งมองเขาแล้วนั้นทำสึนะสะดุ้งเล้กน้อยก่อนจะหลุดออกจากภวังค์
ใบหน้าที่ละม้ายคล้ายกับเขาแต่ดูผ่านโลกมาเยอะกว่าที่มองมาทางเขาด้วยความรู้สึกผิดและเป็นกังวลแบบนั้นชวนให้สึนะอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วลงอย่างไม่เข้าใจ ริมฝีปากสีพีชกำลังจะเอ่ยถามถึงสาเหตุของใบหน้าชวนน่าอึดอัดใจนั้นแต่คงไม่ทันร่างสูงที่ชิงถามก่อน “เจ้ายังไม่เลิกคิดถึงเรื่องในคืนนั้นอีกงั้นเหรอ”
“ร...เรื่องไหนครับจีอ็อตโต้” บุรุษแห่งนภาถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ใบหน้าคมคายตามฉบับชาวยุโรปนั้นเจือความไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าร้องไห้” ชายหัวทองกล่าว นิ้วโป้งถูกเลือนขึ้นไปเกลี่ยหยดน้ำสีใสที่ไหลลงเปรอะเปื้อนไปหน้าหวานอย่างแผวเบา พรีโม่รับรู้ได้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าสึนะเป็นคนเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยว แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนอ่อนไหวจนน่าเป็นห่วง
ความรู้สึกเปียกแฉะบนใบหน้าที่เขาเพิ่งจะรู้สึกถึงมัน นิ้วมือเล็กของเจ้าตัวแตะเบา ๆ ก่อนจะยกขึ้นมาดูอย่างนึกสงสัยว่ามันคืออะไร
น้ำ...ตา?
ก่อนจะได้รู้สึกอะไรไปมากว่านี้ในไม่กี่ชั่วอึดใจอ้อมกอดอุ่น ๆ ที่เขาเคยได้รับมาก่อนนั้นโอบล้อมร่างเล็กเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลฟูราวกับเป็นคำปลอบประโลมจากผืนนภาสีคราม
ไม่อยากเห็นนภาอันงดงามผืนนี้ต้องเสียน้ำตาไปมากกว่านี้อีกแล้ว
“โปรดอย่าได้ร้องไห้ไปเลยสึนะโยชิมันไม่ใช่ความผิดของเจ้า” จีอ็อตโต้พูดก่อนจะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นไปอีกเพื่อยืนยันความจริงใจของเจ้าตัว ไออุ่นที่แผ่มาจากร่างเจ้าของดวงตาสีเหมือนก้นลึกของมหาสมุทรนั้นชวนให้น้ำตาที่เขาตั้งใจว่าจะไม่ให้มันไหลออกมาอีกแล้วนั้นออกมาคลอหน่วยที่ขอบตาอีกครั้งอย่างน่าเจ็บใจ
‘ใช่แล้วสึนะโยชิ มันไม่ใช่ความผิดของเจ้าเลย’
‘เรื่องในคืนพระจันทร์เต็มดวงนั้นมันเกิดจากความสะเพร่าของข้าเอง’
สึนะหัวเราะแห้ง ๆ พยายามกลั้นเสียงสะอื้นของตนไว้อย่างสุดความสามารถ ก่อนจะกอดตอบจีอ็อตโต้ไปแทนคำขอบคุณกลิ่นหอมของชาคาโมมายล์ที่ติดอยู่ที่ตัวร่างสูงและน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคงที่เอ่ยนั้นช่วยทำให้เจ้าของดวงตาสีเปลือกไม้ที่ตอนนี้กำลังถูกเปลือกตาบางปิดอยู่นั้นสบายใจขึ้นบ้าง
บางทีการออกไปเจอโลกข้างนอกนั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากจะทำซักเท่าไหรในตอนนี้ เขายังต้องการความมั่นคงทางอารมณ์มากกว่านี้อีกสักหน่อย
“งั้น...ผม...ขออยู่แบบนี้สักพักแล้วกันนะครับ”
“นานเท่าที่เจ้าต้องการเลยสึนะโยชิ”
.
.
.
