คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ❀ c r u e l l u ❀ :: second time you see me { 100% }
‘สองคนเจอกันครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยชื่อดังของเกาหลี...’
Cruellu The Quote .
“เฮ้ย! คริส ตรงนั้นๆ แปดคะแนน”
“…”
“แม่เจ้าโว้ยยยยย~ คนนั้นเอาไปเลยเก้า”
คนที่กำลังตื่นเต้นอยู่กับชีวิตใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัยยังคงจ้อไม่หยุดถึงเหล่านักศึกษาสาวสวยที่เดินผ่านไปมา นัยน์กลมสอดส่ายไปทั่วโรงอาหารเพื่อรับประทาน’อาหารตา’ซึ่งดูจะอิ่มและอร่อยกว่า’อาหารปาก’ตรงหน้าที่ปริมาณไม่ได้พร่องลงจากเดิมแม้แต่น้อย ทว่าเมื่อไร้ซึ่งปฏิกิริยาการตอบรับใดๆจากเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ตั้งแต่สมัยประถม ปาร์คชานยอลจึงหันมาปรายตามองอู๋อี้ฝานผู้ซึ่งไม่เคยละเลยเรื่องราวเช่นนี้ด้วยความแปลกใจ มือหนายกขึ้นปัดป่ายอากาศตรงหน้าเพื่อนรักที่ยังคงนั่งนิ่งเหมือนเป็นรูปปั้น ก่อนจะเหลือบเหลียวไปตามทิศทางสายตาของคนดังกล่าวเพื่อคลายความสงสัย
ภาพที่ปรากฎคือความสวยหวานบนใบหน้าของนักศึกษาตัวเล็กท่าทางน่ารักคนหนึ่ง เส้นผมนุ่มพริ้วจับกลุ่มเข้าทรงยาวระลำคอขาว ระยะคิ้วเรียวลากขนานพอดิบพอดีกับเปลือกตาสีชมพูจางและแพขนตาเงางอนที่กำลังกระพรือขึ้นลงช้าๆคอยปกป้องแต่ไม่ปิดซ่อนประกายตาคู่งามด้านใน รวมถึงสันจมูกซึ่งรั้นเชิดได้รูปไม่ต่างจากริมฝีปากสีหวานอ่อนน่าหลงใหลนั้นก็ยิ่งช่วยให้ทุกอย่างดูกลมกลืนชวนมอง และสมบูรณ์แบบจนยากจะหาจุดบกพร่องมาติเตียน
แยกไม่ออก...
เป็นมนุษย์ หรือ รูปวาด
อู๋อี้ฝานและปาร์คชานยอลก็ตอบไม่ได้เต็มปาก...
เธอคนนั้นคือส่วนผสมที่แสนลงตัว...
ระหว่างเส้นแบ่งของความฝันและความเป็นจริง
“….เต็มสิบ” ปาร์คชานยอนพึมพำเบาๆก่อนจะเพิ่มความดังของเสียงเผื่อแผ่ให้เพื่อนสนิทได้ยินความคิดของตนโดยที่ยังไม่เบือนสายตาไปจากภาพของคนตรงหน้า “เต็มสิบ... ฉันให้ยี่สิบ”
และเหมือนจะไม่ใช่เพียงเพื่อนซี้ปีหนึ่งของตนเท่านั้นที่รับรู้คำพูดเมื่อครู่ เพราะคนหน้าสวยที่สัมผัสได้ถึงการถูกแทะโลมทางสายตานั้นกำลังจ้องเขม็งกลับมาพร้อมกับพึมพำอะไรสักอย่างที่ปาร์คชานยอลแกะปากได้ว่า ‘มอง-หา-พ่อ’ ก่อนจะแสยะยิ้มร้ายแถมท้ายด้วยการชูนิ้วกลางดับฝันมาให้แล้วเดินจากไปอย่างไม่ใยดี
“ผู้หญิงห่าม…เลิกกกก ไม่เป็ค” เจ้าของเรือนผมหยักศกจนแทบเรียกได้ว่าฝอยขัดหม้อเอ่ยพลางส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอเพราะขัดใจกับลักษณะนิสัยที่สุดโต่งแตกต่างกับรูปร่างหน้าตาของคนที่เพิ่งจะหลอกให้เขาเสียวแล้วเลี้ยวกลับอย่างเลือดเย็น
“ก็นายเล่นมองซะเหมือนจะกลืนร่างแบบนั้น เขาก็ต้องไม่พอใจเป็นธรรมดา” อู๋อี้ฝานที่เพิ่งจะหลุดจากวงภวังค์ดักคอเพื่อนสนิท
“แล้วเมื่อกี้ใครที่ไหนมันนั่งทำหน้าเหมือนหมาหิวอยู่ตรงนี้วะ”
“ฉันก็มองไปเรื่อยเปื่อยตามประสา แต่นายมันกระโตกกระตากออกนอกหน้าเองนี่” น้ำเสียงราบเรียบเช่นเคยเอ่ยตอบ
“หึ! เจอกันไม่ถึงห้านาทีก็ปกป้องอย่างกับคบมาเป็นสิบๆปีเลยนะ” ปาร์คชานยอลตอกกลับ “ชอบเขามากกกกกกกกกกล่ะสิ”
“ไม่ทันรู้นิสัยใจคอกัน จะไปชอบกันได้ยังไง”
นั่นสิ...
