ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    kimsoojung หัวใจรักสี่แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #3 : รัชสมัยพระราชาซองโจ

    • อัปเดตล่าสุด 17 ก.ย. 56


    2
     
      ทางฝ่ายในกำลังมีการเตรียมงานที่ยิ่งใหญ่ หลังการจากไปของพระราชาเอซอง แม้ทั้งเมืองอินจาจะเศร้าเสียใจ แต่เมืองก็ต้องการพระราชา เพราะฉะนั้น ราชวังจึงกำลังวุ่นวายกับการเตรียมงานฉวายราชสมบัติสือต่อราชวงศ์ ขององค์รัชทายาทซองโจ วอนจาในพระราชาเอซองและ
    พระมเหสีโยริน  คนทั้งราชวังไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใน ฝ่ายขุนนางก็ต่างมีการเตรียมงานเป้นอย่างดี องค์รัชทายาที่ได้รับการสนับสนุนจากทั้งขุนนางฝ่ายตะวันตก และฝ่ายเหนือ 
      พระพันปีซองฮวาหรือพระอัยยิกาขององค์รัชทายาทซองโจก็กำลังเตรียมรับฐานันดรใหม่ ในฐานะพระอัยยิกาของพระราชาซองโจ ทั้งพระมเหสีโยริน มเหสีในพระราชาเอซองก็ต้องเตรียมรับฐานันดรเป็นพระพันปีของพระราชาองค์ใหม่อีกด้วย พระราชาองค์ใหม่เองก็ต้องเข้าทำการเลือกพระชายาหรือพระมเหสีที่จะขึ้นเป็นมารดาของฝ่ายในหรือเป็นแม่ของเมืองอินจาเลยก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นการคัดเลือกจากฝ่ายพระอัยยิกาและพระพันปีจึงเป้นเรื่องสำคัญ ต่อจากนั้นก็จะคัดเลือกให้เหลือเพียงสองคนเพื่อที่จะได้ให้พระราชาองค์ต่อไปเลือกพระมเหสีของพระองค์เอง
     กฏของเมืองอินจาในการเลือกพระมเหสีค่อนข้างเข้มงวดและต้องมีการสนับสนุนจากฝ่ายขุนนางและฝ่ายในด้วย และแน่นอนว่าด้วยอำนาจที่มากล้นของพระพันปีหรือพระอัยยิกาซองฮวานั้น ฝ่ายขุนนางต่างๆย่อมต้องการจะเสนอลูกสาวขอตนให้เป็นพระชายาของพระราชาซองโจ

       ชเวกึมด๊อก วังหลังท้ายราชวงศ์

     พระสนมชเวซุกบินกำลังร้อนระอุด้วยความเกลียดชังและอิจฉาริษยาที่อยู่เต็มอก การที่พระราชาเอซองสิ้นพระชนน์นั้นย่อมทำให้ อดีตพระสนมคนโปรดของพระราชาที่สวรรคตนั้นตกที่นั่งลำบาก เพราะตามกฏแล้วสนมเหล่านั้นต้องถูกขับออกนอกไว้ ทิ้งไว้เป้นเพียงเชื้อพระวงศ์หรือแค่ศักดิ์ที่เคยมี แต่เพราะพระสนมชเวซุกบินเป็นถึงสนมองค์โปรดและมีพระโอรส คือ องค์ชายจาซองให้แก่พระราชา ตามกฏนั้นนางจึงได้มาอยู่ในวังท้ายของราชวังอินจา ความเป็นอยู่นั้นหรือจะดีเท่าแต่ก่อนที่ทรงเป็นถึงสนมองค์โปรดระกับต้นๆ การถูกขับออกมาอยู่ท้ายวังก็นับว่าเป็นเรื่องที่เลวร้ายแล้ว ซ้ำยังโดนพวกเหล่าขุนนางเมินเฉยไม่สนับสนุนองค์ชายที่เกิดจากพระสนมต่ำชั้นที่เป็นแค่ชเวซุกบิน แต่เมื่อคิดการใหญ่นั้นก็จำต้องใจเย็น พระสนมที่ตกที่นั่งลำบากนั้นจะต้องหาทางให้องค์ชายจาซองมีพื้นที่ยืนอยู่ในราชสำนักให้ได้