“ส..สายแล้ว!” น้ำเสียงเจี้ยวจ้าวยังไม่แตกหนุ่มที่ดังมาก่อนเจ้าของเสียงนั้นคือภาพเดจาวูที่รีบอร์นและสมาชิคในบ้านคนอื่น ๆ จะพบเจอประจำในช่วงวันธรรมดาที่หนุ่มสาวต้องไปทำงานไม่ก็เรียน ก่อนที่สิ่งต่อมาที่จะเกิดขึ้นโดยแทบจะไม่ต้องคาดเดาเลยก็คงเป็นเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลโกโก้เจ้าของเสียงที่กลิ้งตกลงมาจากชั้นสอง โดยที่สาเหตุคงไม่พ้นการสะดุดขาตัวเองอย่างแน่นอน
โยชิคาวะนั่งลูกหัวตัวเองปอย ๆ อยู่ที่พื้นบ้านปากพึมพัมบ่นถึงความเจ็บปวดที่ได้รับจากการตกบันได ก่อนที่จะเหลือบไปมองคนที่บอกว่าตัวเองเป็นนักฆ่าและตอนนี้กำลังนั่งไขว่ห้างแสยะยิ้มมองดูว่าที่บอสวองโกเล่ด้วยสายตาที่น่าหมั่นไส้ที่สุดในความคิดของโยชิคาวะ
เมื่อหยั่นตัวลุกขึ้นมาได้ เจ้าตัวเดินจ้ำอ้าวเข้ามาประจันหน้ากับเจ้าของสายตาหน้าหมั่นไส้เมื่อกี้อย่างถือโทษ “ทำไมนายไม่ปลุกฉันล่ะห่ะรีบอร์น !?” นานะที่ยืนฟังอยู่นั้นอดไม่ได้ที่จะระบายยิ้มเอ็นดูเจ้าลูกชายตัวแซบของตนกับครูสอนพิเศษ
รีบอร์นยักไหลขึ้นลงอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ดวงตาคมตวัดขึ้นมองร่างตรงหน้าก่อนจะพูดตอบลูกศิษย์ของตนไปด้วยโทนน้ำเสียงเรียบ “ฉันก็นึกว่าแกจะตื่นเองได้”
เอาจริง ๆแล้วบางทีโยชิก็อยากจะตะเพิดไล่ไอ้เจ้าคนที่มาอ้างตัวเองว่าเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งอะไรนี้ออกจากบ้านไป
ถ้าไม่ติดที่ว่าจะเป็นเขาเองนี่แหละที่จะปลิวออกจากบ้านไปก่อน
โยชิถอนหายใจอย่างปลงตกเมื่อไม่คิดอยากจะสานต่อสงครามประสาทกับรีบอร์นต่อ เจ้าตัวเดินมาลากเก้าอี้นั่งเพื่อรับประทานอาหารเช้า ก่อนจะเพิ่งสังเกตเห็นสิ่งผิกปรกติ นัยน์ตาเบิกกว้างขึ้น คำถามเดียวกันที่นานะถูกถามเมื่อเช้าโดยชายในชุดสูทถูกยกขึ้นมาถามอีกครั้ง “แล้วทำไมอาหารมันเยอะแบบนี้กันเนี้ยแม่!?”
“ถามคำถามเดียวกับรีบอร์นคุงเขาเลยนะเนี้ยโยคุง” นานะกล่าวก่อนจะส่งยิ้มหวานให้ลูกชายของตน ในใจพลางคิดไปว่ามันน่าแปลกขนาดนั้นเลยรึยังไงกัน ก่อนที่เธอจะกล่าวต่ออย่างใจเย็น “ก็วันนี้น้าสึนะเข้าจะมาเยี่ยมไงจ๊ะ”
โยชิเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เหมือนกำลังตั้งคำถามกลับนานะไปในใจว่าคนที่พูดถึงนั้นเป็นใคร มือยังคงบรรจงตักข้าวและออมเล็ตให้พอดีคำก่อนจะเอาเข้าปาและเคี้ยวหนุบหนับดูเหมือนเจ้าตัวจะลืมเรื่องสำคัญไปอย่างหนึ่ง หญิงสาวผมสั้นเพียงหนึ่งเดียวของบ้านนี้สายหน้าเบา ๆ “โยคุงเนี้ยน้า สงสัยไม่ได้เจอนานแล้วเลยลืมสินะเนี้ย”
“คงงั้นมั้งครับ”
“แต่จะว่าไป นี่ก็จะแปดโมงแล้วนะโยคุงไม่รีบไปโรงเรียนเหรอ?”