ไม่รู้จักกัน จะไปชอบกันได้ยังไง
“ก็...รักแรกพบไง ทำยังกับไม่เคยงั้นแหละ”
หนึ่งประโยคทำเอาคนฟังเงียบไปชั่วขณะ อู๋อี้ฝานเงยหน้ามองปาร์คชานยอลด้วยความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ความเจ็บปวดจากเรื่องราวเก่าๆแล่นริ้วเข้ามาย้ำแทงตรงกลางใจอีกครั้งเมื่อหวนนึก
ไม่อยากให้ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอย
“แบบนั้น...”
“เอานา... ถึงเวลาเดี๋ยวก็รู้เอง” ปาร์คชานยอลที่เหมือนจะรู้ตัวว่าได้สร้างบรรยากาศอันแสนอึดอัดใจตัดบท “รีบกินเหอะสายแล้ว”
ช้อนในมือถูกใช้เขี่ยข้าวในจานไปมา เรียวคิ้วหนาพันปมแน่นเมื่อถูกดึงกลับสู่ห้วงอดีต ก่อนหน้านี้อู๋อี้ฝานวัยสิบหกปีเป็นเพียงแค่นักเรียนมัธยมปลายแถวที่มีชีวิตพื้นเพทั่วไปอย่างที่ใครๆก็มีคนหนึ่ง หน้าตาค่อนข้างจะธรรมดาไม่ได้ดึงดูดชวนเข้าหาเนื่องจากหักโหมจากการฝึกซ้อมกีฬาจนขาดการดูแลเอาใจใส่
จนกระทั่งวันหนึ่งที่เขาเริ่มตกหลุมรัก หลายๆอย่างก็เปลี่ยนไป
คิมเฮจี ผู้หญิงหน้าตาสะสวยที่ใครๆก็ชื่นชอบ ตั้งแต่แรกเจอทุกรายละเอียดของเธอไม่เคยเล็ดรอดไปจากความสนใจของอู๋อี้ฝาน รู้สึกตัวอีกครั้งในหัวของเขามีแต่ภาพคิมเฮจีลอยวนอยู่เต็มไปหมด และตามประสาเด็กวัยรุ่นทั่วไปที่พอมีรักก็ต้องมีจีบ อู๋อี้ฝานเริ่มต้นจากการเข้าไปพูดคุย ตีสนิท ดูแลเอาใจทุกอย่างแลกกับโอกาสที่จะได้สานต่อความสัมพันธ์
ทว่าสุดท้ายคนที่ไม่ใช่ก็ไร้ซึ่งคุณค่า ความพ่ายแพ้อย่างไม่อาจประมือย่างเยือนมาพร้อมกับชายหนุ่มหน้าตาดีที่เข้ามาสนใจในตัวเจ้าหล่อน
เพียงแค่สนใจ...
ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาหรือเทียวไปเทียวมาเอาใจใส่เช่นเขาก็ได้ทั้งใจของเธอไปครอบครองโดยไม่ลำบาก คงจะจริงอย่างที่ใครๆบอกไว้ว่าของสวยๆงามๆมักจะต้องคู่กัน
แต่ใช่ว่าวันเวลาเหล่านั้นจะเลวร้ายไปเสียหมดจนไม่เหลืออะไรดีๆตอบแทน เพราะเรื่องราวทุกอย่างเป็นประสบการณ์ให้อู๋อี้ฝานได้เรียนรู้ที่จะกลับมาเอาใจใส่ตัวเอง จนกลายเป็นเทพบุตรเดินดินเช่นทุกวันนี้ แม้จะช้าไปสักนิดแต่ก็ทันท่วงทีพอดิบพอดีกับการเข้าสู่แวดวงใหม่ๆในสถานที่ที่เรียกว่า’มหาวิทยาลัย’
กระนั้นการออกตัวจากจุดเริ่มต้นอีกครั้งพร้อมด้วยคุณค่าของตัวเองที่เพิ่มมากขึ้นก็ทำให้อู๋อี้ฝานต้องรับมือกับการก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงมากมาย
การเรียนใหม่ๆ
สังคมใหม่ๆ
กิจวัตรใหม่ๆ
และ… ความรู้สึกเก่าๆ ที่กลับเข้ามาใหม่
ต่างกันแค่เขาไม่ใช่คนที่จะอยู่นอกสายตาใครๆเช่นแต่ก่อนอีกแล้ว...
✄ - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
เรียวนิ้วสวยลากเลื่อนอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือราคาแพงไปเรื่อยในขณะที่เสียงของรุ่นพี่กางเกงขาม้าหน้าตาแถบๆสาวกเพลงเพื่อชีวิตท่านหนึ่งกำลังพ่นพรูบางอย่างออกมาไม่หยุดซึ่งจับใจความได้คร่าวๆว่าคงเป็นเรื่องเกียรติยศศักดิ์ศรีของสถาบันการศึกษาที่เจ้าตัวแสนจะภาคภูมิใจ เสียงก้องทุ้มที่ใช้ปลุกใจหลั่งไหลผ่านหูซ้ายทะลุหูขวาของคนหน้าหวานที่ในหัวเอาแต่จับจดวกวนอยู่กับการจะออกไปจากที่แห่งนี้โดยเร็วที่สุด
ลู่หานไม่ชอบสายตาของหลายๆคนที่ใช้มองมาที่เขาขณะนี้ หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือไม่ชอบสายตาของหลายๆคนที่ใช้มองเขามาตั้งแต่เหยียบเข้ารั้วมหาวิทยาลัยแล้ว สายตาที่จะว่าประสงค์ร้ายก็ไม่ใช่ เพียงแต่หยดเยิ้มจนพอจะรู้ว่าไม่ใช่ความหมายที่ดีเท่าไรนัก
คนที่กำลังตั้งแง่ไปเรื่อยเปื่อยผ่อนลมหายใจออกมาแรงๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเพื่อสำรวจบรรยากาศรอบตัวอีกครั้ง เหล่านักศึกษาหน้าใหม่จำนวนไม่มากไม่น้อยนั่งเรียงแถวอยู่เต็มบริเวณใต้อาคารของคณะสังคมศาสตร์ แต่ละคนต่างจับเข่าพูดคุยกันอย่างออกรสเพราะพอจะรู้จักกันมาก่อนแล้ว ผิดกับนักศึกษาชิงทุนอย่างลู่หานที่หอบกระเป๋าข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกลแสนไกลจากแผ่นดินใหญ่เพียงลำพัง
จะว่าเพียงลำพังก็ไม่ใช่เสียทีเดียว ในความจริงแล้วแม่ของเขาเป็นคนเกาหลีโดยกำเนิด แต่แม่ตัดสินใจทิ้งทุกอย่างที่นี่เพื่อไปแต่งงานและตั้งหลักปักถิ่นอยู่กินที่ปักกิ่งบ้านเกิดของพ่อ ทว่าเมื่อปีที่ผ่านมาคนเป็นช้างเท้าหน้าของสกุลลู่กลับเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน ทำให้นางลู่ผู้ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครต้องโยกย้ายครอบครัวกลับมาตายรังที่เกาหลีดังเดิม ซึ่งนับว่าเป็นโชคดีที่คนเป็นแม่พยายามกวดขันให้คนเป็นลูกพูดอ่านเขียนภาษาเกาหลีมาตั้งแต่อ้อนแต่ออด ลู่หานจึงไม่มีปัญหาในเรื่องการสื่อสารอย่างที่เด็กต่างชาติเช่นเขาพึงมี จะเหลือก็เพียงเรื่องของการเข้าสังคมที่ยังคงเป็นอุปสรรคยักษ์ใหญ่ให้กับชาวเกาหลีถอดด้ามอย่างเขา
ละครเมโลดราม่าน้ำตานองที่ว่าแน่อาจจะยังแพ้ชีวิตของลู่หานตอนนี้...
