ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The rain of story ภาค ห้องสมุดต้องสาป

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่สองหน้าที่และภาระ

    • อัปเดตล่าสุด 19 เม.ย. 58


    The rain of story

    บทที่สอง หน้าที่และภาระ

           ถ้าอยู่คนเดียวแล้วบอกว่าโดดเดี่ยว ยามที่มีใครมาอยู่ข้างๆแล้วหายจากไปทำไมมันมีความรู้สึกอย่างอื่นเพิ่มมานะ..โดดเดี่ยวและก็ เหงางั้นเหรอ

         เสียงทุบประตูดังแทรงเสียงของฝน ผ่านไปนานจนในที่สุดผมก็งัดความสามารถที่ไม่แน่ว่าใช่ ใช้มือคำหาที่เสียบกุญแจผลักประตูออกมาได้อย่างเหลือเชื่อ ในความมืดที่เดินเข้าไปไม่รู้ว่าจะหาทางออกหรือเดินกลับทางเดิมดีละนะ ถ้าไม่เดินจนไปชนกับประตูตรงหน้าผมคงคิดเองแน่ว่า ตัวเองตื่นรึยัง

        “เพราะความขี้เกียจสินะ ที่ทำให้ฉันไม่คิดจะหันหลังเดินกลับไปหาไฟฉายมา เปิดส่องหาที่เสียบกุญแจ”

       ปาดเหงื่อ ห้านาทีที่เสียไปกลับการหาวิธีเปิดประตูที่ล็อคอยู่อีกฝั่งของทางเดิน ไม่บอกว่ามีอีกประตูแถมล็อคอีกต่างหาก สรุปว่าคฤหาสน์สไตล์ยุโรปยุดสมัยก่อนสงครามโลกหลังนี้ ประตูมันจะต้องล็อคทุกบานใช่ไหม มันต้องใช่แน่ๆ

       “กลิ่นอับ

       เฮ….

       “นี้คงเป็นห้องห้องรับแขก”

        ทวดแกสิ ดูดีๆสิ

       “ชั้นหนังสือ ดูเป็นระเบียบกว่าห้องก่อนหน้านี้นะ”

       ผมมองไปรอบด้าน เพื่อเก็บภาพต่างๆชั้นหนังสือที่มีรูปแบบคล้ายกันกับห้องห้องนั้น ที่วางของ ห้องทรงกลม มองเงยขึ้นบนเพดานขึ้นภาพวาดองค์เทพที่กำลังหันปลายดาบและหอกเข้าประจันหากัน รอยแตกร้าวและเถาวันต์ที่แทรงมาจากข้างบน ความรู้สึกที่ว่าทุกอย่างสามารถพังได้ตลอด หวังว่าจะไม่พังลงมาทับฉันนะ

        “ทั้งที่ดูมืดๆแต่กลับมองอะไรได้ชัดไปหมด”ตั้งแต่เข้ามาในคฤหาสน์ไม่พบว่าจะมีแสงไฟ แสงแดดยิ่งไม่ต้องพูดถึง โคมไฟ ตะเกียงไฟ ไม่มีหลอดไฟ แต่มีเชิงเทียน ก้านเทียนหลายสิบอัน ว่างๆต้องไปหาไม้ขีดไฟสักหน่อย

        ….ยังกะในอนิเมะเลยนะเนี่ย

       “หวังว่านี้จะยังเป็นโลกเดิมนะ..หรือหลุดออกมาแล้ว ช่างมันละกัน”

      กระจกบานใส มีทั้งบานที่แตกและสมบูรณ์ มีแท่นที่เหมือนกับให้คนใหญ่คนโตเดินขึ้นไปกล่าวกับผู้คน ตั้งอยู่ข้างๆชั้นหนังสือ ชั้นหนังสือที่เรียงต่อกันมีช่องว่างที่เว้นห่างมีพวกหนังสือที่ตกลงบนพื้นกระจักกระจายดูราวกับโดนพายุซัดถล่มมาเมื่อวาน

       “ดูไปก็ขนลุกดีนะ ไม่แน่อาจมีผีโผล่มาง่ายๆ”