เหมือนจะเห็นเครื่องหมายคำถามลอยเคว้งอยู่บนหัวทุ่ย ๆ ของเจ้าตัว ก่อนที่ใจดวงน้อย ๆ ของเด็กชายมัธยมต้นจะเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเพิ่งจะระรึกถึงโรงเรียน ดวงตากลมโตสีมรกตเหลือบไปมองเครื่องมือบอกเวลาที่แขวนเอาไว้อยู่ตรงกำแพงบ้าน ภาวนาให้ไม่เป็นอย่างที่เขาคาดเอาไว้
เจ็ดโมงห้าสิบหก
และเข็มเพรียวบางที่บอกเวลาเป็นวินาทีนั้นกำลังเดินหน้าไปเรื่อย ๆ อย่างที่ไม่คิดจะรอใครแบบที่มันมักจะทำมาตลอด
“ลืมไปได้ไงเนี้ย !” ท่อนฟาเงาวับเหมือนถูกขัดทุก ๆ ชั่วโมงนั้นยังคงเด่นชัดอยู่ในความทรงจำและยากที่จะลืม ความรู้สึกหนาววูบชวนให้ขนลุกทุกครั้งทำโยชิแทบอยากจะแกล้งเป็นลมไปให้ได้ซะตอนนี้
ออมเล็ตกับข้าวคำโต ๆ ที่จะเป็นคำสุดท้ายในมื้อนี้ถูกยัดเข้าไปในปาและกักเอาไว้ที่กระพุ้งแก้มเหมือนพวกหนูแฮมสเตอร์ มือเล็กคว้าเอากล่องข้าวพร้อมกับกระเป๋านักเรียนและวิ่งออกจากห้องครัวไปใส่รองเท้าและเปิดประตูออกจากบ้านไปด้วยสีหน้าที่ซีดเป็นไก่ต้มอย่างเร่งรีบ จนไม่ทันได้เห็นใบหน้าของใครบางคนในห้องครัวที่ตอนนี้ดูเหมือนจะมีความสุขเป็นพิเศษ
นั้นแหละ ความบันเทิงเล็ก ๆ น้อย ๆ ของรีบอร์นยามเช้า
เมื่อเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสีดำนั้นหมดลง เท่ากับได้เวลาเริ่มงานของครูพิเศษจำเป็นของวันนี้แล้ว ร่างสูงขยับปีกหมวกฟีโดร่าคาดแถบเหลืองใบโปรดของตนเล็กน้อยให้เข้าที่ ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง มือทั้งสองข้างซุกเข้าไปอยู่ในกระเป๋ากางเกงอย่างเคยตัว “งั้นเดี๋ยวผมขอตัวไปดูเจ้าโยชิที่โรงเรียนก่อนนะครับหม่าม้า”
.
.
.
“วันนี้กระผมขอรบกวนด้วยนะครับรุ่นที่สิบ!”
“ฮะ ๆ งานกลุ่มอาจารย์อากาเนะแค่นี้ทำแป๊บเดียวก็เสร็จแล้วเนอะโยชิ”
เสียงที่ดังลอดบานประตูเข้ามาที่ดังขึ้นทุกที ๆ นั้นสามารถดึงความสนใจจากชายหญิงสองคนที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกอารมณ์ในช่วงเวลาที่ท้องฟ้าถูกย้อมสีให้เหมือนกับชาในแก้ว เจ้าของดวงตากลมโตสีเปลือกไม้สะดุ้งเล็กน้อย เขาละสายตาจากคู่สนทนาลงไปมองนาฬิกาข้อมือยี่ห้อธรรมดา ๆ ก่อนจะเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้
‘เหมือนเพิ่งคุยกับนานะไปแป็บเดียวเอง ไหงเย็นแล้วละเนี้ย ?’ สงสัยที่เขาบอกกันว่าตอนที่คนเรามีความสุขเวลาจะผ่านไปเร็วคงจะไม่ใช่เรื่องโกหกสินะ
