ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { exo's fiction } pastel yellow : chanbaek

    ลำดับตอนที่ #3 : p a s t e l : y e l l o w : 02

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.ค. 57



     








    แบคฮยอนไม่ได้มาแต่ตัวอย่างที่ชานยอลเคยกล่าวหา เพราะอย่างน้อยเขาก็เอาหัวมาด้วย

     

     

    แต่นอกจากลำตัว ศีรษะ และกระเป๋าสตางค์สีเหลืองพาสเทล แบคฮยอนก็ไม่มีอะไรเป็นของตัวเองอีก

     

     

    ชานยอลมองพนักงานใหม่ของร้านตั้งแต่หัวจรดเท้า ใช้สายตาประเมินค่า ก่อนพ่นลมหายใจขึ้นจมูก “ทุเรศ” เขาว่า

     

     

    ซึ่งแบคฮยอนก็ไม่นึกติดใจอะไร เพราะมันก็จริงตามที่ชานยอลพูดทุกประการ เขาเป็นเด็กหนุ่มอายุ 16 แต่ดันใส่เสื้อผ้าของคนแก่อายุเกิน 60

     

    คงตลกไม่หยอก...

     

     

     

    หลังจากอาบน้ำเสร็จ แบคฮยอนก็สวมเสื้อผ้าของแดอุนก่อนจะรีบลงมาช่วยงานที่เคาท์เตอร์ แน่นอนว่าชานยอลรอหาเรื่องอยู่แล้ว ร่างสูงทำตัวเป็นเถ้าแก่วางกล้ามเต็มที่ ท่าทางนั้นทำเอาอายุยี่สิบทวีคูณเป็นสามสิบได้อย่างน่าประหลาดใจ

     

     

    “เกะกะลูกตาว่ะ ไปหลังร้านเลยปะ” ชานยอลยกขาขึ้นมานั่งไขว่ห้าง มือใหญ่ปัดไล่ด้วยนึกรำคาญเสียเต็มประดา ไม่รู้ทำไมต้องหงุดหงิด แต่แค่เห็นไอ้เปี๊ยกในชุดหลวมโพรก ผมเผ้ายุ่งเหยิง เขาก็ไม่พอใจแล้ว แถมกลิ่นตัวไอ้เด็กนี่แม่งก็หอมฟุ้งไปทั่วร้าน โว๊ยน่าหงุดหงิด!

     

     

    “เมื่อกี้ผมทำกับข้าวไว้ที่บ้าน พี่...คุณ...ปาร์คชานยอล จะไปกินก่อนก็ได้นะครับ เดี๋ยวผมเฝ้าร้านให้ก่อน..”

     

     

    “จุ้นจ้าน! จะไปไหนก็ไป!!

     

     

    แบคฮยอนสะดุ้ง ถึงชานยอลจะชอบทำเสียดัง พูดจาดิบๆห้วนๆ แต่เขาก็ทำใจชินไม่ได้เสียที

     

     

    “หรือจะให้ผมยกมาให้...”

     

     

    “ก็บอกว่าไม่ต้องยุ่งไง! ไปให้พ้น!!” ร่างสูงตะเบ็งเสียงจนเอ็นขึ้นคอ จริงๆเขาก็เหนื่อยที่ต้องทุ่มพลังไปกับการพูดขนาดนี้ แต่ถ้าให้พูดเสียงเบาก็กลัวไม่มีพาวเวอร์

     

     

    ต้องข่มมันเข้าไปแบคฮยอนเนี่ย ข่มจนแม่งร้องไห้กลับบ้านไปเลย

     

     

    หึ่ย หมั่นไส้!

