คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 2
2
“..เอกสารค่ะ”
“อะไร”
“คำขออนุมัติจัดบูธที่ลอตเต้ค่ะ”
“อ่อ วางไว้สิ”
ฉันเอาเอกสารสำคัญไปใส่ไว้ในตะกร้าขอลายเซ็น ก่อนที่จะหมุนตัวเตรียมจะเดินออกไปจากห้องไดเรคเตอร์อย่างสงบเสงี่ยม แต่เจ้าของใบหน้าสวยที่ทีแรกเอาแต่จดจ่อกับงานของตัวเอง กลับเรียกฉันเอาไว้
“เดี๋ยวก่อน”
“..คะ”
ฉันหันกลับไปมองด้วยรอยยิ้มเกร็ง ไม่บ่อยนักที่หัวแผนกจะพูดคุยด้วย และหน้าตานิ่ง ๆ ดุ ๆ ของคุณเบไอรีนก็ทำให้ฉันไม่กล้าต่อบทสนทนาด้วยเท่าไหร่
“ไม่สบายรึเปล่า”
“….”
“หน้าตาดูไม่ค่อยดีเลย พัคมินรี” ดวงตาคมที่ถูกกรีดด้วยอายไลน์เนอร์จ้องมองหน้าฉันอย่างจับสังเกต ฉันได้แต่ขำแห้ง ไม่รู้จะตอบยังไง เพราะไม่ใช่ร่างกายที่ป่วย แต่เป็นใจ
“เปล่าค่ะ”
“เห็นหน้าซีดมาสองวันแล้ว”
“….”
“ดูแลตัวเองหน่อย”
ฉันยิ้มรับ กล่าวขอบคุณเบา ๆ ถึงจะพูดเหมือนดุ แต่ก็คงเป็นการแสดงความเป็นห่วงในแบบฉบับของหัวหน้า เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหมดธุระกับฉันแล้ว ฉันก็เดินก้มหน้าไปทางประตูห้อง แต่บานประตูกลับถูกเปิดเข้ามาซะก่อน และฉันก็เผลอเงยหน้ามองคนที่เข้ามาใหม่ตามสัญชาตญาณ
“!!!!”
อ..อีกแล้ว
ฉันรีบแทรกตัวเดินออกไป ไม่สนใจว่าพฤติกรรมที่แสดงออกไปจะทำให้หัวหน้าใหญ่มองว่าฉันแปลกมั้ย เพราะถ้าขืนยืนอยู่ตรงนั้นต่อไปได้แปลกกว่านี้แน่ ๆ
โรอุน ยิ่งหนีก็ยิ่งเจอ
“พี่ครับ อัปเดตเครื่องเสร็จแล้ว ถ้ามีปัญหาอะไรโทรเรียกผมอีกแล้วกัน”
“….”
“..พี่มินรี…เป็นไรอ่ะ”
“..ขอ..ขอนั่งก่อน”
มาร์ค รุ่นน้องแผนกไอทีที่มาช่วยอัปเดตซอฟท์แวร์โน้ตบุ๊คให้รีบลุกขึ้นออกจากเก้าอี้ ฉันทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง มือยังสั่นไม่หาย ขนาดรีบเดินหนีออกมา อาการก็ยังชัด นี่ถ้ายังยืนอยู่ในห้องนั่น มีหวังได้เป็นลมต่อหน้าคุณไอรีนแน่ ๆ
“เป็นอะไร ไม่สบายหรอ”
อารึมที่นั่งทำงานอยู่โต๊ะติดกันเข้ามาบีบไหล่ถามซ้ำ สายตาเลิกลั่กมองใบหน้าของเพื่อนร่วมงานที่ก้มลงมาถามอย่างเป็นห่วง สลับกับเด็กไอทีที่ยืนมองไม่ห่าง
น่าอายเป็นบ้า
“..อือ…ไม่ค่อยสบาย”
“ไหวป่ะพี่ ไปห้องพยาบาลข้างบนมั้ย”
“หรือไม่ก็ลาไปเลยตอนบ่าย สั่นขนาดนั้น…ตัวเธอเย็นหมดแล้ว”
“..ม..ไม่เป็นไร”
“….”