      พระสนมนั่งนึกคิดถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นนี้ การแต่งตั้งองค์รัชทายาทซองโจขึ้นเป็นพระราชา ภายใต้การสนับสนุนของขุนนางและพระพันปีซองฮวาหรือพระอัยยิกาซองฮวา ยังไงส่ะต้องมีเดินตามเส้นทางที่มีการปูไว้แต่เนิ้นๆก่อน พระโอรสที่ไร้ซึ่งจุดยืนนี้จะทำอะไรได้ เพราะความอยากได้อำนาจนั้นแหล่ะที่พลักดันให้พระสนมต้องทำทุกวิถีทาง เช่นการเชิญขุนนางฝ่ายตะวันตกชองมาพูดคุย ขุนนางที่รับใช้ราชสำนักมานับสิบรุ่นและมีความแข็งแกร่งพอที่จะสนับสนุนจุดยืนขององค์ชายจาซองได้

      "ขุนนางชองมาแล้วเจ้าค่ะ" ซังกุงแก่อายุ40กว่า ซึ่งเป็นคนสนิทของพระสนมซุกบินรีบเข้ามารายงาน พระสนมพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นต้อนรับการมาของขุนนางชอง ขุนนางชองก้าวเข้ามาในที่พำนักพร้อมทั้งโค้งคำนับพระสนมซุกบินที่ยืนห่างอยู่ไม่ไกล
       "เชิญท่านนั่งก่อนสิ" พระสนมซุกบินฝามือไปยังฝั่งตรงข้าม ขุนนางชองมองตามและนั่งลงอย่างว่าง่าย เพราะการมาที่นี้ของเขาย่อมไม่ใช่การมานั่งคุยล่นอยู่แล้ว พระสนมจะต้องมีอะไรแน่ๆ และเขาเองก็อยากรู้เหมือนกัน
       "ท่านจิบชาก่อนมั้ยขุนนางชอง" พระสนมเอ่ยถามอย่างนุ่นนวล ขุนนางชองมีท่าทีประหม่า จนพระสนมสังเกตุเห็นได้ แต่พระนางทรงทำเป็นไม่ใส่ใจและยิ้มระลื่นต่อไป
       "ที่พระสนมเรียกข้ามาที่นี้เพราะเหตุใดหรือ" ขุนนางชองจิบชาไปแค่จิบเดียวก็เอ่ยถามขึ้นมาทันที พระสนมซุกบินจะต้องมีจุดหมายอะไรแน่ๆ และการที่เรียกเขามาก็เพื่อจุดหมายที่ไม่มีใครรุ้ และเขาอาจจะเป็นผู้เดียวที่ได้รู้เช่นนั้นแล้วจะต้องรีบถามถึงจุดประสงค์ของสนมที่ร้ายกราจนี้ให้ได้ ในสมัยพระราชาเอซอง พระสนมซุกบินทรงเป็นที่โปรดปรานของพระราชา และนางยังเป็นคนที่มีเหล่เหลี่ยมเยอะ เคยแม้กระทั่งทะเลาะกับพระพันปีซองฮวา พระมารดาของ
    พระราชาเอซอง และยังทรงไม่มีความยำเกรงต่อพระมเหสีโยอินอีกด้วย
       "นั้นสินะ การเรียกท่านมาครั้งนี้มีจุดหมายอะไร ท่านคงอยากรู้แล้วสินะ"
       "ขอประทานอภัยที่เสียมารยาท" ขุนนางชองเอยเสียงเรียบ เพราะสายตาที่คมกริบของพระสนมทำให้รู้ว่าตนพูดจาไม่เข้าหู
       "แต่ก็นะ ข้าเข้าใจพระสนมองค์โปรดของอดีตพระราชาเรียกขุนนางรับใช้พระราชามาทำไมเป็นใครก็ต้องสงสัยเป็นแน่" พระสนมหัวล่อเบาๆก่อนจะเปลี่ยนสาตายเชิงขบขันนั้นเป็นจริงจังและดุดันขึ้นมาทันที
       "ท่านเป็นขุนนางที่ถวายการรับใช้พระราชาเอซองมาเกือบยี่สิบปี และข้ารู้ดีว่าท่านเองก็มีอำนาจในฝ่ายตะวันตกมากทีเดียว" พระสนมเอ่ยอย่างไว้ตัว แต่ก็ไม่ลดละสายตาที่มองเขาด้วยท่าทีดุดัน ขุนนางชองรู้สึกอึดอัดกับท่าทีนั้น แต่ก็ทำเป็นสบตาและฟังพระสนมต่อ
      "การที่ได้กำลังอิทธิพลจากท่านในการสนับสนุนองค์ชายจาซองของข้านั้นย่อมเป็นข้อดีที่ข้าจะได้เปรียบและ ถ้าท่านทำตามที่ข้าต้องการได้ข้ายินดีมอบทุกอย่าง"
      "พระสนมหมายถึง?" ยิ่งนางพูดออกมาขุนนางชองก็ยิ่งไม่เข้าใจ พระสนมร้ายนี่ต้องการอะไร ต้องการอิทธิพลของเขาไปเพื่อองค์ชายจาซองนะหรือ?
