คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Diaryคุณลุงปริศนา ตอน มาเฟียน้อย
บันทึกของคุณลุงปริศนา 3
………………………………………………..
“ดร.มิคเคลสัน ที่ผมทำแบบนี้ก็เพื่อไม่ให้พวกเราสองคนต้องลำบากนะ” เสียงทุ่มต่ำของชายผู้หนึ่งดังขึ้น ใบหน้าของเขาถูกบังด้วยเงาดำทะมึน แต่เขาช่างคุ้นตาเสียจริงๆ
“เดี๋ยวสิ!ทำแบบนี้ไม่ถูกนะครับ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ตำรวจเถอะครับ ผมเป็นจิตแพทย์ให้คุณก็เพราะจะให้คุณไม่ฆ่าพวกเขา” และผมก็ได้ยินเสียงของผมเอง ดังมาจากตรงข้ามชายคนนั้น ตอนนี้ผมในตอนนั้นและชายอีกคนอยู่ภายในห้องบำบัดของผมเองที่ในอดีตเคยอยู่ในเมืองใหญ่ แต่ก็ยังเงียบมากอยู่ดี
“ผมจะฆ่ามัน!! เพื่อล้างแค้นและเพื่อปกป้องคุณด้วย พวกมันรู้แล้วว่าผมมาหาคุณบ่อยๆ คุณกำลังถูกตามล่าอยู่นะครับ!!” เมื่อผมสังเกตไปที่ชายร่างสูงใหญ่กว่าผมมากนั้นอีกครั้ง ผมก็เห็นว่าชายคนนั้นกำลังยืนคร่อมร่างคนนึงอยู่ ดูท่าจะกลัวเอามากๆจนปัสสาวะราด และยกมือไหว้ท่วมหัวร้องขอชีวิตชายที่เปรียบเหมือนยมทูตกำลังยืนรอปริดชีพ
“ผมขอร้องล่ะ คุณฆ่าพวกเขาไป มันก็ไม่ดีขึ้นหรอกสู้ให้คนพวกนี้ถูกสังคมประนามและถูกขังในคุกตลอดชีวิตเหมือนตายทั้งเป็นไม่ดีกว่าหรือ? อย่าให้เลือดพวกนี้ต้องแปดเปื้อนคุณเลย….!?” ในขณะที่ผมยังพูดไม่ทันจะจบ จู่ๆเจ้าคนที่อยู่ใต้ร่างของชายร่างสูงนั่นก็เตะเข้าที่ท้องของเขาจนล้มลง เขาประมาทไปเมื่อฟังคำกล่อมของตัวผมในอดีต เจ้าอดีตคนอยู่ใต้ร่างนั้น บัดนี้กำลังวิ่งหนีไปทางประตูห้องบำบัด ผมยืนตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้าจนไม่มีสติ ผมมองตัวเองยืนบื้อขนาดนั้นได้ยังไง? และแล้วชายร่างสูงใหญ่ก็ทนไม่ไหว ชักปืนที่เหน็บเอวอยู่ขึ้นมายิงนัดแรก เข้าเป้าเป๊ะๆ เจ้าชายที่พยายามหนีตายที่น่าสงสารล้มลง เขาถูกยิงที่กระดูกสันหลังเป็นแน่ เพียงเท่านี้ที่ผมคิดว่าน่าจะสาแก่ใจชายร่างสูงผู้เปี่ยมไปด้วยความแค้นแล้ว แต่เขากลับเหนี่ยวไกจะยิงให้ถึงตาย หน้าตาของเขา ใบหน้าของชายร่างสูงที่ผมยังจำได้ดีบัดนี้แจ่มชัดขึ้นมา มันช่างเหี้ยมเกรียม ไร้ซึ่งความปราณี
“ปัง!!”
เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัดพร้อมเสียงบางสิ่งล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง ผมตาค้างและเหมือนหัวใจหยุดเต้น คนที่ถูกยิง คือผมเอง!!