     

     

     

    พอความหวังดีโดนปัดเสียขนาดนั้นแล้ว แบคฮยอนไม่คิดจะเซ้าซี้ต่อ คนตัวเล็กเดินจ้ำไปยังโกดังหลังร้าน เห็นลูกจ้างช่วยกันขนของแพ็คตามออร์เดอร์อยู่ประมาณสาม-สี่คน แบคฮยอนโค้งให้ตามมารยาท แต่ก็ไม่ได้พูดคุยอะไรด้วยมากมาย เพราะถึงทุกคนจะเป็นแรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนแล้ว แต่แบคฮยอนก็ฟังภาษาบ้านเกิดนั้นไม่รู้เรื่องอยู่ดี

     

     

     

    คนตัวเล็กช่วยหยิบจับสินค้าอย่างมึนงง การสื่อสารต้องใช้ภาษามือเป็นหลัก แต่พอนานๆเข้าก็เริ่มรู้งานมากขึ้น คนงานที่พูดเกาหลีเก่งที่สุดเล่าว่าในแต่ละวันจะมีรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์มาส่ง ซึ่งของในนั้นล้วนแต่เป็นสินค้ามีน้ำหนัก ฉะนั้นทุกคนต้องตื่นแต่เช้ามาช่วยขนเข้าโกดัง ชานยอลจะเป็นคนเช็คจำนวนกับเคลียร์เรื่องตัวเลข จากนั้นคนงานถึงขนเขาสต็อค

     

     

     

    “พี่ชานยอลเขาเก่งเนอะ” แบคฮยอนฟังจบก็อดจะชื่นชมไม่ได้ ถึงชานยอลจะอายุมากกว่าเขา แต่ก็ยังอยู่ในวัยเรียน ทว่าภาระหน้าที่ของชายหนุ่มกลับหนักหนาไม่ใช่เล่น ไหนจะต้องติดต่อธุรกิจ ต้องคุมคนงาน แถมตอนแบกเหล็กเส้นมัดใหญ่เข้าร้านนี่เท่อย่างบอกใคร

     

     

    ถ้าไม่ติดว่าชอบงอแงเป็นเด็กมีปัญหาตอนอยู่กับเขาละก็ เขาคงชอบเขาให้

     

     

    คิดมาถึงตรงนี้แบคฮยอนก็หลุดทำหน้าเหวอ.... นึกอยากตบหัวตัวเองที่คิดอะไรลามปาม

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    พอพักเที่ยงคนงานก็เริ่มจับกลุ่มกินข้าว แบคฮยอนวางมือจากการเช็ดฝุ่นของในสต็อค ก่อนจะล้างมือและเดินมาร่วมวงด้วย

     

     

    แต่ไม่ทันที่ข้าวคำแรกจะเข้าปาก เถ้าแก่ชานยอลก็เดินหน้าบึ้งมาตามตัวเสียอย่างนั้น

     

     

    “ป๊าเรียก”

     

     

    “???” แบคฮยอนเผลอเอียงคอมองอย่างนึกสงสัย มือถือช้อนจ่ออยู่ที่ปาก ...เอาว่ะ ขอซักคำก็ยังดี

     

     

    ว่าแล้วคนตัวเล็กก็งับข้าวเข้าปากราวกับไม่เกรงกลัวอำนาจมืด  ชานยอลยิ่งหน้าบึ้งหนักกว่าเดิม สองขาสาวมาถึงคนตัวเล็ก ก่อนมือใหญ่จะกระชากแบคฮยอนจนลอยวืดขึ้นมาประชิดตัว

     

     

    “ไม่ให้กิน! ไม่ต้องกิน!