“..เที่ยงรึยัง”
“เที่ยงแล้วทำไม”
“..ฉัน…จะออก…ไป…ข้างนอก”
“ฉันมีงานเร่งน่ะสิ พี่เฮยอนยังไม่ Approve เลย…มาร์ค นายติดอะไรรึเปล่า ไปเป็นเพื่อนมินรีได้มั้ย”
“ได้พี่”
มาร์คพาฉันเดินมาที่ประตูห้อง รับรู้ได้ถึงสายตาแปลก ๆ ของเพื่อนร่วมงานคนอื่น เห้อ โคตรแย่เลย อุตส่าห์อยู่ของฉันแล้วแท้ ๆ ยังจะมาเจอกันถึงในนี้อีก บอร์ดบริหารอย่างเขาจะมาทำอะไรที่แผนกการตลาดกัน
“……………………..”
แต่ก็เหมือนพระเจ้ากลั่นแกล้ง
คนที่ทำให้อาการประหลาดเกิดขึ้นมา ยืนอยู่ข้างประตูนอกห้อง…
“มินรี”
ฉันอึ้งจนแทบจะผงะถอยหลังกลับเข้าไปในห้อง ถ้าไม่ชนเข้ากับมาร์คที่เดินตามออกมา โรอุนมองหน้าฉันด้วยสายตาลำบากใจ เหมือนอยากคุย แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรนอกจากเรียกชื่อของฉัน ฉันไม่เข้าใจว่าสถานการณ์นี้มันคืออะไร แต่ที่รู้ ๆ……เวียนหัวชะมัด
“อุบ..!!”
“พี่! พี่ครับ พี่เป็นอะไร!?!?”
ฉันรีบวิ่งปิดปากไปทางห้องน้ำ ได้ยินเสียงมาร์คตะโกนตามหลังมา แต่ฉันคงไม่มีกะจิตกะใจที่จะหันกลับไปตอบ อาหารเช้าที่กระเดือกลงไปแล้วเกือบสี่ชั่วโมงกำลังจะพุ่งออกจากปาก
ห้องน้ำที่มีประชากรอีกหนึ่งชีวิตยืนทาลิปสติกอยู่หน้ากระจก ฉันไม่ได้สนใจมองว่าเป็นใคร ไม่มีเวลาแม้แต่จะปิดประตูด้วยซ้ำ อายก็อาย แต่ถ้าอ้วกนอกส้วมคงน่าอายยิ่งกว่า
“มินรี?”
“ไหวรึเปล่า”
และสมองก็เพิ่งรับรู้ว่าคนที่ยืนแต่งหน้าอยู่เมื่อกี้ คือ คุณไอรีน…
“พี่มินรี…เอ่อ…ขอโทษครับ พี่มินรีไหวมั้ยครับพี่”
เสียงตะโกนถามจากหน้าห้องน้ำหญิง และคำขอโทษขอโพยที่คงจะส่งมาให้กับไดเรคเตอร์ที่หันไปมอง ฉันได้ยินทั้งหมด แต่ไม่มีแรงพอที่จะส่งเสียงตอบ
“มินรีเป็นอะไร”
“น่าจะป่วยครับ”
“ตอนบ่ายลาไปหาหมอเถอะคุณพัค เดี๋ยวฉันแจ้งหัวหน้าคุณให้”
“….”
“โรอุน? มาทำไม เดี๋ยวก็ออกไปแล้ว”
ชื่อที่ได้ยินคุณไอรีนเรียก ทำเอาฉันที่กำลังนั่งหอบหายใจอยู่ข้างส้วมชะงักไปทันที อะไรนะ โรอุน? เดินมาหน้าห้องน้ำหญิง???
แต่ว่า…ทำไมคุณไอรีนถึงเรียกโรอุนเหมือนสนิทกันอย่างนั้น
“..เห็นเข้ามานาน เลยนึกว่าเป็นอะไร” เสียงเข้มที่จำได้ดีกว่าเป็นเสียงของใคร ยังไม่ทำให้รู้สึกวูบไหวเท่ากับคำตอบของอีกฝ่าย
“นายมาก็ดี ช่วยพามินรีออกไปหน่อย เดินไม่น่าไหว”
“ม..ไม่..ไม่ ๆ” ฉันหันไปส่ายหน้าพรืด พยายามจับสติพูดปฏิเสธ แต่ปากก็แทบจะขยับไม่เป็นคำ คุณไอรีนที่เอาแต่มองคนนอกห้องน้ำอย่างกดดันให้ช่วยตามที่ขอ ก็ทำให้ฉันต้องใช้แรงเฮือกสุดท้ายเปล่งเสียงเรียกรุ่นน้องอีกคนให้รีบเข้ามาแทน
“มาร์ค…มาร์ค!!”