“ดร.มิคเคลสัน!!” ชายร่างสูงเข้ามาประคองผมไว้ในอ้อมกอด พร้อมกับน้ำตาที่ไหลเป็นทางยาวไม่หยุด ผมมองภาพทุกอย่างและก็ปวดหัวขึ้นมา มันปวดจนอยากตีหัวตัวเองแล้วสลบไปเสีย แต่ภาพทุกอย่างก็ยังแล่นเข้ามาเป็นเหมือนม้วนฟิมล์
“คุณ! ทำไม….ทำไม!ถึงวิ่งไปขวางไอ้เศษสวะแบบนั้นกัน? ทั้งๆที่….ผมจะปกป้องคุณแท้ๆ” ชายร่างสูงใหญ่กว่าผมร้องไห้ออกมาไม่อายฟ้าดินอีกต่อไป ใบหน้าของผมเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจากแผลที่ถูกยิง มันถูกฝังลึกอยู่ซี่โครงข้างซ้าย ผมขยับตัวแทบไม่ได้เนื่องด้วยเพราะมันเจ็บปวดมากมหาศาล แต่ก็ไม่เท่ากับตาที่แดงก่ำและปากที่เม้มแน่นเพื่อสะกดน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาเพราะความเศร้าใจ ที่ไม่สามารถยับยั้งไม่ให้ชายร่างสูงไม่ให้ฆ่าคนไม่ได้
“คุณ….ปล่อยผมไปเถอะ หนีไปให้ไกลจาก…ที่นี่ซะ” ผมพูดอย่างติดขัดไม่รู้ว่าเพราะความเจ็บปวดจากแผลที่เริ่มเจ็บมากขึ้นๆ หรือเพราะผมเสียใจกันแน่
“….ไม่….ผมจะอยู่กับคุณ” ชายร่างสูงนิ่งไปซักพักเมื่อผมไม่ยอมสบตาเขาเลย ผมจะโกรธเขาดีไหมที่เขาไม่ยั้งมือที่จะฆ่าเศษสวะนั่น ผมไม่ได้โกรธเขา ผมโกรธตัวเอง ที่ไม่สามารถปกป้อง ‘คนคนนี้’ ชายตรงหน้านี้ได้อีก เมื่อเขากำลังจะกลายเป็นฆาตกร ชายที่ถูกยิงที่สันหลังนิ่งงันไปแล้ว ไร้ซึ่งลมหายใจอีก ถึงตอนนี้ผมกลั้นน้ำตาไม่อยู่อีกแล้วจริงๆ
“ออกไป…” คำพูดนั้นหลุดออกมาจากปากผม ผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเลยจริงๆ แต่ผมต้องไล่เขาไป เพราะผมได้ยินเสียงรถตำรวจตรงมาอีกไม่นานแล้ว ผมตัดสินใจพูดคำคำนึงออกไป ตัวผมที่ยืนนิ่งดูภาพเหตุการณ์นั้นรู้สึกอยากย้อนเวลาไปอีกครั้งเพื่อที่จะไม่พูดประโยคนั่นออกมา
“คุณมันเป็นฆาตกรเลือดเย็น ไปซะ ไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!! ผมไม่อยาก….” ผมสะอึกสะอื้นแก้มเต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด “ผมไม่อยากเห็นหน้าคุณอีก ในเมืองนี้!!! ไปให้พ้นซะ!!” ผมสะบัดตัวออกจากอ้อมกอดของชายร่างสูงกว่า ผมเจ็บไปทั้งตัว เจ็บปวดกว่าเป็นไหนๆที่หัวใจนี่ ผมทำร้ายเขาแล้ว ในที่สุดวันนี้ วันที่ผมพรากจากเขามาถึง ชายร่างสูงนิ่งอึ้งน้ำตายังไม่หยุดไหล สายตาเจ็บปวดนั่นผมไม่อยากเห็นมันอีก และเขาก็บอกลาผม
“ลาก่อน…อดีตเพื่อนรัก ด็อกเตอร์” เขายืนขึ้นอย่างช้าๆปาดน้ำตาแต่แววตายังคงเศร้าสร้อย และเขาก็กระโดดหนีออกไปทางหน้าต่าง ไม่กี่วินาทีถัดมาตำรวจก็พังประตูเข้ามาพบผมที่นอนหายใจรวยรินกับศพเศษสวะที่ตำรวจจัดการที่หลัง ผมถูกหามส่งโรงพยาบาลอย่างรวดเร็วที่สุด และผมก็สลบไสลไป แต่น้ำยังคงไหลไปตลอดทาง
