ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทสาม เรื่องเล่า
บทสาม เรื่องเล่า
ในวันที่แดดเปรี้ยงปร้างแบบนี้ ถ้าเป็นปกติผมคงเลือกจะนอนตากแอร์อยู่ที่บ้านดีกว่าอยู่แล้ว
แต่เพราะนี่ไม่ใช่ประเทศแม่ของผม และผมมีเรื่องที่น่าสนใจมากกว่าการนอน
นั่งคือการได้เข้ามาเยี่ยมชมเขตพระราชวัง!!! ไงล่ะ ตื่นเต้นล่ะสิ อืม ผมก็ตื่นเต้น!
"ทางนี้เลยคร้าบบบ ห้ามเข้าไปโดยพลาการนะครับทุกท่าน"
ผมปรายตามองไกด์นำเที่ยวประจำสถานที่ที่กำลังฉีกยิ้มใส่ลูกค้าเต็มพลังพร้อมกับอธิบายเรื่องราวความเป็นไปของสถานที่โอ่อ่ากว้างขวางกว่ากรมปศุสัตว์แห่งนี้เต็มความสามารถ พอมองกลับไปอีกข้างก็เห็นร่างกายอันเหี่ยวแห้งของนายเอกวัฒน์เดินอาดๆตามหลังมาพร้อมขวดน้ำเย็นในมือ
"แม่งเอ๊ย ไม่น่าหลวมตัวเข้ามาเลย น่าเบื่อชิบหาย"
ปากมันบ่นขมุบขมิบมาตลอดทางครึ่งทริปการทัวร์ราชวังด้วยภาษาไทยจึงไม่ต้องกลัวว่าไกด์หรือนักท่องเที่ยวที่เดินอยู่กลุ่มเดียวกันจะหันมาตีหัว ถามว่าถ้ามันไม่อยากมาเสือกเสร่อเข้ามาทำไมเหรอครับ? ผมใช้มารยาลากมันมาเอง ไม่งั้นมันก็คงทิ้งผมไปตามหายูโทเปียร้านกาแฟของมันแหงๆ เรื่องอะไรจะยอมให้อยู่สุขสบายคนเดียวล่ะ เพื่อนกันต้องลำบากด้วยกัน!
"บ่นมากเดี๋ยวก็ตายเร็วหรอก ตะกี้มึงหลุดภาษาจีนออกมาด้วยรู้เปล่า"
"จริงดิ"
"พูดเล่น ไปเหอะ"
ผมคล้องแขนเหมือนจะน่ารักนะแต่จริงๆผมกำลังกระชากลากให้มันเดินตามกลุ่มหน้าเราให้มัน ตัวก็ยังกับไดโนเสาร์ยังจะมาขี้เกียจอีก ถ้าโดนทิ้งหลงทางในราชวังนะผมจะไล่ด่ามันทั้งทางเลย
นภากรเงยหน้าขึ้นมองตามที่มัคคุเทศน์กำลังบรรยายผ่านโทรโข่ง เหมือนกับภาพในละครเลย ผมที่กำลังยืนตะลึงอยู่หน้าลานตำหนักพิธีแสนยิ่งใหญ่ที่เป็นขั้นบันไดขึ้นไปอีกหลายสิบขั้นมีสายลมอุ่นๆช่วยพัดสะบัดปอยผมของสาวคนข้างๆที่เธอเองก็คงกำลังโอ้โหอยู่เหมือนกันมาติดหน้าติดปากผม
บรรยากาศตรงหน้าทำให้หวนนึกถึงภาพที่ผมเคยเห็นในหนังสือเล่มแรกที่เปลี่ยนชีวิตผมจากคนที่ไม่มีจุดหมายให้กลายเป็นผู้ชายที่สามารถอ่านเขียนภาษาจีนได้พอตัวบวกเพิ่มกับสกิลประวัติศาสตร์ที่เก็บใส่หัวไว้เพียบ ผมหลับตาลงและเริ่มจินตนาการถึงเสียงกลอง เสียงดนตรีคลอและภาพงานรื่นเริง หญิงสาวแสนยาวกำลังเต้นรำร่าเริง แสงไฟสีส้มลุกโชนเพื่อปัดเป่าความมืดและที่สำคัญ....
ขัตติยารูปงามไร้ที่ติผู้ประทับบนบัลลังก์ทอง พร้อมกับดรุณีน้อยใหญ่เรียงรายราวกับเขตแดนนางสวรรค์ ทันใดนั้นเองร่างสะโอดสะองค์ของหญิงสาวแรกแย้มกับเครื่องทรงเลิศหรูที่เสด็จมาตรงหน้าและจับมือของผมไว้ พร้อมกับริมฝีปากของเธอที่ยื่นใกล้เข้ามา
และตอนนั้นเองที่ผม...
"กร! มึงทำหน้าบ้าบออะไรของมึงเนี่ย เค้าไปกันแล้ว!"
โดนขัดจังหวะ....
