ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fallng for a prince (Justin Bieber fanfic)

    ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 2: Thank you

    • อัปเดตล่าสุด 6 มิ.ย. 59


    Chapter 2

     
                 อีกไม่กี่วันแล้วสินะ ที่ฉันต้องไปจากอังกฤษ รู้สึกใจหายทุกครั้งเลยที่ต้องคิดถึงเรื่องนี้ ตอนนี้ชีวิตฉันกำลังดีเลยนะ เหมือนมันเคยชินไปแล้ว

                    “หนูบอกว่า วันเสาร์นี้หนูจะต้องเดินทางกลับประเทศไทยใช่มั๊ยจ้ะ”

                    คุณย่ามารี (ฉันไปเยี่ยมคุณย่าบ่อยๆจนสนิทกับคุณย่าไปแล้ว ท่านเลยให้ฉันเรียกท่านสั้นๆว่า มารี) ทักขึ้นมา

                    “ใช่ค่ะ รู้สึกใจหายทุกครั้งเลยค่ะ”

                    “ทำไมหละจ้ะ”

                    “คือหนูรู้สึกชินกับการใช้ชีวิตที่นี่ไปแล้วน่ะค่ะ แล้วตอนนี้ทุกอย่างกำลังโอเคเลยหละค่ะ ทั้งเรื่องเพื่อน และก็หลายๆอย่างค่ะ”

                    “อ่อ ย่าเข้าใจแล้วหละ ย่าก็เหมือนกัน เดี๋ยวย่าก็ต้องกลับไปที่บาร์ตันแล้วเหมือนกันจ้ะ”

                    “อ้าว แล้วคุณย่ากลับตอนไหนหรอค่ะ”

                    “ย่าก็คงกลับประมาณอีก 1 อาทิตย์นั่นแหละจ้ะ”

                    “เอ...แต่คุณย่าบอกว่า คุณย่าจะกลับอีก 2 อาทิตย์ไม่ใช่หรอคะ”

                    “ตอนแรกก็ตั้งใจจะให้เป็นแบบนั้นจ้ะแต่พอดีว่าย่าต้องกลับไปดู...เอ่อ...ธุรกิจนิดหน่อยน่ะจ้ะ”

                    “อ่อ แบบนี้นี่เอง ยังไงคุณย่าก็อย่าโหมงานหนักนะค่ะ เดี๋ยวสุขภาพจะทรุดเอา”

                    คุณย่าไม่ตอบแต่ยิ้มและลูบหัวฉันเบาๆราวกับว่าฉันเป็นหลานแท้ๆของท่าน

                    “หนูบอกว่า วันนี้นัดกับเพื่อนใช่มั๊ยจ้ะ”

                    “อ๋อ ใช่ค่ะ พอดีนัดกันไว้ว่าจะไปดูหนังน่ะค่ะคุณย่า”

                    “นี่มันก็ใกล้เวลาแล้วนี่จ้ะ ไปเถอะจ้ะ เดี๋ยวสายน้า”

                    “อุ๊ตายละ! ถ้างั้นหนูขอตัวก่อนนะค่ะ คุยกับคุณย่าจนเพลินเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้หนูมาเยี่ยมใหม่นะค่ะ”

                    “จ้ะ เจอกันพรุ่งนี้หละ”

                    ฉันเดินออกมาจากห้องคนไข้ของคุณย่ามารี จริงๆแล้วท่านต้องออกจากโรงพยาบาลเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว แต่มันมีคืนหนึ่งที่คุณย่าท่านรู้สึกหายใจไม่ค่อยออก หมอก็เลยให้อยู่ต่อ กว่าท่านจะได้ออกก็อาทิตย์หน้าแล้ว และกว่าจะถึงตอนนั้นฉันคงถึงไทยเรียบร้อยแล้ว

                    “ไปไหนน่ะ”

                    เสียงคุ้นหูที่มักจะได้ยินทุกวันดังขึ้น ฉันเลยหันไป พบว่าจัสตินกำลังถือถุงผลไม้และเสียบหูฟังด้วยอยู่