“!?” ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมา เหงื่อไหลโซมกาย หายใจหอบเหมือนไปวิ่งรอบสนามบอลมา10รอบได้ ผมฝันถึงมันอีกแล้ว ชายที่ผมจากเขามา ตอนนี้เขาจะเป็นเช่นไรบ้างนะ? จะยังอยู่ดีหรือเปล่า ใช่แล้ว ที่ผมออกจากตัวเมืองเพื่อลืมเรื่องนั้นซะ และในใจลึกๆผมก็อยากพบ ‘คนคนนั้น’ อีกครั้ง เพื่อที่จะบอกกับเขา ว่าผมไม่ได้โกรธเกลียดอะไรเขาเลย
ผมลุกไปเปิดม่านก็พบว่านี่เช้าแล้วแต่หิมะก็ยังคงตกอยู่ ผมหยิบสมุดรายชื่อคนไข้ก็พบว่าไม่มีในช่วงหิมะตกเลย ผมจึงวางแผนว่า ตอนเช้าจะนั่งอ่านนิยายในบ้านและโทรคุยกับกองบ.ก.ว่างานชิ้นหน้าจะมารับวันไหน แล้วช่วงกลางวันก็เปิดทีวีดูสารคดีดูข่าวดูหนังไปเรื่อยๆ เมื่อถึงช่วงบ่ายก็จะเดินออกไปคุยเรื่องพล็อตผลงานชิ้นต่อไปของวิลไม่ก็สูตรกาแฟรสใหม่รับช่วงวันคริสมาสต์ เอาขนมไปฝากชาเรส และไปดูว่าสองสาวนั่นจะยังอยู่ดีรึเปล่า
เมื่อคิดได้ดั่งนั้นผมจึงเพียงล้างหน้าแปลงฟันเปลี่ยนชุดและจัดทรงผมให้ดูเรียบร้อยเฉกเช่นเหมือนที่ทำทุกๆวัน แล้วจึงลงไปชงกาแฟและแกะหนังสือนิยายสยองขัวญที่เพิ่งซื้อใหม่ซึ่งเป็นผลงานของวิล ผมนั่งพิงพนักโซฟาและจิบกาแฟไปพลางๆ วันนี้ก็มีความสุขอีกแล้ว ถ้าไม่นับฝันนั้นนะ
“ปึงๆๆๆๆ!!” เสียงทุบประตูหน้าคลินิกดังสนั่นผมหันขวับไปด้วยคามตกใจ ใครกันที่รีบร้อนขนาดนั้นน่ะ ผมคั่นหน้าหนังสือและวางแก้วกาแฟลง แล้วเดินไปเปิดประตูอย่างช้าๆ ยังไม่ทันที่ประตูจะอ้าดี จู่ๆบานประตูไม้หนักๆก็ถูกผลักเข้ามาอย่างแรงกระแทกผมจนกระเด็นไปชนกำแพงคลินิกเลยทีเดียว ทำให้ผมงงงันเป็นอย่างยิ่ง และก็พบคำตอบอยู่หน้าประตูว่าใครกันที่พังเข้ามา
มีชายสองคนร่างใหญ่ยักษ์ใส่ชุดสูท หัวโล้นใส่แว่นดำจ้องมายังผมด้วยใบหน้าที่นิ่งเหมือนหุ่นโชว์เสื้อ
“นายท่าน เชิญเข้ามาครับ” ชายสองคนนั้นพูดออกมาพร้อมกันเหมือนหุ่นยนต์ และเอี้ยวตัวหลบเหมือนประตูที่เปิดออก พร้อมกับชายร่างเล็กสวมชุดทักซิโด้เดินเข้ามา ท่าทางดูน่าเกรงขามคล้ายพวกมาเฟียถึงจะดูเด็กมากๆ แถมปิดตาข้างนึงไว้ให้ดูน่ายำเกรง ถ้า…ไม่ติดที่ว่าตัวสั่นเป็นลูกนกด้วยความหนาวเย็นจากข้างนอก
“มัวทำอะไรอยู่! รีบปิดประตูสิเฮ้ย! หนาวเฟ้ย!!” เจ้าหนูมาเฟียขี้หนาวตะคอกใส่หน้าคนที่ดูท่าทางจะเป็นบอดี้การ์ดทั้งสองให้รีบปิดประตูประโดยเร็ว ก่อนที่จะหันมาเหยียดตามองผมที่ยังนั่งอึ้งแถมเจ็บไปทั้งตัวที่โดนกระแทกเมื่อกี้นี้
“ลุงน่ะ เป็นเจ้าของบ้านนี้ใช่มะ?” เจ้าหนูมาเฟียมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเดินดุ่มๆไปนั่งที่โซฟาแล้วจัดการซดกาแฟที่ผมยังดื่มไม่หมดจนเกลี้ยง ผมลุกขึ้นมาแล้วตำหนิเขาทันที จะเป็นมาเฟียมาจากไหนก็ต้องรู้จักมารยาทบ้าง ทั้งๆที่เรียกผมว่าลุงเนี่ยนะ