"มึงฝันเฟื่องอะไรของมึงอยู่วะ มาเร็วๆ"
"....กูกำลังฝันว่าจะได้จุมพิตแสนหวานจากองค์หญิงใหญ่อยู่น่ะสิไอ้สัด"
ผมถลึงตาใส่มันที่แอบมาขัดจังหวะพลางกอดคอกันก้าวเท้าตามกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินห่างออกไปให้ทัน ไอ้เอกทำหน้าเหลอหราใส่ผมจากนั้นมันก็พ่นความขี้คอกของมันออกมาหน้าตาใสซื่อ
"ฮะ อะไรนะ จูบจากองค์ชายใหญ่?"
"ชายพ่อง มึงจูบเองเฮ๊อะ"
ผมผลักหัวมัน ไอ้เอกเลยวิ่งหนีไปโน้นนนนน วิ่งโคตรไกลจากนั้นมันก็หอบแดกเอง เออดี สมน้ำหน้าแม่ง นภากรยืนขำให้กับท่าทางโง่ๆของเพื่อนก่อนจะสะบัดหน้าไปตามเสียงของไกด์วัยกลางคนที่พาพวกเขามาหยุดอยู่ที่ๆหนึ่ง สายลมพัดเข้าดวงตาให้ระคายเคือง ในวินาทีที่กระพริบตาลง กลับรู้สึกถึงจุดความร้อนแวบที่บริเวณระหว่างอกขึ้นมาเฉยๆ จนเผลอยกมือขึ้นมาจับจี้ที่ยังคงมีสภาพปกติธรรมดาผิดกับความรู้สึกเมื่อครู่
คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเสียมิได้ แต่ผมไม่ได้ติดใจอะไรมากจึงเงยหน้าขึ้นมามองตำหนักหลังกว้างสไตล์ทั่วไป อาจจะพิเศษหน่อยตรงที่พื้นถูกยกสูงขึ้นกว่าหลังอื่นและหน้าตำหนักมีต้นไม้ต้นสูงฝังรากอยู่ กิ่งก้านที่แผ่ออกไร้ดอก ได้ยินเสียงคนบอกแว่วๆว่าเป็นต้นเหมยฮวาอายุเป็นร้อยปีโน่นแหละ โห คนปลูกคงดีใจนะที่เหลือเป็นอนุสรณ์ให้ลูกหลานแบบนี้
แต่ว่า...พอจ้องมองมันมากๆเข้า มันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ เหมือนกับมีภาพบางอย่างซ้อนทับขึ้นมา
ภาพของใครบางคน...ที่ยืนอยู่เหนือบันไดทางขึ้นตำหนักนั่นและหันหลังในกับผม
แปล๊บ
"...?"
"เป็นไรกร คันราวนมเหรอ"
เอกวัฒน์ยื่นหน้าเข้ามาสาระแนทันทีที่ผมมุดเข้าห้วงภวังค์ของตัวเอง ซ้ำยังทำความคิดคนอื่นแตกสลายไม่เป็นชิ้นดี ผมลืมลดมือที่อยู่ตรงอกลงมาก่อนที่มันจะว่าผมเป็นโรคหัวใจแทน นภากรส่ายหน้าให้มันและเดินตามแถวไปสถานที่ต่อไป
"อ่อพูดถึงดอกไม้ ทุกท่านรู้ไหมครับว่าเมืองของเรามีตำนานบางเรื่องอยู่..."
เสียงไกด์กำลังบรรยายระหว่างการเดินไม่ได้เข้าหูผมแม้แต่น้อย กลับมีเพียงความรู้สึกปวดหนึบในใจที่ผลักดันให้ผมอดเสียไม่ได้ที่จะมองย้อนกลับไปแม้เพียงเศษเสี้ยวของหางตา
และพบว่า คนๆนั้นกำลังยืนยิ้มให้ผมอยู่ไกลๆ....
เอ้อยิ้มสวยดีนะ
...
เอ๊ะ แป๊ปนึง เดี๋ยวนะ
....
"เอกๆๆ เอ๊ก! เอกฟังกู!!"
"อะไร เป็นอะไร! ตบหน้ากูทำไม!"
"กูว่ากูไม่อยากทัวร์ต่อแล้ว กลับ... กลับๆๆๆเถอะ!!!"