อย่างไรก็ตามเมื่อกวาดสายตาไปรอบๆแล้วก็ยังไม่เจอกับคนที่คิดว่าพอจะเข้ากันได้ ลู่หานจึงเลือกที่จะถอดใจแล้วกลับมาฝังตัวอยู่เงียบๆกับเครื่องมือสื่อสารในมืออย่างเก่า ทว่าในจังหวะนั้นเองคนหน้าหวานก็อดจะเบะปากออกมาไม่ได้เพราะนัยน์ตาเจ้ากรรมดันเฉียดไปเห็นบุคคลคุ้นหน้าสองคนที่นั่งสูงเด่นอยู่ไม่ไกล
สองคนที่เอาจ้องเขาเหมือนอยากจะมีปัญหาที่โรงอาหารเมื่อสักครู่นั้นไม่คิดเลยว่าจะอยู่คณะเดียวกันกับเขา ถึงอย่างนั้นลู่หานเองก็ไม่ได้ติดใจอะไรให้มากความเนื่องจากคณะสังคมศาสตร์ที่ตนเลือกเรียนนั้นได้ชื่อว่าคณะที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆของมหาวิทยาลัยจึงอาจจะมีพวกไก่กาปัญญาอ่อนหลุดรอดเข้ามาบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก และคงไม่ง่ายเท่าไหร่ที่จะให้คนเก่งๆแบบเขาไปร่วมเรียนสาขาเดียวกันกับพวกงี่เง่าที่ว่า
โลกมันกลมก็จริง.. แต่มันไม่ได้ง่ายดายถึงขนาดนั้นหรอก..
“เอ่อ… ลู่หานใช่ไหม? เราแบคฮยอน ยินดี..ที่ได้รู้จัก”
เสียงหวานใสแต่ฟังแล้วไร้ซึ่งความมั่นใจเรียกให้คนที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับการดูแคลนชาวบ้านกลับเข้าสู่สถานการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง
“อ่อ ใช่ นายรู้ได้ยังไง?”
“…” คนตรงหน้าไม่ตอบอะไรนอกจากยกยิ้มเล็กน้อยแล้วพยักเพยิดมาทางป้ายชื่อซึ่งลู่หานเองก็ลืมไปแล้วว่าตนเอาห้อยคอไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“อะ อ๋อ ป้ายชื่อ.. ป้ายชื่อสินะ” คิ้วสวยที่ขมวดแน่นด้วยความสงสัยค่อยๆคลายออก มือบางจับป้ายชื่อพลิกไปมาแก้เก้อ พลางหัวเราะแห้งๆให้กับคำถามโง่ๆของตัวเอง
“คิก.. เมื่อกี้รุ่นพี่เขาบอกให้แยกย้ายไปเข้ากลุ่มตามสาขาน่ะ เราเห็นว่านายป้ายชื่อสีเดียวกันเลยมาชวนให้ไปด้วยกัน” แบคฮยอนว่า
“ห๊ะ? อะไรนะ? ป้ายชื่ออะไร? สีเดียวกันอะไร?”
“นี่ไง.. ป้ายชื่อสีม่วงเหมือนกันแสดงว่าอยู่สาขาเดียวกัน”
เจ้าของม่านหวานที่ตอนนี้พลุ่งพล่านไปด้วยความรำคาญใจมองมนุษย์แว่นตาหนาเตอะตรงหน้าที่เอาแต่พูดจางุ้งงิ้งงึมงำย้ำรายละเอียดให้ฟังอีกครั้ง
“เดี๋ยวก่อน.. ถ้าป้ายชื่อสีเดียวกัน อยู่สาขาเดียวกัน...”