“นี่ เธอเป็นใครไม่ทราบน่ะ จู่ๆบุกรุกเข้ามาในบ้านคนอื่นแถมทำร้ายผมซะกระเด็น แล้วแถมยังดื่มกาแฟผมจนหมดแก้วซะอย่างนั้น?” ผมพูดรัวๆจนคิดว่าตัวเองเริ่มแก่แล้วล่ะ
“เฮอะ! ชั้นแค่เข้ามาหลบหนาวแป็บเดียว บ่นเป็นตาแก่เชียวลุง เห็นว่าแถวนี้มีแต่บ้านไม้ กับปูนน้ำตาลๆแบบบ้านนอกๆแล้วก็คิดว่าไม่น่าจะทำให้หายหนาวหรอก ก็เลยเดินมาเรื่อยๆมาเจอบ้านลุงเนี่ยแหล่ะ เห็นเป็นบ้านหรูกว่าคนอื่นก็เลยเข้ามา แล้วก็ไม่ผิดหวัง” เจ้าหนูมาเฟียหมุนแก้วกาแฟไปมา แล้วเอาขาพาดกับโต๊ะกระจกแบบไม่กลัวแตก ทำให้ผมนึกถึงชาเรสขึ้นมาเลย
“ก็ควรจะขออนุญาตซะก่อนนะ เจ้าหนู” ทันทีที่ผมหลุดคำว่า ‘เจ้าหนู’ ออกจากปากเท่านั้นแหล่ะ เจ้าหนูน้อยมาเฟียก็ถึงกับปล่อยแก้วลงกับพื้น ดีนะที่พื้นปูด้วยพรมน่ะ แล้วจึงหันมาจ้องผมด้วยตาแดงก่ำ ใช่ แดงจริงๆ แดงจนน่ากลัว
“เมื่อกี้…ลุงว่าอะไรนะ? พูดอีกทีซิ?” เจ้าหนูนั่นถลึงตาใส่ผมอย่างโกรธเกรี้ยว แต่ใบหน้ายังคงสงบนิ่ง สมกับเป็นมาเฟียจริงๆ ผมนึกถึงคำกล่าวของพระพุทธเจ้าเลยที่ว่า “อย่าดูถูกกษัตริย์ว่ายังเด็ก” ผมเห็นแววตานั่นแล้วนึกถึงตอนจ้องตาเสือในสวนสัตว์เลย
“เอ่อ…เจ้าหนู…ทำไมเหรอ? ชื่อของเธอเรอะ?” ผมมิวายพูดไปด้วยความใส่ซื่อ หรือกวนพระบาทาเขากันแน่ เจ้าหนูมาเฟียนั่นกระโดดผึงลุกขึ้นจากโซฟาและชี้สั่งให้บอดี้การ์ดจับตัวผมไว้คนละข้าง พวกเขาแข็งแรงมากจริงๆจนผมดิ้นไม่หลุดเลย ผมชักใจไม่ดีแล้วสิ จะเด็กแค่ไหนก็คือมาเฟียอยู่ดี
“ตั้งแต่เกิดมาเนี่ยนะก็มีคนเรียกชั้นแบบนี้อยู่2-3คนอ่ะนะ แต่รู้ไหม ทำไมพวกมันถึงไม่มาเตือนลุงไม่ให้พูดแบบนั้น?” เจ้าหนูนี่ชักมีดพกขึ้นมาแล้วลูบมันเหมือนลูบหัวแมวอย่างไรอย่างนั้น
“อืม…ไม่รู้สิ ไปพักร้อนมั้ง แล้วจะให้มาเตือนผมยังไงล่ะ? ผมไม่รู้จักพวก….อุ๊บ!!” ผมยังไม่ทันที่จะพูดกวนประสาทโดยไม่รู้ตัวจบ ก็ถูกบอดี้การ์ดคนนึงต่อยเข้าที่ท้องอย่างแรง ผมเข่าอ่อน แต่ก็ลงไปนั่งไม่ได้เมื่อเจ้ายักษ์สองตนนี่ยืนล็อกผมอยู่
“ฮึๆ ลุงนี่ไม่กลัวตายหรือยังไงนะ? สงสัยลุงจะไม่รู้จักผมซะแล้วล่ะ ใครๆก็รู้จักชื่อนี้ ไม่ว่าจะเดินไปไหนก็มีแต่คนหลบและเปิดทางให้” เจ้าหนูนี่จะทำเสียงแหบๆแห้งๆไปทำไมนะ หรือเป็นที่นิยมกัน เหมือนในเรื่องแบทแมนน่ะ ที่ดัดเสียงตัวเอง
“เอ่อ…แล้วผมจะรู้ไหมล่ะ?” ผมยังมิวายกวนบาทาอีกรอบ
“ชื่อของชั้น เฌอบลอง จำใส่สมองลุงไว้ซะ! ” เจ้าหนูมาเฟียเชิดหน้าใส่และเดินหันหลังให้ผมอย่างช้าๆ วางมาดเสียเหลือเกิน ผมกลอกตา
“แล้วเธอเป็นใครกันล่ะ? คนแถวนี้ไม่รู้จักหรอกน่า” เจ้าหนูเฌอบลองหยุดกึกทันทีเมื่อรู้ว่าผมและคนที่นี่ไม่รู้จักชื่อเสียงของตน แล้วหันมาตวาดผมเสียจนแก้วหูจะระเบิดใบหน้าแดงก่ำด้วยความอายที่เห็นผมท่าทางเฉยๆมาตั้งแต่แรกแล้ว