“ครับ ๆ”
มาร์ครีบวิ่งเข้ามาช่วยพยุงร่างอ่อนปวกเปียกของฉันให้ลุกขึ้นและพาเดินออกมาหน้ากระจก ดวงตาเพลียเปลี้ยมองหัวหน้าใหญ่ที่ถอยหลบทางให้ ก่อนที่จะเหลือบมองร่างสูงอีกคนที่ยืนอยู่หน้าห้องน้ำด้านนอก
“ไปไหวหรอคนเดียว…โรอุน..”
“ไม่ต้องค่ะ แค่มาร์คก็พอ” ฉันรีบพูดเบรกคุณไอรีน พร้อมกับกอดแขนรุ่นน้องเอาไว้แน่น มาร์คที่เหมือนกับรู้งานก็รีบพาฉันออกจากห้องน้ำ
รู้ตัวว่าถูกสายตาคู่นั้นมองอยู่ตลอด
และทุกครั้งที่ถูกมองมันรู้สึกเหมือนกับปวดใจ
มาร์คส่งฉันขึ้นแท็กซี่กลับคอนโด ลมแอร์และความเงียบเชียบบนรถ เป็นสิ่งที่ช่วยเยียวยาอาการของฉันให้ดีขึ้น ยิ่งนั่งรถออกมาไกลจากบริษัท อกก็ยิ่งรู้สึกโล่งและหายใจได้สะดวก แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถสลัดออกไปจากหัวได้ ก็คงเป็นเรื่องระหว่างโรอุนกับคุณไอรีน
นี่คู่หมั้นของนาย คือ ไดเรคเตอร์ของแผนกฉันอย่างงั้นหรอ
มาทำงานที่เดียวกันไม่พอ คนที่นายกำลังจะแต่งงานด้วยยังจะเป็นหัวหน้าใหญ่ของฉันอีกหรอ
555555 โลกแตกได้ยัง
“เอารสสตรอเบอรี่กับบลูเบอรี่ชีสเค้กค่ะ”
สั่งไอติมอย่างเลื่อนลอย สายตาก็ถูกทิ้งไว้ที่ตู้ไอติมตรงหน้า ฉันยืนเหม่อ ทั้งที่กายหยาบอยู่ตรงนี้ แต่ใจเหมือนยังลอยเคว้งอยู่ที่ออฟฟิศ เกือบสะดุ้งจนสุดตัวตอนที่พนักงานเรียกให้ไปรับถ้วยไอติม ทำตัวน่าอายซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากด่าและตัดพ้อตัวเองในใจ
“อา! ผมอยากกินไอติม!”
“เมื่อเช้ากินขนมไปแล้ว”
“แต่ขนมไม่ใช่ไอติม”
“ไม่ได้”
“ผมอยากกิน!”
“บอกว่าไม่ได้ไง!!”
“ฮืออออ!! ได้!! พ่อใจร้าย! พ่อใจร้าย!”
“..ใครพ่อแก”
เสียงโหวกเหวกจากหน้าประตูร้าน ทำให้ฉันต้องหันไปมองอย่างสนใจ เด็กอวบผมทรงกะลาครอบกำลังแหกปากร้องไห้(แต่ไม่มีน้ำตาสักหยด) ข้าง ๆ กันเป็นผู้ชายหุ่นเพรียวสูงในชุดเสื้อยืดขาวกางเกงวอร์มดำ นายคนนั้นกำลังกัดฟันทำหน้ายักษ์ใส่เด็กที่เรียกตัวเองว่าพ่อ คิ้วของฉันเลิกขึ้นอย่างสงสัยปนแปลกใจ
นายดงยอง…?
พ่อ???
