ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Zarry: They Don't Know About Our Love Stories

    ลำดับตอนที่ #3 : Zarry: แย่ง Part End

    • อัปเดตล่าสุด 18 มิ.ย. 58








    วันนี้ก็เกือบอาทิตย์หนึ่งแล้ว เกือบหนึ่งอาทิตย์ที่แฮร์รี่ใช้ความพยายามทั้งหมดเพื่อให้พี่เซนยอมมาส่งที่บ้าน เกือบหนึ่งอาทิตย์ที่แฮร์รี่ได้นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ที่พี่เซนเป็นคนขับ เกือบหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านไปเร็วจนไม่อยากจะเชื่อ เหมือนความสัมพันธ์ของพี่เซนกับแฮร์รี่จะพัฒนาไปทีละนิด แม้จะไม่ได้คืบหน้ามากมายแต่ได้เท่านี้ก็เกินกว่าที่แฮร์รี่คิดฝันเอาไว้มากแล้ว





     

    ดวงตาสีมรกตใสแจ๋วจ้องมองคนด้านหน้าด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย



     

     

    คนหน้าคมที่ขับรถกินลมสบายๆดูจะไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่ตีกันวุ่นของแฮร์รี่เลยแม้แต่นิด  แผ่นหลังกว้างมองแล้วช่างให้ความรู้สึกอบอุ่น กลิ่นหอมประจำตัวของคนตัวสูงลอยมาเตะจมูกให้คนนั่งด้านหลังใจเต้นไม่เป็นส่ำ




     

    ชอบ...

     

     



    แฮร์รี่ชอบพี่เซนมากจริงๆ







    แต่ก่อนที่จะคิดอะไรไปได้มากกว่านี้ หยดน้ำเม็ดโตก็ตกกระทบลงบนแขนขาว ความเย็นของมันทำให้คนตัวเล็กสะดุ้งน้อยๆ มือเล็กกำชายเสื้อของคนด้านหน้าแน่นขึ้นเมื่อรับรู้ได้ว่าตัวเองจะต้องเจอกับอะไรในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า



     

     

    ฝนตก...

     



     

    อีกไกลกว่าจะถึงบ้าน แถมไม่ได้เอาร่มมาอีกต่างหาก...

     



     

    ร่างสูงชะลอความเร็วของรถ ก่อนจะจอดสนิทเข้าข้างทาง



     

     

    “แฮร์รี่ นายเอาร่มมารึเปล่า”ร่างบางส่ายหน้าหวือหลังจบคำถาม แต่เซนดูไม่ได้มีท่าทีแปลกใจอะไรมากนัก ราวกับเจ้าตัวก็ไม่ได้คาดหวังในคำตอบอยู่แล้ว

     


     

    “งั้นนายจะให้พี่จอดรอจนฝนผ่านไปก่อนหรือว่ายังไง”

     


     

    “ขับไปเรื่อยๆก่อนก็ได้ครับ ถ้ามันตกแรงกว่านี้ค่อยหาที่หลบฝน”แฮร์รี่เปิดหมวกกันน็อคมาตอบคนหน้าคมก่อนที่มือบางจะค่อยๆถอดหมวกนั้นออกแล้วส่งให้คนที่มองมาอย่างแปลกใจ

     


     

    “ถอดออกทำไมล่ะ”


     

     

    “ฝนมันตก พี่เซนใส่ไว้ดีกว่า ขับรถเดี๋ยวฝนเข้าตาเอานะ”เมื่อเห็นคนตรงหน้ายังคงลังเลใจ แฮร์รี่เลยถือวิสาสะสวมมันลงไปบนศีรษะได้รูปซะเลย ทำเองก็เขินเอง ใบหน้าใสแดงเรื่อขึ้นน้อยๆยามที่เจ้าตัวติดล็อคที่ใต้คางให้คนตัวสูง และด้วยความที่หมวกยังถูกเปิดอยู่ ทำให้ดวงตาสีสวยสบเข้ากับดวงตาสีเฮเซลที่มีสเน่ห์ดึงดูดอย่างน่าประหลาด

     



     

    เหมือนถูกดูดเข้าไปในห้วงเวลาที่ถูกหยุดไว้



     

     

    เหมือนมีแรงดึงดูดที่ทำให้ไม่สามารถละสายตาได้



     

     

    แม้จะเห็นเพียงแค่ดวงตาคู่คมโดยที่ใบหน้าสมบูรณ์แบบได้ถูกบดบังไว้ แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้แฮร์รี่ต้องหยุดทุกความคิด แล้วจ้องลึกราวกับจะค้นหาบางอย่างได้จากนัยน์ตาคู่นั้น



     

     

    ไม่รู้ว่าคิดไปเองไหม แต่แฮร์รี่รู้สึกได้ว่าแววตานั้นมีบางอย่างที่แปลกไป

     



     

    อ่อนโยนขึ้น...ล่ะมั้ง

     



     

    สายฝนที่เริ่มตกแรงขึ้นทำให้ทั้งคู่หลุดจากภวังค์ เซนกระแอมแก้เก้อก่อนจะหันไปมองถนนที่ทอดยาวด้านหน้า

     



     

    “เอ่อ... พี่ว่าเรารีบไปกันดีกว่า ตกหนักกว่านี้แล้วจะลำบาก”

     


     