                    “อ่อ พอดีวันนี้ฉันมีนัดกับเพื่อนน่ะ”

                    “อ่อ ดูหนังสินะ เรื่อง...โนอาห์ใช่มั๊ย”

                    “อ๊ะ ใช่แล้ว นายจำได้ด้วย”

                    “ก็แหงหละ เธอเพิ่งบอกคุณย่ากับฉันเมื่อวานไง”

                    “อ่อ นั่นสินะ ฉันลืมไป แฮ่ๆ งั้นฉันปก่อนนะ แล้วเจอกันหละ”

                    “อื้ม ขอให้สนุกกับหนังก็แล้วกัน”

                    “ขอบใจนะ บายๆ”

                   

                    4 ชม.ต่อมา

                    โธ่เอ๊ยยยย กว่าหนังจะจบก็ไปเกือบ 4 ทุ่ม ฉันจะหลับตั้งแต่กลางเรื่องแล้ว รู้สึกแย่ที่ไม่เชื่อจัสตินเบาๆ

                    ไปดูหนังเรื่องโนอาห์เนี่ยนะ

                    จัสตินพูดขึ้นพร้อมกับทำหน้าแบบอึ้งๆ

                    อ่าฮะ ทำไมหรอ นายไปดูมาแล้วหรอ

                    ใช่

                    คำตอบสั้นๆและได้ใจความ

                    จริงหรอ สนุกมั๊ย

                    สำหรับฉันน่ะ มันน่าเบื่อมากกกกก ถ้าไม่ใช่เพราะเพื่อนลากไปนะ ฉันจะไม่ดูเด็ดขาดเลย

                    มันจะน่าเบื่อสักขนาดไหนกันเชียว มีเอมม่า วัตสันกับโลแกน เลอร์แมนซะอย่าง

                    ก็แล้วแต่นะ แต่ขอบอกว่ามันน่าเบื่อมาก

                    เอาเถะน่าจัสติน (y/n) กับเพื่อนตัดสินใจไปแล้วนี่นา’

                    จัสตินไปตอบแต่เบือนหน้าหนี ฉันได้ทีที่คุณย่าเข้าข้างก็เลยแลบลิ้นใส่ไป

                    ถ้าดูแล้วมันน่าเบื่อ ฉันจะขำให้เลยคอยดู

                    จัสตินทิ้งท้ายเอาไว้

                    ให้ตาย...ฉันน่าจะเชื่อเขานะ

                   

                    “เฮ้อ...เดี๋ยว (y/n) ก็ต้องกลับไทยแล้ว แล้วต่อไปใครจะเป็นคนทักทุกเช้าหละว่า ตอนนี้ใครอยู่รร.แล้วบ้าง”

                    พี่แซนดี้ เพื่อนคนไทยที่เป็นคนชวนฉันมาดูหนังพูดขึ้น

                    “ช่ายยย แล้วใครจะพาพี่ไปนั่งเล่นที่สวนแถวรร.หละ”

                    พี่แบม เพื่อนคนไทยอีกคนที่มาดูและฉันก็สนิทกับเธอมากจนเป็นเหมือนพี่น้องกันจริงๆช่วยเสริม

                    “อย่าเพิ่งดราม่ากันสิค่ะ เดี๋ยวกลับไทยไปก็ค่อยนัดเจอกันก็ได้”

                    ฉันตอบ ฉันสนิทกับพี่ทั้งสองคนมาก ทุกคนช่วยเหลือฉันเหมือนพี่แท้ๆ และชวนฉันไปนู่นมานี่ทุกวันเลย

                    “ดึกแล้ว รีบกลับเถอะ พรุ่งนี้ต้องไปเรียน”

                    พี่แซนดี้พูดขึ้น หลังจากที่เธอดูนาฬิกาข้อมือ

                    “ถ้างั้นก็บายๆนะค่ะทุกคน ฝันดีล่วงหน้าค่ะ”

                    “บายๆจ้า”

                    แล้วเราก็แยกกันกลับบ้าน

     

                    ฉันเดินไปรอรถบัสที่ป้ายอย่างช้าๆ เพราะอยากจะซึมซับบรรยากาศตอนกลางคืนของที่นี่ไว้ ถึงมันจะสลัวๆ แต่มันก็สวยไม่น้อย

                    แหมะ!