      "การสนับสนุนองค์ชายซองโจขึ้นเป็นพระราชานั้นเป็นสิ่งที่ทำถูกต้องแล้วจริงหรือ"
      "หม่อมฉันทำตามพระบรรชาของพระราชาเอซอง ที่ทรงต้องการให้รัชทายาทที่ถูกต้องตามกฏหมายราชวงศ์ขึ้นสืบบังลังแทน" ขุนนางชองพูดขัดขึ้นมา ใช่มันคือความจริงการที่องค์ชายซองโจขึ้นเป็นองค์รัชทายาทและได้สืบราชวงศ์นั้น ถูกต้องและย่อมไม่มีใครคัดค้านได้ พระสนมยิ้มออกมานิด พร้อมกับเอ่ยต่ออย่างไม่สะท้าน
      "องค์ชายจาซองไม่มีความถูกต้องตรงไหนหรือ?"
      "เอ่ออออ...." ขุนนางชองอึกอัก "หึ ท่านลองพูดตามกฏหมายราชวงศ์มาหน่อยสิ"

        "พระสนมซุกบิน องค์ชายจาซองทรงมีพระชนมายุน้อยกว่าองค์รัชทายาทและอีกอย่าง..."
      "เป็นแค่ลูกพระสนมซุกบินชั้นต่ำใช่ไหม?" พระสนมซุกบินเอ่ยถามด้วยเสียงที่มากด้วยโทสะ
      "ขอประทานอภัย ข้ามิได้หมายความแบบนั้น"
      "แล้วท่านหมายความว่าอย่างไร ขุนนางชอง"
      "ที่พระสนมพูดคือต้องการให้ข้าสนับสนุนองค์ชายจาซองขึ้นเป็นพระราชาใช่หรือไม่"
      "นั้นคือสิ่งที่ข้าเรียกเจ้ามา" พระสนมซุบินพูดพร้อมทั้งเชิดหน้าขึ้น ในระหว่างที่การสนทนาของขุนนางชองและพระสนมซุกบินนั้นกำลังเป็นไปอย่างเข้มข้น โดยที่ทั้งสองไม่รู้เลยว่าองค์ชายจาซองได้ยืนฟังอยู่เงียบๆมาสักพัก คำพูดที่มักใหญ่ใฝ่สูงของเสด็จแม่นั้น มักทำให้องค์ชายจาซองเดือดร้อน เพราะมักถูกมองว่าเป็นลูกพระสนมชั้นต่ำที่ไม่เจียมตัว
       "พระสนม ข้าต้องขอทูลว่า องค์ชายจาซองนั้นห่างไกลจากตำแหน่งอีกมาก ถึงจะสิ้นองค์รัชทายาทซองโจแล้ว แต่ก็ยังมีองค์ชายซูฮองที่เกิดจากพระมเหสีโยอินอีกหนึ่งพระองค์ ถึงข้าสนับสนุนองค์ชายจาซองไป ก็คงโดยฝ่ายขุนนางคัดค้านกันอยู่ดี การสนับสนุนองค์ชายจาซองต้องฝ่าฟันกับเหล่าขุนนางอีกมากมาย ข้ามองไม่เห็นทางที่จะสนุบสนุนองค์ชายจาซองได้เลย" ขุนนางชองพูดตามความจริง การสนับสุนนองค์ชายจาซองไม่มีทางเป็นไปได้ และเขาจะไม่ให้การสนับสนุนลูกของพระสนมที่ไม่รู้จักที่ต่ำสูงหรอก พระสนมนี่ช่างน่าสมเพชจริงๆ ลูกของตนเป็นแค่องค์ชายชั้นต่ำที่เกิดจากสนมจะไปสู่กับลูกมังกรที่เกิดจากพระมเหสีได้อย่างไร
       "เจ้าพูดแบบนี้หมายความว่าการสนับสนุนของเจ้าจะไม่มีผลต่อลูกข้างั้นหรอ"
       "ขุนนางนับสิบจะไม่ยินยอมและท้ายที่สุดแล้วองค์ชายจาซองก็จะพ้ายแพ้" ขุนนางชองกล่าว
    เป็นคำพูดที่องค์ชายจาซองได้ยินมาเกือบสิบกว่าปี คำว่าลูกสนมชั้นต่ำ องค์ชายนอกสกุล เขาได้ยินมาแทบจะหาอะไรเปรียบมิได้ แต่ไม่มีใครใดเจ็บปวด อาจจะเพราะววามชินชาก็ได้
       "หมายความว่าท่านก็จะไม่สนับสนุนลูกของข้า"
       "ข้าขอทูลบางอย่างตามความจริงจะได้ไหม"
       "ว่ามา"
       "องค์ชาจาซองนั้นเป็นได้เพียงองค์ชายในพระราชาเอซองและพระสนมเท่านั้น ฐานันดรที่ได้รับนั้นมากมายพอแล้ว อย่าได้ทรงคิดไปไกลกว่านั้นเลย เพราะองค์ชายที่เกิดจากพระมเหสีคือมังกรของเมืองอินจาที่จะทรงได้สืบราชบัลลังต่อไป" ขุนนางชองพูดคำพูดเสียดแทงใจของทั้งพระสนมซุกบินและองค์ชายจาซองที่ยืนฟังอยู่ มือทั้งสองสั้นระริกด้วยความเกลียดชัง เกลียดคำพูดที่ดูถูกมาเสมอว่าเป้นแค่ลูกไก่ลูกกาที่ไปผสมกับมังกรของแผ่นดิน!
