คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #271 : Extra Log 268: พี่น้องไม่ถูกโฉลก
Extra Log 268: พี่น้องไม่ถูกโฉลก
จนถึงตอนนี้มิ่งขวัญก็ยังไม่ยอมเดินหน้า
“….”
ดังนั้นเขาเองก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน
อิงศรเดินนำหน้าตลอดทางที่ผ่านมา
พวกเขาเดินทางมาถึงซุ้มเกมสุดท้ายของภารกิจ
เมื่อมองเข้าไปภายในตัวร้านก็เห็นตู้ไม้สีขาวทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าตั้งเรียงกันอยู่ห้าตู้ด้วยกัน
แต่ละตู้ถูกแบ่งเป็นช่องเล็กๆ เก้าช่องด้วยกัน แต่ละช่องจะมีลูกโป่งยัดเอาไว้
อิงศรก้มหน้ามองไปที่โต๊ะหน้าซุ้มร้านซึ่งจะต้องมีสิ่งนั้นวางอยู่อย่างแน่นอน
ลูกดอกพลาสติกที่มีแต่ส่วนปลายลูกดอกเท่านั้นที่เป็นโลหะแหลมสำหรับเจาะลูกโป่งให้แตก
ลูกดอกหลายสีกองอยู่ในตะกร้าพลาสติกที่วางเรียงอยู่บนโต๊ะ
ตำแหน่งตรงกับตู้แต่ละตัว
เกมสุดท้ายคือปาลูกดอกเจาะลูกโป่งนั่นเอง
อิงศรคิด...
นี่คือเกมที่ง่ายที่สุดสำหรับนักกีฬาดาร์ทอย่างเขา
แต่เงื่อนไขการผ่านภารกิจนี้ไม่ง่ายแบบนั้น
ลูกดอกทั้งหมดจะต้องปาให้เข้าเป้าทั้งหมด
สำหรับคนที่ไม่มีทักษะอย่างมิ่งขวัญนับเป็นอุปสรรคที่ยากมาก
เกมนี้คงปล่อยให้มิ่งขวัญเล่นไม่ได้
อิงศรคิดว่าตัวเองควรจะเป็นคนเคลียเกมนี้ด้วยตัวเอง
ถึงแม้จะไม่ได้แสดงพลังของพี่น้องออกมาตามที่การทดสอบต้องการแต่ถ้าภารกิจไม่ล้มเหลวก็อาจจะพอเจรจาได้
อิงศรเอื้อมมือไปที่ลูกดอกบนโต๊ะ
แต่มือของเขาถูกดึงไว้โดยมือที่เล็กกว่านิดหน่อย
เขามองหน้าเจ้าของมือนั้น
“ขวัญ?”
มิ่งขวัญเงยหน้าสบตาเขา
“.....”
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง
มิ่งขวัญเหมือนกับจะตัดสินใจได้แล้วก็พูดออกมาว่า
“พอกันทีคิดไปก็ปวดหัวเปล่าๆ”
อิงศรไม่เข้าใจที่น้องชายพูด
“พูดถึงเรื่องอะไรอยู่เนี่ย”
“ก็นะเพราะว่านี่เป็นการทดสอบพี่น้องใช่ไหมล่ะก็เลยคิดมาตั้งแต่ตรงนั้นเลยว่าจะทำตัวยังไงดี”
หมอนี่ก็คิดถึงเรื่องนั้นด้วยเหรอ
อิงศรรู้สึกทึ่งนิดหน่อยที่มิ่งขวัญก็คิดเรื่องเดียวกัน
ขวัญเองก็คงจะรู้ตัวเรื่องการทดสอบเหมือนกัน
บางทีคงรู้ว่าภารกิจไม่ได้เขียนอยู่ในกระดาษไว้ทั้งหมด
แต่ว่า...