“ลุง! นี่ไม่รู้จักชั้นจริงๆเรอะ? ชั้น มาเฟียผู้โด่งดังที่สุดในใต้ดินไงล่ะ!!” เด็กก็คือเด็กอยู่วันยันค่ำ แหล่ะหนอ ผมถอนหายใจยาวและเริ่มกวนประสาทอีก
“นี่บนดินนะครับ แล้วใต้ดินที่ว่าเนี่ย พวกไส้เดือน ตัวตุ่นอะไรเถือกนั้นเรอะ…โอ๊ย!!” ผมถูกตั้นเข้าที่หน้าอย่างจังจากหมัดสุดจะหนักอึ้งของไอ้ถึกหัวโล้นแว่นดำ
“ลุงนี่ตลกจังนะ ฮึๆ เฮ้ย! สั่งสอนให้ลุงรู้จักชั้นมากกว่านี้หน่อยซิ!!” เมื่อพูดจบเจ้ายักษ์สองตนก็จับผมโยนออกไปนอกบ้าน ซึ่งตอนนี้หิมะตกน้อยลงแล้ว แต่ยังมีกองหิมะเต็มไปหมด ผมคงจะถูกซ้อมสินะเนี่ย เมื่อคนแถวนั้นได้ยินเสียงเอะอะจากบ้านผมจึงออกจากบ้านมาดูกัน ก็พบว่าผมอยู่สภาพที่ไม่ปกตินัก เสื้อเชิ้ตที่ทับดัวยเสื้อกั๊กที่เคยเรียบสนิทตอนนี้มันยับยู่ยี่ไปหมด เลือดกลบปากผมและไหลไม่หยุด ผมเผ้ายุ่งเป็นรังนก ให้ตายเถอะ ทำไมต้องออกกันมากันตอนนี้ด้วย
“นี่ ไหนๆก็ไปซ้อมผมในป่าอะไรแบบนี้ดีมั้ย คนมันเยอะน่ะ” ผมมองไปยังคนที่ยืนล้อมอยู่ แถมยังส่งเสียงเชียร์ผมอีกแน่ะ
“ก็ดีสิ พวกมันจะได้เห็นถึงความน่ากลัวของชั้นเสียบ้าง บ้านนอกคอกนาแบบนี้ต้องเรียนรู้เรื่องในเมืองซะบ้าง” เจ้าหนูเฌอบลองแสยะยิ้มอย่างคนเหนือชั้น ตาเหยียดมองไปยังผู้คนด้วยสายตาเหมือนราชสีห์มองมดปลวกที่จะถูกบี้เมื่อไหร่ก็ย่อมได้
ผมมองหน้าเขาไม่กระพิบตา นานมากๆแล้วที่ผมไม่ได้โกรธมากขนาดนี้ เจ้าหนูนี่จะใหญ่มาจากไหนไม่สำคัญ เป็นเพียงราชสีห์อย่าริอาจ เหยียบรังมังกร!
เจ้าหนูเฌอบลองสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นผมหุบยิ้มและจ้องเขาเขม็ง เฌอบลองเสมองไปทางอื่นและสั่งให้บอดี้การ์ดทั้งสองของเขาจู่โจมผมอย่างเร็วที่สุด พวกเขาทั้งสองวิ่งมาเหมือนหมูป่าร่างยักษ์ ถึงจะตัวใหญ่แต่ก็รวดเร็ว ผมไม่สนพวกเขาหรอก ตอนนี้สายตาผมยังจับจ้องอยู่ที่เฌอบลอง เท่านั้น
“คุณมิคเคลสัน!!!” เสียงตะโกนของวิลดังมาจากฝูงชนที่มุงดู ในขณะที่ผมละสายตาจากเฌอบลอง หมัดหนักๆของบอดี้การ์ดคนนึงก็พุ่งเข้ามาอัดที่ซี่โครงข้างซ้ายผมเข้าอย่างจัง ซ้ำไปที่แผลเดิมนั่น แผลที่เจ็บที่สุด
“!?” ร่างของผมกระเด็นเข้าไปในหมู่คนที่มามุงดู พวกเขาทั้งตกใจทั้งเริ่มหวาดเกรงไอ้มาเฟียนี่แล้ว ผมเจ็บมากขนาดที่ว่าคนพยุงให้ผมลุกขึ้นผมยังไม่มีแรงยืนเลย หายใจเข้าไปแต่ละครั้งก็เหมือนกระดูกทิ่มแทงปอดจนจะทะลุอยู่ร่อมร่อ
“คุณมิเคลสัน! เป็นอะไมไหมครับ?” วิลเข้ามาประคองผมอีกแรง ผมจึงสังเกตเห็นว่าใบหน้าของเจ้าหนูเฌอบลองนั้นยิ้มกว้างไปด้วยความสุขที่เห็นคนอื่นเจ็บปวด หัวเราะร่วนจนต้องกุมท้อง พวกคนในที่แห่งนั้นต่างฉายแววตาแห่งความกลัวออกมา ถ้าแผลนี่มันไม่เจ็บขึ้นมาอีกล่ะก็!