     

     

    แบคฮยอนได้ยินอย่างนั้นก็น้ำตาจะไหล ....รู้งี้เมื่อกี้ตักคำโตๆเสียก็ดี ไหนๆก็จะไม่ได้กินต่ออยู่แล้วนิ

     

     

    เห็นเด็กน้อยในอ้อมแขนทำหน้ามุ่ย ชานยอลก็นึกขำ ...ไอ้เปี๊ยกนี่ก็มีมุมแสบกับเขาเหมือนกันสินะ

     

     

    “เดี๋ยวค่อยไปกินต่อที่บ้าน”

     

     

    พอรู้ตัวว่าไม่ได้หูฝาดแน่ๆ แบคฮยอนก็เผลอยิ้มกว้างจนตาหยี เป็นรอยยิ้มที่สดใสสมวัยจนชานยอลต้องเสมองไปทางอื่น

     

     

    “เร็วๆเลย ป๊ารอ” บอกแค่นั้น ก่อนเถ้าแก่ขี้โมโหจะเดินนำออกไปจากโกดังเก็บของ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ทางนี้”

     

     

    แบคฮยอนทำหน้าสงสัยทันทีที่ได้ยินคำพูดของคนอายุมากกว่า เขากำลังจะเดินไปยังห้องครัว แต่กลับถูกชานยอลกวักมือเรียกให้เดินไปทางบันไดแทน

     

     

    แบคฮยอนไม่ได้รู้ตัวเลยว่าหน้าตาตอนสงสัยของตัวเองมันน่าแกล้งขนาดไหน ปากเผยอนิดๆ กระพริบตาช้าๆแบบนั้น ...น่าหมั่นไส้ชะมัด

     

     

    คนตัวเล็กไม่ปล่อยให้เจ้าของบ้านยืนกวักมือรอนาน รีบสาวเท้าไปหาชานยอลทันทีโดยไม่คิดประท้วงต่อต้าน พอเด็กน้อยเดินมาใกล้ คนตัวโตก็ออกแรงดึงข้อมือบางมาจับไว้ในกอบกุม ก่อนจะพาเดินขึ้นไปยังชั้นสอง ...แถมยังพาเข้าไปในห้องนอนของตัวเองอีกต่างหาก

     

     

     

    แบคฮยอนเกร็งขึ้นมาทันทีจนคนกุมมือรู้สึกได้ ชานยอลนึกอยากขำกับท่าทางตลกๆ แต่ก็ยังไม่อยากหลุดฟอร์มให้คนที่เขาไม่ชอบขี้หน้าเห็นซักเท่าไหร่

     

     

    คนตัวเล็กกระพริบตาปริบๆ อยากจะเอ่ยถาม แต่ก็เหมือนน้ำท่วมปาก

     

     

     

    “ถอดเสื้อดิ”

     

     

    !!!

     

     

    ชานยอลเพิ่งรู้ว่าดวงตารีเรียวคู่นั้นมันเบิกโตได้ขนาดนี้เชียว ตลกจนเขาต้องหันหน้าไปแอบหัวเราะ

     

     

    “เปลี่ยนไปใส่ชุดนั้นซะ ฉันจะออกไปรอข้างนอก”

     

     

    “...”

     

     

    “ให้เวลาสามนาที”

     

     

    “...”

     

     

    “เร็วๆดิ!!!” ตะคอกส่งท้าย ก่อนจะเดินออกไปตามที่บอกเอาไว้ตั้งแต่แรก แบคฮยอนยืนหน้าเหวออยู่ที่เดิม หัวใจเต้นแรง...คงเป็นเพราะประโยคกำกวมที่ชานยอลบอกให้เขาถอดเสื้อ

     

     

     

    พอได้สติคนตัวเล็กก็มองไปยังเตียงกว้าง บนนั้นมีชุดลำลองที่ดูเหมือนว่าจะเป็นชุดของชานยอลวางเอาไว้ เป็นเสื้อยืดสีขาวลายกราฟฟิค กางเกงผ้าสามส่วนดูสวมสบาย

     

     

    ในหัวแบคฮยอนมีแต่คำถาม ทำไมต้องให้เขาใส่ชุดนี้ด้วย? หรือจะเป็นเพราะไม่อยากให้เขาแต่งตัวแก่ๆอย่างที่เป็นอยู่ ...หวังดีงั้นหรอ ...ถ้าคิดอย่างนี้จะเข้าข้างตัวเองเกินไปมั้ยนะ?