“เกมนี้น่ะมันยากนะฉันว่า”
“พูดเหมือนกับตอนนั้นเลย”
มิ่งขวัญหรี่ตาจ้องเขม็งมายิ่งกว่าเดิม
แต่แทนที่จะตกใจเขากลับรู้สึกคุ้นเคยเสียมากกว่า
เรา...เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน
‘อยากได้ไอ้นั่นอ่ะ’
‘แต่มันมันยากนะ’
บทสนทนาในความทรงจำมันลอยขึ้นมา
ทั้งที่มันไม่น่าจะมีอยู่จริงความทรงจำของโลกก่อนล่มสลายนั้นถ้าพยายามนึกถึงมันก็จะได้แต่ข้อมูลที่เป็นเหมือนกับตัวหนังสือบอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้น
แต่ว่า
มันกลับลอยขึ้นมา
ภาพในความทรงจำ
ในงานเทศกาลที่ไหนซักแห่ง
เป็นเหตุการณ์ในช่วงวัยเด็กของพวกเขา
ที่หน้าร้านเกมปาลูกโป่งเหมือนกับในเวลานี้ มิ่งขวัญอ้อนอยากเล่นเกมนี้
เพราะอยากจะได้ของเล่นที่เป็นของรางวัล
ซึ่งจะต้องทำคะแนนสูงสุดในการปาลูกดอกสองชุดด้วยกัน
แน่นอนว่ามันยากเกินไปสำหรับตัวเขาในตอนนั้นด้วยแต่เพราะกลัวว่ามิ่งขวัญจะไปงอแงต่อหน้าพ่อกับแม่จนวุ่นวายอีกก็เลยออกตัวเป็นคนเล่นเพื่อเอาของรางวัลมาให้
‘ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะปาให้ก็แล้วกัน’
แต่มิ่งขวัญก็ส่ายหัวแล้วดึงเสื้อเขาไว้
‘สอนขวัญเล่นทีสิ’
‘มันยากนะ
นายปาไม่ได้หรอก’
แต่มิ่งขวัญก็ยืนกรานจะให้เขาสอนปาลูกดอก
ซึ่งผลลัพธ์ก็คือได้เป็นรางวัลปลอบใจแทน
ทีแรกเขานึกว่าขวัญจะงอแง
แต่ก็ไม่เป็นอย่างนั้น ใบหน้าของมิ่งขวัญในเวลานั้นดูอิ่มเอมแล้วก็มีความสุขมาก
อย่างที่เขาเองก็ไม่เข้าใจ
ไม่รู้ว่าทำไมแต่มิ่งขวัญอวดตุ๊กตาผ้าที่ได้เป็นของปลอบใจกับพ่อกับแม่ไม่หยุดเลยทีเดียว
“ถ้ามันยากนักก็สอนสิ”
เสียงของมิ่งขวัญดึงเขากลับมาจากภวังค์ความคิด
หมอนั่นหยิบตะกร้าลูกดอกไปวางอยู่ข้างหน้าตัวเองแล้ว
“นี่นาย...หรือว่าตอนนั้นไม่ได้อยากได้รางวัลนั่นอยู่แล้วน่ะ”
“หา”
“ก็ตอนนั้นไง
นายขอให้ฉันสอนปาแทนที่จะให้ฉันปาให้น่ะ”
หรือว่าที่จริงแล้วตอนนั้นขวัญ...
“อ๋อ
ตอนนั้นน่ะเหรอ รางวัลน่ะอยากได้อยู่หรอกแต่ว่าอยากเล่นมากกว่าอ่ะ มันทำไมเหรอ”
“นายเนี่ยน้า~~”
อิงศรนึกต่อว่าตัวเองในใจ
ว่าเขาไม่น่าปล่อยความคิดให้เตลิดไปขนาดนั้นเลย
อย่างขวัญคงไม่คิดจะทำตัวน่ารักมาออดอ้อนเขาอยู่แล้วล่ะนะ
หรือว่าตัวเองที่คิดแบบนั้นก็คาดหวังอยู่กันล่ะ?