       "ท่านจะต้องเสียใจที่พูดเช่นนั้นกับข้าและองค์ชายจาซอง"
       "ข้าทูลตามความจริง ของที่ไม่ใช่ของท่านอย่างทรงดึงมันลงมาเลย" ว่าแล้วขุนนางชองก็ขอตัวและลุกขึ้นเดินออกไปโดยไม่สนใจพระสนมซุกบินที่กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง
      เมื่อเดินออกมาพบองค์ชายจาซองขุนนางชองก็ตกใจเล็กน้อย แต่ก็ไหวตัวทันพอที่จะทำความเคารพตามประเพณี
       "ท่านพูดจาดูถูกท่านแม่ข้าเกินไปหรือเปล่าขุนนางชอง" องค์ชายจาซองกล่าวทักท้วงพร้อมทั้งยืนนิ่งไมไหวติง
       "ข้าทูลตามความจริงเพค่ะองค์ชาย"
       "ข้าก็เป็นลูกของเสด็จพ่อคนหนึ่ง ท่านน่าจะให้เกรียติข้าบ้าง"
       "ท่านก็เป้นแค่ลูกของพระสนมซุกบิน มีเกรียติอันใดที่จะต้องให้หรือ แต่เป็นเพียงเชื้อสายของพระราชาเท่านั้น เจ้ามิได้มีเกรียติพอให้พวกเหล่าขุนนางทำความเคารพเลย อยู่เฉยๆไว้แล้วเจ้าจะมีชีวิตรอดในฐานะพระโอรสของพระราชาเอซอง" ขุนนางชองกระตุกยิ้มร่าก่อนจะหัวเราะสมเพชองค์ชายจาซองที่ร้องหาเกรียติยศและศักศรี มันไม่มีตั้งแต่พระองค์เกิดมาจากพระมารดาต่ำชั้นนั้นแล้ว องค์ชาย ขุนนางชองคิดในใจ
      คำพูดร้ายกราจที่เสียดแทงเข้าไปในใจขององค์ชายจาซอง เหตุใด้คำพูดเหลวไหลนั้นต้องทำให้เจ็บปวดถึงขนาดนี้ เป็นแค่ลูกพระสนมซุกบินงั้นหรือ? องค์ชายจาซองทรุดลงกับพื้นพร้อมทั้งน้ำตาที่อาบแก้ม ด้วยความแค้นใจ!!

     

      ในราชวังหลวงชั้นใน ตำหนักพระพันปีซองฮวาหรือพระอัยยิกาของพระราชองค์ใหม่กำลังเคร่งเครียดกับการคัดเลือกรายชื่อของบรรดาหญิงสาวที่ส่งเข้ามาเพื่อรับคัดเลือกเป็นพระมเหสีของพระราชาซองโจ ที่จะมีการแต่งตั้งตำแหน่งขึ้นในอีกสิบสี่วันข้างหน้านี่ บรรดาเชื้อพระวงศ์แหละพวกขุนนางต่างสนับสนุนลูกของตนอย่างเต็มที่ หนุนอำนาจต่างๆเพื่อหวังว่าลูกของตนจะได้พาตนไปสู่ความยิ่งใหญ่ การเป็นว่าที่พ่อตาของพระราชาแห่งเมืองวอนจานี้ใครกันล่ะที่จะโง่เกินจะไม่อยากเป็น พระมเหสีโยอินกำลังเสด็จเข้าไปยังตำหนักของพระพันปี เพื่อทำหารคัดเลือกรายชื่อพระมเหสีตามที่พระพันปีเรียกหา
      "พระมเหสีโยรินมาแล้วเพค่ะ" ซังกุงคนสนิทเดินเข้ามาบอกพระพันปีซองฮวา พระพันปีพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาติ
      "ถวายบังคมเสด็จแม่เพค่ะ"พระมเหสีโยรินถวายความเคารพพร้อมทั้งยิ้มทักพระพันปี
      "มาแล้วหรือชุงจอน* ข้ารอสะนาเชียว"*เป็นชื่อเรียกตำแหน่งพระมเหสี

         "ขอประทานอภัยเพค่ะเสด็จแม่" พระมเหสีกล่าวพร้อมทั้งนั่งลงตรงหน้าพระพันปีซองฮวา พระพันปียื่นใบรายชื่อเหล่าหญิงสาวที่รับการคัดเลือกจากพระพันปีมาเรียบร้อยแล้ว