"เออ เอกถามอะไรหน่อยดิ"
"อือ"
เอกวัฒน์เงยหน้าขณะกำลังสูดเส้นหมี่เข้าปากแรงๆจนน้ำซุปที่ติดมาแทบกระเด็นเข้าหน้าคนตรงข้าม ผมถอยห่างมันไม่หนึ่งสเต็ปเพราะความซกมกนั้นทำใจรับไม่ได้เสียจริง
"เอ้า มีอะไรจะพูดก็พูดดิ เสียเวลากิน"
นภากรยิ้มแห้งแม้ในใจจะเผลอยกชามก๋วยเตี๋ยวฟาดหัวเพื่อนรักไปแล้วก็ตาม แต่ทำไม่ได้หรอก ก็เอกมันเป็นเพื่อนรักผมนะ ปิ๊งๆ อ๋อเปล่า อันที่จริงมีเรื่องจะขอมันเลยต้องทำตัวดีๆก่อนไง
"มึงรู้จักไอ้ตำนานต้นดอกไม้อะไรซักอย่างป่ะ"
ผมเอ่ยถามเพราะรู้สึกตะขิดตะขวงใจมานานมากตั้งแต่นั่งอยู่ในรถของมันกับคำพูดสุดท้ายอันเรือนลางของไกด์หนุ่มเสียงดีคนนั้น พยายามที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่ได้ยิน แต่มันเหมือนมีภาพบางอย่างที่ซ้อนทับมาจางๆ
"ต้นไม้? อะไรวะ"
"ต้นไม้ อืมมมมม ต้นไม้ที่ไกด์เค้าบอกอ่ะ ก่อนที่เราจะออกมากัน"
"อื่อออออ ไม่รู้สิ"
ผมหรี่ตามองมันที่หรี่ตามองผมกลับมาทั้งๆที่อมของกินไว้ในปาก ขนาดวิธีการลากเสียงของมันยังทำให้รู้ว่าโกหกเลย คนอย่างไอ้เอกนี่มันไอ้เอกจริงแหละครับ
"....มึงตอแหล"
คนฟังกลอกตาตาขึ้นบนเหมือนรำคาญสุดใจ เอกวัฒน์เคี้ยวเนิบๆ กลืนเส้นหมี่ลงคอก่อนจะเท้าคางกับโต๊ะแล้วยักคิ้วให้แบบเท่บาดใจ
"ใช่กูตอแหล กูแค่ไม่อยากพามึงมีไรป่ะ"
"มี"
"อะไร?"
"กูจะฟ้องน้องมึง กิ่งเข้าข้างกู ฟอร์ชัวร์!"
ผมชี้นิ้วชี้ไปทางมันพร้อมขยิบตาหนึ่งข้างเหมือนพวกตัวการ์ตูนของประเทศเกาะชื่อดังแห่งตะวันออก แถมมั่นใจด้วยว่ามันคงน่ารักขนาดผู้หญิงต้องกรี๊ดกร๊าดเป็นแถวแน่นอนสังเกตจากอาม่าโต๊ะข้างที่กำลังมองผมด้วยสายตาชื่นชมแบบนั้น
"ไม่ฟ้องไอ้ซีนแล้วเหรอ?"
ไอ้เอกมันยักคิ้วใส่ผมและล้อปมด้อยประจำตัวของตัวเองแบบไม่ปิดบัง แล้วผมก็เบ้หน้าใส่มันไปตามระเบียบครับ
"กูเคยทำตั้งแต่เมื่อก่อนละ แม่งด่ากูเปิงเลย ตั้งแต่มีแฟนนี่ใครล้อมันแทบเอาหมัดกระแทกปากเลยนะเว้ย ใช่สิ พี่เอกมันก็แค่คนเก่าของน้องซีน"
"อย่าพูดไอ้กร จะร้องไห้"
มันบอกจะร้องไห้แต่มันนี่ยิ้มแฉ่งเลยครับ ผมว่าไอ้เอกนี่เริ่มจะโรคจิตหนักขึ้นทุกวัน โดนด่าแต่เสือกยิ้มหวาน สงสัยเป็นสายM
เออ ถ้าให้ลองพูดถึงไอ้ซีน ให้เล่ายาวๆก็กลัวมันจะยาวไป เอาเป็นสั้นๆเหมือนสายตาไอ้เอกมันละกัน คืองี้ ไอ้ซีนน่ะ มันเป็นผู้ชายคนนึงที่ไอ้เอกมันเผลอชอบตอนปฐมนิเทศม.4เว้ย! แม่งเกย์แดกแต่เด็กเลยป่ะล่ะ คือเมื่อก่อนไอ้ซีนมันก็ตัวเล็กๆน่ารักๆตาแบ้วๆแก้มป่องๆซื่อๆแบบเด็กต่างจังหวัดอ่ะครับ วันนึงมันก็มีกิจกรรมบัดดี้บัดเด้อะไรซักอย่าง ไม่มีครับพรหมลิควิดบ้าบออะไรนั่น ซ้ำไอ้เอกเค้าเสือกจับได้อิเต้ยหรือน้องหนามเตย (มันบอกที่ชื่อนี้เพราะหนามเตยใช้เกี่ยวฟิล์ม มันจะได้เกี่ยวผู้ชายได้บ้าง) สาวสองคนสวยหนึ่งเดียวของห้อง ว่าไปนั่นมันสวยจริงๆนะแต่แรดไปหน่อย
ไอ้เอกนี่เค้าพยายามเสือกไสตัวเองมากตั้งแต่วิธีเล่ห์ยันวิธีกลกว่าจะแลกฉลากได้สำเร็จ พอสมใจที่ได้เทคน้องซีนคนน่ารัก มันเลยริอาจฮึกเหิมใจเทียวส่งข้าวส่งน้ำเทคแคร์อย่างดีดุจลูกในอุทร จนกระทั่งวันเวลาล่วงเลยไปประมาณหนึ่งขวบเศษลูกชายของมันเติบใหญ่ ขึ้น...กว่ามัน
ครับ....ไอ้ซีนสูงเลยไอ้เอกไปแล้วแถมคิ้วเข้มหน้าคมหล่อแรงมาดแมนมากกว่าผู้ชายคนใดในห้อง ขนาดไอ้นั่นมันยังใหญ่กว่าไอ้เอกอ่ะคิดดู! ผมหมายถึงฝ่ามือนะ หนุ่มตี๋เพื่อนผมเห็นดังนั้นมันถึงกับช็อกค้างพร้อมเสียเซลฟ์เป็นเดือน บรรยากาศรอบตัวตอนนั้นเหมือนมีวิญญาณอาฆาตมาเกาะ เหมือนเห็นพายุฝนโหมกระหน่ำใส่มันตลอดเวลาเลยด้วย แต่เพราะได้แรงสนับสนุนและกำลังใจ(ตีน)อันแสนดีจากกลุ่มเพื่อนไอ้เอกเลยลุกขึนสู้อีกครั้งด้วยการเขียนเรียงความบอกรักสิบหน้ากระดาษเอสี่ก่อนจะเย็บแม็คส่งให้ไอ้ซีนอ่าน
แล้วมันก็โดนปาใส่หน้ากลับมา....
