คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : C h a p t e r - 2
Half Blood
Chapter 2
นี่ก็ผ่านเกือบอาทิตย์แล้วตั้งแต่วันนั้น ชีวิตประจำวันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม ทุกวันไปเรียน และตอนเย็นก็กลับมาทำงาน เพียงแต่มีบางอย่างที่เปลี่ยนไป ร่างเล็กไม่ได้เจอกับชานยอลเลยตั้งแต่วันนั้น แม้แต่ในห้องเรียนเองก็ตาม ถ้าถามว่าอยากรู้ไหมว่าหนุ่มร่างสูงนั่นไปไหน พูดตามตรงก็อยาก จะว่าไปหมอนั่นก็นิสัยดีเหมือนกัน เพียงแต่เขาเลือกที่จะเก็บความสงสัยไว้และใช้ชีวิตทุกวันให้เป็นปกติ
“วันหลังเชิญมาใช้บริการใหม่นะครับ” ร่างเล็กพูดพร้อมกับรอยยิ้มหลังจากที่ลูกค้ากลุ่มสุดท้ายได้เดินออกจากร้านไปเป็นที่เรียบร้อย เขาเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาที่ติดอยู่บนกำแพงลายอิฐสีแดงเก่าๆบ่งบอกให้รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาที่ดึกมากแล้ว
“แบคฮยอน วันนี้ก็ทำงานหนักมาทั้งวันแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวลุงให้น้องๆเขาเก็บร้านเอง” เสียงของเจ้าของร้านดังขึ้น มือข้างหนึ่งวุ่นอยู่กับการเช็ดหน้าตู้กระจกใส่เค้กหลากหลายรสชาติให้ดูสะอาดตลอดเวลา
“จะดีเหรอฮะ?” ร่างเล็กกล่าวกับคนอาวุโสกว่า เจ้าของร้านคนนี้ถือว่าเป็นคนที่มีบุญคุณกับเขาอย่างมาก รับเขาเข้าทำงานตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ อีกทั้งยังรักแบคฮยอนเหมือนคนในครอบครัว จึงทำให้เขารู้สึกดีทุกครั้งที่ก้าวเข้ามาทำงานในร้านนี้ เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สอง
“กลับไปเถอะ แม่แกคงรอกินข้าวอยู่ เอานี่ไปฝากแม่แกด้วย” ยื่นถุงสีขาวใสที่ข้างในมีเค้กวานิลาของโปรดแม่เขาให้
ร่างเล็กรับมาไว้ในมือก่อนตัวเองจะเดินเข้าไปหลังร้านเพื่อจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้า ถอดแล้วเก็บเสื้อสำหรับใส่ทำงานลงในกระเป๋าสะพายและนำเสื้อนักศึกษาของวันนี้ขึ้นมาเปลี่ยน หลังจากเสร็จเรียบร้อยก็เดินออกไปหน้าร้านโดยไม่ลืมที่จะหยิบเค้กออกมาด้วย มองเห็นพนักงานคนอื่นกำลังขยันขันแข็งในการเก็บของทุกอย่างให้เข้าที่ ไม่ว่าจะเป็นเก้าอี้ก็ยกไปคว่ำไว้บนโต๊ะให้เป็นระเบียบหรือปัดกวาดเช็ดถูให้พื้นดูเงาอยู่ตลอดเวลา ร่างเล็กเดินไปหาชายมีอายุที่ตรวจสอบความสะอาดของร้านอีกครั้ง
“ขอบคุณฮะลุงโฮดง” ก้มโค้งลงร้อยแปดสิบองศาก่อนจะพาตัวเองเดินออกนอกร้านไป
ชายหนุ่มเลือกที่จะเดินกลับบ้านทุกครั้ง เนื่องจากระยะทางไม่ไกลกันมาก ขาทั้งสองข้างก้าวเอื่อยเฉื่อยไปอย่างไม่รีบร้อน ท้องฟ้าที่มืดสนิทมีเพียงดวงดาวที่ระยิบระยับ แสงสีส้มที่ส่องสว่างมาจากเสาไฟฟ้าสไตล์ยุโรปสองข้างทางทำให้บรรยากาศดูอบอุ่น ร่างเล็กชอบเวลาตอนกลางคืน มันไม่วุ่นวายและทำให้เมืองที่เขาอยู่ดูสวยขึ้นเท่าเป็นตัวเพราะแสงไฟที่เปิดอยู่ตามแต่ละสถานที่
ร่างเล็กเดินออกมาไม่นานเท่าไหร่ก็ต้องหยุดอยู่กับที่ คิ้วเรียวยาวทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันเมื่อเขามองไปเห็นร้านขายของร้านหนึ่งที่ไม่คุ้นตา หน้าทางเข้ามีรูปปั้นสิงโตตั้งอยู่ แสงหน้าร้านที่เปิดไว้อย่างสลัวๆดึงดูดร่างเล็กใช้ก้าวเข้าไป มองจากภายนอกร้านก็เป็นเพียงแค่ร้านขายของเก่าธรรมดา เหนือประตูมีชื่อร้านเขียนอยู่พร้อมกับรูปปั้นลายมังกร จะว่าไปทุกครั้งก็เดินผ่านทางนี้ ทำไมถึงไม่เคยเห็นเลยนะ
กริ๊ง !
เสียงประตูหน้าทางเข้าดังขึ้นเมื่อแบคฮยอนเปิดเข้ามาในร้าน สิ่งแรกที่เห็นคือเคาน์เตอร์คิดเงินที่ตั้งอยู่ข้างๆ ซึ่งไม่มีพนักงานคอยให้บริการอยู่ ร่างเล็กเลิกสนใจกับสิ่งตรงหน้าก่อนจะเดินเข้ามาสำรวจสิ่งของที่ตั้งวางอยู่ ภายในร้านตกแต่งด้วยของเก่า ๆ รูปร่างน่ากลัวซึ่งเขาเองก็ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน มีเพียงแสงสีส้มที่เปิดให้เห็นสิ่งของต่าง ๆ ที่วางตั้งอยู่จึงทำให้บรรยากาศน่ากลัวขึ้นไปอีก
ร่างเล็กเดินผ่านสิ่งของหลากหลายชนิดที่วางตั้งอยู่ มองสำรวจไปทั่วทุกมุมร้าน สิ่งของแต่ละอย่างดูไม่เหมือนเป็นสิ่งที่จะขายได้สักเท่าไหร่ แต่สายตาเขาไปสะดุดกับสร้อยคอเส้นหนึ่งที่มีสัญลักษณ์แปลก ๆ แขวนอย่างโดดเด่น ร่างเล็กเลือกที่จะหยิบมันขึ้นมาทาบกับลำคอเพื่อดูว่าเหมาะสมกับตัวเองไหม บางทีเขาควรจะซื้ออะไรติดกลับบ้านไปบ้าง เขาถือสร้อยเส้นนี้ไว้ติดกับตัวไว้ก่อนจะเดินดูอย่างอื่นในร้านต่อจนไปเห็นลูกแก้วสีฟ้าใส
เขาหยิบลูกแก้วที่วางอยู่ไม่ไกลมือนักขึ้นมาดู แสงสว่างส่องออกมาจากลูกแก้วนั้น โดยที่ตัวเล็กคิดว่าเป็นเพียงกลไกลการทำงานของมันเท่านั้นก่อนมันจะมีรูปร่างบางอย่างปรากฏขึ้นภายในลูกแก้ว พร้อมกับเสียงของหญิงสาวที่ดังทับซ้อนกันไปมา “เมื่อถึงเวลาจะได้รู้ความจริง เลือดผสมคนเดียวที่มีชีวิตอยู่ เลือดและสงครามจะเกิดขึ้น ปีศาจแวมไพร์และแม่มดจะไม่มีทางอยู่ร่วมกันได้ จนกว่าจะถึงเวลา ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจะเป็นคนแก้ไขมัน เด็กเลือดผสมคนนั้นเป็นเพียงคนเดียวที่จะหยุดเรื่องนี้ได้..”
