ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (EXO) SKYSCRAPER | CHANBAEK

    ลำดับตอนที่ #3 : Chapter1: HOW IT BEGINS

    • อัปเดตล่าสุด 19 มี.ค. 59


    © themy butter



    HOW IT BEGINS

     


     

     

     

           เสียงฝีเท้าเนิบๆดังขึ้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอของชายร่างสูงใหญ่ ชุดสีดำตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าทำให้เขาดูลึบลับเป็นเท่าตัว ท่าทางภูมิฐานและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกันทำให้ทุกคนที่เขาเดินผ่านต่างก้มหัวให้ทันที

     

           “ท่านครับ ทีมเอฟบีไอมาถึงเมื่อเช้านี้ตามที่คิดไว้ครับเสียงรายงานดังขึ้นทันทีที่ชายคนนั้นเปิดประตูเข้ามาในห้องราวกับยืนรออยู่นานมาแล้ว

     

           “อืม แล้วเขาจะมาหาเมื่อไหร่?” เสียงทุ้มถามขึ้นหลังจากถอดสูทตัวนอกออกและนั่งลงบนโต๊ะทำงานเรียบร้อยแล้ว

     

           “เอ่อจากที่เขาติดต่อเข้ามา พรุ่งนี้ครับชายหนุ่มซึ่งเป็นเลขานั้นก้มลงมองเอกสารในมือเล็กน้อยแต่ก็ตอบคำถามได้อย่างฉะฉาน

     

           เสียงเคาะปากกาบนโต๊ะดังขึ้นเป็นจังหวะ พร้อมกับเสียงพลิกหน้ากระดาษไปมา เป็นเสียงกดประสาทของเลขาหนุ่มเลยก็ว่าได้ เขาอยากจะออกจากห้องนี้ให้ไวที่สุดแต่ในเมื่อเจ้านายยังไม่ออกคำสั่งเขาก็ได้แต่ยืนก้มมองพื้นอยู่ที่เดิม

     

           “งั้นแผนต่อไปก็เริ่มพรุ่งนี้ได้เลย

     

           “..ครับ ผมได้ไปบอกให้เขาเริ่มแผนก่อนที่จะมารายงานแล้วครับ”

     

           “ดี” เจ้าของเสียงยิ้มเหยาะพอใจในสิ่งที่เลขาของตนรายงาน “โซจีซอบล่ะ?”

     

           “ไม่ได้มาด้วยครับ แต่...” ทันทีที่ได้ยินคำว่าแต่เสียงเคาะปากกาก็หยุดลงทันใด ใบหน้าอันดุดันเงยหน้าขึ้นมาจากเอกสารตรงหน้าทำให้เลขาต้องรีบหลุบตาลงต่ำ

     

           “แต่อะไร”

     

           “หัวหน้าทีมคนใหม่ของเอฟบีไอครับ ผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เหมือนจะเพิ่งเข้ามาเพียงแค่สองสามปี” ข้อมูลถูกพ่นออกมาทันทีโดยไม่ลังเล ระหว่างพูดก็คุ้ยเอกสารในมือก่อนจะวางซองสีน้ำตาลหนาประมาณหนึ่งถึงสองนิ้วไว้บนโต๊ะคนตรงหน้า

     

           เสียงเคาะปากกาดังขึ้นอีกครั้งเป็นสัญญาณว่าคนตรงหน้ากำลังจดจ่อกันเอกสาร เลขาที่ได้ชื่อว่าเป็นคนโปรดนั้นยืนก้มหน้าอยู่ที่เดิมอย่างนิ่งสงบ ทว่าในใจนั้นกลับลุกเป็นไฟ

     

           “ไม่ได้ตรวจสอบมาก่อนรึไงว่ามีคนแบบนี้เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่?” ประโยคที่ได้ยินทำให้คนที่รู้ตัวว่าทำงานผิดพลาดแทบจะหยุดหายใจขาสั่นจนแทบจะทรุดลงไปกองที่พื้น แต่ก็ต้องฝืนไว้

     

           “ค...คือ.. ทางนั้นไม่ได้...รายงานมาเลยครับ ผมทำงานผิดพลาดผมขอโทษครับ!” พูดจบก็โค้งตัวลงแทบจรดปลายเท้ายอมรับในความสะเพร่าของตัวเอง

     

    เลขาหนุ่มไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงพลิกกระดาษที่ดูรุนแรงขึ้น เหมือนคนตรงหน้ากำลังหงุดหงิดที่แผนไม่ได้เป็นไปตามที่เขาหวังเอาไว้ ถึงจะไม่ใช่ความผิดของเขาเต็มร้อยก็ตามเขาก็ต้องยอมรับโทษแต่โดยดี

     

    “เรียนจบมหาลัยตำรวจตั้งแต่อายุยี่สิบ...” เสียงงอันทรงอำนาจอ่านข้อมูลบนกระดาษออกมาเบาๆ ไร้ความโกรธมีแต่ความสงบนิ่ง และนั่นทำให้ลูกน้องคนโปรดค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองอย่างงุนงง “ถูกทาบทามเข้ามาที่เอฟบีไอทันทีเมื่ออายุยี่สิบเอ็ด... อายุยี่สิบสองขึ้นเป็นหัวหน้าทันทีเพราะผลงานอันโดดเด่นตลอดปี”