และจากนั้นเรื่องราวรักของพี่เอกกับน้องซีนก็กลายเป็นตำนานของเพื่อนๆด้วยประการฉะนี้เอง เอวัง
นภากรทำหน้าสิ้นหวังใส่เพื่อนที่เอาแต่นั่งสนใจชามก๋วยเตี๋ยวมากกว่าเขาที่มีเรื่องกังวลใจ ผมเอื้อมมือไปเขย่าแขนมันแต่เกือบโดนตะเกียบตีแขนข้อหาวุ่นวาย ได้แต่เรียกชื่อมันเสียงอ่อนเผื่อมันจะเปลี่ยนใจมาสนใจเด็กน้อยต่างบ้านต่างเมืองคนนี้บ้าง ปิ๊งๆ
"เอกกกกก~"
"อือ"
"พาไปหน่อยดิ"
ตอนนี้ผมมีลูกอ้อนอะไรต้องจับใส่ไปหมดแล้ว ถึงจะขายขี้หน้านิดหน่อยแต่ยังไงมันก็แค่นิดหน่อยไม่สะเทือนหรอกครับ บอกเลยรุ่นนี้เสริมมาดี อิอิ แน่นอนว่าคนเล่นตัวหนักมากแบบมันต้องบอกผมว่าไม่ไปแน่นอน ถ้าถามว่าทำไม ก็เพราะมันชอบเล่นตัวไงล่ะ!
แต่อย่าได้ห่วงไปสหายรัก! ผมยังมีอาวุธคือวิชามารยาร้อยล้านวิธีอยู่ในหัวแล้ว เรียนมาจากอิเต้ยกระเทยคนสวยของผมตั้งแต่อยู่ม.4ถึงม.6รับรองใครเจอก็ต้องใจอ่อน ครูดีแน่นอนครับ!
"เค ไปก็ไป กินหมดก่อนเดี๋ยวพาไป"
ไอ้เอกชี้ตะเกียบมาทางหน้าผม เคาะเล่นสองสามที ก่อนใช้คีบเส้นขึ้นมากินต่อสบายใจเฉิบ ปล่อยกูทิ้งไว้กับความรู้สึกเหมือนโดนไฟฟ้าแสนโวลต์ของไอ้หนูสีเหลืองฟาดลงหัวแบบ continuous เนื่องจากระบบสั่งการค้างไปเมื่อเจอคำตอบสู่ผลลัพธ์ในรวดเดียว ผมช็อคค้างไปจนมันต้องเงยหน้ากลับขึ้นมาบ่น
"เอ้า นั่งบื้ออะไรล่ะ รีบกินจะได้ไปไง อยากไปเองไม่ใช่รึไง"
"ไม่เล่นตัวหน่อยเหรอะวะ"
"ไม่"
"เห้ย แต่กูเตรียมยุทธวิธีไว้เต็มหัวเลยนะ แล้วมึงก็ใจง่ายเงี้ย"
"เห็นตามึงก็รู้แล้วว่าคิดแผนชั่ว ขี้เกียจเกินกว่าจะรับมือกูก็เลยไม่เล่นตัวดีกว่าไง ซู้ดด"
ว่าจบก็สูดเส็นเข้ามาราวกับชีวิตอดอยากคณานับ ทิ้งผมไว้กับความขัดเคืองใจ จำไว้นะไอ้เอกวัฒน์ สักวันกูจะมาเอาคืน..... ฮึ่ยยยย กูแค้นใจยิ่งนัก กูจะขอสาปส่งให้มึงไม่ได้กินหมูแดงพวกนั้น มึงจะต้องสูญเสียมันไปในขณะที่กูจะนั่งหัวเราะ วะฮ่าๆๆๆ หมูแดงต้องเป็นตัวแทนแห่งความแค้นของกู!