ไม่รู้สิ
เริ่มไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว
ความทรงจำในอดีตที่น่าจะเป็นแค่ข้อมูลปลอมๆ
แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากความทรงจำนั้น สมมติฐานเรื่อง ‘บท’ ที่ราหูพูดมาพวกเขาอาจจะตีความกันผิดหรืออาจจะมีเหตุผลอื่นก็ได้
ที่สำคัญสำหรับตอนนี้
มิ่งขวัญก้าวออกมาแล้วถ้าอย่างนั้นเขาก็ต้องก้าวออกไปบ้าง
“แล้วจะไหวเหรอต้องปาให้แตกหกลูกเลยนะห้ามพลาดแม้แต่ดอกเดียวเลยให้ฉันปาแทนดีกว่ามั้ง”
อิงศรยื่นมือไปจะหยิบตะกร้าลูกดอก
แต่มิ่งขวัญไม่ยอมปล่อยตะกร้าให้เขา
มิ่งขวัญพูด
“พอพ่อกับแม่ไม่อยู่แล้วศรก็เหมือนจะเปลี่ยนไป”
“ฉันเนี่ยนะ”
มิ่งขวัญพยักหน้า
“ตั้งแต่เมื่อก่อนเวลาอยู่ต่อหน้าพ่อกับแม่ศรชอบไม่อยู่ตรงนั้นตลอด
บางทีก็รู้สึกเหมือนเป็นคนอื่นกันไปเลยแต่พอโลกล่มสลายลงก็รู้สึกว่าศรดูน่ากลัวขึ้นนิดหน่อยน่ะ”
“นั่นเพราะนายชอบหาเรื่องมาให้ฉันต่างหากเล่าคิดว่าใครกันที่ต้องมาดูแลนายตอนที่เราไม่มีพ่อแม่กันแล้วน่ะ”
“ก็นั่นแหละ!!”
มิ่งขวัญขึ้นเสียงใส่
อย่างคาดไม่ถึง
“….”
“เพราะเอาแต่เก็บงำเอาไว้ไม่ยอมพูดออกมาตรงๆ
ซักทีนั่นแหละ ตอนเจอพวกฟูครั้งแรกนั่นก็เหมือนกัน
ไม่ยอมบอกเหตุผลที่ยกข้าวให้พวกนั้นแล้วใครมันจะไปรู้กันเล่าว่าศรคิดอะไรอยู่
คราวนี้ก็เหมือนกันจนถึงตอนนี้ศรก็ยังเอาแต่แบกรับเอาไว้คนเดียวตลอดเลยไม่ใช่รึไง”
“…”
คราวนี้...มิ่งขวัญกำลังพูดถึงการทดสอบนี้อย่างนั้นสินะ
“เพราะศักดิ์ศรีของพี่ชายบ้าๆ
นั่นอีกแล้วน่ะเหรอ”
“เรื่องนั้น...”
“พลอยบอกมาน่ะว่าที่ศรไม่พูดเรื่องที่ช่วยพวกฟูเพราะศักดิ์ศรีอะไรนั่น
ศักดิ์ศรีนั่นมันสำคัญมากรึไง”
ไม่รู้สิ
พอถูกมิ่งขวัญถามเอาตรงๆ
แบบนี้เขาเองก็เริ่มจะรู้สึกประหลาดใจกับความยึดมั่นถือมั่นของตัวเองขึ้นมาแล้วเหมือนกัน
ทำไมกันนะ
อิงศรคิด...
ทำไมที่ผ่านมาถึงไม่แบ่งปันความทุกข์กับขวัญเลย
ศักดิ์ศรีของพี่ชาย อะไรนั่นน่ะทำไมตอนนี้ถึงเพิ่งมารู้สึกตัวว่ามันเป็นแค่ข้ออ้างกันนะ
ตัวเองก็แค่ไม่อยากจะให้ขวัญเข้ามายุ่มย่ามเพราะกลัวเรื่องจะเสีย หรือ
เพราะว่าจงใจจะปิดกั้นตัวเองจากขวัญกันแน่ เขาไม่รู้เรื่องนั้นเลย
...ไม่สิ
แค่ทำเป็นไม่รู้ต่างหาก
มิ่งขวัญพูด
“ศักดิ์ศรีอะไรนั่นน่ะ
ไม่เข้าใจหรอกแล้วก็ไม่อยากจะเข้าใจเลยซักนิดด้วย แต่ว่า...”