       “ประมาณนั้นเลย”

        “จริงๆด้วย”

       “ผ่านมาได้ปลอดภัยสินะ ทีนี้มาเริ่มงานของนายกันเถอะ”

       เดี๋ยว บอกว่า ผ่านมาได้ปลอดภัยนี้ แปลว่า ทางมื่อกี้ไม่ปลอดภัยใชไหม

    “ฉันพอจำได้แล้วละ งานน่ะนะ ก็คือการ….เก็บหนังสือให้เรียบร้อย ฮึๆพยายามเข้านะ”

     “เหรอ หวังว่ามันจะไม่กัดฉันนะ”

       สุดท้ายสิ่งนั้นก็หายไป ผมก้มหยิบกรอบภาพที่มีภาพวาดใส่อยู่ภายในขึ้นมาปัดแล้วมองหาที่วาง ไม่ถามให้มากกว่านี้ เพราะยังไงก็หาคำตอบไม่ได้ ถ้าไปถามคนอื่นไม่ได้ก็หาเอาเองละกัน ถึงยามปกติผมจะหาเองมากกว่าถามคนอื่น

       “รกยิ่งกว่าห้องฉันมาก แปลว่าห้องฉันไม่รกสินะ”

      สภาพห้องของผมที่มีชั้นหนังสือถูกจักเรียงกันเป็นระเบียบเรียบร้อย ถึงจะไม่เข้าใจว่าหลักการจัดหนังสือที่ถูกต้องคืออะไร แต่ผมก็ไม่คิดจะลองหามันตามเน็ตดู เอาไว้สักวันผมต้องลองไปหาวิธีที่ถูกต้องดูซะแล้ว

        อยากได้ผ้าเช็ดกับไม้ปัดขนไก่ ในนี้จะมีรึเปล่านะ วางหนังสือไว้บนที่โต๊ะวางของ ทุกอย่างที่มีสีหม่นหมอง สีสันที่จางลง ส่วนใหญ่มองเป็นสีดำและเทาเขียว ยืดหลังสูดกลิ่นอายน้ำฝน พลิกเก้าอี้ไม้วิจิตตั้งขึ้นให้เรียบร้อย เจอเศษผ้าม่านผืนใหญ่ ผมลงมือฉีกมันออกเป็นชิ้นๆแล้วเอาไปจุ้มน้ำในถังน้ำที่ทำมาจากไม้ แล้วมาถูชั้นหนังสือเงียบๆ

        “หนังสือพวกนี้เก่าน่าดูเลยนะมีหลายภาษาเลยด้วยสิ แล้วดูเหมือนฉันจะอ่านไม่ออกเลยนอกจากภาษาไทย”

       พลิกหนังสือปกแข็งเล่มใหญ่ ทำไมผมต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยนะ ไม่มีเหตุผลสักนิด นี้มันต้องวิตกสิ ตัวเองในตอนนี้เป็นไงยังไม่รู้เลย

       “นี่ฉันทำอะไรอยู่”

        ทำไมไม่วิตก ตัวเองโดนขังอยู่นะ เรื่องราวอะไรก็ยังไม่รู้สักนิด ทำไมถึงยังเฉยอยู่ได้ ทำไมผมถึง

       “บ้าชิบ

       เข้ามาในที่ไม่รู้จัก ได้เจอกับสิ่งที่ไม่แน่อาจเป็นวิญญาณเจ้าที่ พูดคุยกันโดยไม่นึกสงสัย ความกลัวผมหายไปไหน อย่าบอกนะว่า เพราะเบื่อโลกจนหลอกตัวเองไปแล้ว ฉันต้องคิดให้เป็นคนปกติสิ อะไรคือสิ่งที่คนธรรมดาเขาทำกันในเวลาแบบนี้

      “ตกใจใช่ฉันต้องตกใจ”

       ตายละ

       “ฟ้ายังไม่มืด ไม่สิมองดูกี่ทีก็มองไม่เห็นดวงอาทิตย์ เมฆนั้นบดบังทุกอย่าง มองไม่เห็นอะไรเลย ตอนนี้กี่โมงกี่ยามแล้วเนี่ย”