"อ่ะกร กูให้"
ไอ้เอกคีบอีแพหมูแดงต้องคำสาปใส่ชามผมด้วยรอยยิ้มอันแสนโอบอ้อมอารีประดุจพระแม่มารีอาที่โอบอุ้มบุตรชาย แต่ด้วยความเร็วดุจปลายสายฟ้า มันแอบขโมยลูกชิ้นผมไป สัด! เนียนเลยนะมึง
"ลองดู กูว่าเจ้านี้หมูแดงเด็ดมาก กินเยอะๆมึงจะได้โตกว่านี้ซะที"
ว่าแล้วพ่อคุณก็โปรยยิ้มอีกทีเอาให้ชะนีตายกันทั้งบาง อีพี่เอกมึงหยุดหว่านเสน่ห์เดี๋ยวนี้ แล้วหมายความว่าไงจะได้โตกว่านี้ซะที มึงคิดว่ามันง่ายไง๊? ที่ไม่ใช่โตนี่ไม่ใช่ไม่อยากนะ ก็มันไม่โตนี่หว่า! *ร้องไห้*
แบบนี้ก็ถือว่าคำสาปสัมฤทธิ์ผลป่ะวะ.... มันเสียหมูให้ผม ส่วนผมก็ได้แดกเพิ่มโดยแลกกับลูกชิ้นลูกเดียว
แบบนี้ก็ได้เหรอ?
...
เย้ๆ ดีใจจัง!
"มึงแน่ใจนะว่าเป็นไอ้ต้นนี้จริงๆ..."
ผมเอ่ยเสียงอ่อยขณะแหงนคอมองเจ้าต้นไม้ในตำนานที่คะยั้นคะยอให้ไอ้เอกพามาดู คนข้างๆผมพอฟังจบก็เบ้ปากออกด้านซ้ายแล้วตอบเสียงดังฟังชัดซึ่งมันน่าจะออกแนวรำคาญไป90%
"เออ มึงจะถามกูอีกซักกี่ร้อยพันหมื่นแสนล้านครั้งฮะกร กูแน่ใจและกูมั่นใจ! กูอยู่นี่ไม่ใช่แค่เดือนสองเดือนนะเว้ย กูอยู่จนน้องสาวกูจะเรียนจบแล้ว มึงนึกว่ากูจะพามาผิดที่รึไง!"
"แต่ว่า เอ่อ แบบมัน"
"ผิดคาดเหรอ"
"ประมาณนั้น คือกูไม่นึกว่ามันจะ เอ่อ แห้งกรังขนาดนี้...."
"แหงอยู่แล้วไอ้ห่า!! ก็มึงมาผิดฤดู!!!"
เอกวัฒน์แยกเขี้ยวกางเล็บเหมือนอยากจะกระชากหัวผมทุ่มใส่ไอ้ต้นไม้นี่ให้รู้แล้วรู้รอดถ้ามันไม่ติดว่าเค้าไม่ให้เข้าใกล้เกินรั้วอ่ะนะ อิอิ
ตอนนี้อากาศค่อนข้างร้อนๆชื้นๆ เอกก็เริ่มหน้ามุ่ยลง ได้แต่ระบายความร้อนโดยการกระพือปกเสื้อระบายความร้อน เจ้าตัวคงหงุดหงิดเพราะมันไม่ค่อยชอบกับความร้อนอบๆอ้าวๆเป็นทุนเดิม
"เพราะงี้กูถึงไม่อยากพามาไงแม่ง คือมันไม่มีอะไรไงเว้ย"
"แต่ไกด์เค้าพูดถึงเลยนะเว้ย อย่างน้อยมันก็น่าจะมีอะไรน่าสนใจหน่อยดิวะ"
"เฮ้อ ไอ้ที่ว่าน่าสนใจมันก็มีตำนานอยู่ .....ไปนั่งก่อนได้ไหมกูเมื่อย"
คนแก่ทำหน้าเบื่อหน่ายก่อนเดินตรงไปตรงแถวม้านั่งใต้ร่มเงาไม้ที่ถูกจัดไว้ให้สำหรับพักผ่อน ตูดถึงพื้นได้ไม่นานไอ้อาการอยากรู้อยากเห็นของผมมันก็ปรี่เข้าไปนั่งข้างเอกแบบระยิบระยับ
"ว่าไงวะมึง เล่าๆๆๆๆ"
"เฮ้ย ใจเย็นๆ แค่นี้อากาศก็ร้อนจะตายอยู่แล้ว มึงอย่าทำตัวร้อนตามมันดิวะ"
"เออ ก็เล่าให้ฟังดี๊~"
"คือกูก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรพรรคนี้หรอก อาศัยฟังเค้าเอาเพราะงั้นอย่ามาถามอะไรนอกจากที่กูเล่านะ"
"สัญญาจะเป็นเด็กดี ไม่ถามห่าอะไรทั้งนั้น"
"กูไม่เชื่อมึงหรอก จะเริ่มละนะ อืม คือต้นไม้ต้นนี้มันตำนานอยู่ เป็นเรื่องราวความรักไม่สมหวังของผู้ชายคนนึง....."