    “ครับ...”แฮร์รี่ตอบเสียงแผ่วด้วยสติดูเหมือนจะยังกลับมาไม่ครบเท่าไหร่นัก




     

    “นายแอบหลังพี่ก็ได้นะ จะได้ไม่เปียกมาก”เสียงทุ้มเอ่ยราวกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่แฮร์รี่ให้คำตอบชัดเจนกับเรื่องนี้ได้ในทันทีเลยว่าอย่าดีกว่า

     



     

    ...ถ้ายังไม่อยากเขินจนตายล่ะก็นะ

     



     

    แต่ยังไม่ทันที่เซนจะออกรถไปไหนได้ไกล ฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา สัญชาติญาณบอกให้มือแกร่งดึงมือคนด้านหลังให้ขยับมาแนบชิด ส่งผลให้ตอนนี้ใบหน้าของแฮร์รี่แนบกับแผ่นหลังกว้าง โดยที่มือเล็กถูกจับให้ไปกอดเอวคนตัวสูงด้านหน้าไว้แน่น

     


     

    ริมฝีปากบางอ้าออกอย่างตกใจ  หูอื้ออึงจนแทบไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง เลือดในตัวก็เหมือนจะถูกสูบไปไว้ที่ใบหน้าจนหมด


     

     

    “หลบหลังพี่ก่อนนะ”

     


     

    เสียงของเซนที่แฮร์รี่ได้ยินเหมือนจะลอยมาจากที่ไกลๆที่ไหนซักแห่ง ร่างบางทำได้แค่พยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะเผลอตัวซุกใบหน้าเข้าหาความอบอุ่นที่โหยหา แขนเรียวกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัวเลยว่าจะทำให้ใครบางคนเผลอยิ้มน้อยๆกับท่าทีที่ดูราวกับลูกแมวขี้อ้อนนั้น

     


     

    หลังจากฝ่าสายฝนที่ตกหนักมาได้ซักพัก เซนก็จอดรถเข้าที่จุดพักในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ก่อนที่คนทั้งคู่จะวิ่งเข้าไปหลบฝนด้านใน เซนถอดหมวกออกก่อนจะหันไปมองแฮร์รี่ที่ไม่ต่างอะไรกับลูกหมาตกน้ำ สายลมแรงทำให้แฮร์รี่ตัวสั่นน้อยๆ

     


     

    “หนาวหรอ”


     

     

    “นิดหน่อยครับ”สิ้นเสียงแฮร์รี่คนตัวสูงก็ไปหยิบบางอย่างมาจากใต้เบาะรถ ก่อนที่แฮร์รี่จะพบว่ามันเป็นผ้าเช็ดหน้าผืนบาง



     

    “อ่ะ เอาไปเช็ดหน้าเช็ดตาก่อน เปียกไปหมดแล้ว”มือเล็กเอื้อมออกเตรียมไปรับผ้าเช็ดหน้ามาจากเซน แต่ก็เหมือนโดนแกล้งเมื่อลมแรงพัดเอาผ้าเช็ดหน้านั้นปลิวไปด้านนอก คนทั้งคู่ถลาไปเก็บอย่างทุลักทุเลด้วยสายฝนนั้นยังไม่มีทีท่าว่าจะผ่อนแรง



     

    มือหนาของเซนคว้าผ้าเช็ดหน้านั้นได้ก่อน แต่เมื่อหันมาสบตากับแฮร์รี่ที่ยืนทำหน้าตกใจอยู่กลางสายฝนทั้งคู่ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้


     

     

    “ฮ่าๆๆๆ ดูเหมือนผ้าเช็ดหน้าจะช่วยอะไรไม่ได้แล้วล่ะพี่เซน”แฮร์รี่พูดพลางกลั้วหัวเราะ รอยยิ้มกับเสียงหัวเราะสดใสถูกส่งออกมาทำให้วันที่มืดครึ้มดูจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้อย่างน่าแปลก



     

     

    เซนรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ก่อกวนอยู่ในอกหลังจากเห็นรอยยิ้มนั้น



     

     

    เหมือนหัวใจถูกบีบรัด

     



     

    แต่ก็รู้สึกสบายใจไปในเวลาเดียวกัน...

     



     

    “แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้ว...”เสียงหัวเราะถูกแทนที่ด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ราวกับเจ้าตัวเล็กข้างหน้านี่มีแผนการอะไรบางอย่าง



     

    แฮร์รี่วิ่งกลับเข้าไปด้านในที่หลบฝนก่อนจะชูมือให้เห็นวัตถุบางอย่างที่เหมือนกับกระเป๋าเงินของเขาไม่มีผิดเพี้ยน

     


     

    “เฮ้ นายเอาไปเมื่อไหร่น่ะแฮร์รี่”ร่างสูงทำตาโตก่อนจะเดินตรงมาหา


     

     

    “อยากได้ก็มาแย่งคืนสิครับ ฮ่าๆๆ”แฮร์รี่ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นก่อนจะวิ่งหลบไปอีกด้าน ทั้งสองคนวิ่งไล่กันไปมา แต่ในที่สุดเซนก็ตามทัน แฮร์รี่หันหลังพิงเสาพร้อมเอากระเป่าซ่อนไว้ด้านหลัง ร่างสูงพยายามแย่ง แต่มารู้ตัวอีกทีก็เป็นตอนที่คนตรงหน้ายืนตัวแข็งทื่อ เมื่อหันมาถึงได้รู้ว่าใบหน้าของทั้งสองห่างกันไม่ถึงคืบ...