“วางมันลงเถอะเจ้าหนูถ้าไม่อยากปวดจิตกลับบ้าน” เสียงชายชราเรียกสติของคนตัวเล็กที่กำลังตกอยู่ในภวังค์บางอย่าง แบคฮยอนรีบวางลูกแก้วลงกลับที่เดิมทันที เขามองไปทางชายแก่ที่นั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์ทางเข้า
“คุณลุงเป็นเจ้าของร้านเหรอฮะ ?” อดสงสัยไม่ได้ที่จะถาม
“ก็ใช่นะสิเจ้าหนู” เสียงที่ตอบกลับมาทำให้ร่างเล็กรู้สึกฉงนใจเล็ก ๆ เมื่อตอนที่เขาเดินเข้ามาก็ยังไม่เห็นมีคนนั่งอยู่ตรงนั้น
“เอ่อ คือผมเห็นลูกแก้วนี่มันมีเสียงคนพูดอะครับลุง” พูดไปตามสิ่งที่ได้ยิน
“แล้วได้ยินว่าอะไรล่ะหืม” ชายชราถามโดยไม่ได้มองร่างเล็ก มือทั้งสองข้างวุ่นอยู่กับการวางตำแหน่งไพ่บนโต๊ะเคาน์เตอร์
“มันอาจจะฟังดูบ้านะครับ หรือบางทีผมอาจจะบ้าไปแล้ว แต่ผมได้ยินมันพูดเกี่ยวกับเลือดผสมและสงครามอะไรสักอย่าง ...”
ชายแก่ค้างมือไว้หลังจากจบประโยคที่ร่างเล็กพูด เขาหันหน้ามามองคนตัวเล็กด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป จับจ้องมองตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะคว่ำไพ่ใบสุดท้ายลง
“มันคือลูกแก้วทำนาย” ชายชรากล่าว สายตาหันกลับมามองไพ่ที่วางอยู่บนโต๊ะเหมือนเดิม
“อะไรนะฮะ?” แบคฮยอนคิดว่าตัวเองหูฝาด ร้านนี่คงเป็นแค่ร้านขายของเล่นเก่า ๆธรรมดา ไม่มีหรอกไอพวกการทำนงทำนายด้วยลูกแก้ว นี่มันยุคไหนแล้ว เรามีเทคโนโลยีมากมายเกิดขึ้น สามารถเปลี่ยนช่องทีวีด้วยรีโมทไร้สาย ไม่จำเป็นต้องเดินไปปรับนู้นปรับนี่ให้ยุ่งยาก แล้วนี่อะไร ? ลูกแก้วทำนายจากแฮรี่พอตเตอร์งั้นเหรอ
“นั่นน่ะ คือลูกแก้วทำนาย มันจะทำนายเรื่องราวของคนที่ถือมันไว้” ชายแก่ยังคงยืนยันคำเดิม
“ผมว่าต้องมีอะไรเข้าใจผิดแน่ ๆ” ยังไงมันก็เป็นเรื่องหลอกเด็ก บางทีเขาควรเดินออกจากร้านนี้สักที คิดได้ดังนั้นร่างเล็กจึงรีบสาวเท้าเดินไปที่ประตูก่อนจะเปิดมันออก
“สิ่งที่ผู้คนคิดว่าไม่มีตัวตน มันมีอยู่จริงเสมอ ขึ้นอยู่ว่าเราจะเชื่อมันมากแค่ไหน” แบคฮยอนหยุดการกระทำอยู่ชั่วครู่หลังจากที่ชายชราพูดเสร็จ เขาหันหน้าไปมองเจ้าของร้านที่ยังคงนั่งวุ่นอยู่กับการจัดไพ่ จริง ๆ ตัวเขาเองอยากจะออกจากร้านนี้ แต่ความรู้สึกมันบังคับให้อยู่ สุดท้ายร่างเล็กก็เลือกที่จะปิดประตูลงและเดินไปหยุดอยู่หน้าเคาน์เตอร์
“ที่ลุงพูดหมายความว่ายังไง ?” กับสิ่งที่ชายแก่ตรงหน้าพูดทำให้ร่างเล็กเกิดคำถามขึ้นในใจ อะไรคือสิ่งที่ไม่มีตัวตนแต่มีอยู่จริงเสมอ
“....” ไม่มีเสียงตอบรับ มือย่น ๆ ของเจ้าของร้านยังคงสับไพ่และวางเรียงกันอยู่อย่างนั้น
“ลุงครับ... ”
“.....”
“ลุ..... ” เมื่อชายชราเงยหน้าขึ้นมาทำให้ร่างเล็กที่ยืนอยู่ต้องตกใจ นัยน์ตาขาวโพลนไม่เห็นแม้แต่ตาดำจ้องมองมาที่เขา ขณะที่มือกำลังสับไพ่เร็วขึ้นจนน่าแปลกใจ สุดท้ายชายแก่ก็หยุดไว้แค่นั้น และหยิบไพ่ใบบนสุดวางหงายลงบนเคาน์เตอร์ รูปที่แสดงออกมาเป็นทหารจำนวนมากกำลังสู้รบกัน ในไม่มีอาวุธอะไรทั้งสิ้นมีแต่เลือดเต็มไปหมด แต่ที่แปลกคือในรูปบนไพ่มีผู้หญิงยืนอยู่ด้วย
“เลือด!!!!”
พรึ่บ !!