น้องชายมองมาทางเขาด้วยใบหน้าน้อยใจ
“พอจบเรื่องทั้งหมดแล้วพวกเรายังต้องกลับไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอีกนะ”
มิ่งขวัญพูดด้วยความหงอยเหงา
“ไปเที่ยวด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน
เล่นด้วยกัน มีเรื่องอีกตั้งมากมายที่อยากจะทำด้วยกัน ยังไงศรก็เป็นพี่นะ
เพราะงั้นอย่าปิดบังกันอีกได้ไหม อย่าทำตัวเหมือนพร้อมจะแยกจากไปได้ตลอดเวลาได้ไหม”
“ฉันก็ไม่ได้จะจากไปไหนซักหน่อย
นายคิดมากเกินไปแล้วน่า”
“ถ้างั้นทำไมถึงปิดบังกันล่ะ
ความรู้สึกของศรน่ะ”
“....”
“พูดมาเซ่”
หนนี้เขาทนไม่ไหวแล้ว
รู้สึกว่าขวัญจะล้ำเส้นเกินไป น้องชายขึ้นเสียงกับพี่แบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกัน
แล้วก็ช่างหัวการทดสอบมันแล้วด้วย
“ก็ไม่ได้อยากจะปิดอะไรซักหน่อย
คนที่เอาแต่พูดทุกอย่างที่คิดน่ะมันคนบ้าชัดๆ เลยไม่ใช่รึไง”
“นี่จะบอกว่าขวัญบ้างั้นเหรอ
คนที่ว่าคนอื่นบ้านั่นแหละที่บ้า”
และแล้ว...
ก็เริ่มทะเลาะกันด้วยเรื่องไร้สาระ
พวกเขาเป็นพี่น้องกันแบบนี้แหละ
พี่น้องที่ไม่ได้รักใคร่กลมเกลียวกันเหมือนในนิยาย
ที่จริงพี่น้องแบบนั้นก็คงมีแหละแต่พวกเขาไม่ได้เป็นแบบนั้นเท่านั้นเอง
“พอทีไม่ต้องสง
ต้องสอนมันแล้ว”
มิ่งขวัญหยิบลูกดอกขึ้นมาจากตะกร้าตั้งท่าจะปามันออกไป
“เฮ้ย เดี๋ยว!”
อิงศรพยายามจะห้าม
แต่ลูกดอกถูกปาออกไปแล้ว
ลูกดอกพุ่งไปชนเข้ากับขอบตู้แล้วกระดอนออก
ทีนี้ก็จบสิ้นกันล่ะ
“….”
“……”
พี่น้องพากันหน้าซีดทั้งคู่
“มะ...ไม่เป็นไรมั้ง
เมื่อกี้ไม่นับละกัน”
คำพูดที่คิดเข้าข้างตัวเองแบบสุดกู่หลุดจากปากคนอย่างอิงศร
แล้วมิ่งขวัญที่เป้นต้นเหตุก็เห้นดีเห็นงามชนิดกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ใช่...ใช่
เมื่อกี้แค่ลองปาดูน่ะ”
แต่ก็มีเสียงพูดขัดขึ้นมา
“จะโกงกันหน้าด้านๆ
ไปหน่อยมั้ง”
ทั้งศรทั้งขวัญพากันสะดุ้งตัวโยน
สองพี่น้องค่อยๆ หันกลับไปข้างหลังด้วยความทุลักทุเล
ที่นั่นคู่แฝดเครื่องทำสวนกำลังยืนจ้องมองมาทางนี้
จูเนอร์มินาร์
ผู้กัดแทะวัชพืช คู่ฝาแฝดพี่สาวกับน้องชาย
เด็กสาวที่เป็นคนพี่คลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
“พวกนายทุกคนสอบตก....”
แต่คนน้องก็พูดแทรกด้วยใบหน้าชวนขบขัน
“ซะเมื่อไหร่ล่า!”