                    “เฮือก!

                    จู่ๆใครบางคนก็แตะไหล่ฉันอย่างแรงราวกับตั้งใจแกล้ง พอหันไปก็เจอกับคนคุ้นเคย แต่ใจฉันก็แอบเต้นเบาๆ เพราะตอนนี้ใบหน้าของเราห่างกันไม่ถึงคืบ

                    “โธ่เอ้ย ตกใจหมด ทำไมนายต้องแกล้งให้ฉันตกใจอยู่เรื่อยๆเลยนะ”

                    จัสตินไม่พูดแต่หัวเราะคิกคัก ราวกับสะใจที่แกล้งฉันได้อย่างงั้น

                    “ก็ไม่รู้สินะ เธอมันน่าแกล้งนี่นา”

                    “เฮ้อ... นายนี่ ว่าแต่ว่า นายมาทำอะไรหละเนี่ย ไม่ต้องเฝ้าคุณย่ามารีแล้วหรอ”

                    “พอดีฉันแวะมาซื้อของน่ะ คุณย่าท่านอยากได้โปสการ์ดจากร้านขายของตรงนั้นน่ะ”

                    จัสตินพูดและชี้ไปที่ร้านขายของแถวฝั่งตรงข้าม

                    “อ่อ แบบนี้นี่เอง”

                    แล้วเราก็รอรถบัสด้วยกัน

                    ระหว่างทาง

                    “แปลกแฮะ”

                    จัสตินพูดขึ้น

                    “หืม?

                    “อยู่ที่นี่มาตั้งหลายปี ฉันยังไม่เคยได้มานั่งแถวหน้าสุดบนชั้นสองแบบนี้มาก่อนเลย”

                    “เอ๋? ไม่เคยเลยหรอ นี่นายพลาดวิวสวยๆแบบนี้ได้ยังไง”

                    “อาจจะเพราะว่าฉันไม่อยากนั่งหละมั้ง”

                    “อ่อ แบบนี้นี่เอง”

                    ฉันพูดขึ้น ฉันอยากถามนะว่าทำไม แต่ฉันกลัวว่าเขาจะรำคาญ เพราะเพื่อนฉันคนหนึ่งชอบถามว่า ทำไม บ่อยๆ ฉันเลยรู้ว่ามันน่ารำคาญขนาดไหน กับการที่เราต้องคอยหาเหตุผลกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำหรือไม่อยากทำ

                    “เธอนี่แปลกคน”

                    “เอ๋?”

                    ฉันเอียงคอน้อยๆกับคำพูดของจัสติน

                    “เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ไม่ค่อยถามว่า ทำไม ทั้งๆที่ฉันรู้ว่าเธอต้องการจะรู้เหตุผลของคำตอบนั้นๆ”

                    ฉันอึ้งเล็กน้อยที่เขารู้ความคิดฉัน ก่อนจะตอบเขา

                    “ฉันเคยมีเพื่อนคนหนึ่งที่ชอบถามฉันว่า ทำไม กับทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันทำหรือไม่อยากทำ เธอถามบ่อยมากจนฉันรำคาญ ฉันก็เลยไม่อยากถามคนอื่นว่า ทำไม ทำไม และทำไม ฉันอยากให้คนๆนั้นตอบฉันด้วยความสมัครใจที่จะตอบมากกว่า”

                    “นั่นแหละที่ทำให้เธอแปลกจากคนอื่น และฉันก็ชอบนะ”

                    คำว่า ฉันชอบ ทำให้หัวใจฉันเต้นไม่เป็นจังหวะ ฉันเลยยิ้มกลบเกลื่อนและหันไปมองวิวตรงหน้า

                    “ฉันไปก่อนละ จะถึงป้ายที่ฉันต้องลงแล้ว”

                    ฉันบอกก่อนจะกดออดให้คนขับรถรู้ว่าฉันต้องการจะลงป้ายหน้า ก่อนจะเดินลงไปยืนแถวๆหน้าประตูรถบัส แต่ฉันรู้สึกว่ามีคนมายืนอยู่ข้างหลังฉันเลยหันไปมอง ปรากฏว่าคนที่มายืนข้างหลังฉันก็คือ จัสติน

                    “เอ๋? ทำไม...”