สึนะเข้ามาหานานะที่บ้านตอนช่วงเวลาสาย ๆ หลังจากที่พวกโยชิกับรีบอร์นไปโรงเรียนได้สักพัก ตอนแรกแอบตกใจกับปริมาณอาหารที่ถูกเตรียมเอาไว้แทบจะล้นออกมาจากโต๊ะ และยิ่งตกใจไปอีกเพราะทั้งหมดนั้นเป็นอาหารต้อนรับเขาเอง รู้ในตอนนั้นแทบจะทันทีว่าทานยังไงก็ไม่หมด แต่โชคดีหน่อยที่ยังมีแรมโบ้กับพวกเด็ก ๆ ที่ช่วยทานกันจนหมดได้อย่างเฉียดฉิว
“กลับมาแล้วครับ!”เสียงที่คุ้นเคยดังมาก่อนเป็นอันดับแรกหลังจากที่บานประตูสีครีมถูกเปิดออกโดยเจ้าของเสียงเอง โยชิเดินเข้ามาในบ้านก่อนจะถอดรองเท้าออกและเก็บมันให้เข้าที่ดูเหมือนจะยังไม่สังเกตเห็นรองเท้าผ้าใบที่เกินมาอีกหนึ่งคู่ ซึ่งเป็นของแขกอีกคนที่กำลังนั่งคุยกับแม่ของเจ้าตัวอยู่ในครัว
“กลับมาแล้วเหรอจ๊ะโยคุง ยินดีต้อนรับกลับนะ นี่ ๆ มาสวัสดีแขกก่อนเลย”
สึนะคงจะไม่ตกใจและหน้าซีดขนาดนี้ถ้าโยชินั้นเดินเข้ามาคนเดียว ติดที่ว่าต่อจากนั้นไม่กี่อึดใจ เจ้าของใบหน้าทะเล้น ๆ ที่ดูเหมือนจะอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา ไม้เบสบอลคู่ใจที่ถือติดมาด้วย รูปร่างสูงและผิวสีแทนตามฉบับนักกีฬาโดยแท้ ไหนจะมาเป็นแพ็คคู่กับเจ้าของผมสีควันบุหรี่ ใบหน้าออกไปทางยุโรปที่เดินตามโยชิเข้ามาในบ้านติด ๆ เขาไม่ใช่ว่าไม่รู้จักคนพวกนี้อันที่จริงต้องบอกว่ามันตรงกันข้ามด้วยซ้ำไป
เขานี่ก็เลือกวันกลับมาญี่ปุ่นได้ถูกวันซะจริง ๆ ให้ตายเถอะ
‘อย่างน้อยขอแค่เจ้ารีบอร์นยังไม่มาเท่านั้นก็โอเคแล้ว’
สึนะทอดสายตาพิจารณารูปร่างหน้าตาของว่าที่บอสรุ่นที่สิบของวองโกเล่ในอนาคตอันใกล้ คงบอกได้แค่ว่าร่างของเด็กมัธยมต้นที่กำลังมุ่งหน้าเดินเข้ามาในครัวเพื่อมาหาแม่ของตนนั้นช่างเหมือนเขาตอนอายุเท่านั้นกันอย่างกับแกะ ที่พอจะช่วยให้แยกออกนั้นคงมีแค่สีตา และที่ต่างกันอีกนิดคงเป็นสรีระร่างกาย ตอนเขาอายุเท่านี้จำได้ว่าน่าเตี้ยกว่านี้นิดหน่อย
ไม่เป็นธรรมชะมัด
“ช...ใช่น้าสึนะรึเปล่าครับ?” น้ำเสียงเก้ ๆ กัง ๆ ที่เหมือนจะพูดกับเขานั้นทำให้เจ้าของริมฝีปากอมชมพูหลุดออกจากภวังค์ก่อนจะตั้งสติและส่งฉีกยิ้มเป็นมิตรกลับไป ร่างเล็กลุกขึ้นจากเก้าอี้และยื่นมือไปทางโยชิเป็นการทักทายตามวัฒนธรรมของตะวันตกที่เคยชินจากการที่ไปอยู่ที่แถบนั้นมาหลายปี “ครับผม...ส่วนเธอโยชิคุงสินะ? เราเคยเจอกันตอนที่เธอยังเด็กน่ะ น่าจะจำไม่ได้สินะ”
“เอาเป็นว่ายินดีที่ได้รู้จักอีกรอบล่ะกันนะครับโยชิคุง ผมซาวาดะ สึนะโยชิ” มือที่ดูจะมีขนาดเล็กกว่านิดหน่อยยื่นมาจับมือเขาด้วยท่าที่สั่นกลัว ซึ่งนั้นเป็นเรื่องทีน่าแปลกใจสำหรับสึนะที่ปกติทั้งคนสนิทรวมถึงคนทั่วไปจะบอกเสมอว่าเขาหน้าตาเหมือนพวกหัวอ่อน ไม่น่าเกรงขาม ยิ่งพูดถึงเรื่องน่ากลัวแล้วยิ่งไม่เฉียดเลยซักนิด
แต่นี่ที่มือสั่นเพราะกลัวเขารึเปล่านะ ?