ร่างเล็กสะดุ้งตื่นขึ้นบนเตียงนอนที่คุ้นเคย มองไปรอบ ๆ ด้วยความระหวาดระแวง ถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังจากเห็นว่าเป็นห้องนอนของตัวเอง มือข้างหนึ่งยกขึ้นไปทาบอกด้วยความโล่ง นี่เขาฝันอีกแล้วสินะ แต่แล้วความคิดต้องหยุดแค่นั้นเมื่อมือบางไปจับโดนกับสิ่งของหนึ่งเข้าที่คล้องรอบคอตัวเองไว้
สร้อย ?
ก้มลงมองดูสัญลักษณ์แปลก ๆ นั่น เขาได้มันมาจากร้านในความฝัน ? หรือที่เกิดขึ้นจะไม่ใช่ความฝัน ? การกระทำไวเท่าความคิด ร่างเล็กรีบเด้งตัวลงจากเตียงขนาดใหญ่แล้วเปิดประตูวิ่งลงไปชั้นล่างทันที
“อ่าว แบคฮยอน ยังไม่นอนอีกเหรอลูก” หญิงสาววัยกลางคนถามขึ้นเมื่อเห็นร่างบางวิ่งลงมาจากข้างบน
“เอ่อ .. คือผมได้เอาเค้กจากร้านลุงโฮดงให้ม๊ารึเปล่าฮ่ะ?” เพียงแค่ต้องการพิสูจน์ว่าสิ่งที่เจอนั้นมันเป็นความฝันหรือเรื่องจริง
“ถามอะไรแปลกๆ น่ะ เราเป็นคนเอาให้ม๊าเองนะ” คำพูดของคนตรงหน้าทำให้ร่างเล็กแปลกใจเล็กน้อย เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเดินกลับเข้าบ้านมาตอนไหน
“นี่แบคฮยอน ถ้าอยากกินบอกก็ได้ลูก อยู่ในตู้เย็นนู้นแหนะ ม๊ากินคนเดียวไม่หมดหรอก” ชี้ไปทางตู้เย็นที่อยู่ด้านในห้องครัว
“ครับๆ” ความจริงเขาอยากจะถามไปเหมือนกันว่า ‘ม๊าครับ จำตอนผมเดินเข้ามาในบ้านได้รึเปล่า ผมเดินมายังไง หรือยื่นเค้กให้ม๊าตอนไหน’ แต่ถ้าถามไป เกรงว่าคนตรงหน้าต้องหาว่าเขาประสาทแน่ๆ พักผ่อนไม่เพียงพอหรืออาจนอนน้อยจนเกิดไป แบคฮยอนจึงเลือกที่จะเก็บความสงสัยไว้ในใจดีกว่า
“กินน่ะกินได้ แต่กินให้พอประมาณหน่อย ดูสิเนี่ยพุ่งเริ่มยื่นออกมาล่ะนะ” ร่างบางหน้าบึ้งตึงกับคำหยอกล้อของแม่ตัวเอง
“โถ่ม๊าอะ” ปากเล็กยื่นออกมาอย่างน่ารัก
“แกล้งเล่นเองหน่า นี่เดี๋ยวม๊าไปนอนก่อนนะ กินเสร็จก็อย่าลืมเก็บจานให้เรียบร้อยล่ะรู้ไหม?” ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีแบคฮยอนคนนี้ก็ยังเด็กสำหรับแม่เขาเสมอ
“รู้แล้วครับ” ยิ้มตอบกลับก่อนจะเดินสวนคนเป็นแม่ไปทางห้องครัว
ร่างเล็กเดินไปหยุดอยู่หน้าตู้เย็นอันใหญ่ ใหญ่กว่าตัวเขาเสียด้วย มือข้างหนึ่งยื่นไปเปิดออกมาก่อนจะมองเข้าไปข้างไหน เห็นของแต่ละอย่างที่ถูกแช่ไว้ สายตาไปหยุดอยู่ตรงเค้กวานิลาสีขาว ดูจากลักษณะเหมือนแม่เขาพึ่งจะกินไปแค่สองสามคำเท่านั้น เห็นแค่นั้นก่อนจะปิดประตูลงโดยไม่ได้เอาเค้กก้อนนั้นออกมาด้วย จุดประสงค์ตั้งแต่แรกเขาไม่ต้องการจะกินเค้ก เพียงแต่จะมาดูให้แน่ใจว่ารูปร่างของเค้กมันเหมือนกับที่เอามารึเปล่า แบคฮยอนไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าลุงโฮดงให้เค้กมาจริงๆ เขาได้สร้อยเส้นนี้มาจริงๆ และถ้าเขาเดินกลับเข้าบ้านโดยผ่านร้านนั้นมาจริงๆ แล้วชายชราคนนั้นล่ะ ?
กลุ่มควันสีดำจางหายไปเหลือเพียงชายร่างสูงในชุดคลุม ขายาวทั้งสองข้างก้าวไปตามทางเดินยาวข้างหน้า เสียงเท้ากระทบกับพื้นทำให้เกิดเสียงเป็นจังหวะ สองข้างทางมีรูปแขวนอยู่มากมายตกแต่งด้วยสีดำ ผ่านประตูมาหลายบานซึ่งทุกบานจะมีทหารคอยเฝ้าไว้อยู่ด้านหน้า ร่างหนาเงยหน้าเล็กน้อยมองโคฟไฟขนาดใหญ่ที่ติดอยู่บนเพดาน แสงไฟสลัวบวกกับทุกอย่างที่เป็นสีดำไม่ว่าจะเป็นพื้นทางเดิน กำแพง หรือเพดาน แม้แต่แจกันที่วางตามทางล้วนเป็นสีเดียวกันทั้งสิ้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าที่แห่งนี้เป็นที่สำหรับสิ่งชั่วร้ายอย่างแน่นอน พอมาถึงจุดหมายร่างสูงเปลี่ยนทิศทางก่อนจะเดินถึงหน้าประตูบานใหญ่สีดำ ใช้เวลาชั่วครู่หนึ่งก่อนจะผลักประตูเข้าไป เผยให้เห็นกับใครบางคนที่เขาตั้งใจจะมาหา
“เจอตัวเด็กนั่นรึยัง?” เสียงแหบทุ้มของคนที่ยืนอยู่ในห้องหันหลังให้กับบุคคลที่รับใช้เขา สายตากวาดมองผ่านกระจกสีขาวใสสู่บรรยากาศภายนอก ความมืดมิดที่ปกคลุมยิ่งทำให้สถานที่แห่งนี้ดูน่าขนลุก ปราสาทราชาแวมไพร์ที่ไม่ว่าจะผ่านมานานเท่าไหร่ มันก็ไม่ดูทรุดโทรมลงเลย
“เจอแล้วครับท่าน” ร่างหนาก้มหัวเล็กน้อยขณะพูด
“แล้ว ?” สายตายังคงจดจ้องอยู่นอกตัวปราสาท มองผืนป่าที่ปกคลุมอยู่รอบๆ
“ผมได้สั่งให้คนไปตามติดเด็กนั่นแล้ว แต่ไม่สามารถทำอะไรได้เนื่องจากยังมีเกาะเวทย์คุ้มกันอยู่ ...” ชายหนุ่มเงยหน้ามองคนที่หันหลังอยู่ขณะนี้ “และยังมีอีกเรื่องครับท่าน ...”