        "รายชื่อที่ข้าคัดเลือกมาเอง ลูกของขุนนางสี่คนและเชื้อพระวงศ์เก่าสามคน"
        "ทั้งหมดนี้เสด็จแม่จะทรงคัดให้เหลือเท่าไหร่หรือเพค่ะ" พระมเหสีมองดูรายชื่อก่อนจะเอ่ยถามรายชื่อที่คัดมาเหลือเจ็ดคนนั้น ช่างเป็นรายชื่อของบรรดาลูกขุนนางระดับต้นๆและเหล่าเชื้อพระวงศ์ที่ล้วนพร้อมคุณสมบัติเบื้อต้นมาแล้ว
        "แล้วแต่เจ้าเถอะชุงจอน ข้าแก่แล้วย่อมสายตาไม่แม่นยำเช่นเคย ข้าว่าเจ้าเลือกว่าที่ลูกสะใภ้เจ้าเองดีกว่า" พระพันปีหัวเราะเบาๆก่อนจะกระแอ่มกระไอเอาๆ
       "เสด็จแม่ทรงเป็นอย่างไรเพค่ะ ทรงมิสบายนานหรือยัง" พระมเหสีถามด้วยความเป็นห่วง
       "คนแก่ ก็อย่างนี้แหล่ะ ข้าเองก็เจ็บไข้ไปเลื่อย"
       "ทรงไปตามหมอหลวงมารึยัง" พระมเหสีหันไปหาซังกุงคนสนิทพร้อมมองด้วยสายตาตำหนิ
       "อย่าว่านางเลย ข้าคงวุ่นๆกับการเตรียมงานจนลืมเรื่องนี้ไป" พระพันปีกล่าวยิ้มแย้มก่อนจะเปลี่ยนมาสนใจเรื่องของพระมเหสีองค์ใหม่ต่อ
       "ข้าอยากให้เจ้าทำการคัดเลือกให้ดี ชุงจอน  พระมเหสีก็คือประมุขของฝ่ายใน ต้องเลือกคนที่ไม่มักใหญ่ใฝ่สูง มีความอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ หากเราเลือกคนที่แข็งเกินไปก็ไม่เป็นผลดีกับฝ่ายใน แต่ถ้าเลือกคนที่อ่อนแอเกินไป ก็คงโดยสนมรุมทำร้ายให้ต้อง วุ่นวายไปกระทบต่อฝ่าบาทได้" พระพันปีทรงสั่งบอกไว้อย่างเน้นท้อยคำ อาจจะเพราะเรื่องที่ทรงบาดหมางกับ
    พระสนมชเวซุกบิน ที่ค่อนข้างทำให้พระราชาเอซองลำบากพระทัย
       "เลือกคนที่เจ้าสามารถควบคุมได้ เพราะถ้าหากนอกเหนือการควบคุม ไม่มีความเคารพอาวุโส นางก็ไม่เหมาะสมจำไว้ ชุงจอน"
       "เพค่ะเสด็จแม่" พระมเหสียิ้มรับ แต่ในใจก็กังวลว่าเหตุใดพระพันปีถึงทรงฝากฝัั่งสิ่งนั้นไว้ ตามจริงพระมเหสีเองก็มีรายชื่อของพระชายาที่เตรียมไว้ให้ลูกชายอยู่แล้ว องค์ชายซองโจนั้นน่ะว่าง่าย เชื่อพระนางทุกอย่าง หากจะเลือกใครพระองค์ก็คงจะเลือกตาม แต่ในใจก็อยากจะถามลูกว่ามีใครอยู่ในพระทัยหรือไม่
      "เสด็จแม่จะพักผ่อนไหมเพค่ะ หม่อมฉันจะได้กลับให้เสด็จแม่ได้พักบ้าง" พระพันปียิ้มให้พร้อมกับพยักหน้าด้วยท่าทีเหนื่อยล้า พระมเหสีทำความเคารกพก่อนจะออกมา
     
      "พระมเหสีจะเสด็จไหนหรือเพค่ะ" ซุงกุงนำทางถาม พระมเหสีชั่งใจอยู่นานก่อนจะตัดสินใจ
      "ไปหาฮวังเซจา ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเขา" *ฮวังเซจาคือชื่อแทนตำแหน่งองค์รัชทายาท