“อื้ม” แบคฮยอนพยักหน้ารับ
“ฉันป้ายชื่อสีม่วง... นายเองก็ป้ายชื่อสีม่วง... และพวกนั้นก็ป้ายชื่อสีม่วง”
“อื้ม” แบคฮยอนพยักหน้ารับอีกครั้งด้วยความกะตือรือร้นที่ล้นขึ้นกว่าเก่า
พับผ่าสิ! ก็ในเมื่อหมู่ฝูงชนที่ห้อยป้ายชื่อสีเดียวกันกับเขาแล้วยืนจ้อกันไม่หยุดตรงนั้น มันมีไอ้บ้าสองตัวนั่นรวมอยู่ด้วย...
“งั้นก็...”
ลู่หานกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ขณะที่ในใจร่ำร้องภาวนาให้คำตอบออกมาไม่เป็นอย่างที่เขาคาดคิด คนหน้าหวานตั้งสติจดจ้องไปยังป้ายชื่อของตนอีกครั้งแล้วพยายามขับกล่อมให้ตัวเองมองมันเป็นสีม่วงเข้ม สีม่วงอ่อน สีม่วงลาเวนเดอร์ สีม่วงเปลือกมังคุด หรือสีม่วงอะไรก็ได้ที่ไม่ตรงกับกลุ่มคนที่ว่า
“สาขาสื่อสารมวลชนเหมือนกันไงล่ะ”
แรงจัด ชัดเจน!
ดูเหมือนนาทีนี้แบคฮยอนได้เอามีดมาปักลงกลางหลังเขาแล้วสลักซ้ำๆว่า
ยังไงสีม่วง ก็คือสีม่วงอยู่วันยังค่ำ...
✄ - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ไรแดดอ่อนๆยามสายที่สาดลอดเข้ามาโอบล้อมก่อให้เกิดความอบอุ่นขึ้นทั่วทั้งบริเวณลานกิจกรรม เสียงลมไหลเอื่อยขับคลอกับเสียงร้องเพลงสันทนาการที่แสนไพเราะจากเหล่ารุ่นพี่ด้านหน้าและการพูดคุยกับเพื่อนร่วมสาขาที่น่ารักอย่างสนุกสนาน พร้อมกับรับประทานของว่างรสชาติอร่อยไปด้วยนั้นอดจะให้ลู่หานผุดรอยยิ้มแห่งความสบายใจขึ้นมาไม่ได้
รอยยิ้ม…
แห่งความสบายใจ...
กับผีน่ะสิ!
อากาศร้อนระอุทะลุปรอทเพราะแดดผ่าลงกลางหัวเจิดจ้าจนลู่หานแทบจะเบิกตาไม่ขึ้น ตึกรอบข้างก็กั้นลมสร้างความอบอ้าวจนทำให้เหงื่อไหลโชกเหมือนไปแข่งลากควายมาสักสิบยกอย่างไรอย่างนั้น ไหนจะต้องทนดูทนฟังพวกรุ่นพี่จอมวางก้ามกระโดดโลดเต้นดีดดิ้นกันไปมาเหมือนปลาโดนขอดเกล็ดพร้อมกับแหกปากร้องเพลงสันทนาการดังลั่นด้วยน้ำเสียงที่อุบาทว์ยิ่งกว่าเสียงกระแสฉี่ที่ตกกระทบกับพื้นเพราะเล็งไม่โดนโถของบรรดาอาเจ็กแก่ๆตามห้องส้วมสาธารณะเมืองจีน ส่วนไอ้มนุษย์แว่นมุ้งมิ้งแบคฮยอนก็เอาแต่ซักประวัติความเป็นมาจนเขาแทบจะกลายเป็นผู้ต้องหาคดีฆ่าคนอยู่รอมร่อ ของว่างที่ว่าก็รสชาติห่วยแตกเกินทนจนให้ความรู้สึกไม่ต่างกับต้องขย้อนทิชชู่เปียกลงคอ อีกทั้งยังตกเป็นเป้าสายตาของหลายๆคนรวมถึงไอ้โย่งยักษ์หนึ่งในสองตัวที่ไม่ถูกชะตาเอามากๆจนเขารู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
ตกลงโลกมันกลม หรือลู่หานเองที่ซวยเจ้าตัวเองก็ไม่ทราบ...