     

     

    แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไร สุดท้ายแบคฮยอนก็มาอยู่ในชุดของชานยอลเป็นที่เรียบร้อย ชุดของชายหนุ่มอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมๆของน้ำยาปรับผ้านุ่ม แล้วก็ยังมีกลิ่นของเฉพาะตัวของเจ้าของด้วย

     

     

     

     

    ก๊อกๆๆ

     

     

    ประตูถูกเคาะมาจากข้างนอก แบคฮยอนเม้มปากแน่น ...รู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้สิ เขาไม่ค่อยเข้าใจการกระทำของชานยอลซักเท่าไหร่

     

     

    “เกินสามนาทีแล้วว้อย!!” เจ้าของห้องตะโกนเสียงดังก่อนจะกระชากเปิดประตูอย่างเอาแต่ใจ แต่พอเห็นแบคฮยอนยืนปั้นหน้าไม่ถูกอยู่ใกล้แค่เอื้อมก็ถึงกับต้องเงียบเสียง

     

     

    แบคฮยอนเป็นผู้ชายตัวเล็ก หน้าเล็ก องค์ประกอบใบหน้าก็เล็กตามไปหมด ทั้งตา ทั้งจมูก ทั้งริมฝีปาก ...จริงๆก็น่ารักดีนั่นแหละ

     

     

    บ้าสิ!! น่ารักบ้าอะไร!!

     

     

     

    “ช้าโคตร! คิดจะขโมยของในห้องฉันรึไง!!” พอจัดการอารมณ์ตัวเองไม่ถูกก็พาลมาลงที่แบคฮยอนอีกเหมือนเดิม ซึ่งคนตัวเล็กก็รีบส่ายหัวเป็นพัลวัน เรื่องขโมยไม่เคยอยู่ในหัวเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะแค่ให้มองสำรวจห้องส่วนตัวของคนอื่นเขายังไม่กล้าทำเลยด้วยซ้ำ

     

     

    “รีบตามลงมาเลย” ทำท่าทางกระฟัดกระเฟียด ก่อนจะเดินนำไปยังห้องครัว

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    แบคฮยอนโค้งให้คุณลุงแดอุนผู้ใจดี ก่อนจะโค้งให้กับผู้หญิงแปลกหน้าอีกคนที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยกัน

     

     

    “มุนอานี่แบคฮยอนนะ” แดอุนแนะนำเด็กในปกครองชั่วคราวให้หญิงสาวรู้จัก แบคฮยอนนั่งลงบนเก้าอี้ติดกับชานยอล ก่อนจะยิ้มให้เธอและโค้งศรีษะอีกครั้ง

     

     

    “แบคฮยอนนี่คือคุณคิมมุนอา เป็นเจ้าของหมู่บ้านโครงการนี้”

     

     

    เด็กหนุ่มมองหญิงสาวด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นโดยปิดไม่มิด ไม่เชิงว่าเสียมารยาท แต่แบคฮยอนแค่ตื่นตาตื่นใจกับเครื่องเพชรวิบวับเหมือนที่คุณหญิงคุณนายในละครใส่ต่างหาก คิมมุนอาเป็นผู้หญิงวัยสามสิบปลายๆ หน้าตาดี แต่งหน้าเก่ง เสียงของเธอฟังดูฉะฉาน

     

     

    สำหรับแบคฮยอน มุนอาเป็นผู้หญิงที่เหมือนหลุดออกมาจากซีรี่ส์เลย

     

     

    “จ้องใหญ่เชียว ชอบตุ้มหูฉันหรอจ๊ะ”

     

     

    พอโดนทักเหมือนแซวแบบนั้น แบคฮยอนก็ถึงกับหน้าขึ้นสี “ข...ขอโทษที่เสียมารยาทครับ”

     

     