“หืม...”
“ผมได้ข่าวว่ามีแวมไพร์ที่ตามติดเด็กนั่นอยู่เช่นเดียวกัน..”
“แวมไพร์ ?” หยุดการกระทำทุกอย่างก่อนจะเบนสายตาหันมามองคนที่อยู่ด้านหลัง
“ใช่ครับ”
“รู้จักมันรึเปล่า?”
“ข้าไม่แน่ใจเหมือนกันครับท่าน”
“แต่ข้าคิดว่าเจ้ารู้” ราชาแวมไพร์มองอีกฝ่าย เหมือนจะเป็นถามบางอย่างผ่านสายตา แม้จะไม่มีเสียงดังออกมาให้ใครได้ยิน แต่ทั้งคู่ต่างรู้สิ่งที่ฝั่งตรงข้ามคิด
“เอ่อคือ ..”
“หืม... ?”
“มัน .. มันคือน้องชายของข้าเอง” ร่างหนาพูดในสิ่งที่ตัวเองไม่ต้องการจะเปิดเผยออกมาสักเท่าไหร่ แต่เพราะความกลัวที่มันมีมากกว่า สุดท้ายจึงทำให้ปากที่ไม่รักดีเอ่ยออกไป
“อืม ..” ครางตอบในลำคอเล็กน้อย ขาทั้งสองก้าวไปอย่างเชื่องช้าจนหยุดอยู่หน้าแจกันสีดำเงาวาวที่วางอยู่บนโต๊ะ มองดูมันเหมือนเป็นของที่สวยงามสุดในห้องประทับแห่งนี้
“แต่ข้าไม่ได้ติดต่อมันนานมากแล้ว ตั้งแต่วันนั้น..”
“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าควรทำอย่างไร” หยิบมันขึ้นมาก่อนจะใช้ปากก้มลงไปเป่ากับแจกันนั่นจนเกิดฝุ่นครุครุ้งไปทั่ว มืออีกข้างไม่อยู่เฉย ใช้ผ้าที่ยาวเลยออกมาจากนอกขอบแขนเสื้อเช็ดรอบไปมาให้ทั่วพร้อมกับดูความสวยงามของแจกันใบนี้เมื่อปราศจากความสกปรกของฝุ่นผง เบนสายตาหันไปมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ไกลมาก
“ข้ารู้” ก้มหัวเล็กน้อยเมื่อเข้าใจในความหมายของชายผู้สูงศักดิ์ตรงหน้า
“ได้ยินว่าพรุ่งนี้เป็นวันเกิดครบรอบยี่สิบปีของเด็กนั่น”
“ใช่ครับ”
“ข้าจะมอบงานนี้ให้เจ้าจัดการ รวมถึงเรื่องตัวดูดเลือดนั่นด้วย”
“แต่ข้าคิดว่า..”
“ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้” ถึงไม่บอกแต่คนอย่างราชาแวมไพร์ที่เก่งกาจที่สุดก็รู้ว่าเขาคิดอะไร
“ครับท่าน” ปฏิเสธอะไรไม่ได้ สุดท้ายร่างหนาก็ต้องรับปากชายตรงหน้าไป โค้งหัวลงหนึ่งทีเป็นการเคารพก่อนจะก้าวขาถอยหลังและหันหลังกลับเดินออกจากห้องนี้ไป เหลืออีกคนที่ยังคงยืนดูความสวยงามของแจกันสีดำวาวอยู่ในห้องตัวเอง
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าอยู่ไหน ไม่รู้ว่าไปซ่อนที่ใด แต่สักวันข้าจะหาเจ้าให้เจอ..”
“แบคฮยอน !” เสียงที่ดังมาแต่ไกลทำให้ร่างเล็กต้องหันไปมอง เวลาไม่กี่วันที่ผ่านมาแบคฮยอนไม่ได้คบเพื่อนคนไหนเลยนอกจากหญิงสาวคนนี้ เพราะความเฟรนลี่และก๋ากั่นของเธอทำให้ร่างบางรู้สึกสบายใจเวลาที่อยู่ด้วย
“มาช้าจังนะ” หนุ่มน้อยพูดขึ้นหลังจากที่อีกฝ่ายนั่งลงฝั่งตรงข้ามโดยไม่ลืมที่จะสั่งอาหารก่อนเข้ามา พวกเขานั่งอยู่ในร้านอาหารข้างมหาลัย ทุกเช้าจะนัดมาเจอกันที่นี่เพื่อทานอาหารเช้าก่อนจะเดินเข้ามหาลัยพร้อมกัน
“เธอคงไม่เข้าใจคนบ้านไกลสินะ” ก็แหงล่ะ บ้านเขาไม่ได้อยู่ถัดจากมหาลัยไปแค่รถเมล์สายเดียว นี่เขาต้องนั่งทั้งรถตู้ รถเมล์ ไฟฟ้าใต้ดิน กว่าจะมาถึงมหาลัยได้ นี่ถ้ามีเครื่องบินอีกคงหนีไม่พ้น
“ถ้าเรามีเวลา จะลองขอแม่ย้ายบ้านดู เผื่อจะได้รู้ว่าบ้านอยู่ไกลมันเป็นยังไง” ไม่รู้ว่านี่พูดจริงจังหรือแค่จะแหย่คนตรงหน้าเล่น
“จ่ะ ตามสบาย แล้วนี่สั่งข้าวรึยัง?” หญิงสาวถามเมื่อไม่เห็นว่ามีจานข้าววางอยู่บนโต๊ะ
“เรียบร้อยแล้ว แต่คงยังทำไม่เสร็จน่ะ” ตอบแค่นั้นก่อนจะนั่งก้มกดโทรศัพท์เล่น
“อ่อ” แทยอนหันไปทางหลังห้องครัวที่กำลังวุ่นอยู่กับการจัดเตรียมอาหาร พ่อครัวที่หั่นเนื้อหมูอย่างมืออาชีพทำให้รู้ว่าอีกไม่นานอาหารที่สั่งก็คงเสร็จ เบนสายตากลับมาจ้องคนตัวเล็กที่อยู่ฝั่งตรงข้าม นั่งสำรวจใบหน้านั่นไปเรื่อยๆ บางครั้งเขาก็มองเห็นว่าคนตรงหน้าไม่เหมือนผู้ชายเลยสักนิด หน้าตาจิ้มลิ้มเหมือนเด็กผู้หญิงที่ตัดผม เผลอๆ ถ้าไม่ใส่ชุดนักศึกษาต้องคิดว่าอยู่มัธยมต้นอยู่แน่ ขณะพิจารณาใบหน้าร่างบางอยู่นั้นสายตาดันก็ดันไปเห็นสิ่งของบางอย่างที่ถูกใส่เพิ่มขึ้นมา
“สร้อยคอซื้อใหม่เหรอ?” อดที่จะถามไม่ไหวเมื่อเห็นรูปทรงแปลกประหลาดนั่น
“อะ อันเนี่ยเหรอ?”