ยิ่งคิดก็ยิ่งเพิ่มพูนอารมณ์บูดบึ้งของเจ้าตัวให้พุ่งสูงขึ้นไปอีก แต่เพราะจำเป็นจะต้องรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองเอาไว้ คนหน้าหวานจึงทำได้เพียงกอบเก็บความหงุดหงิดของตนไม่ให้ปะทุออกไปด้วยการกลอกสายตาไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างอิดหนาระอาใจ
“อ้าวๆ.. น้องคนนั้นน่ะ ทำไมทำหน้าทำตาแบบนั้น ไม่พอใจอะไรไหนยืนขึ้นสิ”
น้ำเสียงขึงขังของรุ่นพี่ผู้ชายที่ลักษณะเหมือนหมีควายในสายตาของลู่หานดังขึ้นทำเอาทุกคนเงียบกริบ คนที่ถูกอ้างอิงบึนปากน้อยๆก่อนจะลุกขึ้นยืนตามคำสั่งโดยมีสายตาเป็นห่วงเป็นใยจากแบคฮยอนคอยส่งมาให้
“ไม่พอใจอะไรครับ?” รุ่นพี่หมีควายเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆในขณะที่เค้นคำตอบจากเขา
“เปล่า… เปล่าครับ” ริมฝีปากบางเม้มแน่นหลังจากพูดออกไป ลู่หานพยายามรักษาอารมณ์ให้อยู่ในระดับปกติมากที่สุดเพราะตนไม่อยากให้เกิดปัญหาบานปลาย
“เป็นผู้หญิงทำไมพูดครับ?”
“ไม่ใช่ผู้หญิงครับ”
“อ้าว งั้นก็เป็นทอมหรอเรา?”
“ผม.. ไม่ได้เป็นทอม” คนที่ถูกกล่าวหาซ้ำแล้วซ้ำเล่าปฏิเสธเสียงแข็ง
“ไม่ได้เป็นแล้วทำไมพูดครับ?”
“ผมเป็นผู้ชาย” คราวนี้ลู่หานรู้สึกเหมือนตนกำลังถูกกวนประสาท ระดับอารมณ์ที่เจ้าตัวกักกดเอาไว้ให้อยู่ในระดับปกติกลับมาพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง
“ผู้ชายบ้าอะไ-- ฮะ เฮ้ย!“ ด้วยความโมโหคนซึ่งกำลังถูกคาดโทษคว้ามือของรุ่นพี่คนดังกล่าวมาวางลงบนหน้าอกของตน จากนั้นจึงค่อยๆเลื่อนลากมือที่ตนกำลังจับอยู่ถูวนไปมาจนทั่วบริเวณที่ว่าท่ามกลางความฮือฮาของคนรอบข้าง
“เออว่ะ.. ขะ ..ขอ โทษ”
รุ่นพี่หุ่นหมีที่ตอนนี้เหมือนวิญญาณกำลังหลุดจะออกจากร่างพูดตะกุกตะกัก คนหน้าหวานไม่ตอบรับอะไรนอกจากนั่งแปะลงที่เดิมพร้อมกับละเลิกความสนใจต่อสิ่งเร้ารอบข้างทั้งหมดแล้วนึกพึมพำย้ำไปมากับตัวเองแค่เพียงว่า
วันนี้จะกลับไปตัดผม!!