.
.
.
“เฮ้ย!!”
จู่ๆเสียงที่ผมคุ้นเคยก็ตะโกนแทรกเสียงหัวเราะของเฌอบลองขึ้นมา เจ้าหนูมาเฟียหยุดหัวเราะทันทีทันใด้แล้วหันมองไปยังที่มาของเสียงนั่น
“ทำอะไรวะ?! ลุงนั่นชั้นแกล้งได้คนเดียวเว้ย!!” ชาเรสตะโกนจากข้างหลังของผมนี่เอง เมื่อพูดจบแล้วจึงหันมามองผมด้วยสายตาที่บ่งบอกได้ว่า ‘สะบักสะบอมขนาดนี้ได้ไงเนี่ย?’ ผมยิ้มให้เขาเล็กน้อยแล้วจึงกลับมาทำหน้าเจ็บปวดอีกครั้ง ไม่รู้ทำไมแววตาของชาเรสถึงทำท่าเหมือนตกใจนิดๆที่ผมเจ็บหนักขนาดนี้ ทั้งๆที่เขาเคยทดสอบฝีมือผมมาแล้ว แต่ครั้งนี้มันต่างกัน แผลเก่าที่คิดว่าหายแล้วแต่กลับกำเริบขึ้นมาเสียนี่
“สภาพน่าทุเรศชะมัดเลยลุง” ชาเรสกล่าวโดยที่มองไปยังบอดี้การ์ดทั้งสองที่กำลังเดินเข้ามาช้าๆ คนที่มามุงดูไม่ได้ถอยหลังหนีแต่อย่างใด แต่กลับจ้องเขม็งไปยังร่างยักษ์ทั้งสองเช่นกัน
“เฮอะ ระวังปากหน่อย ถึงผมจะเจ็บอยู่ก็ขย้ำหัวคุณได้สบายๆ อุ๊บ!” พูดไม่ทันขาดคำผมก็ต้องเอามือกุมบริเวณซี่โครง มันเจ็บมากขึ้นเมื่อเริ่มหายชาแล้ว
“เงียบปากไปซะ” เสียงของชาเรสนิ่งสงบ เหมือนไม่อยากให้ระดับเสียงธรรมดามีผลต่อแผลของผม เขาหันมามองวิลและพูดประโยคนึงขึ้นมา ไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้ยินจากปากเจ้าหนูเกเรนี่ได้
“…ฝากดูแลลุงด้วยล่ะ” วิลก็อึ้งไปเช่นกัน แต่ก็พยักหน้าหงึกๆเป็นสัญญาณว่ารับปากจะดูแลผม แล้วชาเรสก็ชักมีดออกมา2เล่มเหมือนครั้งแรกที่เจอกัน ทั้งๆที่อยู่ในชุดพนักงานร้านกาแฟน่ะนะ
“แกเป็นใครวะ?” เฌอบลองพูดขึ้น เจ้าหนูนี่มาอยู่ใกล้ๆบอดี้การ์ดตั้งแต่เมื่อไหร่? ดูท่าจะไม่ธรรมดาเหมือนกัน ชาเรสจ้องไปยังเจ้าหนูมาเฟียแล้วกำมีดแน่น
“ชาเรส เฟอาเนส จำมันไว้ให้ดีๆไอ้เตี้ยกระแดะเป็นมาเฟีย” คนแถวนั้นเมื่อได้ยินประโยคนั้นก็อดจะกลั้นขำไม่ได้ วิลก็เช่นกัน ผมเองก็ไม่กล้าที่จะหัวเราะออกมา ก็แผลเจ็บเสียขนาดนี้ เฌอบลองหน้าแดงเหมือนสีตาของตน ก่อนที่จะกระทืบเท้าตะคอกใส่ชาเรส
“ชาเรสเรอะ!! ชั้น เฌอบลอง จำใส่หัวแกไว้ให้ดีๆ แล้วแกจะต้องมีสภาพไม่ต่างอะไรกับเพื่อนของแก!!” เขาชี้มาที่ผม ชาเรสหลุดขำออกมาเสียงดังสนั่นจนเกรงว่าหิมะจะถล่มหรือเปล่า
“เพื่อน? ดูหน้าลุงนั่นแล้วคิดว่าเป็นเพื่อนชั้นเรอะ?” ชาเรสยังคงหัวเราะต่อไป เฌอบลองทำหน้างงๆใส่ หันมามองผม ผมเลยยักไหล่แล้วทำหน้างงๆตอบ