“อื้อ”
“เราไปเจอมันที่ร้านขายของน่ะ เห็นว่าสวยดีเลยซื้อมา” ร่างเล็กเล่าให้ฟัง แต่ก็เล่าไม่หมด เขาไม่อยากให้คนอื่นคิดว่าตัวเองเป็นนักย่องเบาที่เอาของในร้านเขาออกมาโดยไม่จ่ายเงินและไม่อยากให้เรื่องแปลกๆ เมื่อวานมาทำให้คนอื่นคิดว่าเขาบ้าหรือสติฟั่นเฟืองจนคิดว่าร้านขายของเก่านั่นเป็นบ้านผีสิง ขนาดตัวเขาเองก็แทบไม่อยากจะเชื่อกับเรื่องที่เกิดขึ้นเลย
“อ่อ สวยดี”
“อื้ม” มือข้างหนึ่งยกขึ้นมากำสร้อยของตัวเองไว้ ไม่สิ พูดไม่ได้เต็มปากว่าเป็นของตัวเอง เขาหยิบออกมาโดยลืมไปด้วยซ้ำว่ายังไม่ได้จ่ายเงิน บางทีมันอาจติดมือมาเฉยๆ และก็ไม่รู้เมื่อไหร่ที่มันถูกสวมลงเข้ากับคอ เมื่อวานร่างเล็กพยายามอย่างมากที่จะถอดมันออกมา แต่ก็หมดหนทางเมื่อสร้อยจี้รูปทรงประหลาดเส้นนี้ไม่มีท่าทีว่าจะหลุดออกง่ายๆ ไม่มั่นใจว่ามันเกิดจากการผลิตที่ผิดเพี้ยน หรือมีใครแอบเอากาวตาช้างมาหยอดไว้
“แล้วนายไปซื้อมาจากที่ไหนเหรอ?” สายตาของหญิงสาวยังคงจับจ้องอยู่ที่สร้อยเส้นนั้น
“เอ่อ ร้านขายของแถวบ้านน่ะ” พูดพร้อมกับตักข้าวที่ยังเหลืออยู่เต็มจานเข้าปาก
“อ่า”
“มาแล้วครับ” การสนทนาถูกหยุดลงแค่นั้นเมื่ออาหารที่หญิงสาวได้สั่งไว้ก่อนหน้านี้มาเสิร์ฟเป็นที่เรียบร้อย หน้าตาของบิบิมบับอาหารประจำชาติเกาหลีทำให้คนตัวเล็กที่นั่งอยู่อีกฝั่งอยากกินทั้งๆ ที่อาหารในจานตัวเองพูนออกมาเหมือนยังไม่มีใครได้แตะมัน
“ฮันแหนะ อยากกินใช่ไหมล่ะ” รู้ทันไปซะทุกเรื่อง
“เปล่าสักหน่อย แค่ในจานเราก็จะกินไม่หมดอยู่แล้วเนี่ย” แบคฮยอนรีบละสายตาออกจากจานข้าวของอีกฝ่าย นี่หน้าตาของเขามันบ่งบอกว่าอยากกินขนาดนั้นเลยเหรอ
“แต่สายตานายมันฟ้องว่าอย่างนั้น” เขาไม่ชอบรอยยิ้มนั่นเลยจริงๆ มันทำให้รู้สึกเหมือนว่ากลายเป็นคนตะกละยังไงยังงั้น นี่สัญญากับตัวเองแล้วนะว่าจะลดความอ้วนหลังจากโดนแม่ตอกเข้าไปเมื่อวานเรื่องพุงที่ยื่นออกมา ความจริงมันก็ไม่ได้เว่อขนาดนั้นสักหน่อย แต่ในใจก็แอบหวั่นๆ นอกจากเรื่องลุงในร้านขายของเก่า ลูกแก้วทำนาย สร้อยเส้นนี้ ก็มีเรื่องความอ้วนนี่แหละที่เขาเริ่มรู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่างกับมัน
“กินเถอะ ฉันแบ่งให้” พูดพร้อมกับยื่นจานอาหารให้อีกฝ่าย
“ไม่เอาๆ”
“ไม่เป็นไรหรอก”
“ก็บอกว่าไม่เอาไง”
“ทำตามเสียงเรียกของหัวใจสิ” ไม่เข้าใจว่าแค่รับประทานอาหารนี่มันต้องเอาเรื่องเกี่ยวกับหัวใจเข้ามาเกี่ยวด้วยทำไม
“เธอนี่ก็ รีบๆ กินเถอะหน่า ใกล้ถึงเวลาเข้าเรียนแล้วนะ เห็นว่าวันนี้อาจารย์จะอธิบายเรื่องการทำรายงานกลุ่มและเข้าค่ายรับน้องด้วย” พยายามหาข้ออ้างร้อยแปดพันเก้าในการหลีกเลี่ยงบทสนทนาเกี่ยวกับบิบิมบับ เขาทั้งสองคนควรรีบกินอาหารพวกนี้ให้หมด แล้วเข้าเรียนก่อนที่อาจารย์ประจำวิชาจะหมายหัวว่าเป็นนักศึกษาที่มาสายเป็นประจำ
“รู้แล้วๆๆ ชิ” สุดท้ายหญิงสาวก็ต้องยอมแพ้และดึงจานอาหารของตัวเองกลับไป จนทำให้ร่างเล็กรู้สึกดีใจที่สนทนาเรื่องบิบิมบับถูกปิดลงได้สักที
เวลาล่วงลับมาจนถึงหนึ่งทุ่มครึ่ง จากท้องฟ้าที่สว่างด้วยแสงอาทิตย์ในตอนเช้าตอนนี้ถูกความมืดเข้ามาแทนที่ มีเพียงแค่แสงขาวนวลจากดวงจันทร์เท่านั้นที่พอทำให้จักรวาลนี้ดูไม่มืดจนเกินไป ร่างเล็กใช้เวลาทั้งวันไปกับการเตรียมรายงานวิชาประวัติศาสตร์เกาหลีที่สั่งตั้งแต่ต้นเทอม บางทีเขาก็อยากถามอาจารย์ว่ารีบร้อนให้งานอะไรขนาดนั้น กลัวว่าเด็กจะได้พักผ่อนมากเกินไปหรือยังไง แต่ที่ไม่ถามเพราะกลัวว่าพอผ่านการสอบปลายภาคไปแล้วเกรดออกมามันจะดูไม่ดีเท่าไหร่
วันนี้เป็นอีกวันที่หลังห้องดูว่างและโล่งมาก แก๊งหนึ่งสาวสี่หนุ่มนั่นหายหัวเลยตั้งแต่วันแรกของการเปิดภาคเรียนผ่านไป จนเขาคิดแล้วว่าพวกนั้นอาจจะลาออกจากมหาลัยนี้ไปแล้วก็เป็นได้ มีมหาลัยนานาชาติอีกมากมายที่เหมาะสมสำหรับคนอย่างพวกเขา
“นี่แบคฮยอนไม่ไปทำงานเหรอวันนี้” หญิงสาวเพื่อนสนิทเอ่ยถามขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าอีกคนมีงานที่ต้องรับผิดชอบ
“ไม่อะ เราโทรไปบอกลุงที่ร้านเรียบร้อยว่าวันนี้ไม่ว่างไป ขอจัดการแบ่งงานตรงนี้ให้เสร็จก่อนดีกว่า” นิ้วเรียวยาวชี้ไปบนหนังสือมากมายที่วางกองรวมกันอยู่บนโต๊ะ หลายคนอาจมองว่าเขาขยัน แต่เปล่าเลย ร่างเล็กแค่ไม่อยากจะเป็นพวกดินพอกหางหมูที่ชอบทำเป็นประจำเมื่อสมัยอยู่มัธยมปลาย บางทีการจัดการพวกมันให้เสร็จตั้งแต่ต้นอาจจะทำให้อนาคตเขาไม่ต้องร้อนรนในการนั่งทำรายงานจนดึกดื่นไม่ได้หลับไม่ได้นอน