    คำสารภาพที่ซื่อตรงของเด็กหนุ่มเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้เป็นอย่างดี จะเว้นก็เสียแต่ปาร์คชานยอลจอมหน้าบึ้งนี่แหละ

     

     

    “เป็นรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยของชานยอลหรอเรา?” มุนอายื่นมือมาสัมผัสกลุ่มผมของเจ้าตัวเล็กเบาๆ ถึงจะเพิ่งรู้จัก แต่เด็กคนนี้ก็น่าเอ็นดูจนเธออดจะแสดงออกไม่ได้

     

     

    ชานยอลกระแอมไอเรียกร้องความสนใจ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เป็นแฟนน่ะครับ น้องเพิ่งขึ้นม.ปลายปีนี้ พอดีว่าผมไม่ชอบคบรุ่นเดียวกัน แก่กว่านี่ผมยิ่งไม่มองเลย”

     

     

    ถึงกับเงียบกริบกันทั้งโต๊ะ

     

     

    แบคฮยอนเป็นคนแรกที่ก่อเสียงดัง โดยการทำช้อนตกกระทบจาน

     

     

     

    “ตกใจหรอคะ มาค่ะ เดี๋ยวพี่แกะปูปลอบขวัญให้นะคะ”

     

     

    แบคฮยอนรู้สึกอยากจะเป็นลมกับคำพูดหวานๆที่ชานยอลใช้กับตัวเอง ถึงเขาจะไม่ใช่คนฉลาดปราดเปรื่องอะไรซักเท่าไหร่ แต่ก็พอสรุปสถานการณ์ได้คร่าวๆ ...ชานยอลก็แค่ใช้เขาเป็นไม้กันหมาคุณมุนอาก็เท่านั้นเอง

     

     

    ไอ้เราก็นึกดีใจที่เขาให้ยืมเสื้อผ้าดีๆ พามากินข้าวร่วมโต๊ะด้วย ...ที่แท้ก็งี้สินะ

     

     

    “โอ๊ะ..” แบคฮยอนหลุดอุทานอย่างเจ็บปวด เมื่อชานยอลเหยียบเท้าเขาใต้โต๊ะ คงเพราะเขาเผลอทำหน้ามุ่ยแหงๆ นี่ใจคอจะใจร้ายต่อกันไปถึงไหน

     

     

    “อ๋อ เป็นแฟนชานยอลนี่เอง” มุนอายิ้มจนตาหยี เป็นรอยยิ้มฝืนๆที่ทำให้แบคฮยอนรู้สึกลำบากใจ แต่เขาก็คงไม่ลำบากใจเท่าคุณลุงแดอุนแน่ๆ รายนั้นเหมือนจะช็อคกับพฤติกรรมลูกชายตัวเองไปแล้ว

     

     

    ส่วนตัวต้นเหตุก็นั่งกินสบายใจเฉิบ เผลอๆก็จิ้มแก้มเขาบ้าง หอมแก้มเขาบ้าง มีความสุขอยู่คนเดียวทั้งโต๊ะ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ทำอย่างนี้ใช้ไม่ได้เลยนะ เป็นลูกผู้ชายประสาอะไร”

     

     

    พอแขกกลับไปแล้ว แดอุนก็เปิดฉากตำหนิลูกชายทันที แบคฮยอนที่ยืนล้างจานอยู่ตรงซิงค์ก็เลยได้ร่วมสถานการณ์ศึกพ่อลูกไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ

     

     

    “ก็ป๊าให้เจ๊เขามากินข้าวกับบ้านเราได้ไงอะ ครอบครัวก็ไม่ใช่ เพื่อนก็ไม่ใช่ อะไรก็ไม่รู้”

     

     

    “แกอย่ามาทำเป็นไม่รู้ว่าคุณมุนอาเขาชอบแก”

     

     

    ชานยอลยู่ปากเป็นเด็กๆ “แล้วไงอะ ป๊าอยากได้ลูกสะใภ้แก่ๆหรอ นี่ป๊าอยากได้ลูกสะใภ้หรือเพื่อนร่วมรุ่นเนี่ย”

     

     

    “ชานยอล!!