“ฉันรู้จักผู้ปกครองเด็กที่โรงเรียนอยู่คนนึง เขาเป็นจิตแพทย์อยู่โรงบาลเอกชน”
นี่มีลูกแล้วหรอเนี่ย
น่าทึ่งสุด ๆ
“ทำไมไม่ซื้อไอติมให้ลูกอ่ะ”
ฉันเดินเข้าไปทัก ถึงจะไม่อยากคุยด้วยนัก แต่ก็คงเลี่ยงไม่ได้ เพราะร้านเล็กเกินกว่าจะหลบให้พ้นสายตา นายดงยองชะงักหันมามองฉัน ไม่รู้ว่าตกใจที่เพิ่งเห็นกัน หรือเพราะไม่อยากให้รู้ว่ามีลูกแล้วกันแน่
“พูดอะไรของเธอ เด็กนี่ไม่ใช่..”
“พ่อ! ผมอยากกินไอติม!!”
“ไอเด็กเปร..”
“ทำไมพูดจาไม่เพราะ เดี๋ยวลูกก็จำหรอก”
“พ่อหยาบคายกับผมตลอดเลยครับพี่” เด็กน้อยใช้สองมือเกาะแขนของฉัน แล้วทำตาอ้อนใส่
“ฉัน..ไม่ใช่พ่อแก”
“นี่ ทำไมพูดกับลูกแบบนั้น”
“ใช่มั้ยครับพี่สาว พ่อผมใจร้ายมาก T^T”
“พี่สาวอะไร ป้า”
หน็อยยยย!!!
ไอบ้า!!!!!
ใจเย็น ๆ วันนี้ใช้พลังงานหมดแล้วมินรี
“แต่งงานแล้วหรอ”
ฉันข่มใจที่อยากจะด่าเอาไว้ ด้วยการถามคำถามที่คาใจอยู่แทน แต่ถ้าสังเกตกันดี ๆ ก็จะเห็นได้ว่าฉันอดกลั้นอารมณ์เอาไว้แค่ไหน…
“เปล่า”
“อ้าว แล้ว..”
“….” นายหมอมองหน้าฉันนิ่ง ๆ เหมือนขี้เกียจพูด แต่เพราะสีหน้าแตกตื่นที่ดูจินตนาการไปไกลของฉัน ก็ทำให้เจ้าตัวต้องรีบอธิบาย
“ถ้ากำลังคิดว่าฉันไปทำใครท้อง หรือเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวก็หยุดซะ”
“….”
“นี่หลาน ลูกพี่ชาย”
“แล้วทำไมเขาเรียกนายว่าพ่ออ่ะ”
“มันร้าย” กัดฟันตอบ พร้อมกับมือที่โบกไปแทบจะยันหัวหลาน แต่ไอเด็กที่แกล้งเบะปากร้องไห้ก่อนหน้าหลบทัน พร้อมกับหัวเราะคิกคักใส่
เด็กนี่แสบจริง ๆ แหละ
เรียกแบบนั้นคนเข้าใจกันผิดหมด
“ไม่ทำงานรึไง”
“….”
“หรือว่าลา?”
“อือ ลา”
“ไม่สบาย?”
“….”
“หน้าตาดูป่วย ๆ นะ”
“เฮ้อ”
“….”
“ฉันไปก่อนนะ”
หนักใจเกินกว่าจะตอบอะไรออกไป ฉันกล่าวลาสั้น ๆ ก่อนจะเดินเฉียดตัวอีกฝ่ายออกไปจากร้าน
เวลานี้ฟ้าเริ่มครึ้มราวกับฝนกำลังจะก่อตัว อากาศก็ร้อนอบอ้าวจนไอติมที่ยังไม่ทันกินละลายเป็นน้ำ อะไร ๆ ก็ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง ฉันพ่นลมหายใจ เดินเตาะแตะเข้าประตูคอนโด โดยไม่ได้รู้ตัวว่ามีใครตามหลังมา กระทั่งเข้ามาถึงในลิฟท์
สองอาหลานที่พากันจูงมือมา ทำให้ฉันต้องเลิกคิ้วมองอีกครั้ง
“ตามมาทำไม”
“ใครตามเธอ”
“ก็นายไง”
“หลงตัวเองไปมั้ย ฉันจะตามเธอทำไม”
“ก็นั่นน่ะสิ”
“ฉันอยู่ที่นี่”
“ฉันก็อยู่ที่นี่ นี่เรา….อยู่คอนโดเดียวกัน?”