     

    “ถือว่าเป็นหัวหน้าทีมที่เด็กสุดในเอฟบีไอตอนนี้เลยครับ ผมรู้สึกว่าเราควรจะจับตามองเขาไว้ครับ” เลขาหนุ่มเสริมขึ้นทันที

     

    “อืมดีมาก ถึงมันจะเป็นแค่เด็กอมมือแต่จับตามองเอาไว้ก็ไม่เสียหาย”

     

    “ครับ.. แต่ท่านครับ...” ชายหนุ่มรวบรวมความกล้าและค่อยๆก้าวเข้าไปใกล้โต๊ะทำงานตัวหรูตรงหน้า ก่อนจะวางรูปนับสิบใบลงบนโต๊ะ และค่อยๆถอยห่างออกมาจากโต๊ะนั่นอีกครั้ง

     

    เจ้านายของเขาค่อยๆหยิบรูปแต่ล่ะใบออกมาพิจารณาคิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็ยิ้มออกมา “อย่าลืมบอกเขาคนนั้นเรื่องนี้ด้วย”

     

    “ครับ”

     

    “ดี ขอบใจมากซูฮา ไปได้แล้ว” เลขานุ่มนามว่าซูฮาอมยิ้มเล็กน้อยหลังจากได้รับคำชมก่อนจะโค้งให้คนตรงหน้าและเดินออกจากห้องไป

     

    ปึง...

     

    เพื่อนร่วมงานทั้งหลายของซูฮาหรือเลขาสุดโปรดของนายท่านกรูกันเข้ามาทันทีหลังจากเห็นเพื่อนออกมาจากห้อง

     

    คำถามตั้งแต่คุยอะไรกันบ้างจนถึงรอดออกมาได้ มีมาถามกันอย่างไม่ขาดสาย แต่ซูฮากลับทำได้เพียงแค่ยิ้มตอบกลับไป เนื้อหาที่เขาเข้าไปคุยนั้นเป็นความลับเสมอ และเพราะเขารักษาความลับได้ดียิ่งกว่าใครนายท่านจึงโปรดปรานเขาเป็นพิเศษ ไม่นานเหล่าผองเพื่อนก็แยกย้ายกันออกไปเพราะไม่สามารถเค้นคำตอบจากเขาได้

     

    “นัมซุน นายช่วยจับตามองคนนี้ให้หน่อย” ซูฮาเรียกชายหนุ่มอีกคนที่นายท่านไว้ใจเป็นอันดับสองไว้ก่อนจะยื่นเอกสารไปให้ปึกหนึ่ง

     

    “ใคร?”

     

    “หัวหน้าคนใหม่ของทีมเอฟบีไอ บยอนแบคฮยอน”

     


     

     

    ‘Dear Mr.Byun,

     

    Regarding to the recent situation, thousands of people seem to mistrust the FBI and terrified about leaked information. These concerns are ruining our reputation, which also ruining our country. Many investors have withdrawn their money from tens of famous company because they are worry about cybercrime. After a lot of investigation we found that the roots of this crime located in Korea. Therefore, we have decided to send your investigate team to Korea, and arrest the culprit to bring back trust and positive reputation. As the best and the youngest team leader we hope that you won’t disappoint us.

     

    You can find plane tickets for your teammates in the attachment.

     

    Warm Regards,

    Mike Fletcher

    Head of FBI’

    (ถึงคุณบยอน

     

    เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดนั้นได้ทำให้ผู้คนมากมายหมดความเชื่อใจกับองค์กรของเรา และยังหวาดกลัวว่าข้อมูลสำคัญนั้นจะรั่วไหลออกไปและทั้งหมดนี้ทำให้ภาพลักษณ์ของเราเสียหายเป็นอย่างมาก นักลงทุนหลายท่านได้ถอนเงินลงทุนจำนวนมากจากบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศเนื่องจากกลัวว่าพวกเราจะจัดการอาชญกรรมบนโลกไซเบอร์ไม่ได้ หลังจากได้สืบอย่างละเอียดแล้วเราได้พบว่าต้นตอของการก่อการร้ายครั้งนี้ อยู่ที่ประเทศเกาหลี ทางเราจึงตัดสินใจให้ส่งทีมสืบสวนสอบสวนของคุณไปที่ประเทศเกาหลีเพื่อหาตัวคนร้ายเพื่อนำความเชื่อและภาพลักษณ์ที่ดีกลับมา พวกเราหวังว่าหัวหน้าที่เด็กและดีที่สุดอย่างคุณจะไม่ทำให้เราผิดหวัง

     

    ส่วนตั๋วเครื่องบินของทีมของคุณผมได้แนบมาให้ในอีเมลแล้ว

     

                                                      ขอบคุณครับ

                                                      ไมค์ เฟลตเชอร์

                                                      ประธานองค์กรเอฟบีไอ)

     

           “แบคฮยอนไม่นอนเหรอ? เดี๋ยวเพลียนะชานยอลทักขึ้นเมื่อลืมตาขึ้นมาเห็นคนที่ควรจะหลับอย่างสบายบนที่นั่งระดับบิสเนสคลาสบนเครื่องบิน นั่งอ่านอีเมลที่ได้รับมาเมื่อสองสามวันอย่างใจลอย