     


     

    ลมหายใจร้อนๆที่สัมผัสอยู่ตรงใบหน้าใสทำให้แฮร์รี่ใจสั่นระรัว แข้งขาก็เหมือนจะไม่มีแรงขึ้นมาซะดื้อๆ

     



     

    ไม่กล้าผลักไส

     


     

    แต่ก็ไม่กล้าสบตา...


     


     

    เอาจริงๆแล้ว แฮร์รี่ไม่กล้าทำอะไรเลย...

     

     

     

     

     

    Zayn’s Part

     

     

    ผมไม่เข้าใจว่าอะไรที่ทำให้ผมมายืนอยู่ตรงนี้ มันไม่น่าเป็นอย่างนี้ได้ตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ ผมควรจะกลับถึงบ้าน นอนดูทีวี แล้วก็โทรหาเพอร์รี่ได้แล้ว แต่ตอนนี้ผมกลับมายืนเปียกฝนที่นี่  อยู่ตรงหน้าคนที่เริ่มเข้ามามีอิทธิพลกับผมมากขึ้นเรื่อยๆ คนตัวเล็กที่ประกาศให้ผมรู้ว่าจะแย่งผมไปจากเพอร์รี่ให้ได้ แต่สิ่งที่ทำกลับมีเพียงการคอยตามตื้อ ออดอ้อนเพื่อจะได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ แล้วก็คอยทำโน่นทำนี่ให้ผมสารพัดเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรน่ากลัวตรงไหนเลย

     


     

    ประกาศตัวเหมือนเป็นคนร้ายกาจเจนโลก แต่เอาเข้าจริงๆก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่ดูใสซื่อและอ่อนต่อโลกเท่านั้นเอง


     

     

    ดูอย่างตอนนี้สิ...

     


     

    ความใกล้ชิดทำให้บางอย่างในใจผมเริ่มก่อตัว ใบหน้าใสที่ก้มหน้างุด แก้มแดงระเรื่อกับมือบางที่กำจนเกร็งแน่น


     

     

    ไหนจะริมฝีปากบางสีแดงสดที่เม้มเข้าหากันนั่นอีก


     

     

    มือของผมเอื้อมไปจับใบหน้านั้นให้หันมาสบตากัน  ดวงตาที่ผมเพิ่งสังเกตว่าเป็นประกายสดใสแค่ไหนแลดูสั่นไหว แก้มใสเย็นเฉียบจากการตากฝนเป็นเวลานาน

     

     

    กว่าจะรู้ตัว...




     

     

     ริมฝีปากของผมก็ทาบทับลงบนปากบางนุ่มนิ่มนั่นแล้ว...

     




     

    เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครรู้ แต่ผมไม่อยากละจากสัมผัสนี้ไป

     




     

    มันนุ่มนวล อ่อนหวาน เกินกว่าที่ผมจะถอยออกมาได้

     



     

    คนตัวเล็กทุบอกผมเบาๆ เมื่ออากาศหายใจเริ่มน้อยลงเต็มที แต่เมื่อผมละออกมาคนตรงหน้าก็ทรุดฮวบจนเกือบจะล้มลงไป ผมรีบสอดมือไปรับร่างนั้นไว้ก่อนดึงเข้าหาตัว ทำให้ใบหน้านั้นซบอยู่กับหน้าอกผม

     

     

     

     

    และจากตอนนั้นจนถึงตอนนี้ แฮร์รี่ก็ไม่พูดอะไรอีกเลย...

     

     

    End of Zayn’s Part

     




    ผมกลับมาถึงบ้านได้ยังไงผมเองก็ไม่แน่ใจ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้คือความจริงหรือความฝัน แต่สัมผัสนั้นยังชัดเจนเหมือนมันเพิ่งผ่านไปแค่ไม่กี่นาที


     

     

    แฮร์รี่ยกมือขึ้นสัมผัสริมฝีปากตัวเองเบาๆ ไม่อยากเชื่อว่าเขากับพี่เซนจะจูบกันแล้วจริงๆ  แฮร์รี่จ้องมองตัวเองในกระจก ก่อนจะหยิกแก้มตัวเองแรงๆเพื่อยืนยันว่ามันไม่ได้เป็นแค่เขาที่ฝันไป



     

     

    เงาสะท้อนในกระจกส่งยิ้มกลับมาเหมือนคนบ้า

     



     

    แต่แฮร์รี่ก็คิดนะ

     




     

    ว่าเขาคงจะบ้าไปแล้วจริงๆ

     

     

     

     

     

     

     

    “ห๊า!”เสียงแหลมที่แผดออกมาอย่างสุดกลั้นทำให้คนรอบสนามต้องหันกลับมามองตัวต้นเสียง แต่เมื่อทุกคนพบว่าเป็นลูอี ทอมลินสันเจ้าเก่า ก็ไม่มีใครให้ความสนใจต่อ ยกเว้นคนสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานี่แหละ


     

     

    “มีปัญหาอะไรหรือไงคุณทอมลินสัน”เสียงโหดๆของโค้ชจอมเฮี้ยบทำเอาลูอีขนลุกวาบ

     

     


    “เอ่อ ก็ไม่เชิงครับ ผมแค่สงสัยว่า อย่างไอ้เด็ก... เอ่อ เลียม เพย์นเนี่ยนะครับจะมาเป็นผู้ช่วยโค้ช”

     


     

    ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองต้องมาถามอะไรอย่างนี้ เพราะเขาเองก็ไม่เคยมีปัญหาอยู่แล้วว่าใครจะเข้ามาบริหารทีม แต่... หมอนี่เนี่ยนะ?