      "เพค่ะมาม่ะ" ซังกุงนำทางกล่าวพร้อมกับนำทางเดินไป ยังสนมหลังของวังหลวงที่เป็นที่อยู่ขององค์รัชทายาท ที่ทรงสำราญกับการเล่นยิ่งเป้าธนูกับองค์ชายซูฮองและองค์ชายจาซอง
     พระมเหสีมีพระพักต์ไม่ค่อยดีนักเมื่อเห็นลูกของสนมซุบินมาอยู่ใกล้กับองค์ชายทั้งสอง ทั้งเกลียดและไม่ชอบให้ทั้งสองไปสนิทด้วย
       "ชุงจอนมาม่ะเสด็จ" เสียงอำมาตคนสนิทขององค์รัชาทายาทกล่าวรายงาน องค์ชายซูฮองทรงยิ้มสดใสให้กับเสด็จแม่ ต่างจากองค์ชายจาซองที่หน้าซีดด้วยความกลัว ใครก็รู้ว่าพระมเหสีไม่เคยชอบองค์ชายจาซองมาแต่ไหนแต่ไหร่ และหากไม่ใช่เพราะพระราชาเอซองทรงปกป้องอยู่ก็คงไม่มีหน้าเป็นองค์ชายได้ แต่ก็ยังดีที่องค์ชายซูฮองและองค์รัชทายาทซองโจมีไมตรีที่ดีและไม่เคยรังเกรียจเลย
      "เสด็จแม่ทรง เสด็จมาที่นี้ทำไม มันอันตรายนะเพค่ะ" องค์รัชทายาทกล่าวพร้อมเดินไปโค้งคำนับเสด็จแม่ของตน องค์ชายจาซองโค้งคำนับอย่างเงียบๆอยู่ข้างองค์ชาายซูฮอง
      "เสด็จแม่มักมามิให้ซุ่มเสียงตลอด กลัวพวกหม่อมฉันทำเรื่องวุ่นวายล่ะสิ" องค์ชายซูองทรงหยอกพระมารดาพร้อมทั้งยิ้มแย้ม พระมเหสียิ้มทักก่อนจะเชิดหน้านิ่งใส่องค์ชายจาซอง
      "เจ้ามาที่นี้ทำไม องค์ชายจาซอง" พระมเหสีถามด้วยสายตาตำหนิจนองค์ชายทั้งสองมีอาการเกรงๆขึ้นมา องค์ชายจาซองทรงยิ้มรับก่อนจจะเอ่ยตามจริง
      "หม่อมฉันแวะมาเล่นยิงธนูกับพี่น้องเพค่ะ"
      "พี่น้อง? เจ้าเอ่ยว่าพี่น้อง ใครเป็นพี่น้องกับเจ้าองค์ชายจาซอง" พระมเหสีขึ้นเสียงจนองค์ชายจาซองหน้าเสีย การพูดจาหมิ่นศักดิ์แบบนี้ทำให้เหล่ามหาดเล็กและอำมาตพากันนิ่งเงียบกัน มิมีใครกล้าขัดประมุขใหญ่ของฝ่ายในหรอก
      "องค์ชายจาซอง ทรงไม่เป็นพี่น้องกับองค์ชายซูฮองและองค์รัชทายาทตรงไหนเพค่ะ" เสียงของพระสนมซุกบินดังมาแต่ไกล ด้วยท่าทีโอหังสุกจะบรรยาย พระมเหสีระตุกยิ้มก่อนจะสาวเท้าก้าวไปหาผู้มาเยือยด้วยความหมาดมั่น
       "พระสนมซุกบิน ยังทรงหายใจอยู่หรอ" พระมเหสีกล่าวทัก พระสนมซุกบินกระตุกยิ้มน้อยๆก่อนจะเอ่ยอย่างไม่ยำเกรง
      "หม่อมฉันจะยังหายใจ อยู่อย่างนี้จนกว่าพระมเหสีจะหมดลมก่อน"
      "สามหาว" เสียงของซังกุงคนสนิทเอ่ยตำหนิ แต่พระสนมซุกบินหาได้กลัวไม่
      "เจ้าสิสามหาว มาสาระแนอะไรในบทสนทนาของคนสูงชั้นเค้าคุยกันนางซังกุงชั้นต่ำ"
      "คนสูงชั้น เจ้าแน่ใจหรือซุกบิน" มเหสีเอ่ยเสียงดูถูกจนพระสนมรู้สึกเกลียดชังทันที
      "ข้าว่าเจ้าก็ไม่ได้สูงเกินกว่าซังกุงข้าเท่าไหร่หรอก เจ้านะอาจจะต่ำกว่าด้วยซ้ำ"
      "พระมเหสี!!"