"..."
"...แล้ว"
ไอ้เอกหยุดเว้นช่องว่างให้ลุ้นระทึกกันเล่นๆตามแบบฉบับคนชอบเล่นตัว ไอ้ผมก็ลุ้นไปดิ เกร็งจนขี้จนหลุดแล้ว จิกหมอนจิกพรมหน้าชามือชาปากชาไอ้นั่นก็ชา จะครบเพลงแล้วสัดเมื่อไรจะเล่าต่อ!
"...."
"..........แต่กูว่ามันค่อนข้างน้ำเน่าว่ะมึงจะฟังเหรอ?"
"เออ! เล่าเถอะน่า แล้วมึงจะทำกูค้างทำไมเนี่ย!!"
"ฮ่าๆๆๆ อ่าขอโทษๆ"
พอโดนด่ามันก็หัวเราะชอบใจ ....มึงวิปริตมากไหมถามใจตัวเองดูซักครั้ง
"อือ .....คือเรื่องมันเกิดขึ้นนานละในสมัยราชวงศ์อะไรสักอย่าง ตอนนั้นมีจักรพรรดิคนนึงที่ว่ากันว่าฉลาดแถมหล่อที่สุดในแว่นแคว้นแผ่นดิน ตอนเป็นองค์รัชทายาทได้ตกหลุมรักกับคนๆหนึ่งและได้ตบแต่งเป็นสนมเอก ต่อมาสนมเอกนั่นก็โดนลอบฆ่า แต่เพราะรักมากเลยไม่รักใครอีกเลย"
รอบบนี้เอกวัฒน์เริ่มเล่าให้ฟังแบบจริงจังซะที เริ่มมาด้วยบทละครชีวิตแสนน้ำเน่าที่คุณมักจะหาเจอได้ตามชุดซีรี่ย์ภาพยนตร์นั่นแหละฮะ
"แต่ว่าที่จริงสนมเอกไม่ได้ถูกฆ่าแต่ถูกพาตัวไปโดยโจรนักฆ่าคนนั้น ไอ้นั่นมันก็เกิดพิเรนอะไรขึ้นมาไม่รู้เกิดรักแม่สนมเอกนั่นหมดหัวใจแม้จะรู้ว่ารักไม่มีทางสมหวัง ทีนี้สนมเอกเลยหาอุบายให้โจรพาตัวเองกลับมาเมืองหลวงได้เลยหนีไปหาฮ่องเต้ จากนั้นก็แต่งตั้งแม่นั่นเป็นฮองเฮาแล้วครองรักกันอย่างมีความสุข ปิ๊ง!"
"....แค่เนี้ย!? ตำนานเหี้ยอะไร ตะแคงหูข้างไหนฟังแม่งก็นิยายรักชัดๆ!"
"ฮ่าๆๆๆ มันก็ใช่แบบที่มึงว่าแหละ แต่ต้นไม้ต้นนี้ไม่ใช่ของสองผัวเมียนั่น แต่เป็นต้นไม้ของนักฆ่าต่างหาก"
เอกวัฒน์ยืดแขนเหยียดสุดออกไปกลางอากาศแล้วใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ทั้งสองมือประกบเข้าหากันแทนกรอบรูปล้อมรอบภาพต้นไม้แห่งตำนานที่ตอนนี้แก่หง่อมและโรยราไปตามอายุขัย
"ต้นไม้ต้นนี้ถูกปลูกขึ้นแทนความรักของนักฆ่าคนนั้นด้วยชีวิตและจิตวิญญาณที่ได้มอบให้แต่แม่สนมเอก แม้คนที่ได้รับจะไม่เคยเหลียวแลกลับมา......"
ขณะเริ่มเล่าเรื่องอีกด้านหนึ่ง ดวงตาของไอ้เอกที่มองมากลับเปลี่ยนไปราวกับมีความหมายซ่อนอยู่ นัยยะหมุนวนดุจก้นหอยใต้ท้องทะเลคลั่ง คล้ายจะไม่มีทางมองออกแต่ก็ยังติดตรึง
...