     

     

    ไม่รู้ทำไมแบคฮยอนถึงขำ ต้องพยายามอย่างมากเลยนะเนี่ย ที่จะเก็บเสียงหัวเราะเอาไว้

     

     

    “วิธีปฏิเสธก็มีตั้งเยอะ ทำแบบนี้เขาเรียกหักหน้าผู้หญิง”

     

     

    “เจ๊แกก็หน้าหักอยู่แล้ว”

     

     

    “ชานยอล!!

     

     

    แบคฮยอนกัดริมฝีปากล่างแน่น กลั้นขำจนตัวสั่น ...จริงๆก็ไม่เห็นด้วยกับชานยอลหรอก คุณมุนอาถึงจะมีอายุ แต่ก็สวย รูปร่างดี

     

     

    “ป๊านั่นแหละผิด นี่ถามจริงป๊าปฏิเสธเป็นมั้ยเนี่ย”

     

     

    “ไม่เป็น”

     

     

    “ป๊า!!” เป็นทีของชานยอลที่เป็นฝ่ายทำเสียงดังบ้าง แบคฮยอนล้างจานเสร็จพอดี เลยเช็ดมือและหันหน้ามาเผชิญกับพ่อลูกที่นั่งเถียงกันอยู่ที่โต๊ะอาหาร

     

     

    “ผมขอตัวปะ...”

     

     

    “แล้วไปหอมแก้มน้องเขานี่ถูกหรอ” แดอุนพอเห็นแบคฮยอนเดินมาก็รีบดึงตัวมาเป็นกำลังพลทันที จะเล่นงานลูกชายปากดีต้องมีกองเสริมเยอะๆ

     

     

    “ก็มันเป็นผู้ชาย จะเป็นไรไปละ”

     

     

    แดอุนทุบไหล่ลูกชายดังอั่ก “เรียกน้องว่ามันได้ยังไง”

     

     

    “ก็จะเรียกอะ มันๆๆๆ ไอ้แบคฮยอน ไอ้เปี๊ยก”

     

     

    แบคฮยอนยกยิ้มหน้าเจื่อน “เอ่อ...ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ถือ”  ขืนลองถือดูสิ ชานยอลคงได้ต่อยเขาให้คว่ำ

     

     

    “เออดี ไปทำงานได้แล้ว” ว่าแล้วคนตัวโตก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะฉุดกระชากคนตัวเล็กให้ออกไปจากห้องอาหารด้วยกัน ทิ้งให้ปาร์คแดอุนนั่งส่ายหัวเอือมระอาอยู่คนเดียว

     

     

     

     

     

     

     

    แบคฮยอนมองมือตัวเองที่อยู่ในมือใหญ่ด้วยความรู้สึกเขินอายแปลกๆ

     

     

    การถูกเนื้อต้องตัวเป็นสิ่งที่เขาไม่ค่อยชินเท่าไหร่ อาจจะเพราะว่าที่บ้านไม่ค่อยมีใครมาสุงสิงกับเขาด้วยละมั้ง แถมโรงเรียนก็ย้ายบ่อยจนไม่เคยมีเพื่อนสนิท

     

     

    มือของชานยอลก็ทั้งอุ่นทั้งให้สัมผัสที่ดี มันเลยทำให้เขารู้สึกแปลกๆไปกันใหญ่

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    บ่ายนี้ชานยอลให้เขาอยู่ช่วยงานที่เคาท์เตอร์ เป็นแคชเชียร์คอยช่วยอ่านรหัสสินค้า แต่แบคฮยอนไม่ชอบงานนี้ซักเท่าไหร่ เพราะอ่านช้าก็ถูกดุ พออ่านเร็วก็โดนตะคอกหาว่าแกล้งอ่านให้ชานยอลฟังไม่ทัน