       ผมวางกองหนังสือไว้บนชั้นแล้ววิ่งไปที่หน้าต่าง อยากจะเห็นข้างนอกอีกครั้ง อีกครั้งที่ว่านี้รอบที่สิบกว่าละ สิ่งที่เห็นก็ยังมีแต่ความเปล่าที่มองไปไกลๆมีพุ่มไม้ต้นไม้รางๆ ท้องฟ้าที่ถูกเมฆสีเขียวคล้ำลอยบัง ไม่รู้ว่ากลางคืนหรือกลางวัน

       “ที่นี้ยังกันแน่”

       ผมรู้ว่าความวิตกที่ต่อให้เรียกหามันแค่ไหน มันก็มาแล้วจากไป เร็วราวมันไม่เคยมาหา สภาพที่ทำตัวแตกตื่นได้ห้านาทีกลับมานิ่งเฉยตามเดิม ผมอยากให้ตัวผมมีอะไรมากกว่านี้ อยากให้สิ่งที่คิดไม่ได้เป็นจริงและเป็นจริง

        “นาฬิกาไม่เดิน”

       ผมทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ข้างกับโต๊ะกินข้าวที่ตอนนี้มีกองหนังสือที่เก็บมาวางเรียงกันเล็กใหญ่ ผมแหงนหน้ามองนาฬิกาที่แขวนไว้เหนือชั้นหนังสือ จอแก้วมันแตก เข็มยาวเข็มสั้นไม่กระดิก ไม่รู้เพราะมันตายด้วยตัวเองหรือเพราะโลกนี้ เวลาไม่เดินไปกันแน่

       “ทั้งที่รู้ว่าโวยวายไปแค่ไหนก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้แต่จะให้ไม่โวยวายเลยมันก็แปลกๆ”

       เปลี่ยนกันๆ

      “ไว้ชาติหน้าละกัน”

       เฮ้อหัดมองดูตัวเองบ้างสิ

       “เพราะเอาแน่เอานอนไม่ได้เลยปล่อยไปทั้งอย่างนั้น

       “เก็บเสร็จยังเอ่ย”

       

       ใช้หางตามองสิ่งนั้น คันร่มที่หลอมร่วมเป็นหนึ่งกันกับร่างและเสื้อที่กลายเป็นเพียงรอยเส้นขีดบางๆอยากหาให้เจอ ไม่อยากจะหาอะไร คนธรรมดาหาได้ยากยิ่งกว่าอะไรซะอีก

       “เอาละ ขอถาม”

      “เชิญจ๊ะ”

       “ไม่มีใครจำทุกอย่างได้ แต่ความทรงจำนั้นจะคงอยู่ตลอดไป”

       “แล้ว”

       “ต่อให้จำไม่ได้แค่ไหน สำหรับบ้างเรื่องก็ลืมไม่ได้เด็ดขาด ช่วยลองนึกดูหน่อยสิ เรื่องของฉันน่ะ”

       “ก็บอกว่าจำไม่ได้ เธอเนี่ยนะ”

       “เร็น”

       เขาเรียกชื่อฉันเป็นครั้งแรก  แววตาที่จริงจังจนไม่เคยจะมองเห็นความจริงจังของเขาจ้องมาที่ฉัน ไม่รู้ว่าความคิดหยุดชะงังเพราะแววตามันลึกล้ำเกินไป ซับสนและมีความหมาย

       “ฉันจำไม่ไม่ได้ แต่มีสิ่งที่จำได้นะ”

       “ตามนั้น”

       จริงจังได้ประมาณนี้สินะ ชักอยากหนีกลับบ้านแล้วสิ

       “ว่าแต่ สิ่งไหนกันนะ

       “ขอบเขตความทรงจำเธอสั้นมากไปไหม”

       ผมรู้สึกหมดหวังที่จะเรียกร้องหาความเป็นธรรม ถ้าเธอไม่รู้ผมจะไปรู้ได้ยังไง แต่ว่าบ้างที่ผมอาจจะรู้แต่ทำเป็นไม่รู้ก็ได้นะ บ้างครั้งความเงียบคือคำตอบที่ดีที่สุดและเลวร้ายที่สุด ผมชอบจะเงียบเวลาฟังคนอื่นอยากเป็นผู้ฟังที่ดี โดยตอบเพียง อืมกับครับ ตัวผมมันแย่ขนาดนั้นหรือเปล่านะ