     

           “อืม

     

           “นอนเถอะมัวแต่อ่านซ้ำไปซ้ำมาทำไม?” ชานยอลถือวิสาสะพับโน๊ตบุ้คของแบคฮยอนลงและปรับเบาะให้เอนลงโดยไม่สนใจท่าทีไม่พอใจของอีกคน

     

           แต่สุดท้ายคนตัวเล็กก็ยอมนอนลงแต่โดยดี ชานยอลเท้าแขนขึ้นมาเพื่อที่จะได้มองหน้าคนรักของตัวเองชัดๆ ตั้งแต่ได้รับอีเมลนั่นมาแบคฮยอนก็เอาแต่นั่งเครียดอยู่ทั้งวัน แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่กล้าเข้าไปแซวเหมือนปกติ

     

           “แบคฮยอนคิดอะไรอยู่..?” ชานยอลค่อยๆเกลี่ยผมที่ลงมาปรกหน้าอีกคนเบาๆ เขาไม่เคยรู้ใจแบคฮยอนเลยสักครั้ง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแบคฮยอนรักเขาจริงๆไหม หรือแค่ยอมเป็นแฟนกับเขาเพราะรำคาญ

     

           “เรื่องไร้สาระน่ะ นอนเถอะแบคฮยอนดันให้ชานยอลนอนลงแต่อีกฝ่ายดันขืนตัวเอาไว้ หน้าตาของคนตรงหน้าดูจริงจังขึ้นกว่าปกติจนสังเกตได้

     

           “เพราะเป็นแบคฮยอนเรื่องไหนก็สำคัญทั้งนั้นแหละ บอกผมหน่อย

     

           “แค่ลางสังหรณ์ไม่ดี

     

           “คดีนิดเดียวเองแบคฮยอน เดี๋ยวผมหาเลขไอพีพวกมันมาได้ก็จบแล้ว Game Over” ชานยอลยีหัวคนตัวเล็กเบาๆ ยักคิ้วแถมไปอีกที พอเห็นว่าแบคฮยอนหลุดยิ้มออกมานิดหน่อย เขาจึงเสียบหูฟังและล้มตัวลงนอนต่อโดยไม่ได้ยินประโยคที่คนตัวเล็กพึมพำออกมาเบาๆ

     

           “ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆก็คงจะดี

     

    หกชั่วโมงต่อมา...

     

    แบคฮยอนมองไปนอกหน้าต่างในระหว่างที่เครื่องบินกำลังแลนด์ดิงแสงสว่างของกรุงโซลยามค่ำคืนนั้นสวยสำหรับเขาเสมอ ทุกอย่างดูใหม่หลังจากที่เขาไม่ได้กลับมาเกาหลีเลยตลอดสี่ปี

     

    อาจจะเพราะข้างนอกมันมืดเกินไปหรือไม่ก็เพราะในสายตาของแบคฮยอนมองอยู่แค่คนๆเดียว ภาพของชานยอลหลับตาพริ้มที่สะท้อนบนกระจกนั้นจึงเด่นยิ่งกว่าแสงสีของกรุงโซล

     

           “ชานยอล.. ถึงแล้ว” แบคฮยอนเขย่าตัวแฟนหนุ่มไม่กี่ครั้งชานยอลก็ตื่น บิดขี้เกียจเล็กน้อย ก่อนจะคว้าแบคฮยอนไปกอดหน้าตาเฉย

     

           “นี่! ปล่อยนะ” แบคฮยอนพยายามขืนตัวออกแต่ไม่เป็นผล

     

           “ยังเพลียอยู่เลย อืม.. แบคฮยอนหอมจัง” ชานยอลซุกลงมาที่ซอกของแบคฮยอน กดจมูกสูดกลิ่นกายของคนตัวเล็กไล่ขึ้นมาจนถึงแก้มนิ่ม และนั่นก็มากพอที่จะทำให้แบคฮยอนเกร็งตัวแข็งทื่อ ปล่อยให้ชานยอลหอมแก้มแดงๆย้ำอยู่หลายรอบ

     

           ก่อนที่จะ...

     

           ผัวะ!

     

           “โอ้ย! ผมเจ็บนะ” ชานยอลปล่อยแบคฮยอนออกจากอ้อมกอด มือข้างหนึ่งก็ลูบหัวตัวเองป้อยๆหลังจากที่คนรักเอาอะไรก็ไม่รู้มาทุบหัวเขาอย่างแรง

     

           “อย่าทำตัวรุ่มร่าม เก็บของได้แล้ว”

     

           “ครับ..”