“น...น้าของท่านรุ่นที่สิบ! สวัสดีครับผมโกคุเทระ ฮายาโตะ ขอฝากตัวด้วยครับ!” อดีตมือขวาของเขาที่เมื่อกี้เหมือนว่ากำลังสำรวจของตกแต่งในบ้านอยู่นั้นรีบวิ่งแจ้นเข้ามาคั้นกลางเขากับโยชิ ก่อนจะโค้งคำนับจนหัวแทบจะปักลงไปกับพื้นบ้าน รูปแบบการปฏิบัติที่เหมือนเดิมอย่างที่เข้าคุ้นเคยนั้นชวนให้รู้สึกคิดถึงอย่างน่าประหลาด “ผมขอสาบานตรงนี้เลยว่าจะปกป้องรุ่นที่สิบที่เป็นหลานของท่านด้วยชี---วิต”
“ไม่ต้องเคารพฉันขนาดนั้นก็ได้โกคุเทระคุง เงยหน้าขึ้นมาได้แล้ว”สึนะกล่าวน้ำเสียงกลั้วขำ ก่อนจะพยายามบอกคนที่มีกลิ่นบุหรี่เป็นกลิ่นประจำตัวให้เงยหน้าขึ้นมาคุยกับตนแบบปกติ ๆ แต่ดูแล้วท่าจะไม่ได้ผล ร่างที่เขาสูงกว่านิดหน่อยชะงักค้างเหมือนอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ขาดไฟไปหล่อเลี้ยง “โกคุเทระคุง?”
ทั้ง ๆ ที่อยากจะหัวเราะกันให้เต็มเสียงกับทุกคนแต่ถ้าไม่มีนายอยู่ด้วยมันก็ไม่มีความหมายน่ะสิ!’เสียงที่เหมือนจะแตกหน่อย ๆ เพราะออกจากมาลำโพงความรู้สึดโหว่งเหวงแปลก ๆ ในใจ เขาที่กำลังคร่อมผู้ชายอีกคน ใบหน้ากว่าครึ่งถูกปิดด้วยผมม้าสีบอนด์ทอง ในมือกำลังยื้อแย่งอะไรบางอย่างจากเขาที่คล้ายว่าจะเป็นแหวน
‘ผมน่ะนะคือผู้ชายที่จะต่อสู้เอาชีวิตรอดเพื่อที่จะได้หัวเราะร่วมกับหัวหน้าแก๊งครับ!’ กองไฟขนาดกลางถูกจุดอย่างสว่างไสวเพื่อมอบความอบอุ่นในคืนเดือนมืดที่พระจันทร์ไม่ส่องแสง ร่างบางในเสื้อฮูดสีเขียวมินต์ที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเศษดินฉีกยิ้มกว้าง หัวทุ่ย ๆ สีน้ำตาลที่คุ้นเคยทั้งที่จำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าเคยเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น
‘ใช่แล้ว! การได้เป็นผู้พิทักษ์รับใช้รุ่นที่สิบคือศักดิ์ศรีของฉัน!’ คราวนี้เป็นร่างหญิงสาวที่ไว้หน้าม้ากระปริกระปรอย ห่วงยางแปลก ๆ สองห่วงที่ล้อมอยู่ที่ตัวเธอนั้นพูดได้คำเดียวว่าเป็นแฟชั่นที่ดูแปลกพิลึกแต่ก็น่าดึงดูดในเวลาเดียวกัน ข้างหลังของเขานั้นเหมือนจะเป็นผู้ชายหัวสีน้ำตาลคนเดิมกับเด็กทารกใส่ชุดสูท ?
‘ยังคงงดงามเหมือนเดิมเลยนะครับรุ่นที่สิบ’ เสียงหายใจหอบแหกอย่างเหนื่อยอ่อน ไฟสีส้มกับของเหลวสีแดงหนืด ช่างเป็นสิ่งที่ดูเข้ากันได้อย่างน่าประหลาด กลิ่นคาวคละคลุ้งที่เหมือนจะเข้าในปอดทุกครั้งที่หายใจ แสงสีเหลืองนวลสาดกระทบร่างเล็กคนเดิมกับภาพที่ตัดไปเมื่อกี้ ที่ตอนนี้กำลังค่อย ๆ ย่างกรายมาทางเขาอย่างเชื่องช้า หากแต่สง่างามเป็นที่สุด...