        ไม่ใช่บางครั้งแต่เป็นทุกครั้ง สิ่งที่เรียกว่าหายากคือการที่ผมตอบกลับไปเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่ อืมหรือครับ แต่เป็น อ่า เหรอ คงงั้น ดูหน้าหดหู่เหมือนคนไม่สนใจทางโลกเลยนะฉันเนี่ย ถ้าลองเดินไปในทางที่ต่างจากคนอื่นจะเป็นอย่างไงนะ ผมหลงทางเก่งด้วย เวลานี้ก็กำลังหลงออกนอกเรื่องไปไกล

        “เอางานไม่ได้ ฉันขอไล่เธอออก!!!

        “ห๊ะ”

       “ไอ้วิญญาณเจ้าที่ ที่มีหน้าที่บกพร่องและสติเลอะเลือนอย่างเธอ อยู่ที่นี้ไปก็ไม่ช่วยอะไรฉันได้สักอย่าง ฉันขอใช้สิทธิ์คนธรรมดาคนหนึ่ง ไล่เธอออก เพราะงั้น ออกไปได้ละ”

       มองดูด้วยสายตาดูแคลนที่ไม่มีการปิดบัง การจะไล่ใครจากห้องสมุดต้องสาปนี้ ผมมีสิทธิ์สินะ เป็นบรรณารักษ์นี้นา ของแค่นี้ทำได้สบายๆ

        “ทำได้ซะที่ไหนละ”

        “อ้าว”

         “ฮึๆหน้าที่นาย คือฟังคำสั่งฉัน แล้วตอนนี้ฉันสั่งให้นายเก็บหนังสือในห้องนี้ให้เรียบร้อย เข้าใจ”

        “เธอนี่ลัทธิกดขี่แรงงานชัดๆ”

         “ลูกจ้างน่ะ แค่ฟังและทำตามที่สั่งก็พอแล้ว อย่ามาต่อล่อต่อเถียงผู้เป็นนาย”

        เธอชี้คันร่มมาตรงหน้าผม ระอ่องสีฟ้าขาวน่วมระยิบระยับ ลวดลายของผ้าลายดอกไม้ที่ผมไม่รู้จักชื่อ จางหายไปราวกับไม่เคยมีมันอยู่

        “เอาเป็นว่าคราวนี้ก็เอาคงความอะไรไม่ได้เหมือนเดิม”

       หยิบยกสมุดเล่มบางขึ้น เอ๋ สมุดเหรอ แปลกห้องสมุดมันก็ต้องมีสมุดอยู่แล้วสินะ ฮ่ะๆผมตกใจไปได้ไง ใช่ที่ไหนละ ถึงขึ้นชื่อว่า ห้องสมุด แต่การมองหาสมุดสักเล่มไม่ง่ายเลยนะ ทำไมมีสมุดเล่มบางอยู่ตรงนี้ แถมยังเป็นสมุดที่ใช้ในโรงเรียนผมอีกต่างหาก พอดีโรงเรียนผมมันมีสมุดเป็นของตัวเองน่ะ ดูเป็นเอกลักษณ์ของที่นั่น

        พลิกเปิดดูข้างใน ลายมือตะวัดของคนผู้หนึ่งซึ่งแน่นอนผมไม่รู้อีกแหละว่าของใคร หน้าปกไม่ได้เขียนชื่อด้วย คนนี้ต้องเป็นพวกไม่ใส่ใจของของตัวเองแน่ ทำให้นึกถึงเพื่อนของผมเลยนะ ที่ชอบทำของหายบ่อยๆเพราะไม่ได้เขียนชื่อไว้แสดงความเป็นเจ้าของ ผลสุดท้ายของของเพื่อนผมก็กลายเป็นของของเพื่อนผมอีกคนไป