     

          


     

     

    แบคฮยอนกระชับแจ็คเก็ตของตัวเองเมื่อลมหนาวจากข้างนอกปะทะเข้ากับตัวเขาทันทีที่ประตูอัตโนมัติของสนามบินเลื่อนเปิดออก ถึงแม้จะเลยช่วงฤดูหนาวมาแล้วก็ตาม แต่อากาศตอนเช้าของที่นี่ก็ยังเย็นกว่าปกติ สายตาของคนตัวเล็กมองไปรอบๆระหว่างรอคนอื่นๆในทีมเดินตามออกมา แต่ก็ไม่พบคนที่ตามหา

     

           “มึงแน่ใจนะว่าประตูนี้?” คยองซูเพื่อนอายุเท่ากันอีกคนในทีมที่เดินตามหลังมา และพบกับความว่างเปล่าเช่นกันถามขึ้น

     

           “อือ ใครก็ได้โทรถามที” แบคฮยอนหยิบมือถือขึ้นมา พยายามเลื่อนหาเบอร์โทรของคนๆนั้นทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าไม่มี

     

           “กูก็ไม่มีเบอร์ว่ะ พวกพี่มีกันป่ะ?” คยองซูส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะหันไปถามจงอินและเซฮุนที่อยู่ข้างหลัง

     

           “เดี๋ยวผมโทรเองครับ” จงอินยกโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาก่อนจะกดโทรออกทันที รอไม่นานอีกฝ่ายก็รับสาย จงอินพูดเพียงไม่กี่ประโยคก่อนจะวางสายไปและออกเดินเป็นเชิงว่าเขาจะนำทางให้ และคนอื่นๆก็เดินตามพี่ใหญ่ของทีมไปทันที

     

           “ชานยอลเดี๋ยวฉันถือเอง” รั้งท้ายแถวเป็นน้องเล็กสุดของทีมสองคนแบคฮยอนพยายามแย่งกระเป๋าเดินทางของตัวเองที่ชานยอลถือวิสาสะเอาไปถือ

          

    “ไม่เอา อยากช่วยแฟนถือ” ชานยอลหันมายิ้มให้ หวังให้แบคฮยอนยอมใจอ่อนแต่ก็ไม่ คนตัวเล็กยังคงดื้อด้านจะคว้ากระเป๋าไปถือเองให้ได้

     

           “Helloooooooooo guys!” สำเนียงภาษาอังกฤษแปร่งๆที่ทุกคนคุ้นหูดังขึ้นทำให้รอยยิ้มประดับอยู่บนหน้าทุกคน แม้กระทั่งแบคฮยอนยังส่งยิ้มหวานไปให้เขาและโบกมือหยอยๆไปให้

     

           “แบคฮยอน นั่นใครเหรอ?” ชานยอลที่เห็นท่าทางดีใจของทุกๆคนก็อดถามไม่ได้ พยายามมองแค่ไหนเขาก็ไม่คุ้นหน้าผู้ชายใส่แว่นหน้าตาตี๋ๆคนนั้นเลย

     

           “พี่แดเนียล เคยเป็นที่ปรึกษาของทีมเราตอนแรกๆ แต่กลับมาช่วยงานที่เกาหลีช่วงที่นายมาพอดี” แบคฮยอนหันมาอธิบายก่อนจะเดินไปหาพี่แดเนียลที่ว่า

     

           “ไงน้องแบค อ้อ.. ไม่สิ หัวหน้าเป็นไงมั่งครับ?” แดเนียลเอ่ยทักทายพร้อมกับขยิบตาให้ทันทีเมื่อเห็นแบคฮยอนเดินเข้าไปหา

     

           “ไม่เอาดิพี่ เรียกปกติแหละ” แบคฮยอนยิ้มตอบก่อนจะหันไปช่วยคนอื่นลำเลียงกระเป๋าขึ้นรถ “แล้วห้องอะไรเรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ?”

     

           “เรียบร้อยแล้ว ระดับนี้แล้วไม่ต้องห่วง”

     

           “อ้อ พี่แดเนียลครับ นั่นชานยอล เข้ามาแทนจื่อเทาครับ” แบคฮยอนกวักมือเรียกชานยอลให้เดินขึ้นมาข้างๆและกดหัวแฟนหนุ่มให้โค้งเคารพแดเนียล

     

           “เป็นแฟนแบคฮยอน.. โอ้ย! ตีทำไม” ชานยอลหันไปแหวใส่แฟนที่จู่ๆก็มาตบหัวเขา

     

           “ไร้สาระ” แบคฮยอนว่าก่อนจะหันไปยิ้มแหยๆและแก้ต่างว่า “มันคิดไปเองพี่ อย่าสนใจมัน”

     

           แดเนียลได้แต่ส่ายหัวเบาๆกับความวุ่นวายของทีมนี้ ข้างหลังแบคฮยอนนั้นเซฮุนและคยองซูพยายามทำมือเป็นรูปหัวใจลอยไปลอยมาเป็นเชิงว่าแบคฮยอนและชานยอลนั้นเป็นแฟนกันจริง แต่ก็ยังไม่วายแอบมีท่าทีผวาๆว่าแบคฮยอนจะหันมาเห็น แม้แต่จงอินยังหันมาพยักหน้าคอนเฟิร์ม ..สงสัยเรื่องนี้จะจริงสินะ

     

           .

     

           .

     

           .

     

           แบคฮยอนปล่อยให้วิวด้านนอกหน้าต่างไหลผ่านตาไปเรื่อยๆเช่นเดียวกับคนอื่นๆในรถ..

     

     คิดถึง...