“ก็ตามนั้นแหละนะ
ล้อเล่นน่าล้อเล่น
เดิมทีภารกิจมันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรอยู่แล้วแค่สร้างบรรยากาศให้พี่น้องได้เปิดอกคุยกันเท่านั้นเอง….หืม”
เด็กสาวนึกสงสัยที่ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้กลับมาจึงเพ่งสายตามองไปที่หน้าของอิงศรกับมิ่งขวัญ
“อะไรกันเนี่ยช็อกไปเลยเรอะ
เฮ้ ตายรึยาง~~”
พอถูกเรียก
อิงศรก็ถามกลับไป
“ทำไม”
แน่นอนว่ามันก็น่าตกใจอยู่แต่ไม่ได้ช็อกโอเวอร์ขนาดนั้น
ก็แค่สงสัยว่าทำไมเครื่องทำสวนถึงมาที่นี่ในเมื่อไม่ได้มาปรับพวกเขาตกการทดสอบ
จูเนอร์มินาร์ถามกลับ
“อะไรล่ะ”
“ก็แล้วพวกเธอมาที่นี่ทำไมถ้าไม่ได้ปรับพวกฉันตก”
“อ๋อ
เรื่องนั้นน่ะเหรอก็แบบว่าไหนๆ
พวกนายก็ทำท่าจะสอบผ่านอยู่แล้วก็เลยคิดว่ามาดักคอแกล้งซักหน่อยก็ดีเหมือนกัน”
“หา?”
“ที่จริงแล้วการทดสอบยังไม่จบลงหรอกนะแต่หวิดสอบตกแล้วล่ะถ้าไม่ได้มิ่งขวัญพูดขึ้นมาคงดำเนินการทดสอบพี่น้องต่อไปไม่ได้
นายน่ะเกือบจะทำการทดสอบล่มไปแล้วนะ คราวนี้ได้น้องช่วยชีวิตเอาไว้แล้วสิ”
“ถ้างั้นตอนนี้พวกฉันต้องทำอะไรบ้างล่ะ”
“นายน่ะไม่ต้องแล้ว”
จูเนอร์มินาร์หันไปทางมิ่งขวัญ
”แต่มิ่งขวัญต้องพูดออกมาให้หมด
ความรู้สึกของตัวนายน่ะบอกเขาไปสิ ถ้ามัวแต่อายจะปรับตกนะ”
พอพูดมาแบบนั้นแล้ว
มิ่งขวัญก็หันมาหาเขา แต่ท่าทางฝืดแข็งสุดๆ ราวกับฝืนสังขารอย่างไรอย่างนั้น
ใบหน้าของมิ่งขวัญขึ้นสีแดงระเรื่อเพราะความเขินอาย
ใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าที่มิ่งขวัญจะลดความประหม่าลงแล้วเริ่มพูด
“ก็อย่างที่พูดไปนั่นแหละ
ถ้าไม่บอกออกมาขวัญก็ไม่รู้หรอกว่าศรคิดอะไรอยู่เพราะงั้น...”
น้องชายยกมือขึ้นเกาหัวแล้วหลบสายตาเพื่อลบดความประหม่าที่เพิ่มขึ้นตามคำพูด
”ถ้าจะให้เจ๊ากันไปขวัญจะบอกของตัวเองให้ฟัง
หลังจบเรื่องทั้งหมดแล้ว หลังจากที่พวกเราได้กลับไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้งคราวนี้จะไม่ยอมให้ศรอยู่คนเดียวอีกแล้ว
ขวัญจะทำตัวกล้าหาญให้เป็นน้องชายที่สามารถชวนพี่ชายที่ดีที่สุดไปเล่นด้วยกันให้ได้”
เมื่อมิ่งขวัญพูดจบ
อิงศรก็แย้งไปว่า
“ท่อนสุดท้ายห้วนไปนะแถมพูดเร็วเกินไปด้วย”
“ก็มันน่าอายนี่หว่า
พี่ศรลองมาพูดเองดูบ้างเด่ะ!”
“….”