ตั้งแต่เมื่อไหร่
ทำไมอยู่มาเป็นปี ไม่เคยเจอ
ดงยองที่เห็นว่าฉันเอาแต่ยืนอึ้ง ก็ยื่นมือมากดปุ่มลิฟท์ตรงหน้าของฉัน ก่อนจะถอยไปยืนชิดผนังอีกฝั่ง ประตูลิฟท์ปิดลง ยานพาหนะคับแคบตกอยู่ในความเงียบ หากแต่เด็กตัวกลมที่ยืนไม่ค่อยจะนิ่งก็ช่วยดึงบรรยากาศไม่ให้อึดอัดจนเกินไป
“วันนี้เจอเขาอีกหรือไง”
“…รู้ได้ไง” ฉันชะงักหันไปถาม นายดงยองที่ทอดสายตามองประตูลิฟท์ก็เลื่อนสายตามามองตอบ
“เดา”
“….”
“จากหน้าเธอ”
“….”
“แย่มากเลย?”
“ก็แย่ขนาดที่ต้องลางานครึ่งวัน”
“ถึงบอกให้ลาออก”
“….”
“เธอยังไม่พร้อมไปเจอผู้ชายคนนั้นหรอก”
“….”
“จะเผชิญหน้ากับความกลัวได้”
“….”
“ต้องรักษาแผลสดให้หายดีก่อน”
ฉันเงียบ ที่ดงยองพูดมามันถูกทั้งหมด ฉันไม่พร้อมเจอโรอุนในตอนนี้ และแผลที่เกิดขึ้นจากเขาถ้าเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ก็คงเป็นแผลที่เลือดยังไม่หยุดไหล แต่แล้วยังไงล่ะ ต้องถึงขั้นลาออกเพื่อหนีเลยหรอ ฉันท้อแล้วนะ ทำไมเป็นเอามากขนาดนี้วะ ก็แค่ผู้ชายคนเดียว ทำไมฉันถึงเป็นแบบนี้ไปได้!?
ประตูลิฟท์เปิดออก เป็นสัญญาณว่าบทสนทนาระหว่างเราในวันนี้คงต้องจบลง เด็กน้อยโบกมือลาฉันด้วยรอยยิ้มสดใส ฉันฝืนโบกมือตอบทั้งที่เหนื่อยจนแทบจะยกยิ้มไม่ไหว สายตาได้แต่มองตามแผ่นหลังของคนเป็นหมอที่เดินจูงมือหลานออกไปจากลิฟท์
“หนึ่งสี่หนึ่งห้า”
คนที่คิดว่าลาแล้วลาลับ หันกลับมาพูดอะไรบางอย่าง ทำให้ฉันต้องกดเปิดประตูลิฟท์ที่เกือบจะเคลื่อนปิด เพื่อทวนถามอย่างงุนงง
“ห้ะ”
“เลขห้อง”
“..จะให้ไปซื้อหวยรึไง”
“มีอะไร ถ้ามันหนักหนาก็มากดออดเรียก”
“เพื่อ?”
“เผื่อต้องการเพื่อนคุย”
“..ฉันเป็นคนไข้พิเศษของนายรึไง”
“สิทธิพิเศษของเพื่อนเก่า”
“….”
“พรุ่งนี้หวังว่าจะมาตามนัด”
นายหมอเตือนถึงนัดตรวจวันพรุ่งนี้ที่โรงพยาบาล ฉันทำเพียงมองหน้าคนที่ยักคิ้วใส่โดยไม่ได้ตอบอะไรกลับ จนเมื่อประตูลิฟท์ปิดอัตโนมัติ รอยยิ้มเล็ก ๆ ก็ผุดขึ้นบนริมฝีปาก
ตลกดีเหมือนกันนะ หมอนั่น
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
TBC
อ่ะ เขาเป็น "เพื่อน" กัน ก็รอดูว่า เพื่อนคนไหนจะล้ำเส้นก่อนกันนะคะ5555 ช่วงนี้มีแต่ความเครียดเลยแวะมาแต่งเบาสมอง ฟิคจะหยุดหรือจะต่อก็ขึ้นอยู่กับ Feedback ของทุกท่าน ถ้าอ่านอยู่ก็โปรดแสดงตัวค่ะ
ความคิดเห็น