     

    คงเป็นคำเดียวที่สามารถอธิบายความรู้สึกของพวกเขาได้ ถึงแม้บ้านเกิดจะเปลี่ยนไปบ้างแต่ก็ไม่ได้มากจนแบคฮยอนจะจำอะไรไม่ได้ คงจะดีไม่น้อยถ้าเขาได้มีโอกาสมาเดินเที่ยวเล่นบ้าง

     

    “แบคฮยอน” เสียงทุ้มของชานยอลที่นั่งอยู่ข้างๆดึงแบคฮยอนออกจากความคิด

     

    “ไร.. อ้ะ!” พอหันไปตามคนเรียก ก็อุทานออกมาเพราะนิ้วชี้ของชานยอลจิ้มมาที่แก้มของเขาพอดี

     

    “ยิ้มอะไรคนเดียว”

     

    แบคฮยอนส่ายหน้าเป็นคำตอบ “แค่อยากมาเดินเที่ยว”

     

    “เดี๋ยวงานจบผมพาเดินเที่ยวเอง” ชานยอลว่า พร้อมส่งยิ้มซื่อๆมาให้ แบคฮยอนสังเกตมาหลายครั้งแล้ว ถึงแม้ชานยอลจะยิ้มแต่ในตาของชานยอลกลับดูมีอะไรกังวลอยู่ตลอดเวลา ซึ่งแบคฮยอนก็ไม่กล้าที่จะถามออกไปสักที จึงได้แต่พยักหน้าตอบกลับไป

     

    ไม่นานรถของแดเนียลพร้อมกับทีมเอฟบีไอก็มาถึงที่พัก ซึ่งเป็นคอนโดธรรมดาๆไม่ได้หรูหราอะไร แต่ว่าใกล้กับออฟฟิศที่พวกเขาจะไปทำงาน เดินไปเพียงไม่กี่นาทีก็ถึง แถมยังมีร้านอาหารครบครัน หนึ่งห้องนอนได้สองคน ทุกคนจึงลงมติกันว่าให้จับคู่กันนอนเหมือนปกติ จึงได้ออกมาเป็น เซฮุนและคยองซู ชานยอลและแบคฮยอน ส่วนจงอินนั้นเป็นผู้เสียสละที่จะนอนคนเดียว

     

    ทั้งหมดจึงแยกย้ายกันไปเอาของใส่ห้องและนัดว่าจะลงมากินข้าวเย็นกันอีกที...

     

     



           แบคฮยอนทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนหกฟุตในห้องของตัวเอง หลังจากใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเพื่อจัดข้าวของต่างๆของตัวเองให้เข้าที่ และยังเหลือเวลาอีกตั้งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัดไปกินข้าวเย็น

     

    ถือว่าเป็นโชคดีที่ในห้องพักของเขานั้นแยกเป็นสองห้องนอนพร้อมกับห้องน้ำในตัว แถมยังมีห้องนั่งเล่นห้องครัวพร้อมอุปกรณ์ต่างๆครบครัน แบคฮยอนจึงได้ใช้เวลาของตัวเองอยู่ในห้องแทนที่จะต้องนั่งปวดหัวคอยช่วยเรื่องนู่นนี่ของปาร์คชานยอลเหมือนที่อเมริกา

     

           นอนเล่นไปเล่นมาเมื่อหันไปมองนาฬิกาจึงเห็นว่าใกล้เวลานัดแล้ว แบคฮยอนจึงลุกขึ้นและตรงไปที่ห้องชานยอล

     

           “ชานยอลไปกินข้าว” แบคฮยอนโผล่หัวเข้าไปในห้องของแฟนหนุ่ม ทำให้ชานยอลที่กำลังนั่งจ้องจอโน้ตบุ้คอยู่สะดุ้งอย่างตกใจก่อนจะรีบตะปบจอคอมตรงหน้าให้พับลง

     

           “ทำไมไม่เคาะประตู?!” เสียงตะหวาดของชานยอลดังขึ้นทันที และนั่น.. ทำให้แบคฮยอนหน้าเสียไม่น้อย

     

           “...”

     

           “อุ่ย... แบคฮยอนคือ...”

     

           “จะไปกินไหมข้าว?”

     

           “ไปคับไปป” ชานยอลรีบลุกขึ้นและเดินกึ่งวิ่งตามแบคฮยอนที่เดินนำไปก่อนแล้ว “แบคฮยอนรอด้วยดิ”

     

           ร้านอาหารง่ายๆข้างคอนโดคือที่นัดหมาย และแน่นอนว่าแบคฮยอนกับชานยอลนั้นมาถึงเป็นคนแรก แต่ไม่นานคนอื่นๆก็ตามกันมาจนครบ

     

           “จริงๆคดีนี้ส่งมาแค่สองสามคนก็จบแล้วป่ะ ส่งมาทั้งทีมทำไมว่ะ?” เซฮุนเปิดประเด็นขึ้นหลังจากสั่งอาหารไปเรียบร้อยแล้ว

     

           “อืมก็จริง เอาจริงไม่ต้องส่งมาก็ได้ เลขไอพีหาจากทางนู้นง่ายกว่าอีกกูว่า หรือมึงว่าไง?” คยองซูว่าก่อนจะพยักหน้าไปทางแบคฮยอน

     