“ท่าจะบ้า เฮ้ย! จัดการมันเลย เอาให้เงียบเสียงลงซะบ้าง” ทันทีที่สิ้นคำสั่งผู้เป็นนาย บอดี้การ์ดร่างยักษ์ก็พุ่งเข้ามาหาชาเรสอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังช้ากว่าเจ้าหนูนักฆ่าอยู่ดี
“อืดอาดเป็นบ้าเลย!” ชาเรสกระโดดขึ้นไปเหนือหัวของบอดี้การ์ดทั้งสองแล้วจึงพุ่งตัวลงมาใช้มีดฟันเข้าที่แขน และตวัดมาที่ขาของบอดี้การ์ด พวกนั้นล้มลงด้วยความเจ็บปวด บาดแผลดูจากความเร็วที่ฟันและแรงที่ชาเรสพุ่งลงมาน่าจะทำให้เจ็บเอามากๆ
“ห่วยว่ะ…ถุด!” ชาเรสไม่ว่าเปล่า ยังถ่มน้ำลายใส่หัวอันโล้นเลี่ยนเตียนโล่งของบอดี้การ์ดที่นอนหน้าคว่ำกับกองหิมะ
“แก! จะชดใช้ยังไง!!” เฌอบลองที่ดูเหตุการ์ณมาตลอด ถึงจะเห็นว่าบอดี้การ์ดล้มลงไปแล้วก็ยังคงยืนหลบอยู่หลังเสาบ้าน แต่ก็ยังปั้นหน้าเข้มใส่รักษามาดตัวเองต่อทั้งที่ๆมือไม้สั่นเสียขนาดนั้น
“ออกมาให้เตะตูดซะดีๆ ไอ้มาเฟียแคระ” ชาเรสเดินไปลากเฌอบลองออกมาจากที่หลบซ่อน เจ้าหนูมาเฟียดิ้นไปมาเหมือนน้องหมาที่ถูกเจ้าของจับไปอาบน้ำ
“เอาล่ะ! ที่นี้จะว่าไงต่อล่ะไอ้…” ชาเรสชะงักไปชั่วคณะเมื่อเห็นดวงตาของเฌอบลองที่แดงเป็นประกายดุจพระอาทิตย์ แววตาของชาเรสก็เปร่งประกายสีฟ้าเจิดจรัสดั่งน้ำทะเล ทั้งคู่นิ่งงันไปชั่วครู่ก่อนที่ชาเรสจะพุ่งฝ่ามือจะถอดที่ปิดตาของเฌอบลองเสียให้ได้ เฌอบลองเอี้ยวตัวหลบอย่างว่องไว
“ทำบ้าอะไรฟร้า!!” เจ้าหนูมาเฟียตะคอกเสียงหลง และถอยห่างออกจากชาเรสด้วยความรวดเร็ว แต่ชาเรสก็ไม่ยอมแพ้ รับกระโจนเข้ามาพยายามจะคว้าที่ปิดตาเสียให้ได้
“ขอดูหน่อยๆๆๆๆ ขอดูหน่อยนะ! สีแดงสดเหมือนเลือดเลย!!” ชาเรสดูท่าจะเพี้ยนไปแล้ว ไล่จับเฌอบลองอย่างไม่ลดละ ตอนนี้เจ้าหนูมาเฟียเป็นเพียงเด็กคนนึงที่วิ่งหนีปีศาจบ้าเลือด
“ตุบ!!” ชาเรสทรุดล้มลงกับพื้น ก็เพราถูกผมฟาดสันมือเข้าที่จุดสำคัญเข้าน่ะสิ แค่หลับไปเท่านั้นนะครับ เฌอบลองหันมามองผม เหมือนจะพูดขอบคุณ แต่ด้วยความหยิ่งยะโสก็เลยกลับมาทำตาขวางใส่ ผมยิ้มเล็กน้อย
“เธอมาทำอะไรที่นี่กันแน่? ไม่ใช่แค่มาหลบหนาวหรอกนะ” เฌอบลองสะอึกเมื่อถูกผมจับได้ เขาก้มหน้างุดๆแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้าที่เจ้าตัวคิดว่าน่ากลัวที่สุดเท่าที่ทำมา “ใช่แล้ว ชั้นได้รับข้อมูลจากลูกกระจ๊อกของชั้น ว่าลุงน่ะเป็นอดีตมาเฟียใช่มะ? ก็เลยจะมาดูหน้าซะหน่อยเห็นลือกันให้แซดว่าลุน่าเก่งแถมน่ากลัวนักหนา” ชาเรสกอดอกพูดแล้วเชิดหน้าใส่