“อ่อ...” จากนั้นทั้งสองก็ก้มลงเปิดหนังสือหาข้อมูลก่อนที่จะทำไปทำเป็นรูปเล่มรายงาน ซึ่งงานที่ได้รับมอบหมายในครั้งนี้คือให้ทำเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เกาหลี ทั้งเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ ประวัติศาสตร์การเกิดสงครามต่างๆ ถึงตอนนี้เขาก็ยังหาเหตุผลที่มาที่ไปในการมาเข้าคณะนี้ไม่ได้ ส่วนตัวเองแบคฮยอนไม่ได้เป็นคนชอบและศึกษาด้านประวัติศาสตร์ของประเทศเกาหลีหรือประเทศอื่นๆ แต่มันมีบางอย่างในใจที่หลงใหลในประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ที่อาจไม่มีสอนในตำรา ซึ่งตัวเขาเองก็อธิบายไม่ได้เหมือนกัน
“ฉันขอถามอะไรหน่อยสิ” อยู่ๆ แทยอนก็พูดขึ้นขณะที่มือยังคงเปิดหนังสือไปมาเพื่อหาบทความที่ต้องการ
“ว่ามา”
“ทำไมนายถึงต้องทำงานด้วยเหรอ?”
“เธออยากรู้ไปทำไมล่ะ” ร่างเล็กเงยหน้ามองอีกคน
“ก็แค่ถามเอง ชิ” เน้นเสียงคำหลังอย่างที่ชอบทำเป็นประจำเมื่อไม่ได้ดั่งใจ แบคฮยอนไม่ได้ตอบอะไร เขาไม่มั่นใจว่าเรื่องพวกนี้มันสามารถเล่าให้กับคนอื่นฟังได้หรือไม่ ยิ่งกับอีกฝ่ายที่พึ่งรู้จักกันมาเพียงไม่ถึงสิบวันแล้วด้วย เมื่อเห็นว่าอีกคนไม่ยอมตอบคำถามเขาหญิงสาวจึงก้มหน้าก้มตามองหนังสือต่อ
“เราอยากช่วยแม่เรื่องค่าใช้จ่ายน่ะ” สุดท้ายร่างเล็กเลือกที่จะบอกไป เมื่อคิดดูแล้ว เขาต้องใช้ชีวิตกับคนตรงหน้าอีกสี่ปีกว่าจะเรียนจบ คงมีสักวันที่ต้องเล่าอยู่ดี เรื่องภายในครอบครัวถึงแม้ไม่อยากบอกให้ใครฟัง ยิ่งตัวเองเป็นคนที่เชื่อใจคนยากแล้วมันเลยไม่ค่อยดีเท่าไหร่ที่จะเล่าเรื่องแบบนี้ ยิ่งแบคฮยอนเคยโดนล้อเกี่ยวกับครอบครัวมันตั้งแต่ยังเด็ก มันเลยกลายเป็นอะไรที่พูดยากสำหรับคนตัวเล็ก แต่การที่ได้พูดกับใครสักคนมันก็ดี เพราะใครสักคนที่ว่านี้ก็คงกลายเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดในอนาคตอันใกล้เหมือนกัน “เราอยู่กับแม่สองคนตั้งแต่จำความได้ เราไม่รู้ว่าพ่อเราหน้าตาเป็นยังไง นิสัยเป็นแบบไหน ตั้งแต่เกิดมาเคยเห็นหน้าเลยสักครั้ง”
“...”
“และยิ่งเห็นว่าแม่เป็นผู้หญิงคนเดียวต้องมาทำงานหาเงินให้เราเรียนตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ มันคงต้องเหนื่อยมากแน่เลยล่ะ”
“...” หญิงสาวตั้งใจฟังเพื่อนตัวเล็กที่ระบายสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจ
“เราแค่อยากให้แม่ได้พัก เลยเลือกที่จะหางานทำเพื่อแลกกับเงินค่าเทอม คิดว่าคงช่วยแบ่งเบาภาระได้บ้าง” ถ้ามีคนถามเขาว่าเหนื่อยไหมกับการทำงาน ร่างบางตอบได้เต็มปากเลยว่าไม่เหนื่อยสักนิด เขายังรู้สึกอีกว่าการไปทำงานแต่ละวันมันทำให้เขามีความสุขได้เพื่อแลกด้วยรอยยิ้มของมารดา “ไม่ได้ดราม่านะ ฮ่าๆๆ บ้านเราก็ไม่ได้ไม่มีตังหรือจนอะไรขนาดนั้นหรอก แต่เธอเข้าใจความรู้สึกของคนที่อยากช่วยเหลือครอบครัวใช่ไหม? เพราะครอบครัวเรามีแค่แม่คนเดียวเท่านั้น”
“เข้าใจสิ”
“นี่ก็ดึกมากแล้วเนอะ กลับบ้านกันดีไหม” เปลี่ยนเรื่องเพราะไม่ต้องการให้ทุกคนเข้าโหมดดราม่าไปมากกว่านี้ ร่างเล็กก้มมองนาฬิกาข้อมือที่บ่งบอกว่านี่มันใกล้จะสองทุ่มแล้ว จะว่าไปก็มัวแต่สนใจงานจนไม่ได้สังเกตว่าท้องฟ้านอกอาคารมันมืดครึ้มขนาดนี้
“นั่นสิ ลืมดูเวลาเลย สงสัยรายงานประวัติศาสตร์จะทำให้เพลินไปหน่อย ฮ่าๆๆ” พูดเพื่อทำลายบรรยากาศไม่ดีที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
ทั้งสองคนต่างช่วยกันเก็บอุปกรณ์การเรียนกับกองหนังสือวิชาประวัติศาสตร์ลงกระเป๋า มองไปรอบๆ เพิ่งจะเห็นว่าใต้ตึกนี่มีเพียงพวกเขาที่ยังอยู่ทำงาน คงเป็นเพราะเปิดเรียนได้ไม่นาน จึงไม่มีกิจกรรมอะไรมากมายจนทำให้นักศึกษาต้องอยู่ดึกดื่น ยกเว้นการรับน้องที่จะมีเกิดขึ้นภายในอาทิตย์หน้า โดยรุ่นพี่ทุกคนต่างลงมติว่าจะพารุ่นน้องปีนี้ไปทำกิจกรรมกันที่เกาเจจู ซึ่งเมื่อได้ยินอย่างนั้นร่างเล็กก็อดดีใจไม่ได้ แม้ว่าเขาจะเกิดเป็นคนเกาหลี แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะได้ไปเหยียบสถานที่ที่มีชื่อเสียงนั่น
“นี่ พรุ่งนี้อย่าลืม” แบคฮยอนกล่าวขึ้นหลังจากพวกเขาเดินมาถึงทางเข้าของมหาลัย
“ห้ะ ??”