           “บางทีเรื่องมันอาจจะใหญ่กว่าที่เราคิดก็ได้” แบคฮยอนเอ่ยขึ้นทั้งๆที่ยังก้มหน้ามองตักตัวเองอยู่

     

           “เห็นด้วย ไม่บ่อยหรอกนะที่เขาจะส่งเมลมาหาแบคฮยอนโดยตรง” จงอินเสริม

     

           “แบคฮยอนอย่าเครียดดิ” ชานยอลประคองหน้าแบคฮยอนให้หันมามองก่อนจะจิ้มคิ้วสองข้างที่ขมวดอยู่โดยไม่สนใจสายตาของคนอื่น

     

           “ชานยอล คนอื่นมอง” เสียงติดรำคาญของแบคฮยอนตอบกลับมา ก่อนจะปัดมือชานยอลออกจากหน้าตัวเอง

     

           “ไม่ได้มองเลยหัวหน้า หวานเลยตามสบาย” เซฮุนว่าทั้งๆที่ใช้มือทั้งสองข้างปิดหน้าอยู่

     

           “กูด้วย นี่ไงข้าวมาแล้วกู.. แดกล่ะ” ส่วนคยองซูกับจงอินก็หันไปสนใจอาหารตรงหน้า

     

           “เห็นป่ะไม่มีใครสนแล้ว กอดหน่อย”

     

           “จะกินข้าว”

     

           “ครับ..”

     

           และอาหารเย็นก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและการพูดคุยอย่างสนิทสนมของทุกๆคนในทีม..

     

           ระหว่างทางกลับที่พัก...

     

           เนื่องจากการเดินทางที่ค่อนข้างยาวทุกคนก็เลยดูเพลียๆ ต่างคนต่างเดินกันเงียบๆ ปล่อยให้เสียงของรถที่แล่นไปมาผ่านหูไปเรื่อย บรรยากาศตอนนี้ค่อนข้างผ่อนคลาย ลมเย็นๆที่พัดมานั้นก็ทำให้สมองโปร่งขึ้น

     

           แต่ทว่า..

     

           เพล้ง!!

     

           “กรี้ดดดดดดดด!!

     

           “เห้ย แบคฮยอนไปไหน!” ชานยอลตะโกนพลางวิ่งตามหลังแบคฮยอนที่เริ่มออกวิ่งไปตั้งแต่ได้ยินเสียงกระจกแตก

     

    “พี่จงอิน โทรเรียกรถพยาบาลกับตำรวจ” คำสั่งอันเฉียบขาด​ของแบคฮยอนดังขึ้นทันทีที่พวกเขาไล่ตามมาถึงจุดที่คนมุงกันอยู่

     

    จงอินพยักหน้าตอบก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับโทรศัพท์ในมือ

     

    “พี่ฮุนคอยกันคนที่ไม่เกี่ยวอย่าให้เข้ามา คยองซู มึงถ่ายรูปที่เกิดเหตุไว้” คำสั่งยังคงพรั่งพรูออกมาจากหัวหน้าทีมตัวเล็ก “ส่วนชานยอลตามฉันมา

     

    ว่าแล้วแบคฮยอนก็วิ่งหายเข้าไปในคอนโดนั่นอย่างรวดเร็ว เซฮุนและคยองซูต่างช่วยกันดันคนให้ออกห่างจากที่เกิดเหตุ ทำให้เห็นที่เกิดเหตุได้ชัดเจนขึ้น

     

    ร่างไร้วิญญาณของชายหนุ่มรูปร่างผอมซูบโชกไปด้วยเลือด นอนกองบิดเบี้ยวอยู่บนพื้นราวกับไม่มีกระดูก ดวงตาที่เหลือกขึ้นราวกับตกใจกับอะไรสักอย่างแก้มทั้งสองข้างตอบราวกับขาดสารอาหาร แต่ยังคงเหลือเคล้าโครงหน้าให้เห็นว่าเมื่อก่อนนั้นเขาคนนี้เคยเป็นดารามาก่อน

     

           “จงอิน.. ไม่ต้องโทรเรียกรถพยาบาลแล้วล่ะ เขา.. ตายแล้ว”

     

           .

     

           .

     

           .

     

           “ขอโทษนะครับ ผมเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ” แบคฮยอนชูบัตรประจำตัวขึ้นให้พนักงานที่มีท่าทีตกใจไม่น้อยดู “รบกวนอย่าให้ใครออกจากคอนโดด้วยนะครับ” ถามอีกสองสามประโยค เขารีบวิ่งตรงไปที่ลิฟท์ที่เปิดออกทันที

          

           “ไปชานยอล เร็วๆ!

     

           แบคฮยอนพุ่งออกไปแทบจะทันทีเมื่อประตูลิฟท์เปิดออกทีชั้นห้า ตรงไปที่ห้องของผู้ตายโดยมีชานยอลตามไปติดๆ

     

           กลิ่นเหม็นอับปะทะหน้าทั้งคู่ทันทีที่เปิดประตู แบคฮยอนมองไปรอบๆห้อง เสื้อผ้า ของใช้ และอาหารที่กินเหลือวางเกลื่อนอยู่ทั่วห้อง

     

           “แบคฮยอน... ดูนั่น..” ชานยอลชี้ไปที่ผนังห้องด้านหนึ่ง

     

           “...น..นั่นมัน..”