✄ - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
“อ้าว.. เป็นผู้ชายหรอกเหรอ”
ปาร์คชานยอลเอ่ยขึ้นราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ปรากฎต่อสายตาตัวเอง ในขณะที่อู๋อี้ฝานก็แทบจะเสียเส้นไปแล้วเช่นกัน คนตัวสูงอ้าปากเหวอโดยที่นัยน์คมยังคงจดจ้องไปที่คนที่ตกเป็นหัวข้อสนทนาไม่วางตา
ไม่น่าเชื่อว่าตาใสๆคู่นั้น
ไม่น่าเชื่อว่าจมูกรั้นๆแบบนั้น
ไม่น่าเชื่อว่าเรียวปากสีหวานๆแบบนั้น
ไม่น่าเชื่อว่ารูปหน้าสวยๆแบบนั้น
จะเป็นเครื่องหน้าของผู้ชาย...
เพศที่ชื่อว่าผู้ชายแบบเดียวกับเขา
“ถึงว่าล่ะ.. ทำตัวห้าวเป้งขนาดนั้น” ปาร์คชานยอลเดาะลิ้น “แค่คนแรกก็ทำคุณอู๋อี้ฝานของเรายับเยินไม่เป็นท่าซะแล้วแฮะ”
“…”
“รุ่นพี่เขาให้ไปจับกลุ่มเล่นเกม เหลือเศษโดนทำโทษนะเว้ย ลุกเหอะ!” คนมากฟันฉุดอู๋อี้ฝานให้ลุกขึ้นก่อนจะกึ่งจูงกึ่งลากเพื่อนรักนมนามของตนไปหยุดอยู่ตรงหน้าผู้ชายท่าทางติ๋มๆที่ใส่แว่นตาเลนส์หนาเท่าฝาบ้านและผู้หญิงหน้าตาสะสวยหุ่นดีเหมือนฉีกกรอบออกมาจากปกนิตยสารที่เห็นได้ตามแผงหนังสืออีกคนหนึ่ง
“ฉันมีสองคน อยู่ด้วยดิ” ปาร์คชานยอลถามคนที่เป็นเด็กเนิร์ดแล้วหันไปฉีกยิ้มกว้างให้สาวสวยด้านข้าง
“ได้สิ.. เราแบคฮยอน คนนี้นานะ” การที่แบคฮยอนยินดีโดยไม่อิดออดพร้อมทั้งแนะนำตัวเองและเพื่อนของตนเสร็จสรรพนั้นทำให้อู๋อี้ฝานเต๊ะยิ้มเกร็งๆ(ที่เตรียมมาแล้วว่าหล่อเท่)ให้ทั้งคู่ ทว่ากลับต้องใบ้กินอีกหนเมื่อคนตัวเล็กเบี่ยงตัวหลบไปอีกทางเผยให้เห็นร่างบางของใครอีกคนที่นั่งจุมปุกไม่รับรู้อะไรอยู่ด้านหลัง
“แล้วก็... ลู่หาน”
เสียงหัวใจ...
ที่เต้นคู่ไปพร้อมๆกับจังหวะการกระพือขึ้นลงของแพขนตายาวในตอนนี้นั้น
อู๋อี้ฝานได้ยินมัน
อย่างชัดเจน...
TBC.
- - -
talkie walkie ++
ยังไม่ได้เกลาแต่ก็ค่อยแก้ไปเรื่อยๆตามวิถีเช่นเคย
ตอนนี้อ่านเสร็จก็คอมเม้นกันด้วยนะ
ไม่รู้มีอะไรแปลกๆขาดๆไปรึป่าว
พอดีไม่ได้เขียนมานานเกิน
ฟิคของเราแรกๆก็เอื่อยเฉื่อยเรื่อยเปื่อยไปตามสไตล์
เป็นคนที่ไม่เก่งเรื่องการเริ่มต้นเท่าไหร่ (ฮือออออออ)
ธีมเรื่องคือจะสานจากประโยคที่เป็นคีย์ในตอนแรก
เอามาขยาย มาเฉลยเป็นตอนๆไปเรื่อย
เหตุผลมันก็จะออกมาเองสำหรับทุกๆเรื่อง
ส่วนใครที่หลงเข้ามาแล้วยังไม่เคยอ่าน m e l t *
ก็ไปดูๆกันได้นะ กำลังจะอัพตอนที่สิบเท่าไหร่ก็จำไม่ได้แล้ว
http://my.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=1084100
ผิดพลาดตรงไหนขอโทษด้วยจ้า ♥
พูดคุยกันได้ที่ #ficcruellu
ความคิดเห็น