ภาพสุดท้ายที่เห็นก่อนที่ทุกอย่างจะดับมืดไปคงเป็นร่างเล็กผมสีมะฮอกกานีคนนั้นกับดวงตาข้างหนึ่งที่ดูผิดแปลกไปจากที่เขาเข้าใจ
มันเป็นสีแดงสด มีเครื่องหมายอะไรซักอย่างถูกวาดทับไว้ในนั้น
ดอกจิกสีดำ
“---ระคุง โกคุเทระคุง? ไหวรึเปล่าเนี้ย?” พื้นบ้านสีน้ำตาลกับปลายเท้าของตัวเองกลับมาอยู่ในสายตาสีเขียวอ่อนอีกครั้ง ความรู้สึกเหมือนกำลังตีกันอยู่ในอกอย่างวุ่นวาย ส่งผลต่อเนื่องทำให้เขารู้สึกไม่มั่นคงเมื่อนึกย้อนไปยังสิ่งที่ได้เห็น โกคุทระค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาช้า ๆ ก่อนที่จะรู้สึกหัวหมุนแปลก ๆ “ม...ไม่เป็นไรครับ”
“ค่อยยังชั่ว ใจหายหมด” สึนะถอนหายใจอย่างโล่งอก นึกว่าคุณเขาจะหัวปักพื้นไปซะก่อนเพราะเลือดไปเลี้ยงสมองเยอะเกินไปซะแล้ว แต่ก่อนจะได้คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยต่อ ความรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองนั้นทำให้สึนะต้องพาตัวเองออกมาจากความคิดของตนอีกครั้ง
ดวงตาสีเขียวใสกำลังสั่นระริกพร้อม ๆ กับที่จ้องมาทางเขาแบบเอาเป็นเอาตาย ปากพะงาบ ๆ เหมือนอยากจะพูดอะไรซักอย่างแต่กลับไปพูดมันออกมา สึนะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่เข้าใจ แต่เหมือนเจ้าตัวนั้นจะตัดสินใจพูดมันขึ้นมาซะก่อนซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีที่เขาจะได้ไม่ต้องเสียแรงถามเอง “คุณ...ใช่ไหม?”
ความเงียบโรยตัวลงมายึดพื้นที่ในห้องครัว นานะที่กำลังนั่งงงอย่างที่ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ยามาโมโตะกับโยชิที่เหมือนจะยังตามสถานการณ์ตอนนี้ไม่ทันสักเท่าไหร และโกคุเทระดูจะน่าเป็นห่วงเป็นพิเศษ เหงื่อกาฬเริ่มซึมตามไรผมสีดอกเลาและกรอบหน้าคมคาย ก่อนที่จะค่อย ๆ ถอยห่างสึนะออกไปทีละก้าวอย่างหวาดระแวง
“คุณ...คือรุ่นที่สิบคนนั้นใช่ไหมครับ?” คำถามแผ่วเบาแต่ทำสึนะหายใจติดขัดไปเล็กน้อย ก้อนน้ำลายยังคงติดหนึบอยู่ในคอ คงนับเป็นโชคที่คำถามนั้นมันเบาเสียจนคนนอกอีกสามคนในที่นี้ไม่ได้ยินมัน หัวใจที่เต้นแรงขึ้นตามความกดดันที่ตัวเองสร้างขึ้นมา กลัวเหลือเกินว่ามันสียงมันจะดังไปจนคนอื่นได้ยิน
อันที่จริงอย่าถามเลยน่าจะดีที่สุดล่ะนะ
“ดอกจิกนั้น....”
“หมายความว่าไงครับ...?” โกคุเทระถามเสียงสั่น ไม่ต่างจากใจของสึนะตอนนี้ซักเท่าไหรนัก
เอาล่ะสึนะโยชิ...
จิตวิทยาการโกหกที่เคยอ่านมามันใช้ยังไงนะ...
tbc.
สวัสดีค่ะ! ลืมเขียนกำกับไว้เลยว่าเรื่องนี้มีสปอยเนื้อหาบางส่วนในมังงะนะคะ คนที่ยังไม่ได้อ่านแนะนำเลยนะว่าอย่าเพิ่งอ่าน เตื่อนแล้วนะคะ-3- อ่าใช่! เราอ่านคอมเมนต์ของทุกคนตลอดนะคะ! อุแงใจฟูมาก ๆ เลย ขอบคุณนะคะ! สัญญาว่าจะตั้งใจพัฒนางานเขียนให้ดีขึ้นกว่านี้ค่ะ!
ความคิดเห็น