      "ซุกบินเจ้าไม่รู้ตัวเลยหรอ" พระมเหสีเอ่ยเสียงขัน พร้อมทั้งหัวเราะใส่หน้าพระสนมจนพระสนมเกิดความอับอาย องค์ชายจาซองมิอาจยืนอยู่ได้ จึงได้เข้ามาร่วมบทสนทนาที่จะทำให้เสด็จแม่มิโดยตำหนิไปกว่านี้
      "พระมเหสีหม่อมฉันขอประทานอภัยแทนเสด็จแม่ด้วย"
      "องค์ชาย" พระสนมซุกบินเรียกทัก จะมาคัดทำไม จะเสนอหน้ามาให้พระมเหสีด่ากราดเจ้าทำไม พระสนมซุกบินเอ่ยในใจ
      "เจ้าหัดดูแลมารยาทของแม่เจ้าสะบ้างนะองค์ชายจาซอง อยู่ในที่ควรอยู่ ท้ายวังนู้น ที่ของพวกเจ้าอย่ามาเพ้นพ้านให้ข้าเห็นหน้าอีก" พระมเหสีเอ่ยตำหนิเสียงดังด้วยโทสะ จนองค์ชายจาซองยืนหน้าสั่นด้วยความโกรธ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่องค์ชายและเสด็จแม่ต้องโดยดูถูกอยู่เสมอ
      "พระมเหสี หม่อมฉันทำผิดร้ายแรงอะไรขนาดนั้นหรือเพค่ะ ต้องว่าหม่อมฉันถึงขนาดนี้เลยหรือ หม่อมฉันกับเสด็จแม่ก็เป็นเชื้อพระวงศ์เหมือนกันนะเพค่ะ" เสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บแค้นกังขึ้น จนองค์ชายซูฮองและองค์รัชทายาทต้องเข้าไปขวาง
      "เสด็จอย่าไปเอ่ยว่าพระสนมรุนแรงขนาดนั้นเลย อย่างไรสะนางก็เป็นพระสนมของเสด็จพ่อนะเพค่ะ" องค์รัชทายาททรงเข้ามาห้ามปรามสงครามครั้งนี้ไว้ สายตาของพระมเหสีไม่ลดละเลย เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ไม่ต่างจากพระสนมที่ทรงไม่ยอมเหมือนกัน
      "สนมต่ำชั้นไม่รู้จักที่ต่ำสูงนะ เจ้าจะไปให้ความเคารพยำเรงนางทำไม"
      "ซุกบิน ของพระราชานี้เรียกว่าต่ำชั้นหรือเพค่ะ" พระสนมสวนทันควัน
      "ใช่ กำพืดเจ้ามันต่ำติดดิน นางลูกทาสชั้นต่ำได้มาเป้นซังกุงหาบน้ำพระราชาทรงเมตาก็ทำเป็นเหลิง เจ้ามิได้มีอะไรดีนอกเสียจากร่างกายที่ยั่วยวนเลย!!"
      "เสด็จแม่พอเถอะเพค่ะ ทรงว่าพระสนมเกินไปแล้ว" องค์ชายซูฮองทรงห้ามปรามอย่างมิเห็นด้วยการด่ายิ้นถึงพื้นหลังของพระสนมซุกบินทรงจะแรงเดินไปหรือเปล่า
      "พระสนมอย่างนั้นเจ้าอย่าได้ทำการปกป้องนะองค์ชายซูฮอง"
      "เสด็จแม่อย่างทรงตำหนิพระสนมแบบนี้เลยเพค่ะ นางกำนัลและเหล่าอำมาตจะพากันติฉินนินทาได้นะเพค่ะ" องค์รัชทายาทรงกล่าวเตือน ซึ้งทำให้พระมเหสีทรงใจเย็นลง แต่ก็มิได้ทรงอ่อนลง เลยสายตายังคงติกกัดไปที่พระสนมซุกบิน ที่สายตาของพระนางก็ไม่ต่างกัน
    องค์ชายจาซองยืนนิ่งด้วยท่าทีสั่นระริก มองสองข้างรวบแน่นกำไว้ด้วยท่าทีเก็บอาการ
     "ครั้งนี้ข้าเห็นแก่เจ้ารัชทายาท แต่ถ้ามีครั้งหน้าอย่าให้ข้าต้องพูดตักเตือนถึงฐานันดรอันต่ำชั้นของเจ้า ควรจะรู้จักที่ต่ำสูงเสียทีนะ ซุกบิน" ว่าแล้วพระมเหสีก็เดินจากไปอย่างไม่ใยดี