เมื่อกี้หมอนี่พูดว่า
‘พี่ศร’ นั่นน่ะพูดโดยรู้ตัวอยู่แล้วหรือว่าไม่รู้ตัวกันนะ
เอาเถอะไม่ต้องมีพี่นำหน้าก็ได้แบบนั้นน่าจะสนิทสนมกันมากกว่าแล้วก็พวกเขาไม่ใช้พี่น้องประเภทที่ต้องมาเกรงใจกันด้วย
ไอ้แบบที่ผ่านมาตลอดนี่สินะที่เรียกว่า ‘ฝืน’
“แล้วคำตอบล่ะ”
มิ่งขวัญทวงถามถึงคำตอบ
อิงศรหันไปทางจูเนอร์มินาร์
“ขอเปิดคลังเก็บหน่อยได้ไหม”
“ก็เอาสิ”
เมื่อหล่อนอนุญาตแล้วอิงศรจึงเปิดหน้าจอคลังแล้วล้วงหยิบบางอย่างออกมา
เป็นกล่องใส่แว่นที่มิ่งขวัญให้เป็นของขวัญวันเกิด เมื่อคืนวันสิ้นปีที่ตอนนั้นอยู่ระหว่างค้างคืนก่อนเดินทางไปหอคอยบาเบลในวันรุ่งขึ้นนั่นเอง
เขายื่นมันให้มิ่งขวัญดู
“เรื่องนั้นเราพูดกันไปแล้วตอนที่นายให้นี่ฉันมาไง
อย่าบอกนะว่าลืม”
มิ่งขวัญสีหน้าซีดเซียวลงทันตา
“ลืมจริงๆ สินะ
คนอย่างนายนี่มัน”
“ก็มันมีเรื่องเกิดขึ้นเยอะเลยนี่นา”
อิงศรรู้สึกเหนื่อยที่จะทะเลาะกับขวัญแล้วจึงพูดเพื่อบ่ายเบี่ยง
“เออ ช่างเหอะ
เอาเป็นว่าจากนี้ไปถ้ามีอะไรฉันจะบอกก็แล้วกัน”
แต่นั่นก็พูดออกมาจากใจจริง
“อื้ม”
มิ่งขวัญพยักหน้า
....แล้วทีนี้
จูเนอร์มินาร์คนน้องก็พูดโพล่งเสียงดังขึ้นมา
“หาสมบัติเจอจนได้สิน้า~”
คนพี่พูดเสริมต่อไปอีกว่า
“นั่นสิ
สมบัติที่มีแต่พี่น้องด้วยกันเท่านั้นที่จะครอบครองมันได้
สายสัมพันธ์ที่เป็นทั้งครอบครัวและพวกพ้องในหนึ่งเดียว ชื่อของการทดสอบที่แท้จริง ‘การทดสอบสายสัมพันธ์ที่แท้จริง’
ถึงจะรักใครกลมเกลียวกันขนาดไหน หรือ แม้จะเกลียดกันเข้าไส้เพียงใด
พี่น้องก็ไม่ได้แบ่งกันความสุขหรือความทุกข์
ต่างคนต่างก็เป็นตัวของตัวเองแล้วสายสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นจากความเป็นตัวเองของแต่ละคนที่มาเชื่อมต่อกันนั่นแหละคือสมบัติที่ล้ำค่าล่ะ”
แต่กระนั้นก็ไม่มีใครฟังที่หล่อนพูดอยู่ดี
อิงศรเริ่มคุยกับมิ่งขวัญโดยที่น้องชายของเธอเข้าไปผสมโรงด้วยจนวุ่นวายกันใหญ่
“งั้นก็เหลือแต่หมอนั่นแล้วสินะที่ต้องมาทดสอบ”
จูเนอร์มินาร์พึมพำโดยไม่หวังให้ใครได้ยิน
@@@@@@@@
@@@@
“ดูเหมือนว่าความเชื่อมั่นของพวกเจ้าเนี่ยจะไม่ธรรมดาจริงๆ
นั่นแหละน้า~~~”
ออร์ทิเกสซาร์พูด
ข่าวเรื่องการสอบ่านอย่างปาฏิหาริย์เพิ่งจะกระจายจากจูเนอร์มินาร์มาเมื่อครู่นี้แล้วเขาก็บอกผลนั้นให้นรินทร์รู้
นรินทร์อมยิ้มด้วยความดีใจ
“ผ่านแล้วสินะครับ