     

     

    “ใช่ แล้วคุณเพย์นก็จะมาช่วยดูแลเรื่องการควบคุมอาหารกับการเทรนร่างกายด้วย การแข่งฟุตบอลนัดสำคัญใกล้เข้ามาทุกที ผมอยากให้พวกคุณพร้อมที่สุด”

     

     

    “แต่มัน... แต่เขาเพิ่ง...”ลูอีเตรียมแย้ง แต่โค้ชก็แทรกขึ้นมาซะก่อน

     

     

    “คุณเพย์นเขามีความสามารถ ผมมั่นใจเรื่องนี้ เคลียร์นะ”แล้วโค้ชก็จากไปทิ้งให้ผมยืนอ้าปากค้างข้างๆไอ้เด็กหน้าจืดนี่

     

     

    “พร้อมฝึกรึยังครับ”เสียงกวนประสาทถามขึ้นข้างตัว ลูอีไม่ตอบ ทำเพียงแค่เดินเลี่ยงไปอีกทางเท่านั้น

     


     

    “แบบนั้นไม่ถูกนะครับ ขาพี่จะแพลงเอาได้ง่าย”


     

     

    “ต้องแบบนี้ถึงจะถูก นี่พี่เป็นนักกีฬาจริงๆรึเปล่าเนี่ย”

     


     

    “กินน้ำหลังออกกำลังกายทันทีไม่ได้นะพี่ ช็อคตายไปผมก็ช่วยไม่ทันนะ”

     



     

    หางคิ้วของใครบางคนเริ่มกระตุก ลูอีต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการกักเก็บอารมณ์ที่เริ่มพุ่งสูง

     



     

    “เอื้อมไม่ถึงก็บอกให้ผมช่วยก็ได้นะ พี่ไม่ต้องอายหรอก คนเตี้ยมีเยอะแยะ”

     

     

    คำต้องห้ามที่หลุดออกมาทำเอาลมออกหูปรี๊ดๆ แต่สาบานได้ว่าลูอีพยายามแล้วจริงๆที่จะไม่โวยวายอะไรออกมาให้โค้ชด่าเล่น

     

     

    “คุณเพย์น ไปดูคนอื่นบ้างก็ได้นะ โน่นๆ ในทีมมีอีกตั้งหลายคน ผมช่วยตัวเองได้”เสียงกระซิบลอดผ่านไรฟันทำเอาร่างสูงแอบขำ คนตรงหน้ายั่วโมโหง่าย แถมสนุกดีด้วย

     

     

    “ผมรู้ว่าพี่ช่วยตัวเองได้ แต่ถ้าพี่อยากให้ผมช่วยผมก็ไม่รังเกียจนะ”เจ้าของเสียงพูดออกมาหน้าตาเฉย แต่ไอ้คำสองแง่สามง่ามที่ดูเหมือนเจ้าตัวต้องการจะสื่อถึงอะไรบางอย่างทำให้คนตัวเล็กอารมณ์พุ่งทะลุปรอทไปแล้ว

     

     

    “ไอ้เหี้  ย เลียม!

     

     



     

     

     “คุณทอมลินสัน! รอบสนามสิบรอบ ปฏิบัติ!

     

     

     

     

     

     

     

     



     

    “เลิกตามมาได้รึยัง?”หงุดหงิด หงุดหงิดสุดๆ เกิดมาไม่เคยหงุดหงิดอะไรขนาดนี้ ไอ้เด็กบ้านี่ก็ไม่เลิกตามมาซะที มันจะขยันกวนประสาทอะไรนักหนา

     

     

    “ฝนมันทำท่าจะตกนะ”

     

     

    “ช่างฝนมันสิ แล้วก็นะ เลิก-มา-ยุ่ง-กะ-กูวววววว”เสียงแหลมๆตะโกนสุดเสียง แหงล่ะ โค้ชไม่อยู่แล้วนี่

     

     

    “พี่พูดหยาบคายเดี๋ยวก็โดนทำโทษอีกหรอก”ดูมัน ไอ้คนทำให้เขาโดนทำโทษมันยังไม่รู้ตัวเลย

     

     

    “แล้วใครล่ะที่กวนประสาทจนฉันทนไม่ไหวน่ะ”

     

     

    “ผมกวนประสาทพี่หรอ?”เอาเข้าไป ทำเป็นมาทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม เดี๋ยวผมจะกลับบ้านไปบันทึกหลักฐานไว้ ถ้าผมเป็นความดันจนตายไป นั่นเป็นเพราะมันเลย

     

     

    “เออสิวะ”



     

    “อ้าวโค้ช ยังไม่กลับหรอครับ”ไอ้เลียมหันไปพูดกับคนข้างหลัง ทำเอาคนตัวเล็กสะดุ้งโหยง แต่เมื่อหันไปกลับพบแต่ความว่างเปล่า

     




     

    มันหลอกกูอีกแล้ว...