     "ข้าต้องขอโทษแทนเสด็จแม่ด้วยเพค่ะพระสนม" พระสนมซุกบินนิ่งเงียบไม่สบตาองค์รัชทายาที่ทรงขออภัยแทนเสด็จแม่กับเหตุการเมื่อครู่
     "ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วยองค์ชายจาซอง" องค์รัชทายาทยิ้มให้อย่างมีไมตรก่อนจะเดินตาพระมเหสีไป องค์ชายซูฮองทำแค่โค้งเคารพพระสนมก่อนจะเดินตามองค์รัชทายาทไปติดๆ
      "เห็นรึยังองค์ชายจาซอง สิ่งที่แม่ต้อยต่ำของเจ้าได้รับตลอดสามสิบกว่าปีไม่สิ ตลอดชั่วชีวิตที่ข้าคนนี้ยังดำรงชีวิตอยู่ในวังหลวงนี้" พระสนมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยตนเอง ภายในใจก็น้อยอกน้อยใจ ในวาสนาของตนที่ได้รับเหลือเกิน
      "เสด็จแม่เองก็ทรงหาเรื่อง ทำไมต้องแสดงตนทุกครั้งว่าตนสูงส่งเพค่ะ"
      "เจ้าพูดอะไรนะ จาซอง แม่คนนี้ทำตัวสูงส่งงั้นหรือ?" พระสนมหันไปตะหวาดใส่
    องค์ชายจาซองที่ยืนนิ่งไม่แสดงท่าทีอะไร นอกจากถอนหายใจเข้าออกด้วยท่าทีที่พระสนมเองก็ยากจะเข้าใจ พระสนมซุกบินยืนมองตามพระมเหสีที่เดินจากไป หลายครั้งที่ทรงไม่เคยได้รับความเมตตาหลายครั้งที่ถูกพระพันปีซองฮวาเกลียดชังและกลั้นแกล้ง แต่ก็ไม่เคยได้รับความเห็นใจจากพระมเหสี พระมเหสีแต่เดิมทีก็หาได้ต่อกรเก่งอย่างนี้ไม่ ทรงปิดหูปิดตามทำตามคำสั่งของพระพันปีซองอวาอยู๋เสมอ ยกย่องพระพันปีที่ไม่มีความเป็นธรรม ไม่เคยเลยแม้จะมอบความรักให้แก่พระสนมในฐานะลูกสะใภ้ คงจะมีแต่ความรักจากฝ่าบาทเท่านั้นที่ยังทรงต่อ
    ชีวิตชเวซุกบินคนนี้ได้
      "แม่ของเจ้า ยืนอยู่ทุกวันนี้เพื่อต่อกรคนที่ดูหมิ่นเจ้า จาซอง"
      "...."
      "พวกคนที่ดูถูกเจ้า ดูแคลนแม่และไม่เคยเคารพในศักดิ์ที่เจ้ามีและได้รับ"
      "เสด็จแม่"
      "แม่ยืนอยู่ในวังหลวงต่อได้เพราะเสด็จพ่อของเจ้า และเพราะเจ้าแม่ถึงอยากเดินต่อ โปรดเห็นใจแม่ในการต่อสู้ที่แม่มีหนทางชนะเพียงน้อยนิดด้วยเถอะ โปรดเข้าข้างแม่ เหมือนที่เสด็จพ่อของเจ้าทรงทำด้วยเถอะ เพราะเหตุผลนี้ แม่จึงอยู่ต่อเพื่อเจ้า"
     "เสด็จแม่" องค์ชายจาซองวิ่งเข้าสวมกอดเสด็จแม่ด้วยความเจ็บปวด เสด็จแม่ที่ต้องถูกเหยียบย้ำตลอดเวลา ต้องโดนคนดูหมิ่นทั้งๆที่เป็นพระสนมซุกบินที่มีชนชั้นไม่ต่างกับขุนนางและพระสนมคนอื่น ความเจ็บปวดนี้ใครจะรู้ได้ นอกจากสองแม่ลูกเราเท่านั้น พระสนมซุกบินที่เข้ามาในวังฐานะพระสนมโดยนางกำนัลดูถูก ถูกพระพันปีเกลียดชัง ไม่เคยได้รับไมตรีจากพระมเหสี แต่ยังทรงเดินอยู่ในวังต่อได้ ไม่ใช่เพราะตำแหน่ง แต่เป็นเพราะพระองค์เพค่ะ ฝ่าบาท พระราชาเอซองอขงชเวซุกบิน เพราะความรักที่มากล้นของพระองค์ ชเวซุกบินถึงเดินอยู่ในวังหลวงต่อไป เพียงเพราะปกป้องตัวแทนความรักของพระองค์เพค่ะ

    โปรดติดตามตอนต่อไป ^^

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×