เห็นไหมล่ะเหมือนที่ผมบอกเลยใช่ม้า~”
“ก็นะ
ผ่านแบบฉิวเฉียดเส้นยาแดงผ่าแปดเลยล่ะถ้ามิ่งขวัญไม่ช่วยน่ะนะ
แต่ก็ไม่รู้ว่าเจ้านั่นจะยอมรับไหมนี่สิยิ่งเคี่ยวๆ อยู่ด้วย”
นรินทร์เอียงคอด้วยความฉงนกับสิ่งที่ราชห์สีเผือกพูด
“เจ้านั่นนี่หมายถึงใครเหรอครับ”
“ก็จะใครซะอีกเล่า
ดีเซมแมร์น่ะสิ
เจ้านั่นคือคนที่ทดสอบอิงศรแล้วก็เป็นคนที่เจ้ากี้เจ้าการที่สุดในหมู่พวกเราอีกด้วยถ้าความเห็นของหมอนั่นไม่ลงรอยกับคนอื่นๆ
ล่ะก็ได้มีสิทธิตกเอาจริงๆ แน่”
“เอ๋?”
“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะมีอีกเรื่องที่อยากจะบอกเอาไว้”
จู่ๆ
โทนเสียงของออร์ทิเกสซาร์ก็เปลี่ยนไป น้ำเสียงดูจริงจังกว่าทุกครั้ง
”คนที่โดนราหูเล่นงานไม่ใช่แค่ออร์ฟิอูคูมันนาร์เท่านั้นแต่โดโกบาร์และ
ข้าเองก็ด้วยที่ถูกปลูกความทรงจำให้
ตัวข้านั้นถูกทำให้เป็นบ้าไปแล้วครั้งหนึ่งแต่เพราะความยึดมั่นที่มีอยู่ทำให้ยังดำเนินการในฐานะของเครื่องทำสวนได้
เหมือนอย่างที่เจ้าเห็นบนสวนแห่งที่สองนั่นแหละ”
“เรื่องนั้นมัน”
นรินทร์ปรับตัวตามความจริงจังของออร์ทิเกสซาร์ไม่ทัน
เขารู้สึกสับสนว่าควรจะเพ่งเล็งไปที่เรื่องไหนก่อนดี
ออร์ทิเกสซาร์พูดต่อ
“สำหรับเจ้าที่ผ่านการทดสอบความเชื่อมั่นจากข้าได้มีเรื่องที่อยากจะฝากฝังเอาไว้หน่อย”
“ฝากฝังกับผมน่ะเหรอ”
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามจงทำให้ทุกคนเชื่อมั่นในสิ่งที่ถูกต้องอยู่เสมอนั่นคือหน้าที่ของเจ้าเด็กหนุ่มผู้กำเนิดจากความตายนรินทร์”
@@@@@@@@@@@
@@@@@
“ดูเหมือนว่าอิงศรจะผ่านนะ”
โดโกบาร์ก้มตัวลงพูดกับเมษาที่ยังนอนแผ่อยู่บนสังเวียน
เมื่อได้ยินว่าอิงศรผ่านการทดสอบ
เมษาก็แผ่ยิ้มกว้างด้วยความโล่งอก ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งจะถูกเตทอนให้รู้สึกว้าวุ่นใจกับการสอบของอิงศรที่ทำทีว่าจะสอบตก
“เฮอะ ก็บอกแล้วว่าอย่างหมอนั่นยังไงก็ผ่าน”
โดโกบาร์จ้องมองรอยยิ้มของเขาแล้วพูด
“ก็เกือบไปแล้วเหมือนกันแต่ช่างเถอะยังจำเรื่องที่พูดไปเมื่อกี้ได้รึเปล่า”
เมษาพยักหน้า
“ที่บอกว่าความจริงโลกนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อสี่ปีก่อนน่ะเหรอ”
“ช่วงเวลาก่อนหน้าสี่ปีนั้นตั้งแต่พวกเจ้ายังไม่ถือกำเนิด
หรือแม้แต่เรื่องภายในสวนศักดิ์สิทธิ์เองก็ยังเป็นสิ่งที่ถูกเขียนขึ้นในภายหลัง