     




     

    “อย่าอยู่เลยไอ้เลียม!”ร่างเล็กๆกระโจนเข้าหาร่างสูงแต่ก็ไม่ไวเท่าแขนแข็งแรงที่จับยึดข้อมือของคนตัวเล็กกว่าเอาไว้

     


     

    “แค่นี้ถึงกับต้องใช้กำลังเลยหรอพี่”

     


     

    “ปล่อยเลยนะ แน่จริงมึงปล่อย มาตัวต่อตัวกับกูนี่”ใบหน้าเล็กๆที่โกรธจนหน้าดำหน้าแดงทำให้เลียมยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู

     

     

    “แล้วนี่ไม่ได้ตัวต่อตัวอยู่หรอครับ”เลียมพูดขำๆ ก็มีกันแค่สองคน จะไม่เรียกตัวต่อตัวได้ยังไง?


     

    “เฮ้ยย โอ๊ยยย”ยังไม่ทันไร คนตัวเล็กก็เสียหลักจะล้ม ร่างสูงถลาเข้าไปก็ไม่ทันซะแล้ว เมื่อตอนนี้คนขี้โวยวายลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้ากับพื้นเป็นที่เรียบร้อย

     

     

    “เป็นอะไรไหม พี่เจ็บตรงไหนรึเปล่า”ใบหน้ายุ่งๆแสดงความเป็นห่วงจนคนตัวเล็กแปลกใจ ดวงตาสีฟ้าจับจ้องการกระทำของอีกคนอย่างสงสัย อยากจะด่าต่ออยู่หรอก แต่พอเห็นท่าทางแบบนี้ของอีกคนบางอย่างมันก็บอกให้เงียบไว้ก่อนดีกว่า

     

     

    “เจ็บขา”เลือกที่จะบอกอีกคนไปตามตรงด้วยอยากรู้ว่าคนตรงหน้าจะแสดงท่าทียังไง

     

     

    “ไหน ผมดูหน่อย”มือหนาจับขาเขาพลิกไปมาอย่างเบามือแต่ตรงข้อเท้ามันเสียวแปลบจนต้องร้องออกมา

     

     

    “โอ๊ยย เบาๆหน่อยดิ”เสียงใสบ่นขมุบขมิบ

     

     

    “ข้อเท้าแพลงแน่เลย”ไม่พูดเปล่า คนตัวโตล้วงมือหยิบของในกระเป๋าสัมภาระ ก่อนจะเอายามาพ่นแล้วพันข้อเท้าให้

     

     

    “ทีนี้คงเล่นซนไม่ได้อีกนาน”เสียงทุ้มพูดกลั้วหัวเราะอย่างเอ็นดู แต่แปลกที่ลูอีกลับไม่รู้สึกหงุดหงิดเท่าไหร่ อาจเพราะมันทำให้เขารู้สึก...

     

     

     

     

    เหมือนกำลังได้รับการเอาใจใส่ล่ะมั้ง...

     

     

    “นี่ ฉันโตกว่านายนะอย่าลืม”แต่ลูอีก็คือลูอี ยอมเป็นที่ไหนล่ะ ขอให้ได้เถียงเถอะ

     

     

    “ฮ่าๆๆ เข้าใจแล้วครับ”เลียมทำเสียงเหมือนไม่อยากจะเชื่อ และก่อนที่จะทันตั้งตัวคนตัวสูงก็จับเขาขี่หลังแล้วเรียบร้อย

     

     

    “เฮ้ยยย ปล่อยฉันลงนะ”เสียงแหลมโวยวาย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เลียมเปลี่ยนใจยอมปล่อยคนบนหลังลง

     

     

    “เฉยๆเถอะครับ ขาเจ็บอยู่พี่จะเดินไปยังไง บ้านพี่อยู่ไหนบอกผมแล้วกัน”ความจริงทำให้ลูอีเถียงไม่ออก ก็ดี คิดซะว่ามันเป็นเบ๊แล้วกัน คอยรับใช้ จะได้ไม่ต้องเดินให้เมื่อย

     

     

    ความเงียบโรยตัวระหว่างคนทั้งสอง ขาแข็งแรงยังคงก้าวไปตามทางเดินอย่างไม่รีบร้อนถึงแม้ฝนตั้งเค้าจะตก คงจะเป็นครั้งแรกที่ไม่มีเสียงทะเลาะน่าปวดหัว แต่น่าแปลก ที่เลียมค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองชอบเวลาได้เถียงกับอีกคนมากกว่า

     


     

    “นี่”เสียงเล็กๆดังขึ้นข้างหู แต่เลียมแกล้งไม่สนใจ

     

     

    “นี่!”เสียงดังขึ้นกว่าครั้งแรก แต่เลียมก็ยังทำเป็นไม่ได้ยินอยู่อย่างนั้น

     

     

    “เลียม!”คนบนหลังเรียกชื่อเขาออกมาอย่างสุดทน แต่นั่นก็ทำให้เลียมยิ้มออกมาได้อย่างง่ายดาย

     

     

    “ว่าไงครับ”

     

     

    “แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินรึไง”ลูอีเสียงแหว แต่ที่ได้กลับมามีเพียงเสียงหัวเราะเบาๆจากคนตัวสูง ลูอีเงียบไปหลังจากนั้น แต่ไม่นานก็มีเสียงพูดเบาๆที่ทำให้เลียมต้องยิ้มกว้างกว่าเดิม




     

     

    “ขอบใจนะ”

     

     


     

     

    “พี่รู้ไหม ว่าเวลาพี่เรียกชื่อผมเฉยๆ มันน่ารักกว่ากันเยอะเลย”

     

     

    และเลียมก็คงไม่รู้หรอก ว่าใครบางคนก็ซ่อนยิ้มไว้แทบไม่อยู่เหมือนกัน...