แต่ในเพียงชั่วพริบตา มันก็ถูกแทนที่ด้วยแววตาคู่เดิมของมัน
"เพราะรักถูกขัดขวางด้วยอุปสรรคและวาสนา ทีนี้เลยเกิดตำนานที่ว่าในเวลาที่ดอกไม้ผลิบาน คู่รักคู่ไหนที่รักกันด้วยใจจริงและมั่นคงต่อกันแต่ต้องพบเจออุปสรรคไม่ว่าจะเล็กใหญ่แค่ไหน ถ้าขอพรต่อมู่หลันต้นนี้แล้วจะสามารถผ่านพ้นมันไปได้อย่างแน่นอน ....แค่นี้แหละที่กูจำได้ คลับคล้ายคลับคราว่ากูจะฟังเค้าเล่ามาไม่จบ"
"โห สมหวังจริงๆเหรอวะ โหดแท้"
"ไม่รู้สิ แต่เขาว่าศักดิ์สิทธิ์พอตัว แต่เอาจริงๆกูก็ไม่เชื่อหรอก ตำนานมันก็แค่ตำนานน่ามึงอย่าไปให้ความสำคัญมันนักเลย มึงจะดูไปก่อนก็ได้นะเดี๋ยวกูกลับไปเอาน้ำแป๊บนึง แล้วก็อย่าโดนแดดมากรู้ไหมเดี๋ยวเป็นลม"
"ครับพ่อ"
ผมว่ากวนๆคนที่ยกขวดน้ำที่ไร้ของเหลวภายในแกว่งให้ดูก่อนจะลุกไปทิ้งลงถังขยะ ไอ้เอกเดินลงตามขั้นบันไดเพื่อย้อนกลับไปทางที่รถจอดอยู่เนื่องจากบริเวณของเจ้าต้นไม้ในตำนานอยู่บนเนินไม่สูงมากแต่ค่อนข้างชัน จึงมีการทำเป็นบันไดสั้นๆไว้อำนวยความสะดวก ปล่อยให้ผมได้มีเวลาส่วนตัว(ถ่ายรูป)กับสถานที่ประวัติศาสตร์ที่อุตส่าห์ดั้นดนมาชม
ถ้าให้อธิบายถึงทีนี่ บริเวณรอบต้นไม้มีการกันรั้วไม่ให้เข้าใกล้เกินไปและใช้อิฐบล็อควางรอบนอกรั้วเพื่อความสวยงามหรืออะไรก็ตาม มีบริเวณสำหรับให้นั่งพักอยู่ มีที่คล้ายๆเพิงขายของแต่ตอนนี้ปิดอยู่ อาจเพราะที่นี่เองก็ไม่ค่อยได้มีคนมาเที่ยวมาเท่าไหร่นักนอกเหนือฤดูกาล
น่าเสียดายที่มาผิดฤดูไปหน่อย ลำต้นหนากว้างบอกอายุหลายร้อยปีที่ต้องคอยแบกรับกิ้งก้านที่แผ่ออกไกลราวกับดอกเห็ด หากเป็นวันที่มันออกดอกนี่คงจะสวยน่าดูชมเลยแหละ ไว้คราวหน้าค่อยมาใหม่ก็ได้! แต่ก่อนหน้านั้นคงต้องหารูปในเน็ตดูไปก่อน ว่าแต่ไอ้ต้นนี้คืออะไรนะ เหมือนได้ยินไอ้เอกพูดอยู่แว้บๆ
อือ....
นึกไม่ออกว่ะ
"ช่างแม่ง"
ผมเลือกจะเลิกสนใจเรื่องหยุมหยิมและตั้งใจโฟกัสในการเก็บบันทึกความทรงจำด้วยกล้องโปรในมือตัวที่เจียดเงินเก็บอันแสนน้อยนิดของตนไปซื้อมาอยางยากลำบาก เพราะผมเองก็มีความสนใจทั้งเรื่องหนีเที่ยวทั้งถ่ายภาพเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว การมาทริปครั้งหากได้ลองพลาดมุมงามๆไปซักมุมมีหวังกลับบ้านไปร้องไห้แหง
แชะ!
ผมเปิดเช็คดูรูปว่ามันน่าพึงพอใจรึไม่ก่อนจะจากไป แม้จะไม่มีดอกเป็นวิวแต่กิ่งไม้เพียงอย่างเดียวก็ยิ่งทำให้บรรยากาศภาพดูเหงาและเศร้าสร้อยเหมือนตำนานที่ผมได้ยินมา อดคิดไม่ได้นะว่าบางทีรูปลักษณ์นี้ของมันก็อาจจะดูเหมาะสมดีแล้วกับต้นไม้แห่งความผิดหวังที่เฝ้ารออาลัยรักมาหลายร้อยแก่หญิงที่ตนไม่อาจเอื้อม
บางที ....การได้เบ่งบานเพียงครั้งละปี อาจจะหมายถึงความวาดหวังเพียงน้อยนิดที่จะได้มีโอกาสครองรักสู่กัน...
"กร! เสร็จยัง!"
"แป๊ปนึง! กำลังไป"
ผมตอบกลับแล้วรีบเดินไปที่บันไดทางขึ้น แต่ทันทีที่เท้าเหยียบที่ขั้นบนสุด สายลมหอบเศษฝุ่นทรายๆเข้าปะทะหน้าวูบหนึ่งจนต้องรีบยกมือกันดวงตา
นภากรเงยหน้ามองฟ้าเช็คความผิดปกติแต่ท้องฟ้าก็ดูแจ่มใสดี แต่พอคลายกำมืออก บางอย่างบนมือของเขากลับทำให้ต้องประหลาดใจ
"เอ๊ะ...นี่มัน..."