เมื่อข้ากลับมาที่ต้นไม้แห่งชีวิตอันเป็นต้นกำเนิดความจริงถึงได้กระจ่าง”
เพื่อจะได้ฟังให้ถนัด
เมษาจึงยันตัวขึ้นมานั่ง
พอได้พักแล้วร่างกายก็ฟื้นฟูจากความเหนื่อยล้าและความบอบช้ำจากการชกมวยกับร่างแยกของกรกฏเป็นปลิดทิ้ง
โดโกบาร์พูดต่อ
“ต้นไม้แห่งชีวิตนี้จะชำระวิญญาณที่กลับมาให้บริสุทธิ์ก่อนจะหมุนเวียนให้ออกไปเป็นชีวิตใหม่
ดังนั้นการปลูกความทรงจำปลอมๆ นั่นก็เลยหายไปด้วยคิดว่าคงเป็นฝีมือของศัตรูที่พวกเจ้ากำลังเผชิญหน้าอยู่นั่นล่ะนะ”
“ราหูสินะ”
เมษาจิกปากด้วยความหงุดหงิด
“เจ้านั่นมันคิดจะทำอะไรกันแน่
ไม่ใช่ดิ! โลกเรามันเป็นอะไรกันแน่ถึงได้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นต่างหาก
อย่างกับเจ้าราหูเป็นคนสร้างโลกแล้วก็เป็นพระเจ้าเลยไม่ใช่เหรอ แบบนั้นน่ะ”
โดโกบาร์พูด
“แม้แต่ความทรงจำของข้าที่เคยลงไปจัดการพวกสาวกของ ยฮวฮ
เรื่องต้นกำเนิดของมนุษย์กับพวกบุตรแห่งแสงที่ข้าเคยเล่าให้พวกเจ้าไปก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมาด้วยล่ะนะ
ความจริงแล้วจุดเริ่มต้นของโลกใบนี้อาจจะเริ่มขึ้นในวันที่เกิด อีเด็นฟอลก็เป็นได้”
“หมายถึงจุดเริ่มต้นทั้งหมดคือวันโลกกลายเป็นเกมน่ะเหรอ”
“คิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น
ตอนที่พวกเจ้าเข้ามายังต้นไม้แห่งชีวิตนี้ความทรงจำภายในจิตวิญญาณของพวกเจ้าก็ถูกตรวจสอบด้วยดูเหมือนว่าความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องก่อนหน้านั้นจะเป็นผลที่มาจากปัจจัยภายนอก
พวกเจ้านั้นแท้จริงแล้วไม่เคยมีช่วงเวลาตั้งแต่ที่เริ่มถือกำเนิดขึ้นมาก่อนเลย”
“จะบอกว่าพวกฉันตั้งแต่จำความได้แล้วก็เป็นเด็กอายุสิบสามเลยงั้นเรอะ”
“ก็ไม่ผิดจากที่พูดมาหรอกนะ”
“นี่มันยังไงกันแน่เนี่ย เข้าใจยากชะมัดเลยเจ้าอิงศรมันรู้เรื่องนี้ไหมเนี่ย”
“เขารู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว
ที่จริงข้าคิดว่ามีแต่เจ้านั่นแหละที่ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้“
“นี่จะด่าว่าฉันโง่ใช่ไหมเฮ้ย!”
***สำหรับรีดที่ตามอ่านอยู่ตลอดและมักจะกดเข้ามาที่ตอนล่าสุดทันทีหลังจากที่อัพ
รึเปล่าก็ไม่รู้ขอบอกว่าวันนี้ไรท์อัพสองตอนฮะ =w=’ เพราะงั้นถ้ายังไม่ได้อ่านบทของทดสอบของนรินทร์ก็ย้อนกลับไปอ่านตอนที่แล้วด้วยเน่อ
โอเมก้า****
ความคิดเห็น