     

         ผู้ทรยศคนที่หนึ่ง

     

           “ตรง.. ตรงนั้นมีโน้ตบุ้คเปิดอยู่ ผมไปตรวจเลยนะ” ไม่รอให้แบคฮยอนตอบชานยอลก็เดินตรงไปที่โน้ตบุ้คที่เปิดคาไว้อยู่บนโต๊ะในห้องรับแขก

     

           “ชานยอลหยุด!! ห้ามแตะต้องอะไรในห้องทั้งนั้น” แบคฮยอนตะโกนลั่นเมื่อเห็นชานยอลกำลังจะหยิบโน้ตบุ้คเครื่องนั้น “ต้องถ่ายรูปที่เกิดเหตุให้เรียบร้อยก่อนเข้าใจไหม!!

     

           “ข.. ขอโทษครับ ผมลืมตัว” ชานยอลสะดุ้งตกใจ รีบถอยออกมาจากโน๊ตบุ้คเครื่องนั้นทันที

     

           “นายนี่มัน!!” แบคฮยอนง้างหมัดขึ้นจะชกชานยอลที่เดินก้มหน้าเข้ามาหา แต่กลับโดนใครบางคนรั้งข้อมือไว้

     

           “เห้ย! ทำอะไรของมึง จะต่อยมันทำไม”

     

    เป็นคยองซูที่ตามขึ้นมา ห้ามเอาไว้ได้ทัน

     

           “แม่ง สอนเหี้ยไรไม่เคยจำ” แบคฮยอนสบทออกมาเบาๆ แต่ก็มากพอที่ชานยอลจะได้ยิน “มึง เรื่องนี้เกี่ยวกับคดีพวกเราแน่นอน”

     

           “ทำไม...” คยองซูถาม ก่อนจะเริ่มมองไปรอบๆห้องแต่ก็สะดุดกับตัวหนังสือสีแดงนั่น “...เชี่ย”

     

           “มึงถ่ายไว้ให้ครบทุกมุมเลยนะ กูจะไปดูกล้องวงจรปิด” ว่าแล้วแบคฮยอนก็เดินออกไปจากห้องแต่ก็ชะงักเท้าไว้ และหันไปหาชานยอล “นายรอคยองซูถ่ายภาพให้เสร็จก่อนค่อยเก็บหลักฐานในโน้ตบุ้คนั่น เข้าใจไหม? เหมือนว่าก่อนตายเขาจะใช้โน้ตบุ้คอยู่นะ ตรวจสอบให้ละเอียด”

     

           เห็นว่าชานยอลพยักหน้ารับแล้วแบคฮยอนจึงรีบวิ่งออกจากที่เกิดเหตุ วิ่งลงบันไดลงไปทันที

     

           ปึง!

     

           “ขอโทษนะครับ ผมเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ ขออนุญาตดูกล้องวงจรปิดด้วยนะครับ” ทุกสายตาในห้องควบคุมพร้อมใจกันหันมามองแบคฮยอนที่เปิดระตูพรวดพราดเข้ามาในห้องทันที

     

           “คุณคือ...”

     

           “หัวหน้าทีมสืบสวนต่างประเทศ จากเอฟบีไอ บยอนแบคฮยอน ขอดูกล้องวงจรปิดตั้งแต่ หนึ่งทุ่มจนถึงตอนนี้ด้วยครับ” ทุกคนในห้องรีบวิ่งกันวุ่นวายเมื่อแบคฮยอนออกคำสั่งพร้อมกับชูบัตรประจำตัวของเขาขึ้นมา

     

           “ท..ทางนี้เลยครับ”

     

           แบคฮยอนดึงเก้าอี้มานั่งตรงหน้าจอขนาดใหญ่ที่รวมภาพวงจรปิดของทั้งตึกเอาไว้

     

    “ขอดูตรงทางเดินหน้าห้อง502 ก่อนเกิดเหตุประมาณครึ่งชั่วโมงครับ”

     

     

           ร่างสูงเดินก้าวยาวๆออกมาจากห้อง กระวนกระวายมองซ้ายมองขวาอยู่ตลอดเวลา ยิ่งได้ยินเสียงรถตำรวจที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆเขายิ่งรีบก้าวขาให้ยาวขึ้น จนกลายเป็นวิ่ง และหยุดอยู่หน้าห้องๆหนึ่งในที่สุด

     

           ก๊อกๆๆ

     

           ระหว่างรอเจ้าของห้องมาเปิดประตู เขาก็ยังคงมองไปรอบๆตัวอย่างหวาดระแวง มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาปิดปากเอาไว้เพื่อไม่ให้ใครเห็นใบหน้า

     

           “ไง..”

     

           “เป็นคุณ.. จริงๆด้วยสินะครับ”

     

           “หึ ไปเก็บกวาดอย่าให้เหลืออะไรโยงขึ้นมาได้ล่ะ”

     

           “ครับ”

     

           .

     

           .

          

           .