"กร! มึงเป็นไรรึเปล่า"
เสียงเอกวัฒน์เหมือนเสียงก้องที่ยิ่งทำให้สมองของเขาพร่าเลือนลงไปเรื่อย นภากรไม่อาจละสายตาไปจากกลีบดอกไม้แสนบอบช้ำในกำมือตัวเอง ปลายจมูกพลันเหมือนจะแตะต้องกับกลิ่นหอมที่หวานหวนจนฉุนกึกจนอยากจะร้องไห้ออกมา เป็นกลิ่นที่ไม่คุ้นเคย ทว่ากลับผุดเงยขึ้นมาในดวงใจ
เขาเคยได้กลิ่นนี้ จากที่ไหนที่หนึ่ง....
' .... '
"ห๊ะ"
นภากรได้สติกลับคืนอีกครั้งจากเสียงทุ้มที่คล้ายเสียงกระซิบอยู่ข้างกาย ภาพตรงหน้าเขาคือไอ้เอกที่ยืนรออยู่ด้านล่าง เขากำลังยิ้มเพื่อให้รู้ว่ามันไม่ได้น่ากังวลขนาดนั้นถึงแม้ว่ามันจะฝืนตัวเองมากก็ตาม
"กร? มึงจะเป็นลมเหรอ"
"เอก.... ทำไม.... กูถึง..."
"กร? มึงเป็นอะไร ถอยกลับไปก่อนเดี๋ยวตกลงมา"
เขารู้สึกเหมือนรอบกายหนักอึ้งจนต้องยันราวบันได้เอาไว้แบบกระง่อนกระเแง่น ดวงตาเขาเหมือนเบลอด้วยละอองบางอย่างและคุมมันไม่อยู่ ราวกับมีมือที่ไม่อาจมองเห็นบังคับให้หันกลับไปมองที่ด้านหลัง ภาพทุกอย่างเหมือนถูกกระแสบางอย่างทับซ้อนขึ้นมาเป็นระยะเหมือนจอโทรทัศน์ ที่ใกล้จะพัง และสิ่งที่เขาเห็นได้อย่างชัดเจนคือภาพของใครคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางกลีบดอกไม้ที่โปรยลงมา
และในชั่วพริบตาที่ได้สบตากัน
..
"อ่ะ อ๊า อ๊ากกกกกก!!!!"
ภายในหัวของเขาราวกับจะระเบิดออกเป็นเสี่ยง
"ไอ้กร!! กร!!"
เอกวัฒน์รีบรุดขึ้นบันในทันทีเพื่อนเขาร้องออกมา แต่น่าเสียดายที่สายเกินไป ร่างกายหยาบของนภากรโน้มตามแรงถ่วงโลกลงมาตามความสูงแต่ละขั้น ราวกับตุ๊กตาไร้วิญญาณที่ถูกโยนลงมาจากฟากฟ้าเพราะต้องทัณฑ์สวรรค์ ก่อนจะเข้าสู่อ้อมแขนของเอกวัฒน์...
พร้อมกับเลือดที่พร้อมจะย้อมอีกฝ่ายให้เป็นสีแดง
"กร!!!!!!!!!!!"
.
.
สัมปชัญญะอันน้อยนิดที่เปิดดวงตาเขาไว้เพียงเสี้ยวค่อยๆลดเลือนทำให้นภากรทำได้เพียงหัวเราะเยาะหน้าตากระวนกระวายของอีกฝ่ายในใจ เขาไม่ยักรู้มาก่อนว่าคนอย่างไอ้เอกจะขี้แยแบบนี้ด้วย ไว้ตื่นเมื่อไหร่จะล้อมันหนำใจเลยล่ะ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็น่าสงสารนะ ยังกับเด็กขวัญเสียแน่ะ
' อย่าร้องนะ '
' ขอโทษที่เป็นภาระ '
' ขอบคุณ '
เขาอยากจะพูดออกไปซักคำนึงหรอก แต่ตอนนี้น่ะ แม้ขนาดกลืนน้ำลายก็ยังว่ายากเลย เอาไว้พร้อมเมื่อไหร่ไว้เขาจะพูดแล้วกัน แต่ตอนนี้เหนื่อยแล้วล่ะ นภากรคิดในใจก่อนจะค่อยๆปล่อยตัวให้หายไปกับความมืดมิดที่เขาสัมผัส เสียงรอบกายเริ่มห่างไกลออกไปราวกับเขาท่องอยู่คนเดียวกับห้วงอวกาศแสนสงบ
และตอนนั้นเอง เขาก็ได้นึกออกเสียที
กลิ่นหอมนั้น ...ในคืนฝัน
.
.
จากต้นมู่หลันแห่งเรื่องเล่า
_______________________________________________________
หายไปนานแรง หวังว่าจะมีคนกลับมาเยี่ยมเยือนกันบ้างนะคะ ยินดีต้อนรับค่ะ TvT
โถ่ พี่กร กล้องพังหมดแล้วเพคะ ;__; #เก็บเศษ #เดี๋ยวๆ
พิมพ์ตรงไหนผิดก็ขอโทษนะคะ ขอบคุณค่ะ <3
โถ่ พี่กร กล้องพังหมดแล้วเพคะ ;__; #เก็บเศษ #เดี๋ยวๆ
พิมพ์ตรงไหนผิดก็ขอโทษนะคะ ขอบคุณค่ะ <3
10.27 pm
11/02/16
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น