     

     

     

     

     

     

     

     



     

     

    ดวงตาคมสีเฮเซลจ้องมองล็อคเกอร์ของตัวเองที่แปลกไปจากทุกวัน แปลกหรอ? แปลกสิ เพราะช่วงหลังมานี้จะต้องมีกระดาษโพสอิท กับนมชมพูมาแขวนไว้ทุกวัน

     


     

    แล้ววันนี้มันหายไปไหนล่ะ

     


     

    ไม่สิ

     



    คนที่เอามาแขวนไว้ หายไปไหนต่างหาก...


     

     

    ความคิดตีกันยุ่งในหัวของร่างสูง ทั้งแปลกใจแล้วก็เป็นห่วงในเวลาเดียวกัน  ปกติแล้วต่อให้เขาจะทำทีไม่สนใจ แฮร์รี่ก็ยังมีความพยายามที่จะแขวนมันให้เขาทุกวัน

     

     

    แล้วเหตุการณ์เมื่อวานก็แวบเข้ามาในสมอง

     

     

    หรือว่าจะโกรธเรื่องเมื่อวานกันนะ... เพราะเมื่อวานตั้งแต่ที่เขาจูบแฮร์รี่ไป แฮร์รี่ก็ไม่พูดอะไรอีกเลย ร่างบางแค่เดินเข้าบ้านไปเงียบๆ ไม่บอกลาเหมือนเคย...

     

     

    หรือว่าจะไม่สบาย?

     

     

    คิดมาถึงตรงนี้ความเป็นห่วงก็ทำให้ใจกระตุกวูบ เมื่อวานฝนตกหนักมากแล้วแฮร์รี่ก็โดนฝนจนเปียกไปทั้งตัว แฮร์รี่อาจจะ...



     

    “เซน!”ร่างสูงเซถอยหลังไปด้วยแรงปะทะ สิ่งที่เห็นมีเพียงเส้นผมสีทองกับกลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคย

     


     

    เพอร์รี่?

     


     

    โดยไม่ทันตั้งตัว ริมฝีปากบางก็ทาบทับลงมา เซนจูบตอบด้วยความเคยชิน  เพอร์รี่ถอนจูบออกก่อนจะสวมกอดเขาอีกครั้ง เซนกอดตอบให้แน่นขึ้นด้วยความคิดถึงจนเพอร์รี่ต้องหัวเราะออกมา

     

     

    “ฮ่าๆๆ เซนกอดแน่นแบบนี้ เดี๋ยวเพอร์หายใจไม่ออกนะ”

     

     

    “ก็คิดถึง”ร่างสูงตอบกลับสั้นๆ แต่ยังไม่คลายกอดลง หลงลืมไปชั่วขณะว่าเมื่อครู่มีใครบางคนที่อยู่ในห้วงความคิด ใครบางคนที่เห็นทุกอย่างมาตั้งแต่ต้น ดวงตาคมหันมาสบเข้ากับดวงตาสีมรกตที่รื้นไปด้วยน้ำตา ใบหน้าซีดเซียวเพราะพิษไข้ นัยน์ตาสีสวยที่เคยสดใสกลับถูกแทนที่ด้วยความหม่นหมองหลังม่านน้ำตา ข้างตัวมีถุงนมชมพูที่เจ้าตัวเลือกที่จะปล่อยมันให้หล่นลงกับพื้น






    เซนเข้าใจในวินาทีนี้ ว่าคำที่บอกว่าใจหายวูบมันเป็นยังไง...

     

     

    ร่างสูงดันเพอร์รี่ออกจากอ้อมกอด สายตาคมจดจ้องไปยังคนที่พยายามกลั้นก้อนสะอื้น ปากบางพึมพำแผ่วเบา แต่มันชัดเจนในความรู้สึก

     




     

    “ผมยอมแพ้แล้ว”

     

     

     

    คำๆเดียวที่ทำให้เซนแทบล้มทั้งยืน คำๆเดียวที่ทำให้เซนก้าวขาออกไปเพื่อจะรั้งคนตรงหน้าไว้ คำๆเดียวที่ทำให้เซนลืมไปว่ามีใครที่หัวใจแตกสลายอยู่เบื้องหลัง

     

     

    ขายาวเร่งความเร็วสุดฝีเท้าเพื่อจะตามคนที่เขาก็ไม่รู้ว่ามีอิทธิพลกับเขาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่แฮร์รี่ดูเหมือนจะวิ่งเร็วกว่าที่เขาคิด แล้วเซนก็ต้องตัวชาจนลืมหายใจ เมื่อแฮร์รี่วิ่งมาถึงถนนที่มีรถพลุกพล่าน ก่อนที่ร่างคุ้นตาจะล้มลงตรงหน้ารถยนต์ที่จอดได้ทันอย่างฉิวเฉียด

     

     

    “แฮร์รี่!”เซนพุ่งตรงเข้าไปหาคนตัวเล็กที่ยังนั่งอยู่กับพื้นด้วยความตกใจ  ความร้อนที่ออกจากตัวแฮร์รี่ยิ่งทำให้เซนนั่งไม่ติด

     

     

    ปล่อยให้ตัวเองไม่สบายขนาดนี้ได้ยังไง!