“อืม…ลูกกระจ๊อกที่ว่า ตอนนี้อยู่ในคุกสินะ?” ผมทำหน้าเบื่อหน่ายกับพวกที่ได้รับข้อมูลมาผิดแล้วไม่รอบคอบมาหาผมโดยที่ไม่รู้อะไรเลยเนี่ยนะ
“นั่นแหล่ะ พวกมันบอกว่าถูกลุงกับเจ้าบ้านี่เล่นงาน” เฌอบลองชี้ไปที่ชาเรสที่นอนแน่นิ่งไม่ได้สติ แล้วทำหน้าแหยงๆ
“อ่อ…ชาเรสเองก็นึกว่าชั้นเป็นมาเฟียเหมือนกัน ถึงได้รู้จักกันนี่แหล่ะ” นึกๆดูแล้วใครกันหนอที่จะสนิทกันด้วยวิธีที่คิดจะฆ่ากันมาก่อนน่ะ
“หา?? นี่ลุง…ไม่ได้เป็น..ม…มาเฟีย??” เฌอบอลงตาโตด้วยความแปลกใจปนสับสน บอดี้การ์ดทั้งสองก็เงยหน้าขึ้นมาจากกองหิมะใบหน้าเต็มไปด้วยสีขาวดูเหมือนซานต้าครอส “ห๊า!?”
“คือว่านะ ก็มีคนเข้าใจผิดแบบนี้เยอะแล้วล่ะ แค่เรียนศิลปะป้องกันตัวนิดหน่อยเพราะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกมาเฟียเหมือนกันแต่ไม่ได้เป็นมาเฟียและไม่ได้ติดหนี้หรือสร้างความเดือดร้อนอะไร ผมเป็นจิตแพทย์ต่างหาก แต่ที่คิดว่าเป็นมาเฟียเพราะมีพวกมาเฟียเอยนักเลงเอยเข้ามาหาผมบ่อยๆ และอีกประการนึง คือที่ผมไม่เข้าใจพวกคุณเลยนะว่า แค่ชกต่อยเก่งแบบว่าไล่พวกมาเฟียตะเพิดหนีหายไปก็นับว่าเป็นมาเฟียด้วยกันแล้วเหรอ? โอ้ มีแต่มาเฟียๆๆๆๆ” ผมบ่นเสียยืดยาวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทุกคนในบริเวณนั้นต่างนิ่งเงียบและมองหน้าผมเหมือนเจอมนุษย์ต่างดาวให้แล้วสิ
“เอ่อ….ไม่ใช่เรอะ? งั้นก็…ขอโทษที่รบกวนนะ” เมื่อพูดจบเฌอบลองก็เตะหัวโล้นๆของบอดี้การ์ดทั้งสองให้ลุกขึ้นก่อนที่จะวิ่งหนีไปอย่างทุลักทุเล แต่คนที่มามุงดูกลับเรียกให้หยุดเพื่อที่จะสั่งสอนเขาเสียหน่อย ผมทำท่าจะห้ามแต่จู่ๆก็เกิดเจ็บแปล็บขึ้นมา แผลที่สีข้างบริเวณจุดซี่โครงมันยังเจ็บขึ้นเรื่อยๆ วิลเอ่ยปากถามอาการผม แต่ผมเจ็บจนสติเริ่มเลือนราง หูอื้อจนไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง ทุกอย่างอ่อนเปรี้ยไปหมดจนผมรู้สึกว่าผมล้มลง ใบหน้าสัมผัสกับหิมะที่เย็นจัด แต่กระนั้นผมก็ไม่รู้สึกอะไรเลย ก่อนที่ทุกอย่างจะดับลง ผมได้ยินเสียงของวิลตะโกนเรียกผม คนที่มามุง เสียงของชาเรสที่เพิ่งตื่น และถ้าฟังดีๆ ก็ได้ยินเสียง เสียงรถยนต์ และทุกอย่างก็มืดลงสนิท
TBC.
อร้ากกกกกก ทำไมมันเริ่มมั่วขึ้นเรื่อยๆล่ะค้าาาา
ความคิดเห็น