     

     

    แถมถ้าพูดตัวเลขผิดนะ แทบจะต้องกราบขอโทษกันเลยทีเดียว

     

     

     

    สุดท้ายเด็กน้อยก็เลยกบฏออกไปยืนอยู่นอกเคาท์เตอร์ ชานยอลเรียกก็ทำเป็นหูทวนลม ให้ต้องตามไปลากตัวมานั่งข้างๆกันเหมือนเดิม

     

     

    พอเห็นแบคฮยอนหน้ามุ่ย ตาแดงๆ ชานยอลก็สำนึกว่าเขาคงทำเสียงดังเกินไปหน่อย ป่านนี้ไอ้เปี๊ยกเสียขวัญแย่แล้ว

     

     

    “ใจเสาะ” เขาไม่วายว่าเหน็บเข้าให้

     

     

    แบคฮยอนกระพริบตาถี่ๆ เด็กอย่างไรก็เป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ แล้วมาโดนตะคอกด้วยเสียงที่ทั้งใหญ่ทั้งต่ำ ก็อดน้อยใจไม่ได้ว่าตัวเองผิดอะไรนักหนา กระนั้นก็ไม่อยากจะร้องไห้

     

     

    จึงกลายเป็นก้ำกึ่ง กลั้นน้ำตาจนตาแดงเป็นลูกกระต่ายอยู่อย่างนั้น

     

     

    ยิ่งน้อยใจเข้าไปใหญ่ ตอนที่เห็นชานยอลใช้เครื่องยิงบาร์โค้ดแทนตอนที่เขางอแงไม่ยอมอ่านรหัสให้ฟัง ...ความจริงยิงบาร์โค้ดเอาก็จบ นี่แกล้งให้เขาอ่านเอาอยู่ได้ตั้งนานสองนาน

     

     

    จะใจร้ายเกินไปแล้วนะ

     

     

     

    “มองไม มีปัญหารึไง” ตวัดสายตามาดุซ้ำจนแบคฮยอนต้องปาดน้ำตาป้อย  ไปๆมาๆก็ไล่ไปหลังร้านเหมือนเดิม

     

     

    “เกะกะลูกตา จะไปไหนก็ไป”

     

     

    ไม่รอให้เขาไล่ซ้ำสอง แบคฮยอนลุกจากเก้าอี้ทันที แต่ก็โดนจับข้อมือเอาไว้อีก

     

     

    “ขอโทษ” แทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง อยู่ดีๆชานยอลก็ขอโทษ??

     

     

    “???” คนตัวเล็กเอียงคอสงสัย ลืมความน้อยใจไปชั่วขณะ

     

     

    “ก็บอกว่าขอโทษไง!

     

     

    “ขอโทษทำไมครับ” ทำใจกล้าถามเสียงแผ่ว ขอโทษที่ตะคอกหรือว่าที่แกล้งให้อ่านรหัสสินค้า?

     

     

    “ที่หอมแก้ม”

     

     

    “...”

     

     

    “ขอโทษหนึ่ง”

     

     

    “...”

     

     

    “ขอโทษสอง”

     

     

    “...”

     

     

    “ขอโทษสาม”

     

     

    แบคฮยอนขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าหนึ่งสองสามคืออะไร แต่แล้วชายหนุ่มผู้ชอบทำเสียงดังก็เฉลยให้ในท้ายที่สุด

     

     

    “ก็หอมสามครั้ง เลยขอโทษสามที”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    P a s t e l : Y e l l o w

     

     

     

    เป็นฟิคตื้นๆเรื่องหนึ่ง

    อาจจะไม่แฟนตาซีภูเก็ตเจ็ดเรือยอร์ชเหมือนทุกเรื่องที่ผ่านมา

    ยังไงก็ฝากด้วยนะกั๊บ

    #ยลพท

    Seeme

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×