     

           “พวกคุณออกไปจากที่เกิดเหตุได้แล้ว”

     

           “เห้ยไรว่ะ ไม่เห็นไงว่าทำงานอยู่เหมือนกัน”

     

           “ผมเชื่อว่าลูกทีมของผมทำงานได้ดีพอแล้ว เพราะฉะนั้นพวกคุณกรุณาออกไปนอกที่เกิดเหตุด้วยครับ”

     

           “ผมเอฟบีไอนะเว้ย”

     

     “เอฟบีไอแต่ไร้ฝีมือก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะ”

     

           “พูดงี้ต่อยกันดีกว่า!

     

           เสียงทะเลาะของคนสองคนดังขึ้นเรื่อยๆระหว่างที่แบคฮยอนเดินกลับมาที่เกิดเหตุ เสียงหนึ่งในนั้นเป็นเสียงของเซฮุนแน่ๆ ส่วนอีกเสียงนั้นเขาไม่แน่ใจ

     

    แต่แล้วแบคฮยอนก็ต้องรีบวิ่งเข้าไปดึงตัวเซฮุนออกมาทันทีเมื่อเห็นว่าพี่ร่วมทีมกำลังจะพุ่งเข้าไปต่อยใครบางคน

     

           “เดี๋ยวดิพี่ ใจเย็น”

          

           “แบคฮยอนปล่อย ไอ้บ้านี่มันดูถูกทีมเรานะเว้ย”

     

           “หยุด! นี่เป็นคำสั่ง” ทุกการกระทำของโอเซฮุนหยุดลงทันที “ฉันจัดการเองอยู่เฉยๆ เข้าใจไหม”

          

           “สวัสดีครับผมบยอนแบคฮยอน หัวหน้าทีม” เป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่รู้ที่เขาชูบัตรประจำตัวของตัวเองออกมา

     

           “ผม.. สารวัตรยูนซังฮยอนครับ”

          

           “ต้องขอโทษแทนพี่ฮุนด้วยครับ พี่เขาใจร้อนไปหน่อย” แบคฮยอนก้มหัวลงเล็กน้อยเพื่อเป็นการขอโทษ “แต่การที่คุณบอกว่าเอฟบีไอไร้ฝีมือมันก็จะมากไปหน่อยนะครับ..”

     

           ทั้งสองต่างเงียบ แบคฮยอนจ้องไปในตาของสารวัตรตรงหน้า ทางฝ่ายนั้นก็จ้องกลับมาเช่นกัน เป็นเวลานานที่ทั้งสองมองตากันอยู่แบบนั้น ทำให้บรรยากาศในห้องนั้นอึดอัดจนแทบจะทนไม่ไหว แต่สุดท้ายก็เป็นสารวัตรหนุ่มที่หลุดยิ้มขำออกมา

     

           “...งั้นก็พิสูจน์สิครับ คุณหัวหน้าทีม”

     

           แบคฮยอนยักคิ้วให้กับคนตรงหน้า ก่อนที่จะหันหลังกลับไปหาลูกทีมที่กลับมารวมตัวกันอยู่ข้างหลังเขา “คยองซูถ้ายังไม่ได้ถ่ายมุมไหนก็ไปจัดการซะ พี่จงอินพี่ฮุน เก็บหลักฐานให้ครบ ส่วนนายไปจัดการเอาข้อมูลทุกอย่างในโน้ตบุ้คออกมาอย่าให้เหลือ” 

     

           “ครับ”

          

           ทุกคนแยกตัวกันออกไปทำงานของตนทันทีโดยไม่ต้องบอกเป็นครั้งที่สอง ส่วนแบคฮยอนนั้นเพียงแค่ยืนมองอยู่ห่างๆ กวาดสายตาไปรอบๆห้องตรวจสอบทุกการกระทำของลูกทีม

     

           “นายชื่อไรนะ แบคฮยอนป่ะ?” ชายหนุ่มที่น่าจะวัยเดียวกันกับแบคฮยอนทักขึ้น

     

           “อืม.. แล้วนายคือ?”

     

           “จงแด คิมจงแด อยู่ในทีมสารวัตรยูน”

     

           “ยินดีที่ได้รู้จักครับ” แบคฮยอนละสายตาจากหน้าตากวนๆของจงแด และหันไปมองลูกทีมต่อ

     

           “..ขี้เก๊กชะมัด”

     

           “อะไรนะครับ?”

     

           จงแดทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะผายมือไปทางเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ “ผมว่า ผมควรจะแนะนำให้รู้จักคนอื่นๆน่ะ ข้างๆสารวัตรนั่นพี่มินซอก ไอ้เอ๋อที่ใส่แว่นนั่นซูโฮ ส่วนคนตัวสูงที่ยืนแยกออกมานั่นอี้ชิง”

     

           “อ่อ..”

     

           “แบคฮยอน!” ยังไม่ทันที่แบคฮยอนจะตอบอะไรกลับไปเสียงตะโกนของชานยอลก็ดังขึ้นจากมุมหนึ่งของห้อง

     

           “อะไร” แบคฮยอนเดินไปตามเสียงเรียก มองชานยอลที่นั่งรัวคีย์บอร์ดโน้ตบุ้คไม่หยุด

     

           “ข้อมูล.. ข้อมูลในนี้หายไปหมดเลย..” เสียงเบาจนเกือบจะกระซิบของชานยอลดังขึ้น

     

           “อะไรนะ!

          

     

    TBC

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×