     

     

    “ปะ...ปล่อย”แฮรี่พยายามขืนตัวออก แต่พิษไข้ทำให้ทำอะไรได้ไม่มากนัก

     

     

    “ไปโรงพยาบาลกันเดี๋ยวนี้เลย”พูดจบเซนก็ช้อนตัวแฮร์รี่ขึ้นก่อนจะเรียกแท็กซี่ตรงไปโรงพยาบาล

     

     

     

     



     

     

    “คนไข้ไม่เป็นอะไรมากแล้วครับ แต่คนไข้อ่อนเพลียมาก ผมฉีดยานอนหลับให้แล้ว พรุ่งนี้คงฟื้น”



     

    “ขอบคุณมากครับ”เซนพูดขอบคุณคุณหมอก่อนจะเดินกลับมาในห้อง แฮร์รี่นอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาอย่างน่าเอ็นดู มือหนาลูบผมที่เป็นลอนนุ่มด้วยความอ่อนโยน เขาเพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าที่ตัวเองเป็นอยู่ตอนนี้เรียกว่าอะไร

     



     

    เขาแพ้แล้ว...

     



     

    แพ้ให้กับความน่ารักใสซื่อ



     

     

    แพ้ให้กับความพยายามอย่างไม่ลดละ

     



     

    แพ้ให้กับความใจใส่

     




     

    ที่สำคัญ...

     


     

     

    เขาแพ้ให้กับความซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของแฮร์รี่

     

     

     

    ช่วงเวลาไม่นาน แต่แฮร์รี่ก็ทำให้เขารู้ว่าความรักมันไม่ใช่แค่ความรู้สึก แต่มันคือความเข้าใจ ความเอาใจใส่

     



     

    ความเอาใจใส่ที่เขาไม่แน่ใจนักว่าเคยได้รับจากเพอร์รี่

     



     

    เขารักเพอร์รี่ แต่เพอร์รี่ไม่เคยทำให้เขารู้สึกได้อย่างที่แฮร์รี่ทำ

     



     

    แฮร์รี่พร่ำบอกว่าเขาคือ คนพิเศษแต่เขากับเพอร์รี่กลับคิดมาตลอดว่าแค่เรารู้ว่าเรารักกันมันก็มากพอแล้ว

     



     

    แต่ไม่เลย...




     

    การที่รัก แล้วแสดงออกมาว่ารักต่างหาก ที่ทำให้เขารู้สึกดีกว่าคิดเอาเองในใจเป็นล้านเท่า

     




     

    เขาผิดต่อเพอร์รี่ ผิดอย่างไม่น่าให้อภัย แต่เขาทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อเขา...

     

     

     

     

     

     

    รักแฮร์รี่ไปแล้วจริงๆ...

     

     

     

     

     

     

     

    ดวงตากลมโตกระพริบถี่รับแสงในยามเช้า แสงแดดที่ลอดเข้ามาตามแนวผ้าม่านให้ความรู้สึกไม่ชินตา แฮร์รี่เหยียดมือสุดแขนเพื่อบังแสงนั้น แต่ความรู้สึกหนักๆบนมืออีกข้างก็เรียกความสนใจทั้งหมดไป



     

    ร่างสูงของใครบางคนกำลังฟุบหลับโดยที่จับมือเขาไว้ไม่ยอมปล่อย ภาพตรงหน้าทำให้ความทรงจำทั้งหมดไหลย้อนกลับเข้ามา พร้อมกับหัวใจที่บีบรัดทันทีที่ตระหนักได้ว่าความทรงจำที่ว่านั้นมันคืออะไร

     



     

    น้ำสีใสรื้นขึ้นมาในดวงตาสวย

     

     


     

    ไม่รักแล้วมาทำไม...

     

     

    แฮร์รี่พยายามดึงมือกลับแต่ก็ถูกมือหนาดึงกลับไปอีกครั้ง

     


     

    “แฮร์รี่ ตื่นแล้วหรอ”



     

    “ปล่อยผม”มือบางยังคงไม่ละความพยายามที่จะปลดพันธนาการจากฝ่ายตรงข้าม

     


     

    “ไม่ นายต้องฟังพี่ก่อน”

     


     

    “ไม่ ผมไม่ฟังแล้ว ผมยอมแพ้แล้ว ผมรู้แล้วว่าทำไปก็ไม่ได้อะไร พี่กับ ฮึก... พี่กับพี่เพอร์รี่รักกัน  ผะ..ผมเข้าใจแล้ว ผมน่าจะเชื่อเลียม ฮึก ไม่น่า... ไม่น่ามารักพี่เลย อุ๊บ..”เสียงหวานขาดหายไปเพราะตอนนี้ริมฝีปากกำลังโดนคนหน้าคมรุกรานอย่างเอาแต่ใจ มือหนาดันร่างทั้งร่างของแฮร์รี่ให้กลับลงไปนอนกับเตียง เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กเลิกดิ้นจึงละจูบออก ดวงตาคมจ้องมองแฮร์รี่ด้วยสายตาอ่อนโยนอย่างไม่ปิดบัง ก่อนจะจูบหน้าผากสวยอย่างแผ่วเบา

     

     