        “ไอ้นี้วาดรูปได้เข้าขั้น ปรมจารณ์เลยแฮะ เก่งจนเราไม่รู้เลยว่าตัวเองเคยวาดอะไรลงไป”

        แต่มัน

       “นั่นสินะคนที่วาดอาจไม่ใช่คนหรือเปล่า”

     วันนี้ฉันก็ทำข้อสอบได้ไม่ดี คะแนนที่ได้ไม่กล้าเอาไปสู้หน้าใคร แต่อาจารย์ก็ไม่หยุดบอกคะแนนสอบต่อไป ถึงแม้คะแนนฉันมันจะหน้าตื่นตะลึงแค่ไหน สุดท้ายไม่มีใครสักคนที่ได้คะแนนเท่าฉัน เศร้าจัง

       “เรื่องของเธอละ”

        ผมโยนสมุดเล่มนั้นทิ้งไปโดยไม่ใยดี เห็นมาหลายคนละ ถ้าผู้ชายวาดรูปเล่น ผู้หญิงคงเป็นนักบรรณยายสินะ เวลาขอยืมสมุดไปลองนิ พลิกหน้าหลังเจอบทกวีเรียงกันเป็นแถบ ผมถือตัวเองว่ายุ่งเรื่องของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่อนุญาตละนะ

       ทุกอย่างดำเนินไปอย่างสงบท่ามกลางความร่มเย็นภายในคฤหาสน์ เสียงยกหนังสือและฝีเท้าคู่นั้น พื้นแผ่นไม้ดังกระทบ  เวลาที่หยุดไหล ผมต้องอยู่ที่นี้อีกนานแค่ไหนนะ เมื่อไหร่ผมถึงจะจัดหนังสือเสร็จ วางเรียงตามความสูง จากสูงไปต่ำของแต่ละเล่ม มีทั้งเล่มที่เรียงต่อกันอยู่แล้วและพวกเล่มเดียวที่ยังไม่รู้จะจัดการยังไงเลยเอาไปวางไว้เป็นโต๊ะ

         ไม่หนาวเหรอ

        “นั้นสินะ คำตอบของฉันเธอก็รู้นิ”

        ก็อยากถามและให้นายตอบด้วยตัวเอง

         “ตอบให้ตัวเองสินะ เป็นทั้งคนที่ถามและคนที่ตอบ”

        แล้วแต่จะคิดฉันว่าที่นี้ดูเป็นเหมือนความฝันของนายเลยนะ

       “ถ้ามันเป็นความฝันของฉันก็ขอหลับตลอดไปละกัน ถึงจะอยากบอกแบบนั้น แต่โซ่ที่ผันตัวฉันอยู่มันไม่ยอมหลุดเลยสิ ฉันหายไปสักคนจะมีใครสงสัยไหมนะ”

       ผมจัดหนังสือไปพลางบ่มพึมพำกับตัวเอง ตอนนี้คุณพ่อจะกลับมารึยังนะ ถ้ารู้ว่าผมหายตัวไปจะต้องวุ่นวายแน่ ทั้งที่ว่าเป็นแบบนั้น ตัวผมกลับไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด ทั้งที่หาความจริงไม่ได้สักอย่าง แต่กลับรู้ว่า เวลาตอนนี้หยุดเดินแล้ว มันจะต้องเริ่มเดินอีกครั้ง ที่ไหนสักแห่ง….

       นี้เหนื่อยไหมเนี่ย

        “อยากจะตอบว่า เหนื่อยแต่ ขอเอาไว้ตอบหลังจากเก็บห้องนี้เสร็จแล้วละกัน”

       อ่อ

        “ถ้าทำได้ก็อยากรู้ให้มากกว่านี้นะเรื่องของฉันน่ะ”

     สิ่งนั้นมีหยดน้ำฝนตกลงผ่านไป หยดสีน้ำดำ ม่วง แดงม่วง ในร่างไร้ตัวตนยืนมองพวกเขาผ่านช่องกระจก เขาทำงานทั้งที่ไม่รู้สึกอะไร เหมือนปล่อยให้ผ่านไปที ราวกับว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาคนนั้นเป็นใครนะ ทำไมถึงมองเห็นพวกเรา….

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×