“อย่าบอกนะว่าเธอลืมแล้ว”
“ลืม ? ลืมอะไร”
“ที่เราบอกเธอไปสามวันที่แล้วไง นี่เธอเป็นคนเดียวที่เราบอกนะ” ร่างเล็กหน้ายู่ขึ้นมาทันทีเมื่อคนตรงหน้าเหมือนจะจำสิ่งที่เขาพูดไม่ได้
“อ๋ออออ !!!! ฉันนึกออกแล้ว” สิ่งที่อีกฝ่ายบอกเขาเมื่อสามวันที่แล้วเรื่องวันพรุ่งนี้ วันที่ 6 พฤษภาคม
“ฉันคิดว่าเธอจะลืมซะแล้ว”
“ใครจะไปลืมได้เล่า” ใช่แล้ว พรุ่งนี้เป็นวันเกิดครบรอบยี่สิบปีของเด็กหนุ่มที่มีชื่อว่าแบคฮยอน
“งั้นอย่าลืมล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะให้แม่ทำอาหารอร่อยๆ ให้กิน” เพื่อนคนแรกของเขา แน่นอนว่าต้องเป็นคนที่ได้ร่วมงานวันเกิด ที่ธรรมดามีคนเข้าร่วมเพียงเจ้าของวันเกิดและผู้ให้กำเนิดเท่านั้น
“โอเค เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะเอาของขวัญวันเกิดมาให้” พูดด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความจริงใจ
“ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นก็ได้”
“ใครบอกว่าลำบากกันล่ะ งานวันเกิดเพื่อนทั้งที”
“งั้นคงตามใจเธอเลยแล้วกัน แต่อย่าเอาของขวัญเป็นแมลงสาบก็พอ” ร่างบางพูดติดตลกเล็กน้อย ความจริงเขาเป็นกลัวแมลงสาบเอามากๆ เนื่องจากตอนเด็กเคยมีเพื่อนในห้องเอาของขวัญมาให้ในวันเกิดเช่นเดียวกัน แต่จะบอกว่าเป็นเพื่อนเลยก็คงไม่ได้ เขาไม่เคยได้มีเพื่อนจริงๆ สักที ของขวัญนั่นกลับเป็นสิ่งที่ทำให้ร่างเล็กกลัวไปตลอดชีวิต แมลงสาบสี่ห้าตัวอยู่ในกล่องสีชมพูเล็กๆ ตั้งแต่วันนั้นเขาเลยไม่คิดที่จะรับของขวัญจากใครอีก
“แมลงสาบ?” ไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ดีๆ อีกฝ่ายถึงพูดเรื่องแมลงที่น่าขยะแขยงนั่นขึ้นมา
“เปล่าๆๆ ไม่มีไร” แบคฮยอนขำกลบเกลื่อนเล็กน้อย
ครืด ครืด
เสียงโทรศัพท์ของแทยอนดังขึ้น หญิงสาวหยิบขึ้นมาดูรายชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอว่าเป็นใครที่โทรมา แต่แล้วเธอก็กดตัดสายไป
“อ่าว ทำไมไม่รับละ” ร่างเล็กถามเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ากดตัดสายไป
“เอ่อ คือ ฉันคงต้องรีบกลับแล้วละ พรุ่งนี้เจอกันนะแบคฮยอน” ไม่ทันรอให้อีกฝ่ายพูดลา ร่างของหญิงสาวรีบเดินออกจากจุดนั้นไปโดยทันที ทิ้งให้เหลือเพียงอีกคนที่ยังยืนอยู่ ร่างเล็กได้แต่มองตามหลังไปอย่างสงสัย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่านี่มันก็เป็นเวลาที่สมควรจะกลับบ้านได้แล้ว คิดได้ดังนั้นจึงหันหลังกลับและเดินตามทางไป
วันนี้ร่างเล็กมีบางอย่างที่ต้องทำให้กระจ่างจึงเลือกที่จะเดินไปทางร้านกาแฟทั้งที่มีอีกทางจะทำให้ถึงบ้านได้ไวกว่า อากาศวันนี้มันเย็นผิดปกติ ทั้งที่บรรยากาศรอบข้างยังเหมือนเดิม ลมที่พัดผ่านไปทำให้ร่างบางต้องยกมือขึ้นมากอดตัวเองไว้ เดินผ่านเสาไฟสไตล์ยุโรปที่ดูเข้ากันได้ดีกับตึกแถวนี้ ไฟสีส้มทำให้ถนนดูสว่างขึ้น สายตาจับจ้องไปข้างทางเพื่อมองหาร้านขายของเก่าที่เขาเดินเข้าไปเมื่อวาน มือข้างหนึ่งกุมสร้อยคอไว้เมื่อนึกขึ้นได้ว่าต้องเอาสร้อยเส้นนี้กลับไปคืนร้านนั้น แม้จะถอดไม่ออกหรือเขาอาจไม่รู้วิธีจะถอดมัน แต่เจ้าของร้านอาจช่วยได้
แต่ก็ต้องแปลกใจ เมื่อเดินมาถึงจุดหมาย กลับไม่มีร้านที่เห็นอยู่เมื่อวาน เขาจำได้ว่าตรงนี้แหละคือจุดที่ร้านนั้นตั้งอยู่ รอบข้างเป็นพุ่มไม้ที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ร้านขายของเก่าถูกแทนทีด้วยร้านหนังสือ มองกลับไปกลับมาอย่างไม่มั่นใจ หรือเขาอาจเดินเลยไปแล้ว แต่ไม่น่าใช่เมื่อหน้าร้านขายหนังสือมีรูปปั้นสิ่งนึงที่เขาจำได้ รูปปั้นสิงโต เงยหน้าขึ้นก็เห็นกับป้ายหน้าร้านที่ติดอยู่ ลักษณะคล้ายกับร้านขายของเก่านั้น เพียงแต่เปลี่ยนสีตัวหนังสือและชื่อร้าน เห็นดังนั้นจึงเลือกที่จะเดินเข้าไปในร้านเพื่อสอบถามกับเจ้าของ
กริ๊ง !