    “ทีนี้จะฟังพี่ได้รึยังครับ”เสียงทุ้มที่คุ้นเคยวันนี้อ่อนโยนกว่าวันไหนๆ ทำให้แฮร์รี่ได้แต่จ้องกลับไปด้วยความสับสน ใบหน้ายังร้อนผ่าวจากจูบที่เกิดขึ้น หัวใจเต้นแรงราวกับไปออกวิ่งมาซักสิบกิโล



     

    “พี่กับเพอร์รี่เลิกกันแล้ว”ทันทีที่จบคำพูด แฮร์รี่ก็ทำตาโตด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าเรื่องที่เซนพูดจะเป็นเรื่องจริง




    “นายหลับไปสองวันแฮร์รี่ มากพอที่จะให้พี่จัดการทุกอย่าง”


     

     

    “ทำไมพี่ถึงเลิกกับพี่เพอร์รี่”

     

     

    “พี่มันเลวเองแฮร์รี่ พี่ไม่เหมือนเดิมอีกแล้วตั้งแต่ที่มีนายเข้ามา พี่ไม่สมควรดึงให้เรื่องมันยืดเยื้อเพราะมันจะทำให้ทุกฝ่ายมีแต่ยิ่งเจ็บปวด ในเมื่อความรู้สึกพี่เองก็ชัดเจนขนาดนี้...”ประโยคสุดท้ายทำเอาแฮร์รี่ใจกระตุก รู้สึกไม่พร้อมกับสิ่งที่เซนจะบอกเลย

     

     

    “พี่รู้สึก... อะไร...”

     

     

    เสียงหวานถามแผ่วเบา แต่เซนกลับเงียบ ไม่มีคำตอบใดๆให้

     

     

    “อ้อ มันคงไม่เกี่ยวกับผมสินะ”สายตาที่ดูมีความหวังของแฮร์รี่ดูหม่นแสงลงไปอีกครั้ง แล้วก็เริ่มหน้างอเมื่อเซนไม่ได้มีท่าทีจะอธิบายอะไรต่อ



     

    “งั้นพี่ก็กลับไปสิ มานั่งเฝ้าผมให้เสียเวลาทำไมล่ะ”ความน้อยใจเริ่มเข้าโจมตี แฮร์รี่พลิกตัวหันหลังให้คนหน้าคม ตาแดงใกล้จะร้องไห้เต็มที แต่ไม่นานก็รับรู้ได้ถึงแรงสะกิดที่แขน คนตัวเล็กทำเพียงแค่สะบัดออก พยายามไม่สนใจ แต่อีกฝ่ายก็ยังอุตส่าห์เดินอ้อมมาอีกด้านก่อนจะวางบางอย่างลงบนโต๊ะ

     



     

    นมชมพู??

     



     

    แฮร์รี่มองกล่องนมบนโต๊ะข้างเตียงอย่างงงๆ พี่เซนจะมาไม้ไหนเนี่ย?


     

     

    “ดื่มสิแฮร์รี่ พี่อุตส่าห์ซื้อมาให้”เสียงทุ้มพูดกลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ซึ่งแฮร์รี่ก็ไม่เข้าใจว่ามันน่าอารมณ์ดีตรงไหน แต่ก่อนที่จะหันไปถามให้หายคาใจ แฮร์รี่ก็พบว่าบนแขนตัวเองมีบางอย่างแปะอยู่ แฮร์รี่หยิบเจ้าสิ่งนั้นมาดูก่อนที่หน้าทั้งหน้าจะสูบฉีดไปด้วยเลือดฝาด ดวงตาสวยหันมองไปทางคนตัวสูงก็สบเข้ากับดวงตาสีเฮเซลที่เขาหลงรักตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น


     

     

    แต่ที่ต่างกันคือ ณ ตอนนี้




    ดวงตาคู่นั้นมีไว้เพื่อมองเขาเพียงคนเดียวจากนี้ไป



     

     

    “ดีใจด้วยนะแฮร์รี่ นายแย่งพี่มาสำเร็จแล้ว”

     

     

     

     

     

     

     

    รักใครให้ดื่มนม

    เพราะงั้น นมกล่องนี้

    พี่ให้แฮร์รี่นะ ;)

    Z.










    End









     

    Talk: 

    จบลงไปแล้วค่าาาา กับฟิคธรรมดาๆเรื่องนึง 555 ขอโทษที่มาต่อช้านะคะ พยายามแล้วจริงๆ (นี่พยายามแล้วเรอะ??) ><

    เป็นยังไงบ้างคะสำหรับฟิคเรื่องนี้ ชอบกันไหมเอ่ยยย แต่ว่าพล็อตธรรมดามาก จัดหน้ากระดาษแย่ด้วย อันนี้เรายอมรับค่ะ 555 แต่ก็หวังว่าจะถูกใจกันไม่มากก็น้อยนะคะ อีกไม่นานจะมีฟิคเรื่องใหม่มาต่อแน่ค่ะ รอติดตามกันนะ^^

    แล้วก็ใครจะเวิ่นในทวิตเตอร์รบกวนติดแท็ก #แย่งZarry ด้วยนะคะ จะตามไปอ่านแน่นอนค่ะ หรือมาคุยกันเล่นๆ หรือแนะนำฟิคได้ที่ @ammjanice เลยนะคะ

    สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณทุกคนมากที่ติดตามกันมาถึงตอนจบ รักทุกคนค่าาา ^^ 

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×