                    จังหวะที่ฉันจะถาม รถบัสก็จอดตรงป้ายที่ฉันต้องลงพอดี ฉันเลยหันไปขอบคุณคนขับและก็ลงรถ โดยที่จัสตินก็ตามมาด้วย

                    “ทำไมถึงลงป้ายนี้หละ นายต้องไปอีก 2-3 ป้ายไม่ใช่หรอ”

                    “ฉันแค่อยากมาส่งเธอ”

                    เขาพึมพำเบาๆ

                    “หา ??”

                    “ฉะ...ฉันหมายถึง นี่มันก็ดึกมากแล้ว เธอเป็นผู้หญิง เดินกลับบ้านคนเดียวเดี๋ยวก็โดนฉุดหรอก”

                    “อ่อ ไม่หรอก ฉันเดินกลับบ้านดึกๆแบบนี้มาสี่ห้าครั้งแล้ว เวลาไปเที่ยวแล้วกลับดึกน่ะ”

                    “ช่างเถอะ ไหนๆฉันก็ลงมาแล้ว เดี๋ยวฉันไปส่งเธอละกัน บ้านเธอไปทางนั้นใช่มั๊ย”

                    ไม่พูดเปล่า เขาจับข้อมือฉันและก็ลากฉันข้ามถนน

                    “นี่ ปล่อยได้แล้ว”

                    ฉันท้วงขึ้น เมื่อเราข้ามถนนมาเรียบร้อยแล้ว

                    “อ่อ เอ่อ..โทดทีนะ”

                    เขาปล่อยมือฉัน แล้วก็ลูบท้ายทอยตัวเอง

                    เอ...น่ารักดีจัง

                    ฉันยิ้มออกมา ก่อนจะบอกว่า

                    “ขอบคุณมากนะที่เดินมาส่ง ฉันน่ะ เดินคนเดียวตอนดึกๆแบบนี้ บางทีก็อดกลัวไม่ได้เหมือนกัน”

                    ฉันบ่นออกมา

                    “ทีหลังก็อย่าเดินคนเดียวตอนกลางคืนแบบนี้อีกนะ ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็โทรหาฉันก็แล้วกัน เธอจะได้ไม่ต้องกลัว”

                    “เดี๋ยวฉันก็จะกลับไทยแล้ว คงไม่ได้กลับบ้านดึกอีกแล้วหละ ต้องจัดกระเป๋าน่ะ”

                    “อ่อ”

                    จู่ๆบรรยากาศระหว่างฉันกับจัสตินก็เงียบไปสักพัก

                    “อ๊ะ ถึงบ้านฉันแล้วหละ ขอบคุณอีกครั้งนะที่มาส่ง”

                    ฉันบอก ก่อนจะเตรียมกุญแจเข้าบ้าน

                    “อื้ม ฝันดีล่วงหน้านะ”          

                    “เดินดีๆหละ ฝากบอกคุณย่ามารีด้วยว่า ฝันดี”

                    “ได้เลย รีบๆเข้าบ้านได้แล้ว มันเริ่มหนาวแล้วนะ”

                    “ค่าาา พี่ชาย เจอกันพรุ่งนี้นะ อ่อ แล้วก็ ฝันดีล่วงหน้านะ”

                    ฉันบอกเขา ก่อนจะไขกุญแจและเข้าบ้านไป

                    ก่อนที่ฉันจะปิดประตู ฉันก็หันไปส่งยิ้มและก็โบกมือบายๆ ซึ่งเขาก็โบกมือตอบ แล้วเขาก็เดินออกไป 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×