เสียงกระดิ่งทางเข้าเป็นเสียงเดียวกันกับเสียงที่ได้ยินเมื่อวาน
“ยินดีต้อนรับค่ะ” เสียงของหญิงสาวคนนึงพูดขึ้นหลังจากที่เขาก้าวเข้ามา ดูจากลักษณะการแต่งตัวน่าจะเป็นพนักงานตอนรับหรือไม่ก็เป็นลูกสาวเจ้าของร้าน เพราะยังมีอีกคนที่ประจำอยู่ตรงเคาน์เตอร์ ดูจากภายนอกแล้ว คนนั้นอาจเป็นแม่หรือคุณป้าของหญิงสาวตรงหน้า
“เอ่อคือ..” ไม่รู้จะเริ่มยังไงเลยจริงๆ เบนสายตาไปมองทั่วร้าน ทำไมต้องเข้ามาในนี้ บางทีเขาอาจบ้าไปแล้ว เรื่องทั้งหมดอาจเป็นแค่ความฝัน สร้อยเส้นนี้แม่อาจแอบสวมให้เขาตอนหลับเป็นของขวัญวันเกิดล่วงหน้าก็ได้ แต่ความคิดก็ต้องหยุดลงเมื่อสายตาเจอกับรูปภาพขนาดใหญ่แขวนอยู่หลังเคาน์เตอร์ คนในรูปภาพนั่น
“น้องค่ะ...”
“พี่ครับ บนรูปนั่นคือใครเหรอ” นิ้วเรียวชี้ไปยังจุดที่รูปภาพนั่นแขวนอยู่ สาวสวยหันหน้าไปตามทิศทางของร่างบาง ก่อนจะหันหน้ามาตอบด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
“พ่อพี่เองค่ะ มีอะไรรึเปล่า?”
“แล้ว ตอนนี้เขาอยู่ไหนเหรอครับ?” เมื่อพูดจบสีหน้าของพี่สาวตรงหน้าก็เปลี่ยนไป
“เอ่อ .. คือพ่อพี่เสียไปนานแล้วนะ น้องมีธุระอะไรเหรอ” หน้าของร่างบางชาไปเป็นแถบเมื่อได้ยินคำตอบ บ้าหน่า ก็เมื่อวานเขายังเห็นคนในภาพนั้นอยู่เลย
“ขอโทษด้วยนะครับ ..” ร่างเล็กก้มหัวเล็กน้อย
“ไม่เป็นไรๆ ว่าแต่น้องต้องการอะไร?”
“คือ.. ที่นี่..” จะถามดีไหมนะ
“....?”
“ที่นี่เป็นร้านขายของเก่าด้วยรึเปล่าครับ” ก็เห็นอยู่ทนโท่ว่าที่นี้มันเป็นร้านขายหนังสือ เรายังจะถามอะไรให้มากความ ตอนนี้พี่สาวตรงหน้าอาจคิดว่าเขาโรคจิตไม่ก็หลุดมาจากโรงพยาบาลบ้าแล้วก็ได้
“....”
“คือเมื่อวานผมได้สร้...”
“ตกลงจะซื้อหนังสือไหมเจ้าหนู?” คนที่นั่งเงียบตรงเคาน์เตอร์อยู่นานพูดขึ้นจึงทำให้ร่างเล็กที่กำลังจะควักสร้อยเส้นนั้นออกมาจากคอเสื้อต้องหยุดการกระทำลง ทั้งสองคนนั้นหันหน้ามองกันโดยไม่ได้นัดหมาย บางทีพวกเขาอาจพูดอะไรกันผ่านสายตา
“เปล่าครับ” ควรอย่างมากที่จะออกจากร้านนี้ก่อนที่ทั้งสองคนนั้นจะโทรเรียกตำรวจมาจับเขา ข้อหาเดินเข้ามาถามอะไรแปลกๆ และยังพูดถึงเรื่องคนในครอบครัวที่ตายไปแล้ว
“งั้นก็เชิญออกจากร้านเลยนะ ป้าจะปิดร้านแล้ว” ไม่พูดเปล่า ขาทั้งสองเดินออกมาจากหลังเคาน์เตอร์หยุดอยู่ข้างกายพี่สาว “ยูริส่งลูกค้าด้วยลูก เดี๋ยวแม่จะปิดร้าน”
“ค่ะ” อย่างน้อยเขาก็ยังได้รู้แหละน่ะว่าสองคนนี้เป็นแม่ลูกกัน พอได้รับคำสั่ง ก็เดินนำหน้าร่างเล็กไปตรงประตูร้าน เปิดมันออกก่อนจะผายมือเป็นการเชื้อเชิญให้ออกจากร้านอย่างโดยเร็ว แบคฮยอนเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูก่อนจะหันไปมองหญิงสาวที่ชื่อว่ายูริ ก้มหัวหนึ่งทีเพื่อย้ำการแสดงความขอโทษที่ถามเรื่องพ่อของเขา
“วันหลังเชิญใหม่นะน้อง” ร่างบางก้าวออกมาพร้อมกับประตูร้านที่ถูกปิดลง หันไปมองหนึ่งอีกหนึ่งครั้งก่อนเดินออกมาจากหน้าร้าน เดินไปตามข้างทางที่มีแต่พุ่มไม้ เรื่องทั้งหมดมันทำให้เขาปวดหัว ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และก็ไม่รู้ว่าจะหาคำตอบได้จากไหน แถวนี้ไม่มีผู้คนสัญจรไปมาอย่างที่ควรจะเป็น ก้มมองนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่ามันดึกมากแล้ว บางทีเขาควรเลิกคิดมากและรีบกลับบ้านไปนอนอย่างสบายใจ
แปร๊ด !!!
เสียงจากแตรรถสร้างความสนใจให้ร่างเล็กหันไปมอง รถสีดำคุ้นตาเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนพุ่งมาด้วยความเร็วก่อนจะจอดลงข้างคนตัวเล็ก กระจกถูกเลื่อนลงพร้อมกับเสียงใครบางคนที่เขาจำมันได้ดี
“ขึ้นรถ...เดี๋ยวนี้”
ความคิดเห็น